กฟก.ลดเกณฑ์ล้างหนี้เกษตรกร เร่งช่วยกลุ่มถูกฟ้องล้มละลาย

พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ (กฟก.) เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดการหนี้ของเกษตรกรของ กฟก.ตามที่คณะอนุกรรมการจัดทำหลักเกณฑ์การจัดการหนี้ของเกษตรกรกรณีหนี้เร่งด่วน มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเสนอ โดยปรับลดหลักเกณฑ์จาก 56 ข้อ เหลือ 36 ข้อ เพื่อให้การทำงานคล่องตัวขึ้นแต่ยังคงรอบคอบ และจัดลำดับความเร่งด่วนการให้ความช่วยเหลือเป็น 4 ระดับ คือ หนี้ถูกฟ้องล้มละลาย หนี้ถูกบังคับคดีหรือประกาศขายทอดตลาด หนี้ถูกดำเนินคดี และหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เน้นเกษตรกรที่สมควรให้ช่วยเหลือและได้รับพิจารณาเป็นอันแรก คือ เป็นผู้มีรายได้น้อยกว่า 100,000 บาท/ปี ถูกฟ้องล้มละลาย หรือเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานวัยทำงานดูแล

พล.อ. ฉัตรชัย กล่าวว่า หลังลงนามในหลักเกณฑ์แล้วจะนำมาใช้พิจารณาซื้อหนี้จากเกษตรกร โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ตรวจสอบและยืนยันข้อมูลหนี้เกษตรกร จะดำเนินการตรวจสอบรายชื่อเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายตามขั้นตอน ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานการตรวจสอบข้อมูลหนี้สินเกษตรกรทั้งประเทศจำนวน 465,925 ราย มีเกษตรกรมาแสดงตัว 245,052 ราย ในจำนวนนี้ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนมีเพียง 125,301 ราย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในวันที่ 15 กันยายนนี้

และที่ประชุมยังมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเจรจาซื้อหนี้จากสถาบันการเงินที่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยจะยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวโดยเร็วต่อไป

นายมงคลชัย สมอุดร ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรกรรมและประมง และ ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา (สวพ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เปิดเผยว่า ปีนี้ถือว่า สอศ.ประสบความสำเร็จในการส่งเสริม พัฒนานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ ทั้งสิ่งประดิษฐ์ประเภทนวัตกรรม ประเภทเทคโนโลยี หรือประเภทหุ่นยนต์ โดยเฉพาะการแข่งขันชิงแชมป์หุ่นยนต์นานาชาติ เอบียู เอเชียแปซิฟิก คอนเทสต์ 2017 ซึ่งทีมพนมดิน Robot จากวิทยาลัยการอาชีพ (วก.) ท่าตูม จ.สุรินทร์ สามารถแข่งขันกับนักศึกษาระดับอุดมศึกษาได้อย่างสูสี

และคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และรางวัลพานาโซนิค อวอร์ด มาได้
หลังจากนี้ สอศ.จะนำผลงานต่างๆ เหล่านี้ไปต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ต่อไป สำหรับการจดสิทธิบัตรนั้น ในปีนี้ สอศ.ได้รับการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร กว่า 120 กว่าชิ้น ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์ชุมชนและสังคมได้อย่างแท้จริง ใช้งานง่ายและราคาจับต้องได้ เช่น เครื่องมือช่วยดำนา อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ ร่วมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สอศ.ได้มอบหมายตนให้ดูแลไปพร้อมๆ กับการพัฒนากำลังคนเพื่อสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
สอศ.วางแนวทางการพัฒนานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ไว้ 3 แนวทาง

คือ 1. ทำเองใช้เองโดยให้สถานศึกษาผลิตและซื้อขายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์กันเอง 2. ส่งต่อนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ลงสู่ชุมชน โดยประดิษฐ์สิ่งของเครื่องมือตามความต้องการของชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาสอศ.ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยพัฒนาการเกษตร (สวก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการต่อยอดผลงานวิจัยสู่ชุมชน และ 3. ต่อยอดนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ในเชิงพาณิชย์ ทั้งสิทธิบัตร หรือภาษี โดย สอศ.ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีบัญชีสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรม เฉพาะปีนี้เรามีผลงานสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมกว่า 7 พันชิ้น เพื่อเป็นหนทางนำไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง

สรท.คงเป้าคาดการณ์ส่งออกไทยปีนี้บวก 5% ผลพวงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน อู้ฟู่ จับตาปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า มองบวก 7% หืดขึ้นคอ ห่วงค่าเงินบาทแข็งทำรายได้ผู้ส่งออกหดกระทบถึงเกษตรกร

นางสาวกัญญภัค ตันติพพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า คาดการณ์การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกทั้งปีนี้ที่บวก 5% เทียบปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยบวกคือการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน

ประกอบกับความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยมีมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากคู่แข่งสำคัญ ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แลการปรับตัวของสินค้าไทยต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นที่ต้องการในยุคดิจิตอล

“อย่างไรก็ตาม กรณีบวก 7% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ปรับเพิ่มเป้า มองเป็นเรื่องยาก เพราะมีปัจจัยลบอีกมาก อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7.42% หากยังแข็งต่อเนื่อง จะมีเงินทุนไหลเข้า กระทบส่งออกกับช่วงท้ายของไตรมาสสุดท้ายปีนี้ และไตรมาสแรกปีหน้าประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์” นางสาวกัณญภัค กล่าว

ประธาน สรท.กล่าวอีกว่า ตอนนี้ปริมาณตู้บรรจุสินค้านำเข้าลดลง อาจส่งผลต่อการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าเพื่อการส่งออก กระทบต่อปริมาณการส่งออกในไตรมาส 4 นี้ และส่งผลต่อการส่งออกในระยะยาว รวมทั้งปัจจัยจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ เช่น ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น

ด้าน นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า การส่งออกเดือนกรกฎาคม 2560 มีมูลค่า 18,852 ล้านเหรียญสหรัฐ บวก 10.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ส่งออก 7 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่า 132,399 ล้านเหรียญสหรัฐ บวก 8.2% นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี เติบโตขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อทอนรายได้ส่งออกจากดอลลาร์เป็นเงินบาท ทำให้ผู้ประกอบการหายไปเฉลี่ยประมาณ 2% ส่งผลต่อทั้งห่วงโซ่การผลิตกดกันถึงเกษตรกรมีรายได้ลดลง ราคาพืชผลทรงตัวระดับต่ำ และภาคผลิตแทบจะไม่จ้างแรงงานทำงานล่วงเวลา (โอที) นัก

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย 2017 หรือ Fi Asia 2017” โดยมี นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานในการแถลงข่าว โอกาสนี้ ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการ วว. ร่วมแถลงข่าวด้วย ในวันที่ 5 กันยายน 2560 ณ ห้องอินฟินิตี้ 2 โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพ

ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว.ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการจัดงาน FI Asia 2017 ซึ่งถือเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน 2560 ณ ไบเทค บางนา ทั้งนี้เนื่องจาก วว. ตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการทั่วเอเชียในอุตสาหกรรมอาหาร และต้องการผลักดันส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกลุ่มผู้ประกอบการอย่างแท้จริง เชื่อมั่นว่างาน Fi Asia จะเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่ผลักดันผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการทั่วเอเชีย ให้พัฒนาศักยภาพในการผลิตสินค้าอาหารและเครื่องดื่มด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีส่วนผสมอาหารจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

“ วว. มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนและให้บริการ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารมานานกว่า 30 ปี วว.วิจัยและพัฒนาด้านอาหารตั้งแต่วัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่วนผสมอาหารจากธรรมชาติ (Natural Functional Ingredients) รวมถึงการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplements) ผลิตภัณฑ์อาหารเชิงหน้าที่ (Functional Foods) จนถึงการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยด้วยการให้บริการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์

รวมทั้งบริการวิเคราะห์ ทดสอบ สอบเทียบ รับรองระบบคุณภาพและบริการ ตลอดจนการให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ “โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม” ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP พร้อมห้องปฏิบัติการวิจัยพัฒนาและห้องปฏิบัติการในการตรวจสอบคุณภาพในสายการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ผลไม้แช่อิ่มอบแห้ง ถือเป็นศูนย์บ่มเพาะเทคโนโลยีนำไปใช้พัฒนาต่อยอดธุรกิจ โดยให้บริการกับผู้ประกอบการสำหรับทดลองผลิตสินค้าในช่วงที่ผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นกิจการ หรือในระยะรอการสร้างโรงงานของผู้ประกอบการ หรืออยู่ในช่วงของการทดสอบตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่..” ผู้ว่าการ วว.กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับการจัดงาน Fi Asia 2017 นั้น วว. ร่วมมือในการจัดโครงการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร หรือ Start-Up Innovative F&B Products Competition ซึ่งจะประกาศผลผู้ชนะเลิศในวันที่ 14 กันยายน 2560 รวมถึงการจัดสัมมนาให้ความรู้ในหัวข้อ “แนวทางการคิดค้นนวัตกรรมส่วนผสมอาหารสำหรับการดูแลสุขภาพในสังคมผู้สูงอายุ” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสศึกษานวัตกรรมใหม่ๆ และนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนเอง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมสัมมนาแต่อย่างใด นอกจากนี้ วว.ยังได้ร่วมจัดนิทรรศการ แสดงตัวอย่างสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม ส่วนผสมอาหาร ที่เป็นผลงานของ วว. เพื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมชมงานจะได้เห็นถึงภาพรวมและเข้าใจถึงบทบาทของ วว. ที่พร้อมช่วยให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาตนเองเพื่อสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารอีกด้วย

ไปงาน “เกษตรมหัศจรรย์ พืชกินได้ ไม้ขายดี” ระหว่างวันที่ 7-10 กันยายน 2560 ณ ชั้น 3 SKY HALL เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว นอกจากจะได้ ตื่นตาตื่นใจกับพืชพรรณแปลกๆ ได้รับความรู้ใหม่ๆด้านการเกษตร พร้อมกับชิมผลไม้ที่อร่อยที่สุดของไทยแล้ว

งานนี้ ยังคืนกำไรให้กับผู้ที่เข้าไปร่วมงาน เพียงแค่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานก็มีสิทธิ์ลุ้นรับของที่ระลึกวันละ 30 รางวัล, รับต้นกล้าดาวเรืองพันธุ์พิเศษพร้อมปุ๋ยมุกมังกรวันละ 540 ชุด, แจกฟรี 10 พันธุ์ไม้พรีเมียม และเมื่อช้อปครบ 100 บาท รับคูปอง 1 ใบ เก็บสะสมครบ 3 ใบ ลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมาย และหากสะสมครบ 6 ใบ มีสิทธิ์ลุ้นรถไฟฟ้า รุ่น SEV-TL1 มูลค่า45,000 บาท

นายมนตรี สุวรรณโพธิ์ศรี(ที่ 7 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น นำ นายฮว่าง แท็ง เวิน (Mr. Hoang Thanh Van) (ที่ 7 จากซ้าย) อธิบดีกรมปศุสัตว์ สาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากภาครัฐของเวียดนาม เข้าเยี่ยมชมความสำเร็จของซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร สะท้อนศักยภาพขององค์กรโดยเฉพาะการผลิตเนื้อไก่คุณภาพปลอดภัยและการแปรรูปไก่ครบวงจร ด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นการบริหารงานที่เป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยมี นายชาตรี รชตะสมบูรณ์ (ที่ 6 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ นำคณะผู้บริหารร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ สระบุรี เมื่อเร็วๆนี้

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์บุคลากรทักษะสูง ระหว่าง นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันสร้างกลไกให้ผู้ประกอบการในประเทศเข้าถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ รับรองความสอดคล้องคุณสมบัติบุคลากรต่างชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ช่วยเชื่อมโยงภาคเอกชนและภาควิจัยอย่างเป็นรูปธรรม ในวันที่ 4 กันยายน 2560 ณ ห้องวิมานสุริยา โรงแรมดุสิตธานี

ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า โครงการ Strategic talent center (STC) เป็นโครงการภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ BOI ตระหนักถึงศักยภาพของ วว. ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) แก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ ดังนั้นการเข้าร่วมเป็นเครือข่าย STC จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ วว.และลูกค้ามีโอกาสเข้าถึงกันผ่านภารกิจของ STC ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานเพื่อจับคู่ระหว่างผู้ประกอบการและนักวิจัย

สำหรับบทบาทหน้าที่ของ วว. ในการเข้าร่วมเป็นเครือข่าย STC คือ ให้การสนับสนุนบุคลากร วทน. ในกรณีที่มีผู้ประกอบการไทยแจ้งความประสงค์ขอการสนับสนุนบุคลากร วทน. รวมถึงให้การรับรองบุคลากร วทน. ที่เป็นชาวต่างชาติ โดยมีขอบเขตการรับรองความสอดคล้องของคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญต่างชาติตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้สาขาที่ให้การรับรอง จำนวน 8 สาขา ได้แก่ คือ สาขานวัตกรรมอาหาร สาขานวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สาขานวัตกรรมเกษตร สาขาเทคโนโลยีและความหลากหลายทางชีวภาพ สาขาพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม สาขานวัตกรรมวัสดุ สาขานวัตกรรมหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ และสาขาด้านการทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง

อนึ่ง โครงการ STC มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการแนะนำบุคลากรทักษะสูงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชน โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานและเชื่อมโยงข้อมูลบุคลากรด้าน วทน. ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหน่วยงานในเครือข่าย ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ STC ผ่าน วว. สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ดร.บุณณนิดา โสดา นักวิเคราะห์และวางแผนอาวุโส สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 6 กันยายน 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณตอนบนของเกาะลูซอน toobnetwork.com ประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงวันที่ 7-8 ก.ย. 60 สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางด้วย พายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

นายสมบัติ ธีระตระกูลชัย ประธานคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมนายสมบัติ สมบูรณ์เทอดธนา ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจกลุ่มโคเนื้อวากิว ต.สลัดได อ.เมืองสุรินทร์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของวิสาหกิจกลุ่มโคเนื้อวากิวให้มีความสมบูรณ์ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มุ่งเน้นเพิ่มความรู้ ความเข้าใจด้านการผลิต การตลาด และช่องทางจัดจำหน่ายที่เป็นอาหารปลอดภัยและมีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศ

นายสมบัติกล่าวว่า หอการค้าไทยมีโครงการหนึ่งหอจังหวัดหนึ่งสหกรณ์ หรือหนึ่งวิสาหกิจชุมชน สนใจช่วยพัฒนาวิสาหกิจกลุ่มโคเนื้อวากิวแบบครบวงจรให้แข็งแรง หาผู้ซื้อ และพัฒนาให้มาตรฐาน เพื่อต่อรองราคา ให้ได้ราคาดี สร้างรายได้แก่เกษตรกร

นายมานพ แสงดำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สลักได กล่าวว่า วิสาหกิจสามารถผลิตโควากิวได้คุณภาพ รวมทั้งต้นทางสามารถปลูกแปลงหญ้าพืชอาหารสัตว์ เลี้ยงแม่พันธุ์ ผลิตลูก นอกจากนี้ ต่อยอดพัฒนาโรงฆ่าสัตว์มาตรฐาน รวมทั้งนำชิ้นส่วนที่เหลือมาแปรรูปสินค้าหลายชนิด