กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2562 มีทิศทางชะลอตัว

จากปี 2561 ส่วนจะมากหรือน้อยต้องติดตามสถานการณ์กันอีกครั้ง เป็นผลมาจากทิศทางการค้าโลกที่ไม่ค่อยดี ทั้งจากปัญหาสงครามการค้าสหรัฐและจีน ส่วนผลกระทบระหว่างอินเดียและปากีสถานยังเร็วไปที่จะพูดถึงตอนนี้ แต่ก็ยอมรับว่าในส่วนของอินเดียจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีปริมาณสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 3% ขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียมีสัดส่วน 4.2% ซึ่งถือว่าไม่น้อย ก็ต้องดูว่าพัฒนาการต่อไปจะเป็นอย่างไร

“ประเมินว่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 1/2562 จะหดตัว ซึ่งมีสาเหตุมาจากเทรนด์การค้าโลกที่ยังไม่ค่อยดี ส่วนจะกระทบมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งจะมีทิศทางการปรับประมาณการส่งออกที่คาดไว้ทั้งปีที่ 3.8% หรือไม่ จะต้องรอข้อมูลในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไป”นายดอน กล่าว

นายดอน กล่าวว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.27% ชะลอจาก 0.36% ในเดือนก่อน ตามหมวดพลังงานที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก สำหรับอัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงตามดุลการค้าเป็นสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะเกินดุลลดลงเรื่อยๆ ตามทิศทางการขยายตัวเศรษฐกิจในประเทศ แต่จะไม่ลดเร็วมาเนื่องจากยังมีดุลบริการจากภาคการท่องเที่ยวอยู่ สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าจากเดือนก่อน ปัจจัยหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น

มีคนเล่าให้ฟังอย่างชวนน้ำลายสอ ว่าได้ไปกิน หมูหวาน ที่ปักษ์ใต้ เป็นหมูหวานที่ “หวาน” มาก แต่กินโดยราดน้ำมะนาวบีบสด ซึ่งแช่หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย จนเปรี้ยวเผ็ดจี๊ดๆ ลงไปจนชุ่มโชก เลยทำให้รสเปรี้ยวเผ็ดนี้ไปตัดรสหวานจัดและความมันของหมูหวานได้พอดิบพอดี ชนิดที่ว่ากลับมาแล้วก็ยังลืมรสนั้นไม่ลงเอาเลย

ได้ยินแบบนี้เข้า ก็เลยจะต้องลองทำหมูหวานกินสักหน่อยล่ะครับผมคนชอบกินอาหารไทยภาคกลางคงนึกออกว่า เราจะพบหมูหวานได้ไม่ยาก เวลาสั่งข้าวคลุกกะปิมากิน หรือใครไปงานเลี้ยงตามโรงแรม ที่เขาชอบเลี้ยงน้ำพริกลงเรือเพื่อให้ดูเป็นสำรับไทยๆ นั้น ก็จะต้องมีหมูหวานไว้ราดหน้าทุกครั้งไป ตามร้านข้าวแกงยิ่งต้องมีแทบทุกร้าน เพราะมันเอาไว้กินตัดเผ็ดตัดเค็ม ตลอดจนคอยเติมรสหวานให้กับข้าวอื่นๆ ในลักษณะของวัฒนธรรมการกินแนมแบบครัวไทยได้ดี

การที่เป็นของยอดนิยมแบบนี้ มันจึงมีหลายสูตรด้วยกัน ลองสืบค้นตำรากับข้าวดูเถิดครับ จะมีทั้งแบบที่หั่นยาว หั่นแบน หั่นชิ้นลูกเต๋า ใส่ได้ตั้งแต่น้ำปลา ซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เต้าเจี้ยวบด บ้างใส่หอมแดงซอย แต่บ้างก็ชอบกลิ่นกระเทียมพริกไทยรากผักชี ฯลฯ เรียกว่าทำยังไงก็ไม่มีทาง “ผิดสูตร” ไปได้หรอกครับ แค่ให้เป็นเนื้อหมูมันหมู มีรสหวานนำเค็มตามเป็นหลัก อยากใส่อะไรที่เราชอบเป็นการปรุงกลิ่น ก็ปรับใส่ได้เลย

วิธีของผมนั้นง่ายมาก คือเราก็ซื้อหมูสามชั้นมา หั่นท่อนสั้นๆ เอาลงต้มในหม้อน้ำเดือดที่ใส่เกลือหน่อยหนึ่ง นานราว 5 นาที ก็ตักขึ้นมาทิ้งไว้ให้เย็น เฉือนส่วนหนังออก แล้วหั่นอีกทีเป็นชิ้นค่อนข้างหนา เอาใส่กลับลงไปต้มต่อใช้ไฟอ่อนๆ

พอดีผมไปได้ข่าแก่พันธุ์พื้นเมือง เนื้อแข็งๆ แง่งใหญ่ๆ กลิ่นฉุนซ่ามากๆ มา เลยอยากให้หมูหวานหม้อนี้มีกลิ่นข่าหอมๆ แบบที่คนจีนมักชอบเอาข่าใส่ปรุงในสำรับอาหารหลายอย่าง เช่นว่า ดองผักกาดเขียวก็ใส่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรโบราณๆ นั้นแทบจะมีแต่ข่ากับท่อนอ้อยเลยทีเดียว ขนาดน้ำส้มพริกดองปรุงซุปเนื้อวัว เขายังตำข่าแก่ใส่ไปด้วย ผมเลยเอาบ้าง ทุบๆ ใส่หม้อต้มหมูไปหลายชิ้นทีเดียว

ทีนี้หันมาตำกระเทียม พริกไทย รากผักชีให้ละเอียด เอาลงผัดในกระทะ ใส่น้ำมันนิดเดียว สุกหอมดีแล้วตักใส่หม้อหมู

ควักน้ำตาลปี๊บใส่ลงคั่วในกระทะใบเดิม จนกระทั่งละลายเหลวหนืดเป็นสีน้ำตาลไหม้ กวาดใส่หม้อหมูตามไป

ปรุงรสเค็มด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วดำเค็ม

จากนี้ จะไปทำกิจธุระอะไรก่อนก็ได้ เพราะต้องต้มไปจนชิ้นหมูสามชั้นของเรานี้เปื่อยนุ่ม สีน้ำตาลแดงจับส่วนเนื้อหมู และมันหมูนั้นเล่า ก็ใสวาววับ รสชาติความหวาน เค็ม หอมกลิ่นข่าและเครื่องตำซึมแทรกกำซาบไปทั่วหมูทุกชิ้น อย่างน้อยก็ราวๆ สองชั่วโมงแหละครับ แค่ต้องคอยเติมน้ำบ้าง ถ้าเห็นว่าแห้งนัก

หุงข้าวแล้วใช่ไหม? งั้นก็ซอยหอม (ผมใช้หอมแดงอินทรีย์จากราษีไศล ศรีสะเกษ) พริกขี้หนูสวนแบบละเอียดๆ ใส่ถ้วย บีบมะนาวตามไปให้ชุ่มท่วมเลยนะครับ ขยอกน้ำปลาดีๆ ผสมแค่นิดเดียวพอ

ด้วยของง่ายๆ แค่นี้แหละ ก็จะทำให้อิ่มแปล้ไปได้หนึ่งมื้อ เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี จะเอาไปกินแนมกับกับข้าวอย่างอื่นก็แสนง่ายดาย ถ้ามีผักสด อย่างแตงกวา ถั่วฝักยาว หรือก้านเซลเลอรี่กินแนมด้วยจะสดชื่นมาก

แถมใครจะลองเอาหมูหวานไปทำอะไรต่อ อย่างเช่น ใส่ผัดผักไฟแดง ปรุงรสในยำผักก้านกรอบๆ หรือโรยหน้าก๋วยเตี๋ยวแห้งบางชาม ก็น่าจะไม่เลวหรอกครับอาหารว่าง คืออาหารที่เรากินก่อนที่จะเข้ามื้ออาหารหลัก เป็นอะไรที่น้อยๆ เบาๆ มีทั้งรสคาว และรสหวาน ชิ้นเล็กพอดีคำ นิยมกินกับเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น

อาหารว่างของไทยปัจจุบันส่วนมากจะเป็นขนมปังหรือพายต่างๆ อาจเพราะได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งนั่นเอง แต่ขอบอกว่า คนไทยเราเองก็มีอาหารว่างที่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นอาหารคาว อย่างเช่น หมูโสร่ง กระทงทอง สาคูไส้หมู เมี่ยงคำ เป็นต้น

เมี่ยงคำน้ำลายสอ เมี่ยงสมอเมี่ยงปลาทู ข้าวคลุกคลุกไก่หมู น้ำพริกกลั้วทั่วโอชา

เมี่ยงคำ เป็นอาหารว่างที่มีมานาน พบในบทพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่ชมเครื่องว่าง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นิยมใช้เป็นอาหารสำหรับการสังสรรค์ ปิกนิกในครอบครัว หรือในหมู่เพื่อนฝูง

วิธีการกินเมี่ยงคำให้อร่อยๆ โดยการจัดใบชะพลู หรือใบทองหลางใส่จานวางเครื่องปรุงทุกอย่างบนใบชะพลู หรือใบทองหลาง ตักน้ำเมี่ยงหยอดห่อเป็นคำๆ ทีนี้ก็ม้วนแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวหมุบๆ หมับๆ แค่นี้ก็ฟินสุดๆ แล้ว

เมี่ยงคำ อาหารว่างสมุนไพร

เมี่ยงคำ เป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางสมุนไพรสูง เพราะมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาธาตุทั้ง 4 เพื่อให้สมดุลกัน น้ำเชื่อม มะพร้าว ถั่วลิสง หรือมะม่วงหิมพานต์ และกุ้งแห้งใช้บำรุงรักษาธาตุดิน มะนาวและใบชะพลูใช้บำรุงรักษาธาตุน้ำ หอมและพริกใช้บำรุงรักษาธาตุลม ส่วนเปลือกของมะนาวและขิงสด บำรุงรักษาธาตุไฟ

เมี่ยงคำ เป็นเมนูอาหารกินเล่นของไทยแบบคลาสสิคๆ หากใครที่ได้กินแล้วต้องร้องว้าว มันอร่อยจริงๆ เพราะด้วยรสชาติที่ครบถ้วน มีทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แถมยังช่วยบำรุงธาตุ ป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย เมี่ยงคำ เป็นต้นตำรับเมนูสมุนไพรของคนไทยโบราณที่มีมานาน คนเฒ่าคนแก่ท่านยังบอกต่อมาด้วยว่า หากใครได้กินแล้วรับรองต้องอายุยืนแน่นอนว่างั้น!

เราลองมาดูกันหน่อย เมี่ยงคำอร่อยๆ 1 คำ นั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ใบชะพลูสรรพคุณบำรุงธาตุน้ำ ช่วยขับลม ป้องกันกรดไหลย้อน
หัวหอมแดง สรรพคุณบำรุงธาตุลมแก้ไข้หวัด
ขิง สรรพคุณบำรุงธาตุไฟแก้อาเจียน
มะนาว สรรพคุณบำรุงธาตุน้ำขับเสมหะ
เปลือกมะนาว สรรพคุณบำรุงธาตุไฟช่วยขับลม
พริก สรรพคุณบำรุงธาตุลมช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
มะพร้าว สรรพคุณบำรุงธาตุดินบำรุงกระดูก
ถั่วลิสง สรรพคุณบำรุงธาตุดินบำรุงเอ็น
กุ้งแห้ง สรรพคุณบำรุงธาตุดินบำรุงผิวหนัง
น้ำตาล สรรพคุณบำรุงธาตุดินบำรุงกำลัง

เมื่อท่านได้รู้ส่วนประกอบกันไปแล้ว ทีนี้ก็เลือกปรุงได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับธาตุเจ้าเรือนของตัวเองได้เลย เช่น ถ้าเป็นหวัด ภูมิแพ้ หรือคัดจมูก ก็เพิ่มสัดส่วนของมะนาว หัวหอมเเดง ใบชะพลูเป็นสัก 2 เท่า ก็น่าจะช่วยรักษาอาการได้บ้าง และหากใครเป็นกรดไหลย้อนก็ให้เพิ่มสัดส่วนของใบชะพลู ขิง และหัวหอมเเดง มากขึ้นอีกสักหน่อย

ทีนี้เราก็รู้แล้วใช่ไหมคะว่า แค่เมี่ยงคำ คำเล็กๆ 1-2 คำ กินเข้าไปแล้วสามารถช่วยรักษาอาการหวัด และกรดไหลย้อนได้อีกด้วย ยังไงต้องรีบๆ ไปหามากินกันเลยนะคะ

เมี่ยงคำ อาหารว่างอร่อยๆ

เมี่ยงคำ เป็นอาหารว่างที่สวยงาม ต้องโชว์ความประณีต หัวหอมแดงซอย หั่นขิงอ่อน ต้องหั่นเป็นเต๋าสวยงาม มะนาวต้องฝานเปลือกบางๆ หั่นให้ได้สี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้ามมีน้ำไหลเยิ้ม กุ้งแห้งต้องอย่างดี ล้างให้สะอาด (ไม่เค็ม) พริกก็ต้องสดจริงๆ หรือแม้กระทั่งถั่วลิสงก็ต้องคั่วเอง แล้วเรียงเม็ดจัดให้เท่ากัน แล้วจึงนำไปจัดใส่ภาชนะให้สวยงาม

วิธีการกินเมี่ยงคำให้อร่อย ต้องนั่งล้อมวงสนทนาหรือสังสรรค์ คุยกันไปห่อเมี่ยงคำแกล้มไป ทำให้เพิ่มอรรถรสบทสนทนามากขึ้น (เขาว่า คุยออกรสออกชาติว่างั้น!) การกินเมี่ยงคำ ต้องมีเพื่อนกินหลายๆ คน โดยบางคนยังบอกมาว่า อาหารอะไรที่ต้องแย่งกันกินอาหารนั้นจะอร่อยนักแล

จากความความประณีตในการหั่น ซอย เครื่อง และวิธีการกินเมี่ยง ทำให้ใน ปี พ.ศ. 2557 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศขึ้นทะเบียน เมี่ยงคำ ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ในสาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล เพื่อปกป้องมรดกของชาติที่เสี่ยงสูญหาย

วิธีการทำ เมี่ยงคำ

เมี่ยงคำ ของว่างแบบไทยๆ ที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ เพราะเครื่องเมี่ยงคำนั้นมีผักต่างๆ ที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วราดด้วยน้ำเมี่ยงคำหวาน หอมกะปิตัดกับรสเปรี้ยวของมะนาว แถมด้วยความกรุบกรอบของมะพร้าว แค่บรรยายรสชาติของเมี่ยงคำก็ทำเอาน้ำลายสอแล้วใช่ไหม ลองไปดูวิธีทำเมี่ยงคำกัน เผื่อจะได้เป็นของว่างในวันสบายๆ ของเรากัน

ส่วนผสม

ใบชะพลู ใบทองหลาง หรือกลีบบัวหลวง (เริ่มมีคนนำมาห่อเมี่ยงเช่นกัน)
มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คั่ว
3. หัวหอมแดงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
4. ขิงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
5. มะนาวหั่นทั้งเปลือกเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
6. พริกขี้หนูซอย
7. ถั่วลิสงคั่ว
8. กุ้งแห้ง (เลือกที่เป็นชนิดจืด)
ส่วนผสม น้ำเมี่ยงคำ
น้ำตาลปี๊บ (ถ้าเป็นน้ำตาลโตนดจะอร่อยมาก)
2. กะปิ (เผาเพื่อเพิ่มความหอม)
3. น้ำปลาอย่างดี
ข่าหั่นละเอียด
ตะไคร้ทุบๆ
ขิงแก่
หัวหอมแดง
9. กุ้งแห้งโขลกละเอียด
ถั่วลิสงคั่วป่น (ไม่ใส่ในน้ำเมี่ยงก็ได้)
น้ำสะอาด
วิธีทำ

1.นำมะพร้าวคั่วมาโขลกให้ละเอียด พักไว้
2.โขลกขิงแก่ หัวหอมแดง กะปิ ให้ละเอียดใส่ลงในหม้อ พักไว้
3.ใส่กุ้งแห้ง มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ตะไคร้ทุบ น้ำสะอาด
4.นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง หมั่นคนอย่าให้ติดก้นหม้อ พอเดือดใส่ถั่วลิสงคั่วป่น โดยค่อยๆ โรยใส่ อย่าใส่ครั้งเดียวหมด เพราะอาจจะจับเป็นก้อน เคี่ยวต่อไปประมาณ 15 นาที จนน้ำเมี่ยงข้นหนืด ปิดไฟตั้งทิ้งให้เย็น น้ำเมี่ยงจะมีลักษณะข้นหนืด
วิธีการกิน กินเป็นคำๆ โดยห่อเครื่องต่างๆ ด้วยใบชะพลู หรือใบทองหลาง (ปัจจุบันใช้กลีบดอกบัวหลวง เคยลองกินมาแล้วได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกลีบบัว อร่อยดี) เสียบไม้จิ้มฟันเป็นคำๆ ไว้ แล้วตักน้ำราดเมี่ยงคำที่ใส่ถ้วยแยกไว้ต่างหาก
เมี่ยงคำ เป็นอาหารที่มีครบทุกรส วัตถุดิบหาได้ง่าย วิธีทำไม่ยุ่งยาก มะพร้าวที่นำมาคั่วต้องไม่แก่จัดจนเกินไป การหั่นก็ต้องหั่นให้ชิ้นบางเท่ากัน นำไปคั่วด้วยไฟอ่อนๆ ในปัจจุบันมะพร้าวคั่วสำหรับเมี่ยงคำที่คั่วสำเร็จมีขายแล้ว เพียงแต่เลือกที่ไว้ใจได้ว่าคั่วมาขายใหม่ๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนเท่านั้น ส่วนหัวหอมแดง ขิง มะนาว ต้องหั่นให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า น้ำเมี่ยงที่ดีและอร่อยต้องข้น เหนียว และมีรสหวาน ส่วนใบชะพลูหรือใบทองหลางต้องเลือกที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป

เนื่องจาก เมี่ยงคำ ประกอบไปด้วยพืชผักสมุนไพรหลายชนิด จึงเป็นของว่างที่มีประโยชน์ โดยพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากขิง หัวหอมแดง มะนาว ใบชะพลู ใบทองหลาง โดยเฉพาะใบชะพลูนั้นจะมีเบต้าแคโรทีนค่อนข้างสูง นอกจากนี้ เมี่ยงคำยังเป็นของว่างที่ให้ใยอาหารค่อนข้างดี จึงมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายของร่างกายอีกด้วย

เมี่ยงคำ ไม่ใช่เพียงแต่ชาวไทยเท่านั้นที่รู้จักและชื่นชอบในความอร่อย ยังมีชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวเมืองไทยก็เคยกินและชื่นชอบในรสชาติความมีเอกลักษณ์ของเมนูนี้เหมือนกัน จนทำให้เมี่ยงคำกลายเป็นของว่างที่ถูกกล่าวถึงไปไกลถึงต่างแดน ร้านอาหารไทยในต่างประเทศก็ยังนิยมนำเมี่ยงคำไปทำเป็นออเดิฟ ก่อนที่จะเสิร์ฟมื้ออาหารหลัก ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในต่างประเทศไปแล้ว

ถือว่า เมี่ยงคำ เป็นตัวแทนของความเป็นไทยอย่างหนึ่ง เพราะภายใน 1 คำ ล้วนแฝงไปด้วยความประณีต บรรจง ของเครื่องเคียงที่อยู่ภายใน ทำให้เมื่อเราได้กินทีไรก็จะทำให้นึกถึงวิถีชีวิตของความเป็นไทย และกลิ่นอายของคนไทยในยุคสมัยก่อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

กรมวิชาการเกษตร แนะเกษตรกรผู้ปลูกถั่วลันเตาให้เฝ้าสังเกตการระบาดของโรคเน่าเปียก สามารถพบได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของถั่วลันเตา มักพบได้กับทุกส่วนของพืช แต่จะมีอาการรุนแรงกับส่วนยอดอ่อน โดยพบอาการแผลช้ำฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลดำ และขยายลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่วนของพืชที่ถูกทำลายจะเน่าช้ำฉ่ำน้ำ ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม และมีความชื้นสูงจะเน่าลุกลามอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อรามีก้านใสชูตั้งฉากขึ้นมาจากส่วนของพืชที่เป็นโรคลักษณะคล้ายขนแมว ส่วนปลายของก้านใสจะเห็นสปอร์ของเชื้อราเป็นตุ่มสีดำ สปอร์ของเชื้อราสามารถปลิวแพร่ระบาดไปสู่ต้นอื่นๆ ได้ดี โดยอาศัยน้ำ ลม ฝน น้ำค้าง แมลง หรือติดไปกับสิ่งที่เข้าไปสัมผัส จะส่งผลให้เกิดการระบาดของโรครุนแรงมากยิ่งขึ้น

เกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงปลูก ปรับระยะการปลูกถั่วลันเตาไม่ให้แน่นเกินไป กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก และบริเวณใกล้เคียงนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความชื้น ลดแหล่งสะสมเชื้อราสาเหตุโรค โดยเฉพาะในช่วงที่มีน้ำค้าง หมอก หรือมีความชื้นสูง และมีอากาศร้อนตอนกลางวัน หากพบส่วนยอดเริ่มมีอาการช้ำหรือมีเชื้อราเกิดขึ้น ให้รีบตัดส่วนที่เป็นโรคใส่ถุงหรือภาชนะปิด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราแพร่กระจายไปทั่วแปลง และนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก จากนั้นให้พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชไดโคลแรน 75% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรโฟรีน 19% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไอโพรไดโอน 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 5 วัน ส่วนแปลงที่พบโรค หลีกเลี่ยงการให้น้ำแบบพ่นฝอย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม เจ้าของเฟซบุ๊ก ชื่อ “อานนท์ รถทอง” ได้โพสต์ข้อความ เพื่อประกาศตามหาลูกเขย 1 ตำแหน่ง โดยระบุว่า
ประกาศตามหาลูกเขยจ้า
1.ความรู้ไม่ต้อง เอาแค่อ่านออกเขียนได้ (ใบปริญญาไม่เอาเต็มข้างฝาบ้าน)
2.ขยันอดทนทำงาน ไม่ขี้เกียจ
3.ขี้เหนียวใช้เงินไม่เป็นชอบทำทุเรียน
อยู่ที่ไหนเดี๋ยวเราจะไปขอคุณ ไม่ต้องมาขอเรา เราจะไปขอเอ็นให้ทุนทำกิน 10,000,000 ไม่พอขอได้อีก 555
ฮือฮา เสี่ยขายทุเรียน ประกาศลั่นรับสมัครลูกเขย พร้อมให้เงินทำทุน 10 ล้าน!

หลังโพสต์ดังกล่าวออกมาปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก โดยมีการเข้ามาแสดงความคิดเห็นกว่า 1.9 หมื่นครั้ง และมีการแชร์ข้อความออกไปกว่า 2.2 หมื่นครั้ง โดยผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มที่ขอสมัคร

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ภัยแล้งในหลายพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมาเริ่มขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะแม่น้ำลำน้ำมาศ พื้นที่ ต.ประสุข อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลัก เชื่อมต่อระหว่างอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และ อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา หล่อเลี้ยงคนในตำบลประสุข 10 หมู่บ้าน ปัจจุบันเริ่มแห้งขอด บางช่วงสามารถเดินข้ามได้

นางสุนี เจริญศรี อายุ 52 ปี ชาวบ้าน บ้านละโว้ หมู่ที่ 20 ต.ประสุข อ.ชุมพวง กล่าวว่า ปีนี้ภัยแล้งมาเร็ว อีกทั้งฤดูฝนที่ผ่านมา พื้นที่มีฝนตกน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ปริมาณน้ำภายในลำน้ำมาศ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักในอำเภอชุมพวงแห้งขอด ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนเริ่มขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะแหล่งน้ำสำหรับเลี้ยงโคกระบือ

นายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 8 เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ 5 แห่ง ของ จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าทุกปี มีปริมาณน้ำกักเก็บรวม 505.03 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 50.16 ของความจุกักเก็บทั้งหมด 1,006.90 ล้าน ลบ.ม. แยกเป็นอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว มีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ 210.56 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 69.12 ของความจุกักเก็บทั้งหมด อ่างเก็บน้ำมูลบน อ.ครบุรี มีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ 59.42 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 42.14 ของความจุกักเก็บทั้งหมด อ่างเก็บน้ำลำแชะ อ.ครบุรี มีปริมาณน้ำกักเก็บ 137.54 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 50.01 ของความจุกักเก็บทั้งหมด อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย มีปริมาณน้ำกักเก็บทั้งหมด 59.88 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 38.630 ของความจุกักเก็บทั้งหมด และอ่างเก็บน้ำลำนางรอง อ.เสิงสาง มีความจุกักเก็บทั้งหมด 37.62 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 30.99 ของความจุกักเก็บทั้งหมด

“สำนักงานชลประทานที่ 8 จึงต้องบริหารจัดการน้ำไว้สำหรับอุปโภคและบริโภคเป็นหลัก ส่วนการปลูกพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ไม่มีนโยบายส่งน้ำให้เกษตรกร จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบเกษตรกรหลายคนที่เคยปลูกข้าวนาปรัง ตอนนี้ไม่มีใครปลูกแล้ว แต่มีบางส่วนปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน จึงไม่มีผลกระทบกับเกษตรกร โดยอ่างเก็บน้ำต่างๆ จะปล่อยให้พื้นที่ใช้สำหรับผลิตน้ำประปาอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น

พร้อมกันนี้ได้ประสานงานการประปาส่วนภูมิภาค ให้แจ้งว่ามีพื้นที่ใดบ้างขาดน้ำประปา เพื่อชลประทานจะปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำไปให้ ในส่วนของชาว อ.เมืองนครราชสีมานั้น ไม่น่าห่วงเพราะมีเครื่องสูบน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำลำตะคองโดยตรงอยู่แล้ว และอ่างเก็บน้ำลำตะคองมีปริมาณน้ำกักเก็บเกือบ 65% จึงขอให้มั่นใจว่ามีน้ำเพียงพอสำหรับฤดูแล้งนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าจะเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ่ ซึ่งทำให้เกิดฝนทิ้งช่วงนาน ดังนั้นต้องเก็บน้ำไว้ส่วนหนึ่งสำหรับฤดูฝนที่จะถึงนี้ด้วย” นายเกียรติศักดิ์ กล่าว

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คำพูดที่เรามักจะได้ยินจากคนยุคสมัยรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ในยุคก่อน ซึ่งในปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หาได้ยากเต็มที อย่างที่เขาพูดกันว่า ยิ่งมีความเจริญเท่าไร ความเป็นธรรมชาติก็จะลดลง ผู้คนรักสบายมากขึ้น บวกกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี เช่น ด้านเกษตรกรรม เกษตรกรก็หันพึ่งสารเคมีในการปลูกพืชผลกันมากขึ้น และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความอุดมสมบูรณ์หายไป แต่ก็ยังมีเกษตรกรอีกหลายคนที่ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ ดังเช่น คุณพีระพงษ์ สุดประเสริฐ หันทำเกษตรแบบอินทรีย์ งดใช้สารเคมี ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชผักไว้กินเอง ได้สุขภาพ มีเงินเหลือเก็บ มีแบ่งปัน

คุณพีระพงษ์ สุดประเสริฐ อาจารย์พิเศษ ภาควิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อดีตข้าราชการ หันมายึดหลักเกษตรพอเพียง อยู่ได้แบบไม่เดือดร้อน

คุณพีระพงษ์ เล่าว่า ตนก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไปสมัยเด็กตื่นเช้าหิ้วกระเป๋าไปเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงจบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ สาขาพืชศาสตร์ จบมาเข้าทำงานที่กรมส่งเสริมการเกษตร 1 ปี

หลังจากนั้น ย้ายมาทำที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม มีหน้าที่ส่งเสริมเกษตรกร แต่คิดว่าสิ่งที่ทำไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร สิ่งที่คิดไว้กับความเป็นจริงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ครั้งตอนที่ทำงานได้มีการแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชหลายชนิดมาก ทั้งยูคาลิปตัส มะม่วงหิมพานต์ และพืชชนิดอื่นอีกมากมาย ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่แนะนำให้เกษตรกรปลูกไปดีหรือไม่ดี ได้ผลบ้างหรือเปล่า ในสมัยนั้นสอนชาวบ้านและเกษตรกรด้วยวิธีการเรียกชาวบ้านมานั่งฟังความรู้ มีทีวี 1 เครื่อง เปิดองค์ความรู้ให้ชาวบ้านดู มีวิธีการ ปลูกฝังแนวคิดให้เกษตรกรต่างๆ นานา เช่น “ถ้าคุณปลูกมันสำปะหลังก็จะจนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าปลูกมะม่วงหิมพานต์คุณก็จะรวย” แต่พอปลูกจริงๆ แล้วไม่ได้ เหตุการณ์ต่างๆ

ที่ผ่านมาทำให้ผมมานั่งคิดว่าคนที่เรียนเกษตรก็หวังว่าทำงานปลูกพืช แล้วขายเป็นอาชีพได้ดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สังคมเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เราเริ่มสนใจการพัฒนาองค์รวม ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพราะผมใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือไม่สร้างหนี้สร้างสิน ไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย จึงกล้าตัดสินใจลาออกจากงานเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วกลับมาพัฒนาที่ดินของปู่ ย่า ตา ยาย ที่ทิ้งไว้ให้จำนวน 20 ไร่
ลาออกจากงาน ทำเกษตรพอเพียง มีกิน มีใช้ ไม่ขัดสน

คุณพีระพงษ์ มีพื้นที่ในการทำเกษตรทั้งหมด 20 ไร่ แต่ไม่ได้ทำเองทั้งหมด เขาได้แบ่งไว้ทำเพียง 7 ไร่ ที่เหลือแบ่งให้เพื่อนบ้านที่อยากทำเกษตรปลูกพืชผักไว้กินเอง หรือปลูกเป็นอาชีพเสริม ถือว่าแบ่งปันกันไป