การค้นพบพืชวงศ์ขิงชนิดใหม่ของโลกทั้ง 8 ชนิดนี้ เป็นสัญญาณ

ประเทศไทย ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะพืชวงศ์ขิงนี้ ถือเป็นพืชที่มีประโยชน์ทั้งสรรพคุณของสมุนไพรไทย เป็นพืชผักพื้นบ้าน เป็นไม้ดอกไม้ประดับ และยังมีความสวยงามของต้นและดอกสีสันสดใส ควรค่าแก่การอนุรักษ์ รักษา โดยคณะผู้วิจัยกำลังมีแนวทางในการขยายพันธุ์จากเหง้าและขยายพันธุ์โดยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ที่เกิดจากงานวิจัย ถ่ายทอดลงสู่ชุมชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมทั้งผู้สนใจทั่วไป เพื่อทำการอนุรักษ์สายพันธุ์ต่างๆ ในระยะยาวต่อไป

นับเป็นข่าวดีต้อนรับวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ International Day of Biological Diversity ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงวันที่อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CDB) เริ่มมีผลบังคับใช้คือวันที่ 22 พฤษภาคม 2535 เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ใช้ประโยชน์องค์ประกอบของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม

ทั้งนี้ ความหลากหลายทางชีวภาพ หมายถึง สิ่งมีชีวิตนานาชนิด เช่น พืชและสัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันตามหน่วยของพันธุกรรมและสภาพถิ่นที่อยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความหลากหลายทางพันธุกรรมเป็นสายพันธุ์ หากถิ่นที่อยู่อาศัยมีความแตกต่างกันมากเพียงใดก็ยิ่งมีสิ่งชีวิตหลากหลายมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น

“อินทผลัม” เป็นหนึ่งในผลไม้ทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้รักสุขภาพ ราคาขายผลสด 400-500 บาท ต่อกิโลกรัม อินทผลัมแม้เป็นไม้ผลต่างถิ่นที่นำเข้ามาปลูกในไทย แต่เกษตรกรไทยมีฝีมือด้านการปลูก สามารถปรับการปลูกให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพได้ไม่ยาก ซึ่ง “คุณครองจักร งามมีศรี” เป็นหนึ่งในเกษตรกรคนเก่ง ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการผลผลิตอินทผลัมได้เป็นอย่างดี และสำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรีคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพทำสวน ปี 2564 ของจังหวัดลพบุรี

คุณครองจักร งามมีศรี เป็นอดีตข้าราชการครู ที่เกษียณอายุเมื่อปี พ.ศ. 2555 เนื่องจากมีนิสัยรักการปลูกต้นไม้ จึงสนใจปลูกไม้ยืนต้นเพื่อสร้างป่าให้กับชุมชน บนพื้นที่ 58 ไร่ แต่ด้วยประสบการณ์ด้านการปลูกต้นไม้มีน้อย ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกตายไปประมาณ 50% ต่อมาปี พ.ศ. 2556 ลูกชายซื้ออินทผลัมผลสดจากประเทศบาห์เรนมาให้ลองรับประทาน ก็รู้สึกติดใจในรสชาติและประโยชน์ของอินทผลัม คุณครูครองจักรจึงได้ทดลองนำเมล็ดไปเพาะในกระถาง ปรากฏว่าเมล็ดสามารถงอกได้ จึงสนใจศึกษาการปลูกอินทผลัมอย่างจริงจัง

ปี พ.ศ. 2557 คุณครูครองจักร ได้สั่งซื้อต้นพันธุ์อินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศเข้ามาปลูก ได้แก่ สายพันธุ์บาร์ฮี สายพันธุ์อัมเอ็ดดาฮาน สายพันธุ์โคไนซี่ สายพันธุ์อัจวะห์ สายพันธุ์คาลาส ปัจจุบันถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง จึงได้จัดตั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกอินทผลัมให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

แม้ คุณครูครองจักร จะเป็นเกษตรกรมือใหม่ที่เพิ่งปลูกอินผลัมได้แค่ 9 ปี (เริ่มปี 2556) แต่ปัจจุบัน “สวนอินทผาลัมชอนสารเดช” แห่งนี้ ได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐ เกษตรกร ประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เข้ามาเยี่ยมชมกิจการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการปลูกอินทผลัมตลอดทั้งปี เนื่องจากสวนแห่งนี้ เป็นสวนแรกในจังหวัดลพบุรี ที่ใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการปลูกอินทผลัมของอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี มีฝีมือในการผลิตอินทผลัมที่มีคุณภาพ ไร้สารพิษตกค้าง เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกันได้รับการรับรองมาตรฐานเป็นแหล่งผลิตพืชปลอดภัยสารเคมี

สวนแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะแหล่งศึกษาดูงานและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้านการผลิตอินทผลัม ที่โดดเด่นเรื่องการผลิตอินทผลัมปลอดสารพิษ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรนเพื่อการเกษตร มาใช้ในการบริหารจัดการสวนเพื่อลดการใช้แรงงาน การใช้สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันโรคและแมลง 100% ที่นี่นอกจากจำหน่ายอินทผลัมผลสดและแช่แข็งแล้ว ยังแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มอินทผลัมในรูปแบบต่างๆ เช่น นมสดอินทผลัม ชาดอกอินทผลัม น้ำเชื่อมอินทผลัม เป็นต้น “สวนอินทผาลัมชอนสารเดช” ภายใต้การบริหารงานของคุณครูครองจักร ยืนยันได้ทั้งปริมาณ คุณภาพ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินกิจการมา ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในด้านรายได้และมีความยั่งยืนในอาชีพอย่างชัดเจน

ในปี 2557 คุณครูครองจักร เริ่มเตรียมดิน เตรียมพื้นที่ปลูกอินทผลัม เนื้อที่ 20 ไร่ เนื่องจากอินทผลัมเป็นพืชที่ลงทุนค่อนข้างสูง คิดเป็นค่าต้นพันธุ์ซึ่งเป็นต้นพันธุ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทั้งหมด ที่ความสูง 20 เซนติเมตร ราคา 2,000-2,500 บาท/ต้น ใช้ต้นพันธุ์ 25-30 ต้น/ไร่ ค่าวางระบบน้ำ 40,000 บาท/ไร่ รวมต้นทุน 62,955บาท/ไร่ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท

การปลูกอินทผลัมถือว่าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะผลสดอินทผลัมเป็นพืชที่ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย สามารถขายได้ราคาสูงกว่าไม้ผลชนิดอื่น ประกอบกับแต่ละต้นให้ผลผลิตสูง และเป็นพืชที่มีอายุยืนยาว ถึงแม้การลงทุนจะค่อนข้างสูงแต่ก็คุ้มกับผลตอบแทนที่ได้รับ เปรียบเทียบได้จากผลประกอบการในช่วง 3 ปีหลังที่ผ่านมา (ปี 2561-2563) โดยปี 2561 ได้ผลผลิต 12,000 กิโลกรัม มีรายได้ 4.2 ล้านบาท ปี 2562 ได้ผลผลิต 900 กิโลกรัม มีรายได้ 6.3 ล้านบาท ปี 2563 มีผลผลิตออกจำหน่ายทั้งสิ้น 20 ตัน ราคาขายอยู่ที่ กิโลกรัมละประมาณ 500-1,000 บาท มีรายได้ 7 ล้านบาท สำหรับปีนี้ คุณครูครองจักรประมาณการผลผลิตอยู่ที่ 22-25 ตัน และคาดว่าจะได้ผลผลิต 28-30 ตัน ในปี 2565

สำหรับต้นอินทผลัมที่ยังไม่ให้ผลผลิต นอกจากปุ๋ยคอกและใบก้ามปูแล้ว หากเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์เน้นตัวหน้าคือไนโตรเจน ก่อนออกดอกสะสมอาหาร ด้วยสูตร 8-24-24 ก่อนเก็บผลผลิต เพิ่มความหวาน ด้วยสูตร 13-13-21 เน้นตัวท้ายสูง

การจัดการศัตรูพืช

ต้นอินทผลัม มีแมลงศัตรูพืชกลุ่มเดียวกับมะพร้าว คือ ด้วงเจาะลำต้น ด้วงแรดเจาะลำต้น ไม่ทำให้ต้นอินทผลัมตาย แต่หลังจากนั้น หากมีด้วงงวงเจาะตามเข้าไป ด้วงงวงจะเข้าไปวางไข่ เกิดตัวอ่อนมากมาย เข้าทำลายลำต้น ทางป้องกันคือ ทำแปลงปลูกให้สะอาด ไม่ให้มีกองขยะ กองมูลสัตว์ เพราะจะเป็นที่อาศัยวางไข่ของด้วง

วิธีการเก็บเกสรและการผสมเกสร

เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บเกสรคือ เครื่องดูดฝุ่น ที่ใช้ดูดฝุ่นตามบ้านก็จะนำมาดูดเกสร พอดูดมาแล้วนำมาใส่ขวดที่มีฝาปิดมิดชิด แล้วนำเข้าตู้เย็น อุณหภูมิก็จะเป็นอุณหภูมิปกติที่ใช้แช่ผัก แล้วจึงนำไปใส่ตัวบีบนำไปพ่นใส่ดอกตัวเมีย ดอกที่จะพ่นต้องเป็นดอกที่แตกออกในวันแรกหรือวันที่ 2 เท่านั้น ที่จะมีประสิทธิภาพสูงสุด

การจัดการหลังติดผล

หลังติดผลควรมีการเด็ดผลทิ้งบ้าง โดยเส้นย่อยหนึ่งเส้นควรไว้ 8-12 ผล ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของผลและความยาวของช่อ ที่สำคัญคือ ไม่ควรให้ผลเบียดกัน

การห่อผล

การห่อผล ควรใช้มุ้งตาข่ายไนลอน (ลี่) ที่มีตาถี่เพื่อป้องกันแมลงทุกชนิดที่จะเข้าไปทำลายผลผลิต และชั้นในควรคลุมด้วยถุงกระดาษเพื่อป้องกันแสงแดดที่จะส่องกระทบผลโดยตรง ที่จะทำให้ผิวของผลไม่สวยงาม

การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อเก็บผลจากต้น นำอินทผลัมมาแขวนไว้ หลังจากนั้นก็นำไปล้างทำความสะอาด โดยใช้ปั๊มน้ำแรงดันสูงฉีดพ่นทำความสะอาดผลอินทผลัม หลังจากนั้นนำไปเป่าลมให้แห้ง จึงบรรจุใส่ภาชนะหีบห่อเพื่อเตรียมส่งจำหน่าย การตลาด

ปัจจุบัน คุณครูครองจักร จำหน่ายต้นพันธุ์อินทผลัม อินทผลัมผลสด หน่ออินทผลัม ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอินทผลัมผ่านช่องทางตลาดออนไลน์เป็นหลัก ในชื่อ “Facebook สวนอินทผาลัมชอนสารเดช”

ทั้งนี้ เกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ สามารถแวะเยี่ยมชมกิจการได้ที่ บ้านเลขที่ 96/1 หมู่ที่ 4 บ้านชอนสารเดช ตำบลชอนสารเดช อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ขอขอบคุณ สำนักงานเกษตรอำเภอหนองม่วง สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี ที่สนับสนุนข้อมูลและภาพประกอบข่าว มา ณ ที่นี้

ในอดีตหากใครอยากได้มะพร้าวน้ำหอมพันธุ์ดีไปปลูก มักนึกถึง “ฟาร์มอ่างทอง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร” เป็นที่แรก เพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตมะพร้าวน้ำหอมเชิงการค้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรทั่วไป เพราะมั่นใจได้ว่าพันธุ์มะพร้าวที่ซื้อจากฟาร์มอ่างทอง เป็นมะพร้าวน้ำหอมพันธุ์แท้ ที่มีคุณภาพดีทุกต้น กระแสความนิยมดังกล่าวทำให้พื้นที่แถบลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี กลายเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวน้ำหอมแหล่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้

คุณชาญชัย ทรัพย์มา หรือ พี่หมู อยู่บ้านเลขที่ 56/1 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านแพ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เกษตรกรผู้สืบทอดสวนมะพร้าวบุญลอย รุ่นที่ 3 บอกเล่าประวัติความเป็นมาของสวนมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว สวนบุญลอย ว่า เมื่อ 46 ปีก่อน “คุณสำอางค์ ทรัพย์มา” หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “ลุงแกละ ทรัพย์มา” ซึ่งเป็นก๋งของตน เป็นเกษตรกรรายแรกที่บุกเบิกปลูกมะพร้าวน้ำหอม หลีเบ็ญ หรือ มะพร้าวก้นจีบ ในย่านตำบลหนองบัว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทสาคร ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2518 “ลุงแกละ” ได้ซื้อพันธุ์มะพร้าวน้ำหอมมาจากฟาร์มอ่างทอง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในราคาต้นละ 6 บาท เพื่อนำมาปลูกบนที่ดิน 36 ไร่

“ลุงแกละ” นับเป็นเกษตรกรรุ่นแรกๆ ที่นำมะพร้าวน้ำหอมไปวางขายที่ ตลาด อ.ต.ก. ช่วงแรกนั้น ลุงแกละและลูกๆ ปอกมะพร้าวไม่ค่อยเป็น อาศัยใช้วิธีขายมะพร้าวน้ำหอมยกทะลาย ส่วนมะพร้าวตกเกรด ขนาดผลเล็ก ขายไม่ได้ ลุงแกละจะแก้ปัญหาโดยวิธีการเฉาะผลมะพร้าวและคว้านเนื้อและน้ำบรรจุใส่แก้วแช่ในตู้เย็นขาย ในราคาแก้วละ 4 บาท ปรากฏว่า น้ำมะพร้าวขายดีมาก ทำเท่าไรก็ไม่พอขาย แต่ละวันลุงแกละขายมะพร้าวน้ำหอมได้นับพันลูก

หลังจากสวนมะพร้าวของลุงแกละมีชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักของพ่อค้ามากขึ้น และเมื่อตลาดมะพร้าวน้ำหอมเติบโตมากขึ้น ลุงแกละได้คัดต้นมะพร้าวพันธุ์ดีออกจำหน่ายให้แก่เพื่อนเกษตรกรที่สนใจ รวมทั้งขยายพื้นที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมโดยเช่าสวนในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วอีก 4-5 แห่ง สืบทอดทำจากรุ่นสู่รุ่น จากรุ่นที่ 1 คุณสำอาง ทรัพย์มา (ก๋ง) คุณเล็ก ทรัพย์มา (ย่า) รุ่นที่ 2 คุณบุญลอย ทรัพย์มา (พ่อ) คุณชำนาญ ทรัพย์มา (แม่) จนมาถึงปัจจุบันเป็น รุ่นที่ 3 คือตนเข้ามารับหน้าที่สานต่อและพัฒนาการตลาดให้ทันสมัยและสอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน และยังมีการอนุรักษ์พันธุ์มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว ให้คงอยู่ด้วยเทคโนโลยีการตรวจ DNA

จุดเด่นของมะพร้าวน้ำหอม ที่สวนบุญลอย
เจ้าของบอกว่า จุดเด่นของมะพร้าวที่สวนคือ ลักษณะผลขนาดกลาง สีเขียว รูปทรงค่อนข้างรี ด้านท้ายผล จะเป็นลักษณะ 3 พู ชัดเจน (ก้นจีบ) หรือคล้ายหัวลิง น้ำมีกลิ่นหอม (คล้ายใบเตย) ซึ่งการปลูกต้นเตยหอม ที่โคนต้นมะพร้าว หรือร่องสวนนั้น ไม่ได้ช่วยให้มะพร้าวมีความหอมขึ้น แต่ความหอมนั้นเกิดจากยีนที่อยู่ในต้นมะพร้าว ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นยีนด้อย (ซึ่งเป็นผลดี) จึงเรียกกันว่า มะพร้าวน้ำหอมนั่นเอง ส่วนรสชาติของน้ำนั้นอยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่ง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เป็นพื้นที่ใกล้กับทะเล มีการทับถมของดินตะกอน และแหล่งน้ำธรรมชาติ มีความหลากหลายคือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม จึงทำให้การปลูกพืชหลายประเภทมีรสชาติที่อร่อย จนเป็นที่ติดใจของผู้บริโภค

เทคนิคการปลูกมะพร้าว
“ปลูกอย่างไร ให้ได้คุณภาพ”
พี่หมู อธิบายถึงเทคนิคการปลูกมะพร้าวให้ได้คุณภาพให้ฟังว่า ที่สวนจะปลูกแบบยกร่องสวน เพื่อความสะดวกในการดูแล เช่น การรดน้ำ การบำรุงดิน และการจัดเก็บมะพร้าวน้ำหอม ได้ง่ายขึ้น

การเตรียมดิน …ที่สวนจะมีการเก็บตัวอย่าง ดิน และน้ำ เพื่อนำไปให้กับศูนย์พัฒนาที่ดินตรวจสอบทุกปี

การปลูก …ระยะของการปลูกเป็นสิ่งที่สำคัญ คือ ประมาณ 6×6 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 40 ต้น ปุ๋ย …ใช้แบบผสมผสาน ปุ๋ยหมัก จุลินทรีย์ และปุ๋ยเคมี (ขึ้นอยู่กับสภาพของต้นและดิน)

การกำจัดวัชพืช …ใช้คนเก็บ หรือบางครั้งอาจมีการใช้เคมีบ้างในสถานการณ์ที่ใช้ธรรมชาติควบคุมไม่อยู่ แต่จะใช้ในปริมาณที่ควบคุม

ปริมาณผลผลิตต่อไร่ …มะพร้าวน้ำหอม 1 ต้น ผลผลิตอยู่ที่ 120-150 ผล ต่อปี ที่มาของการคัดพันธุ์มะพร้าว
โดยใช้เทคโนโลยี DNA
และประโยชน์ที่ได้รับ
เจ้าของบอกว่า ปัจจุบัน มะพร้าวน้ำหอม เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ผู้บริโภคส่วนมากยังไม่เข้าใจถึงคุณลักษณะของมะพร้าวน้ำหอม และปัจจุบันผู้ขายได้มีการประชาสัมพันธ์กันอย่างมากมาย มะพร้าวน้ำหอม 100 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากระบบการปลูกเป็นแบบเปิด คือ ไร่ และสวน ไม่มีการควบคุมอย่างถูกต้อง พื้นที่หลายๆ พื้นที่ มีการปลูกมะพร้าว หลากหลายประเภท หลายสายพันธุ์ ในพื้นที่เดียวกันทำให้แมลงและผึ้งที่ทำหน้าที่ผสมเกสร นำพาเกสรจากต้นอื่นๆ มาผสมกัน ซึ่งทำให้ผลมะพร้าวที่ได้เป็นลูกผสมนั่นเอง

การตรวจ DNA เป็นเพียงการตรวจเช็กว่า มะพร้าว ที่ปลูกอยู่ในสวนนั้นๆ ต้นไหนเป็นมะพร้าวน้ำหอม ต้นไหนเป็นลูกผสม หรือไม่ใช่มะพร้าวน้ำหอม โดยใช้หลักการตรวจวัดค่าความหอม เหมือนกับ ข้าวหอมมะลิ โดยการตรวจ สามารถใช้ได้ทุกส่วนของมะพร้าว แต่ที่ดีที่สุดคือ ใบ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การควบคุมแหล่งปลูกว่าให้มีแต่ มะพร้าวน้ำหอม ส่วนต้นที่ไม่ใช่ต้องตัดทำลาย จึงจะถือได้ว่าควบคุมได้ดี

การคัดพันธุ์มะพร้าว …เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ จำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูล หรือติดต่อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าเชื่อแต่การโฆษณา เพราะเกษตรกรจะไม่มีทางรู้เลยว่า ผู้ที่เพาะพันธุ์ขายนั้น เขานำลูกแห้งมาจากไหน ต้นแม่พันธุ์เป็นอย่างไร อายุของต้นพันธุ์มีอายุกี่ปี สภาพแวดล้อมพื้นที่การปลูกมีมะพร้าวอื่นๆ อยู่ด้วยหรือไม่ ดังนั้น ควรที่จะซื้อกับสวนที่ไว้ใจ และมีความซื่อสัตย์ หรือสอบถามกับ สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัดก็ได้

การตลาดส่งขายที่ไหน …ปัจจุบันที่สวนมีพื้นที่ปลูกอยู่ 20 ไร่ (แบ่งออกเป็น 2 โซน) โดยมีการจัดทำมาตรฐาน GAP และขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย GI หรือเรียกว่า “มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว GI”

โซนที่ 1 โซนตัดผลอ่อน มะพร้าวน้ำหอมอ่อน (โรงงานเป็นผู้มารับซื้อ) และขายออนไลน์

โซนที่ 2 โซนเก็บผลแก่ เพาะต้นพันธุ์ (แก่ผู้สนใจปลูกมะพร้าวน้ำหอม) ในอนาคต หากวิธีคัดพันธุ์มะพร้าว
โดยใช้เทคโนโลยี DNA แพร่หลาย
จะเป็นประโยชน์อย่างไรกับเกษตรกร
พี่หมู บอกว่า ในปัจจุบัน วิธีการทดสอบค่าความหอมของมะพร้าวน้ำหอมนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ประกอบกับค่าใช้จ่าย และวิธีการในการเก็บตัวอย่างนั้น ต้องได้รับการอบรมเบื้องต้น เพื่อให้ประสิทธิผลสูงสุด สำหรับเกษตรกรคงไม่ได้มีความสนใจ เนื่องจาก มะพร้าว ที่ปลูกนั้นขายได้ทั้งหมด และไม่เพียงพออยู่แล้ว แต่เป้าหมายที่ตนนำมาใช้ที่สวนก็เพื่ออยากทราบว่า มะพร้าว ของที่สวนปลูกอยู่นั้น เป็นมะพร้าวน้ำหอมทั้งหมดหรือไม่ และมีค่าความหอมอยู่ที่เท่าไร ซึ่งหลังจากที่ได้ตรวจพบว่า มะพร้าวน้ำหอม ที่ปลูกอยู่มีค่าความหอมอยู่ที่ 87.60 เปอร์เซ็นต์ เบื้องต้นตรวจไปแล้ว 300 ต้น และกำลังที่จะพัฒนาทำโครงการอนุรักษ์สายพันธุ์มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว เพื่อเป็นการรักษาเอกลักษณ์ ความหอม ของมะพร้าวน้ำหอม ให้คงอยู่กับประเทศไทยตลอดไป

ดังนั้น หากมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยมีคุณภาพ ผ่านการรับรองจากสถาบันที่ได้มาตรฐาน และมีการควบคุมอย่างเหมาะสม ก็จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจ ทั้งนี้ เกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวน้ำหอมนั้น มีรายได้ที่ดีขึ้น สร้างเศรษฐกิจและชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสนใจศึกษาข้อมูลและเทคนิคการปลูกมะพร้าว สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 095-235-4266 หรือติดต่อได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้วสวนบุญลอย

วันที่ 7 กรกฎาคม 2564 นายวสันต์ สุขสุวรรณ เกษตรจังหวัดตรัง มอบหมายให้ นางกันยารัตน์ ก้านจันทร์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ และ นายธนาคม พรหมเพ็ญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอนาโยง ลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทุเรียนพื้นบ้านที่มีลักษณะดีเด่น จาก สวนตาจัน ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมพันธุ์พืชตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่ลักษณะทางกายภาพทั้งภายนอกผล เนื้อผล และเมล็ด เพื่อศึกษาลักษณะเฉพาะของทุเรียนพื้นบ้านแต่ละต้น ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้เก็บผลทุเรียนจากต้นทุเรียน จำนวน 5 ต้น ได้แก่ หัวล้าน สีหมอก ร้านไก่ ไอ้เขียว และไอ้เหรียง ซึ่งทุเรียนทั้ง 5 ต้น เป็นทุเรียนพื้นบ้านที่มีลักษณะเนื้อดี รสชาติดี สี ความละเอียดของเนื้อทุเรียนและรสชาติแตกต่างกัน และมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะต้น ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์และขยายพันธุ์ไว้ต่อไป

กล้วยยังเป็นสินค้าเกษตรยอดนิยม เว็บแทงบอลสเต็ป สร้างรายได้ให้กับคนไทยอยู่ ณ ปัจจุบัน ด้วยเพราะปลูกง่าย ขายได้ทั้งแบบเป็นลูก นำไปแปรรูป หรือเพาะพันธุ์ขายก็ได้ทั้งนั้น คุณสมบัติ สุขนันท์ อายุ 52 ปี หนึ่งในเกษตรกรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกล้วย และเป็นเจ้าของสวน “สมบัติอาณาจักรกล้วย” เล่าว่า เป็นคนชอบสะสม เมื่อเห็นกล้วยสายพันธุ์แปลกๆ ก็เริ่มหลงใหล ตนจึงสะสมเรื่อยมานับเวลาแล้วกว่า 20 ปี ซึ่งกล้วยที่สะสมเป็นสายพันธุ์กล้วยหายากจากทั่วประเทศ ซื้อพันธุ์มาแล้วเพาะพันธุ์เพิ่ม ขยายไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 220 กว่าสายพันธุ์ และนำออกจำหน่ายได้ 10 กว่าปีแล้ว

“ผมขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ จะไม่ใช้การเพาะเนื้อเยื่อ”

คุณสมบัติ เล่าอีกว่า กล้วยทั้งหมดปลูกในพื้นที่กว่า 1 พันไร่ โดยกระจายอยู่ในหลายจังหวัด ทั้งนนทบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี พิษณุโลก เชียงใหม่ เป็นต้น

“ที่ผมกระจายพื้นที่ปลูกไว้หลายจุดแบบนี้เพราะเคยปลูกไว้ที่เดียวกันปรากฏว่าน้ำท่วม กล้วยเสียหายหมด 3 หมื่นกว่ากอ” โดยก่อนหน้านี้คุณสมบัติไม่ได้คิดนำพันธุ์กล้วยออกจำหน่าย แต่ด้วยธุรกิจโรงงานทำนั่งร้านก่อสร้าง ประสบปัญหาโดนโกงจนหมดตัว เป็นหนี้สิบกว่าล้าน จึงหันมาจำหน่ายพันธุ์กล้วย ปัจจุบันหนี้สินทั้งหมดถูกชำระหมดแล้วด้วยเงินจากอาชีพนี้

ส่วนเส้นทางการจำหน่าย คุณสมบัติจะออกตามงานเกษตรทั่วๆ ไป ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายที่สวนในจังหวัดนนทบุรีอีกด้วยหากลูกค้าสนใจ “อย่างลูกค้าบางรายมาเจอแต่ซื้อกลับไม่ได้ ก็ให้เบอร์ติดต่อ นัดแนะมาซื้อที่บ้านที่จังหวัดนนทบุรีก็มี”

ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ มีหลายกลุ่ม บางคนซื้อเก็บสะสม บางคนเลือกเฉพาะพันธุ์ที่ชอบ รสชาติอร่อยไปปลูกกินเอง หรือปลูกเพื่อขายต่อไป

ราคาแต่ละสายพันธุ์ไม่เท่ากัน อย่างพันธุ์หายากจะมีราคาสูง เช่น กล้วยขนุน ราคา 800 บาท เป็นพันธุ์จากจังหวัดยะลาที่เกือบสูญพันธุ์แล้ว เวลาสุกแล้วจะมีกลิ่นหอมเหมือนขนุน เนื้อจะกรอบเหมือนขนุน ลูกมีขนาดใหญ่กว่ากล้วยหอมทอง

อีกชนิดที่ราคาสูงไม่แพ้กันคือกล้วยร้อยปลี ซึ่งกล้วยชนิดนี้มีแต่หัวปลี ทานอร่อย และอีกชนิดที่ราคารองลงมา คือกล้วยเทพพนม ราคา 500 บาท เป็นกล้วยมงคลปลูกไว้เสริมบารมี ทานอร่อยรสชาติคล้ายกล้วยน้ำว้า