การดูแลนั้น แรกๆ อาจารย์สยามก็ทำเหมือนชาวบ้านเอาไม้มา

เจาะโพรงเอาขี้ผึ้งมาทา ผึ้งก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ทำ 100 รัง เข้า 10-20 รัง ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่พอเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด ทดลองทำกลิ่นล่อผึ้งป่าขึ้นมา เพราะว่าใช้ขี้ผึ้งมันมีข้อจำกัด ขี้ผึ้งก็จะเป็นตัวทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย โดยการใช้กลิ่นล่อผึ้งจากฟีโรโมน ที่เรียนแบบจากต่างประเทศ เปรียบเสมือนกลิ่นผึ้งอพยพ แล้วฉีดสเปรย์สัปดาห์ละครั้ง ระยะเวลาให้น้ำผึ้ง

ปกติทั่วไปผึ้งจะให้น้ำหวาน 3-4 เดือน ต่อการเก็บน้ำผึ้ง 1 ครั้ง แต่สำหรับอาจารย์สยามจะเก็บเฉพาะน้ำผึ้งเดือน 5 เท่านั้น เพราะช่วงระยะเวลาอื่นน้ำผึ้งคุณภาพจะต่ำ มีความชื้นสูง เก็บรักษาไว้ไม่ได้นาน รสชาติของน้ำผึ้งจะไม่มีความหอมที่หลากหลาย เพราะมีข้อจำกัดคือ ไม่ใช่ฤดูดอกไม้บาน ไม่มีความหลากหลายของมวลพฤกษา รสชาติไม่ค่อยดี จะขายราคาไม่แพงก็ได้

เทคนิคการคั้นน้ำผึ้งแบบพิเศษ ได้น้ำผึ้งใสบริสุทธิ์ เก็บรักษาได้นาน 2 ปี
ถ้าจะให้น้ำผึ้งสะอาด ใสบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งปนเปื้อนเลยต้องเริ่มตั้งแต่การตัดแยกตัวอ่อนออกจากรัง ไม่ให้โดนมือตั้งแต่แรก เมื่อตัดแล้วให้ใช้ถุงพลาสติกห่อเก็บทันทีไม่ให้โดนอากาศ หลังจากนั้นก็เข้าสกัดด้วยเครื่องที่พลังงานแสงอาทิตย์ วิธีที่อาจารย์สยามคิดค้นขึ้นมา ที่นี่จะไม่ใช้การบีบน้ำผึ้งด้วยมือ หรือเครื่องจักร แต่อาจารย์คิดเครื่องสกัดน้ำผึ้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นมาเอง ใช้อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส แล้วปล่อยให้น้ำผึ้งไหลลงมาจนหยดสุดท้าย เพราะฉะนั้นตัวอ่อนจะไม่มีปนน้ำผึ้งเลย ทำให้ได้น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์

การตลาด และการแปรรูปผลิตภัณฑ์
ต้องบอกก่อนเลยว่า อาจารย์สยามไม่มีหน้าร้าน ตลาดของอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์แล้วติดใจ บอกต่อกันไป อีกส่วนขายผ่านทางสื่อโซเชียล แค่นี้ก็ผลิตไม่ทันขายอยู่แล้ว สาเหตุหลักที่ขายดีถึงทุกวันนี้เพราะด้วยเรื่องของคุณภาพ ถ้าไม่ใช่น้ำผึ้งเดือน 5 ไม่ขาย ด้วยเหตุนี้จึงได้ใจลูกค้า และนอกจากน้ำผึ้งเดือน 5 ยังมีการขายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งโพรงป่าอย่างครบวงจร หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งต่างๆ เช่น

1. รังตรงส่วนที่เป็นขี้ผึ้ง นำมาทำขี้ผึ้ง มีคนมารับซื้อถึงที่ กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200-300 บาท เพื่อเอาไปเป็นส่วนผสมของเทียน ทางภาคเหนือเขาเชื่อว่าถ้าเป็นเทียนทำจากผึ้งป่า จะศักดิ์สิทธิ์

2. หัวกะทิน้ำผึ้ง ผึ้ง 1 รัง จะมีหัวกะทิแค่ 1-2 รวง เท่านั้น เมื่อกินรสชาติจะหอมหวาน มีคุณค่าสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

3. น้ำผึ้งที่เก็บจากเดือน 5 เท่านั้น บรรจุขวด ขนาด 750 ซีซี ราคาขายปลีก ขวดละ 350 บาท

4. แนะนำเกษตรกรอยากเลี้ยงผึ้งป่าเป็นอาชีพเสริม

5. อาจารย์สยาม แนะนำว่า สำหรับผู้ที่อยากเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพเสริม ทำประมาณ 5-10 รัง ก็สามารถอยู่ได้แล้ว เพราะผึ้ง 1 รัง 1 ปี สามารถให้ผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 10 ขวด ขวดละ 300 บาท 10 ขวด คิดเป็นเงิน 3,000 บาท 10 รัง คิดเป็นเงิน 30,000 บาท ต่อปี ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้นาน ลงทุนเพียง 1,300 บาท สามารถเลี้ยงได้ 1 รัง อุปกรณ์ต้องเป็นรังไม้ได้มาตรฐาน จะใช้ไซซ์ฝรั่งไม่ได้ ต้องเป็นรังไม้เก่าปลอดกลิ่น ไม่ใส่สี ไม่มีกลิ่นแปลกปลอม แล้วก็ทำให้ระบายอากาศได้ดี

“การเลี้ยงอย่างแรกต้องเรียนรู้และเข้าใจผึ้งก่อน เรียนรู้นิสัยของผึ้งบ้านเรา ถ้าเข้าใจก็ง่าย ต้นทุนปรับใช้ได้ตามที่เราสะดวก ถือว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจมากๆ เพราะตอนนี้ตลาดผึ้งพันธุ์ภายในประเทศยังไม่พอบริโภค ยิ่งเป็นผึ้งป่ายิ่งหายาก เพราะตอนนี้ข้าราชการ หรือพนักงานเงินเดือน ที่ไม่ค่อยมีเวลาก็เริ่มหันมาสนใจเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพเสริมกันแล้ว ไม่ต้องดูแลมาก” อาจารย์สยาม บอก

สำหรับเกษตรกรที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียด โทร. (065) 006-9870 อาจารย์สยาม สกุณนา ยินดีให้คำปรึกษา สะเดา “มันทะวายยอดแดง” หนึ่งปีออกดอกถึงสามครั้ง รสชาติดี ขมน้อย หนึ่งเดียวที่กลางดง เจ้าของ คุณสุธิชาญ สุขจันทา เริ่มปลูกขยายพันธุ์เพียงต้นเดียว

คุณสุธิชาญ สุขจันทา อยู่บ้านเลขที่ 135/4 หมู่ที่ 11 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา คุณสุธิชาญ เล่าว่า ตนเป็นคนปลูกสะเดามันทะวายยอดแดง คนแรกของอำเภอกลางดง จนมาถึงปัจจุบันก็ยังหาคนปลูกสะเดาพันธุ์นี้ได้น้อยมากอยู่เหมือนเดิม ด้วยความที่พันธุ์ค่อนข้างหายาก ได้พันธุ์มาจาก อาจารย์ประเวช ไชยวงศ์ ท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครราชสีมา ที่ตนได้เรียนจบออกมา อาจาร์ยท่านให้มาแค่ 1 ต้น ตอนนั้นยังไม่คิดอะไร เห็นแม่ชอบกินสะเดาจึงเอาไปให้แม่ปลูก พอโตแม่เก็บมากิน รสชาติกลับดี กินสดๆ ได้ ไม่ขม ปลูกไว้ข้างรั้วเพื่อนบ้านมาเก็บกินยังติดใจ

“มันทะวายยอดแดง” พลิกชีวิต
จากมนุษย์เงินเดือนสู่เกษตรกรเต็มตัว
เจ้าของบอกว่า หลังจากที่ได้ลองชิมสะเดา ตอนนั้นก็คิดเพียงว่าอร่อยดี ยังไม่มีวี่แววว่าอยากจะปลูกหรือขยายพันธุ์เพิ่ม เนื่องจากตัวเจ้าของเองยังทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการทำงานเริ่มรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ไม่ใช่ชีวิตตัวเอง เราอยากได้อิสระ จึงเริ่มคิดมองหาอาชีพอื่น ขณะนั้นฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่บ้านตัวเองมีสะเดารสชาติดีที่หาซื้อที่ไหนก็ไม่ได้อย่างนี้ มีของดีอยู่ในมือทำไมถึงไม่รีบคว้าเอาไว้ หลังจากนั้นจึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว และคิดว่าการทำเกษตรคงไม่ไกลตัวไปนัก เพราะเรียนจบทางด้านการเกษตรอยู่แล้วด้วย

ก่อนที่จะปลูกสะเดาเคยปลูกพืชล้มลุกมาก่อนคือ ข้าวโพด มันสำปะหลัง เมื่อทำไปรู้สึกว่าทำแล้วไม่ได้อะไร เหมือนทำให้คนอื่นมากกว่า จึงนึกไปถึงสะเดาของดีมีอยู่ในมือให้รีบคว้าเอาไว้

เริ่มปลูกสะเดามาเป็นระยะเวลา 6 ปี สะเดาต้นแรกปลูกเมื่อปี 35 เริ่มขยายพันธุ์ปลูกมาเรื่อยๆ ตอนนี้ปลูก จำนวน 10 ไร่ เป็นสะเดามันทะวายยอดแดง จุดเด่น สามารถกินดิบได้ ทนแล้ง 1 ปี ออกดอกได้ 3 รอบ เทียบกับพันธุ์ทั่วไป 1 ปี ออกแค่ครั้งเดียว หากินยาก ราคาดี

สะเดา เป็นพืชปลูกง่าย ทนแล้ง ยิ่งแล้งยิ่งออกดอกดี การปลูกปลูกได้หลายวิธี จะปลูกแบบชำต้นพอต้นสมบูรณ์แล้วค่อยเอาลงดิน หรือปลูกแบบเสียบยอดก็ได้ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ให้ผลรับออกมาเหมือนกัน

การเตรียมดิน เตรียมดินเหมือนปลูกพืชทั่วไป ไถเตรียมแปลง แล้ววัดระยะหลุม 4×4 เมตร ลักษณะดินที่เหมาะสมกับการปลูก เป็นดินที่น้ำไม่ท่วมขัง น้ำไม่แฉะมาก เติบโตได้ดีในดินลูกรัง

ช่วงเวลาที่เหมาะสม แนะให้เลือกปลูกช่วงต้นฤดูฝน สำหรับคนที่ยังไม่มีระบบน้ำ พอผ่านฝน ต้นสะเดารากเดินแล้ว ตรงนั้นถือว่าไม่มีปัญหา ถือว่ารอดตายแล้ว

ปุ๋ย ให้ปีละครั้งหรือสองครั้งก็ได้ ตามที่เจ้าของสะดวก ของผมใส่ปุ๋ยปีละครั้ง เป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือหากใครพอมีกำลังจะใส่ปุ๋ยเคมี หรือน้ำหมักฉีดทางใบก็ได้

ระบบน้ำ ตอนนี้ที่สวนอาศัยเทวดาเลี้ยง เนื่องจากที่บ้านหากจะใช้น้ำปลูกต้องขุดบ่อบาดาลลึกมาก โชคดีที่สะเดาเป็นพืชทนแล้ง มีน้ำจากหน้าฝนรดให้เขาแค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว แต่สำหรับท่านที่ระบบชลประทานเข้าถึงอยาก ทำให้ออกดอกตลอดทั้งปี แนะให้ทำระบบน้ำ เราจะสามารถบังคับการปลูกได้

การบังคับสะเดาให้แตกยอด เจ้าของบอกว่า ต้องมีระบบน้ำช่วย ครั้งแรกให้ปุ๋ยสูตรเสมอก่อน ให้น้ำแค่ 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน หลังจากนั้นสะเดาจะแตกยอดอ่อน รอจนกว่าใบจะเพสลาด ให้ใส่ปุ๋ยทางใบ สูตร 0-54-32 แล้วรดน้ำตามอีกครั้ง พอใบเริ่มแก่แทงตาดอกให้ใส่ปุ๋ย สูตร 13-0-46 อีกครั้ง

โรคแมลง ไม่มี เพราะในใบและเมล็ดสะเดามีสารอะซาไดแรคติน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารฆ่าแมลง

ระยะเวลาการปลูก หากปลูกแบบเสียบยอดใช้เวลาสองปีครึ่งถึงสามปี กิ่งตอนให้ดอก 1 ปี และถ้าเป็นกิ่งใหญ่สูงประมาณ 1.50 เมตร ไม่กี่เดือนก็ให้ผลผลิตได้เก็บกินแล้ว

ระยะออกดอก การออกดอกของสะเดาโดยทั่วไป 1 ปี จะออก 1 ครั้ง แต่สะเดามันทะวายยอดแดง 1 ปี ออกดอกได้ถึงสามครั้ง หรือถ้าใครพอมีกำลังทำระบบน้ำที่ดี สามารถจัดการทำให้ออกดอกได้ทั้งปี และที่บอกว่า 1 ปี ออกได้ 3 ครั้ง คือเมื่อเก็บรอบแรกไปแล้ว ทิ้งระยะไว้ 4 เดือน สะเดาจะแตกยอดใหม่ให้เก็บได้อีก จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจึงนิยามว่า 1 ปี ออกดอกได้สามครั้ง ส่วนเรื่องของผลผลิต 1 ไร่ ให้ผลผลิต 50 กิโลกรัม จะแบ่งเก็บเป็นแปลงๆ ลงทุนไม่มาก สร้างกำไรงาม
การปลูกสะเดาใช้เงินลงทุนไม่มาก จะไปหนักตรงค่ากิ่งพันธุ์ที่ลงปลูกรอบแรก ส่วนเรื่องการเตรียมแปลง ขุดหลุม ดายหญ้าเสียไม่เท่าไร แต่คุ้มมากกับรายได้ที่เข้ามา “ตอนนี้ผมขายทั้งดอกและกิ่งพันธุ์ด้วย หากคิดเป็นรายได้รวมกันจากการขายสะเดามีรายได้อยู่ที่เดือนละ 50,000-60,000 บาท”

กิ่งพันธุ์ที่ขาย เริ่มตั้งแต่ราคา 100 บาท สูงสุดถ้าเป็นบ้านจัดสรรหรือรีสอร์ตที่ต้องการปลูกไว้กินในบ้านสักต้น ลงดินรอไม่นานได้กินเลย ก็จะมีราคาตั้งแต่ 1,000-1,800 บาท

ราคาดอก ถ้าเป็นช่วงฤดูกาล กิโลกรัมละ 100-150 บาท ถ้าเป็นนอกฤดูกาล กิโลกรัมละ 150-200 บาท

การปลูกสะเดาถือเป็นพืชสร้างงรายได้ดีกว่าตอนเป็นมนุษย์เงินเดือนหลายเท่าตัว และยังได้ใช้ชีวิตอิสระอีกด้วย ตลาดส่งผักรายใหญ่ของประเทศแย่งกันซื้อ แต่ผลิตไม่ทันขาย
สะเดา ถือเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยนิยมบริโภคกันมาช้านาน และนอกจากบริโภคเป็นผักยังเป็นสมุนไพรรักษาโรค หรือนำมาใช้ทางด้านการเกษตรได้อีก ก็ไม่แปลกที่สะเดาจะเป็นที่ต้องการของตลาด และยิ่งถ้าจะมีสะเดาพันธุ์ดีๆ รสชาติอร่อย ขมน้อย อย่างมันทะวายยอดแดง ออกมาขายก็ไม่แปลกอีกเช่นกันที่ตลาดจะมีความต้องการสูง เพราะกินง่าย ขายง่าย ซึ่งตอนนี้มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าจากตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรังสิต และ ตลาด อ.ต.ก. ติดต่อมาขอซื้อกันมากแต่ยังทำให้ได้ไม่ทัน แค่เก็บขายที่ตลาดแถวบ้านก็ไม่ทันแล้ว เพราะที่กลางดงหรือจังหวัดอื่นๆ มีผมทำหลักๆ อยู่เจ้าเดียว ถือเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ในอนาคต ตลาดไปได้อีกไกล เพราะส่วนใหญ่จะเป็นสะเดาปี และมีรสชาติขมมาก แต่ของเราขมน้อยไม่ติดลิ้น ออกดอกได้ทั้งปี และกินของเราได้ของสด ถ้าเป็นโรงงานใหญ่ๆ เขาจะนำสะเดามาเก็บไว้ในห้องเย็น และถึงนอกฤดูกาลเขาจะค่อยๆ นำออกมาขาย

เจ้าของบอกว่า สำหรับเกษตรกรมือใหม่ที่อยากทดลองปลูกสะเดามันทะวายยอดแดง สามารถโทร.มาคุยปรึกษาได้ตลอดไม่มีปิดบังหรือหมกเม็ด สะเดามันทะวาย ถือว่าเป็นพืชที่ทำรายได้ดี อนาคตยังไปได้อีกไกล วิธีการปลูกดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ทนแล้ง หรือถ้าปลูกแล้วหาตลาดไม่ได้ให้โทร.มาปรึกษา เดี๋ยวทางนี้จะช่วยหาตลาดให้

สำหรับเกษตรกรที่สนใจกิ่งพันธุ์หรืออยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม โทร.หา คุณสุธิชาญ สุขจันทา ได้ที่เบอร์โทร. 061-883-9130 เชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นเคยกับผลไม้เมืองหนาวที่มีสีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แหล่งรวมวิตามินผิวใสอย่างไม้ผลตระกูลเบอร์รี่กันเป็นอย่างดี และก็ยังเชื่อว่าอีกหลายท่านคงยังติดอยู่กับข้อมูลชุดเดิมที่ว่า ไม้ผลเหล่านี้เป็นไม้ผลเมืองหนาว ไม่สามารถปลูกได้ในพื้นที่เขตร้อนอย่างประเทศไทย และหากแม้ว่าจะปลูกได้ก็คงต้องเป็นพื้นที่มีอากาศหนาวเย็น หรืออยู่บนดอยที่มีอากาศหนาวเหน็บอย่างโซนภาคเหนือ แต่รู้หรือไม่ว่าตอนนี้ไม้ผลเมืองหนาว พืชตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอรี่ แบล็คเบอร์รี่ และราสป์เบอร์รี่ สามารถนำมาปลูกในพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ ได้แล้ว ใช้เวลาขับรถเพียง 2 ชั่วโมงกว่า ก็สามารถมาเด็ดชิมเบอร์รี่หลากหลายชนิด ที่สวน BerryCU

คุณอนุรีย์ สงขลา หรือ พี่หน่อย เจ้าของสวน BerryCU ตั้งอยู่ที่ 248 หมู่ที่ 11 บ้านนิคมลำตะคลอง ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเป็นเกษตรกรวันว่างให้ฟังว่า เมื่อก่อนเคยทำธุรกิจส่งออกผัก ผลไม้ ไปขายทางยุโรป ประเทศเยอรมนี สืบเนื่องมาจากคุณแม่มีร้านอาหารอยู่ที่เยอรมนี และมีร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ขายของไทย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นพลิกผันชีวิตการทำงาน เพราะจำเป็นต้องหาความรู้เกี่ยวกับการเกษตร ประจวบเหมาะกับเคยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทผลิตรางปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ จึงทำให้เริ่มมีประสบการณ์เกี่ยวพันกับงานด้านการเกษตร การดูแลพืช โดยใช้ระบบเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่แม่นยำ มีการใช้เครื่องตรวจวัดค่า pH ความเป็น กรดด่างของน้ำ รวมถึงการใช้เครื่องมือ EC (Electric Conductivity) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดค่าสารละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำ บวกกับนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนรักธรรมชาติ ชอบต้นไม้ ชอบความร่มรื่น จนทำให้เกิดความคิดริเริ่มอยากจะมีสวนผลไม้เป็นของตัวเอง ประจวบเหมาะกับที่มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวที่อำเภอปากช่องในช่วงหน้าหนาว แล้วเกิดความประทับใจในธรรมชาติ

จึงเริ่มหาที่ดินผืนเล็กๆ สร้างบ้าน ใช้เวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์ ไปกลับกรุงเทพฯ-ปากช่อง เพื่อที่จะปลูกต้นไม้ และเติมพลังงานชีวิต ให้พร้อมกับการทำงานในแต่ละสัปดาห์ ผ่านไป 2-3 ปี พื้นที่ 2 ไร่กว่า เริ่มเล็ก เพราะบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด จึงตัดสินใจหาที่เพิ่มอีกแปลงหนึ่งที่ไม่ไกลจากบ้าน ใช้เวลาอีก 3 ปี ขุดบ่อน้ำ เรียนรู้การปลูกพันธุ์ไม้ยืนต้น ไม้ดอก และไม้ผล อาทิ มะม่วง ลำไย มะนาว มะพร้าว เชอร์รี่ และกล้วย โดยปลูกกินและแจกเป็นหลัก เหลือก็เอาไปขายที่ตลาดชุมชน

“BerryCU” แหล่งท่องเที่ยว-รวบรวม
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และไม้ผลเมืองหนาว
พี่หน่อย บอกว่า BerryCU Farm มีแนวการทำสวนเกษตรผสมผสานที่ยั่งยืน เป็นอาชีพหลังเกษียณ แทนที่จะหารายได้จากอาชีพอื่น บอกเล่าประสบการณ์การวางแผน ทั้งเรื่องพืชที่ปลูก การเงิน ที่ดิน การจัดสรรพื้นที่ รวมถึงเป้าหมายและสิ่งที่คาดหวังเมื่อทำเกษตร

“จากประสบการณ์ที่สะสมมา เราไม่รีบร้อน แต่จะใช้วิธีค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์แบบช้าๆ เอาก้อนหินในที่ ขึ้นมาประมาณ 200-300 ก้อน วางตำแหน่งทีละก้อน ทำสระน้ำ ทำหาดทราย เริ่มลองผิดลองถูกกับการปลูกเบอร์รี่พันธุ์ต่างๆ จน ณ ตอนนี้ มีฟาร์มเล็กๆ ที่มีเรื่องราวมากมาย ร่มรื่น บรรยากาศดี มีมัลเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ และ ราสป์เบอร์รี่ ให้เดินเก็บกินได้ทุกวัน รวมถึงเสาวรส ลำไยคริสตัล องุ่น แอปเปิ้ล ผลไม้เมืองหนาวและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นที่แบ่งปันวิธีการทำฟาร์มสมัยใหม่ ท่องเที่ยวพักผ่อน เด็กๆ สามารถลงเล่นน้ำ ผู้ใหญ่เดินหาความรู้ในสวน พอเหนื่อยหิวก็มีอาหารและเครื่องดื่มจากผลิตผลของสวนกิน ความสุขที่เพิ่มขึ้นทวีคูณของเราคือ การได้คุย แชร์ความฝัน พาชมสวน และเห็นรอยยิ้มใหม่ๆ ในแต่ละวัน แขกของฟาร์มที่ผ่านมา เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ เห็นและตามมาจากโซเชียลมีเดีย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาในฟาร์ม ประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไป และกลับมาเที่ยวใหม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์” พี่หน่อย กล่าวถึงเรื่องราวและกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใน BerryCU Farm

พี่หน่อย เล่าต่อว่า และในตอนนี้นอกจากพืชหลักอย่างไม้ผลตระกูลเบอร์รี่แล้ว ในสวนยังมีไม้ผลชนิดต่างๆ ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศของปากช่อง เช่น แอปเปิ้ลสายพันธุ์จากต่างประเทศหลากหลายสายพันธุ์ เสาวรส อะโวกาโด ลำไยคริสตัล หม่อนสายพันธุ์ต่างประเทศทั้งผลยาว ผลสั้น กว่า 50 สายพันธุ์ สตรอ เบอรี่ องุ่น พีนัทบัตเตอร์ พลับนมสด พลับช็อกโกแลต พีช พลัม เนคทารีน มะเดื่อฝรั่ง เลมอน อินทผลัม มะเม่า หว้าสีชมพู ลำไยขาว ลิ้นจี่ ชมพู่อินโด เชอร์รี่ ฝรั่ง กาแฟ ฯลฯ รวมถึงสารพัดพืชผักสวนครัวและพืชเครื่องเทศ ซึ่งเก็บมาปรุงอาหารได้ทุกวัน

ส่วนสาเหตุที่ทำไมถึงเลือกปลูกพืชผลเมืองหนาว ไฮโลออนไลน์ ก็เพราะว่าเป็นความหลงใหลส่วนตัว ที่ชอบไม้ผลตระกูลเบอร์รี่ การปลูกในสิ่งที่ชอบ และไม่ตามกระแส เริ่มจากมัลเบอร์รี่ที่มีมากถึง 200 สายพันธุ์ ผลยาว ผลสั้น รสชาติที่แตกต่างกัน ราสป์เบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ ลำไยคริสตัล แอปเปิ้ล เพราะด้วยสภาพภูมิอากาศที่ปากช่องค่อนข้างดี และที่สำคัญการปลูกไม้ต่างประเทศต้องมี know how มากพอสมควร ต้องศึกษา หาข้อมูล และเก็บข้อมูล ใส่ใจดูแล การศึกษาและเตรียมพร้อมที่ดี เพราะเป็นไม้จากต่างประเทศ ซึ่งต้องปรับตัวใช้เวลาในการที่จะทำให้ติดดอกออกผล และได้คุณภาพเหมือนเมืองนอก และจะทำยังไงให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ และต้องได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีด้วย

เทคนิคปลูกไม้ผลเมืองหนาว
ในพื้นที่เขตร้อนให้ได้ผลดี
ปัจจุบัน พี่หน่อย มีพื้นที่ทำเกษตรอยู่ประมาณ 9 ไร่ บนพื้นที่เต็มไปด้วยแนวหินธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ มีภูเขาที่สมบูรณ์ และมีทิศทางลมที่ดีมาก โครงการเล็กๆ BerryCU ฟาร์มปลอดสารพิษ จึงค่อยๆ เกิดขึ้นมา โดยเริ่มก้าวแรกจาก hobby farm ปลูกเบอร์รี่ ต่อยอดในการปลูกไม้ผลเมืองหนาวต่างๆ มีการจัดสรรพื้นที่ปลูกบนแนวคิดที่ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ปลูกพันธุ์พืชผสมผสาน ไม่ตามกระแส สามารถต่อยอดเพิ่มคุณค่าผลผลิตอย่างต่อเนื่อง เป็นฟาร์มปลอดภัย ปลอดสารพิษ โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2023 ที่ดินทั้งหมดถูกใช้เพื่อการเกษตรกรรมเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นพื้นที่จัดสวน สระน้ำ หาดทราย และพื้นที่อำนวยความสะดวก พื้นที่ทั้งหมด 9 ไร่ จัดพื้นที่เป็น 4 โซน คือ

โซนที่ 3 ไม้ผลต่างประเทศต่างๆ 2 ไร่ เช่น แอปเปิ้ล อะโวกาโด ลำไยคริสตัล หม่อนสายพันธุ์ต่างประเทศทั้งผลยาว ผลสั้น สตรอเบอรี่ องุ่น พีนัทบัตเตอร์ พลับนมสด พลับช็อกโกแลต พีช พลัม เนคทารีน มะเดื่อฝรั่ง เลมอน อินทผลัม มะเม่า หว้าสีชมพู ลำไยขาว ลิ้นจี่ ชมพู่อินโด เชอร์รี่ ฝรั่ง กาแฟ

โซนที่ 4 คาเฟ่และพื้นที่ส่วนกลาง 2 ไร่ เป็นร้านคาเฟ่ สระน้ำ หาดทราย และพื้นที่ส่วนกลางที่สำหรับนั่งพักผ่อน ถ่ายรูป ทำกิจกรรมและที่วิ่งเล่นของเด็กๆ

เทคนิคการปลูกไม้ผลเมืองหนาว
พี่หน่อย เผยเทคนิคการปลูกราสป์เบอร์รี่อย่างไรไม่ให้ตายว่า เมื่อซื้อราสป์เบอร์รี่มาแล้ว ไม่ว่าจะต้นเล็กตั้งแต่เนื้อเยื่อ ไม้กระถางสูงตั้งแต่ 1 คืบ 30 เซนติเมตร ไปจนถึง 1 เมตร คือ ไซซ์ใหญ่สุดที่ลงปลูกแล้ว 1-2 เดือน ให้ผลผลิตได้เลย หัวใจสำคัญในการปลูกราสป์เบอร์รี่ คือ วัสดุปลูก หรือดินปลูกต้องร่วน ระบายน้ำได้ดี การดูแลใส่ใจเรื่องการตัดแต่ง ฉีดปุ๋ยบำรุงในทุกระยะของอายุต้นไม้ ต้องรู้ว่าช่วงระยะไหน ต้นไม้ต้องการสารอาหารอะไรบ้าง เช่น

ANNA APPLE
การบำรุงต้น …ช่วงเล็กถึงสะสมอาหาร ควรเน้นการบำรุงต้น ใช้ปุ๋ยที่เน้นการบำรุงลำต้น ใบ ให้แข็งแรง เพื่อสะสมอาหารในการติดดอก ติดผล ใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แล้วแต่แนวทางของแต่ละท่าน อาจจะใช้ปุ๋ยที่เน้นไนโตรเจนสูง (N) เพื่อบำรุงต้นพันธุ์ เช่น ปุ๋ย 15-15-15 สูตร 16-16-16 หรือ 25-7-7 หรือช่วงระยะติดดอก ติดผล จะเน้น (P ฟอสฟอรัส, K โพแทสเซียม) เช่น ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เป็นต้น