การดูแล ระบบการให้น้ำดูจากสภาพดินและสภาพอากาศเป็น

การใส่ปุ๋ยเน้นใส่ปุ๋ยคอกกับปุ๋ยมูลไส้เดือนเป็นหลัก คือก่อนปลูกรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลไส้เดือน จากนั้นหมั่นใส่ปุ๋ยทุก 2 อาทิตย์ หรือให้สังเกตที่ใบถ้าใบเริ่มเหลืองแสดงว่าพืชขาดธาตุอาหารก็จะเริ่มใส่ปุ๋ย เป็นปุ๋ยมูลไส้เดือนและปุ๋ยคอกสลับกันไป เพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากที่สุด

ระยะการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 2-3 เดือน อย่างเช่น ดาวกระจายใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 2 เดือน หรือพวงชมพูจะออกดอกมาให้เก็บเรื่อยๆ ส่วนเก็กฮวยจะออกดอกให้เก็บช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ปลูกครั้งหนึ่งเก็บดอกได้นานประมาณ 3 เดือน จากนั้นโละแปลงปลูกใหม่ หรือใครอยากจะเก็บไว้นานกว่านี้ก็ได้ เพียงแต่ปริมาณดอกที่เก็บได้อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

ขั้นตอนการเก็บ อีกหนึ่งหัวใจสำคัญ

อย่างที่ทราบกันว่าดอกไม้เป็นพืชที่บอบบาง เพราะฉะนั้นวิธีการเก็บรักษาจะต้องเป็นไปอย่างทะนุถนอม คุณเพชร บอกว่า ที่ฟาร์มจะใช้กรรไกรเป็นอาวุธคู่ใจในการตัดดอก และจะเลือกตัดดอกในเฉพาะช่วงเช้าแล้วส่งในตอนเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดดจัดๆ

“ขั้นตอนการเก็บของเราจะมีตะกร้าแล้วใช้ใบไม้หรือทิชชูแผ่นหนาๆ รองไว้ที่ก้นตะกร้า แล้วค่อยๆ ตัดดอกไม้วางลงในตะกร้าอย่างเบามือ จากนั้นมาถึงขั้นตอนการแพ็กใส่กล่องเตรียมส่งลูกค้า ภายในกล่องก็ยังต้องใส่ทิชชูแผ่นหนาๆ รองก้นเพื่อซับน้ำส่วนเกิน นำดอกไม้มาจัดวางในกล่องให้พอดี ไม่วางทับกันแน่นจนเกินไป เสร็จแล้วนำทิชชูมาปิดข้างบนอีก 1 ชั้น แล้วปิดฝากล่อง ถ้าทางที่ดีใส่กล่องซิปล็อกจะอยู่ได้นาน อย่างของผมปลูกแบบอินทรีย์อยู่ได้มากกว่า 1 อาทิตย์ คือยิ่งถ้าเราใช้ระบบอินทรีย์ความทนทานในการเก็บรักษาจะอยู่ได้นานกว่า จำหน่ายในราคากล่องละ 129 บาท 1 อาทิตย์ มีออร์เดอร์เข้ามาประมาณ 15-20 กล่อง ถือเป็นรายได้เสริมที่ดี เมื่อเทียบกับการลงทุนที่ไม่มีอะไรมาก เพราะต้นพันธุ์สามารถนำมาขยายพันธุ์ได้อีกเรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบปลูกดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ เพราะนอกเหนือการขายเป็นดอกสดแล้วยังสามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชาจากดอกไม้ชนิดต่างๆ และมองว่าในอนาคตดอกไม้กินได้ น่าจะไปได้ไกลกว่านี้ ในวันที่ร้านอาหารและการท่องเที่ยวสามารถเปิดได้เต็มรูปแบบ”

มีพื้นที่น้อยสามารถปลูกเป็นอาชีพเสริมได้

“สำหรับคนที่สนใจอยากปลูกเป็นอาชีพเสริม สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือจะต้องเป็นคนใจเย็นเพราะแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยความดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ แต่ก็ถือเป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง สามารถทำเป็นงานอดิเรกที่บ้านได้ ใช้พื้นที่น้อยๆ ถ้าเราปลูกไม้ประดับนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังขายได้หรือเอามาแปรรูปได้ คือไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใหญ่ก็ทำได้ อยู่คอนโดมิเนียมก็ทำได้ หรือปลูกในกระถางก็ได้อีกเช่นกัน ซึ่งอาจจะเหมาะกับแม่บ้านหรือกลุ่มคนที่มีเวลาหน่อย เพียงแต่ต้องหาตลาดให้กว้างหรือหาวิธีขนส่งที่ง่ายกว่าเดิม จะช่วยลดต้นทุนลง เพราะอย่างตอนนี้มีต้นทุนเรื่องค่าขนส่งค่อนข้างสูงเพราะว่าส่งห้องเย็น หรือบ้านใครอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว มีร้านอาหารเยอะๆ ตรงนี้ถือว่าน่าสนใจมากๆ” คุณเพชร กล่าวทิ้งท้าย

ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ “อาชีพเสริม” คงถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว คุณวชิระ พันธุ์ทอง หรือ “ลุงแดง” วัย 62 ปี บัณฑิตจากวิทยาลัยครูเพชรบุรี เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว เจ้าของร้าน “วิศวกรเครื่องเย็น” ซึ่งจำหน่าย ติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมอุปกรณ์เกี่ยวกับความเย็น ทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่ต่างๆ เป็นอีกคนหนึ่งที่หันมาทำอาชีพเสริมด้วยการปลูกเมล่อน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว

คุณวชิระ พันธุ์ทอง หรือ ลุงแดง พักอยู่บ้านเลขที่ 57/2 หมู่ที่ 9 ตำบลตากแดด อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เล่าว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 ได้ไปซื้อเมล็ดผักในตลาดชุมพร เพื่อนำมาปลูกไว้กินเองในครอบครัว แล้วเห็นเมล็ดพันธุ์เมล่อนซึ่งนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นเป็นซอง จึงลองซื้อมาปลูกดู โดยเริ่มแรกได้ปลูกเมล่อนพันธุ์ Lady Gold ประมาณ 25 ต้น แบ่งเป็น 2 แถว ในพื้นที่หลังบ้านนอกโรงเรือน ซึ่งรูปบนซองเนื้อเมล่อนเป็นสีส้ม แต่พอนำมาปลูกเนื้อเมล่อนกลับเป็นสีเขียว จึงรู้สึกผิดหวังมาก จากนั้นจึงลองศึกษาทางอินเตอร์เน็ต และสนใจเมล่อนญี่ปุ่น พันธุ์ Green Net จึงซื้อมา 1 ซอง ซองละ 200 บาท น้ำหนัก 1 ขีด มีประมาณ 100 เมล็ด ส่วนปุ๋ยที่ใช้คือ ปุ๋ย AB ซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีที่ผสมเอง โดยเอาปุ๋ยแต่ละชนิดมาผสมกัน แล้วทดลองหลายๆ ครั้ง และปลูก 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง รวมเป็นปีละ 4 ครั้ง

“ปีแรกไม่ประสบความสำเร็จ มีปัญหาทั้งเรื่องน้ำ เรื่องปุ๋ย ที่สำคัญคือ เมล่อนเป็นพืชจากญี่ปุ่น ซึ่งอากาศไม่เหมือนเมืองไทย แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจอย่างจริงจัง จึงต้องให้ความสนใจมากขึ้น จะปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพัฒนาเรื่องน้ำ ปุ๋ย อากาศ แบบลองผิดลองถูก เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ปีที่ 2 คือปี 2560 ผลผลิตก็เริ่มดีขึ้น ได้ความหวานประมาณ 14 บริกซ์ (Brix – หน่วยวัดความหวาน ที่วัดจากเนื้อเมล่อนส่วนกลาง) วันใดฝนตกหนักหรือมีแสงแดดแค่ 30% เราก็จะไม่ปลูก เพราะความหวานของเมล่อนจะไม่ถึง 14 บริกซ์ เมล่อนต้องการแสงแดดวันละประมาณ 10 ชั่วโมง และอุณหภูมิ 30-40 องศาเซลเซียส” ลุงแดง กล่าว

พื้นที่ที่ใช้ในการปลูกเมล่อน ลุงแดง เปิดเผยว่า มีที่ดินประมาณ 1.5 ไร่ ปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง แล้วแบ่งมาทำโรงเรือนเมล่อน 2 โรง โรงแรกมีขนาด 6.8×15 เมตร ปลูกเมล่อน พันธุ์ Ki-Mo-Ji ได้ 240 ต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 60,000 บาท ส่วนอีกโรงมีขนาด 6×8 เมตร ปลูกเมล่อน พันธุ์ Green Net ได้ 80 ต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 กว่าบาท รวมทั้ง 2 โรง ก็ใช้เงินลงทุนประมาณ 60,000-70,000 บาทเท่านั้น สามารถเก็บผลผลิตเมล่อนได้ปีละ 4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 450 กิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 120 บาท เฉลี่ยมีรายได้จากเมล่อนปีละประมาณ 200,000 กว่าบาท

“ขณะนี้เราปลูกเมล่อนเป็นรายได้เสริมเท่านั้น หากจะให้เป็นรายได้หลัก คงต้องขยายพื้นที่ปลูกให้มากกว่านี้ คนที่สนใจปลูกเมล่อนเป็นอาชีพหลัก คงต้องมีเวลาในการเรียนรู้และเอาใจใส่มันอย่างเต็มที่ เพราะกว่าจะสามารถปลูกเมล่อนจนส่งขายได้แบบนี้ ต้องลองผิดลองถูกมาประมาณ 1 ปี ส่วนเรื่องตลาดรับซื้อเมล่อนนั้นไม่ต้องกังวล เพราะถ้าเมล่อนของเรามีคุณภาพ ลูกค้าก็จะติดต่อเข้ามาขอซื้อจากเราเอง แต่ข้อเสียก็คือ เมื่อเมล่อนต้นหนึ่งให้ลูกแล้วก็จะตาย เราต้องรื้อทิ้งแล้วปลูกใหม่ทันที ซึ่งช่วงที่เมล่อนออกผลได้ประมาณ 25 วัน เราก็จะเพาะชุดใหม่ไว้ด้านนอกเพื่อเตรียมนำเข้ามาแทนที่เป็นชุดต่อไป” ลุงแดง เล่า

ลุงแดง ยังสาธิตการผสมเกสรเมล่อนระหว่างดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียโดยใช้พู่กัน การรดน้ำเมล่อน วันละ 10 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที โดยใช้อุปกรณ์ตั้งเวลาปิด-เปิดน้ำ

การป้องกันแมลงขนาดเล็กที่อาจจะหลุดลอดเข้ามาในโรงเรือนกางมุ้ง โดยใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ด (Future Board) สีเหลืองที่สีเหมือนดอกเมล่อน ทากาวแขวนไว้ตามจุดต่างๆ ในโรงเรือน การผสมปุ๋ย การผสมสารไตรโคเดอร์มาลงในน้ำ การใช้กรดไนตริกปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของน้ำประปาที่ใช้รดเมล่อน การให้ออกซิเจนในน้ำ และเคล็ดลับต่างๆ ในการปลูกเมล่อนให้ได้ผลดี

ผู้สนใจที่อยากจะปลูกเมล่อนเป็นอาชีพหลักหรือลองปลูกเป็นรายได้เสริมก่อน ลุงแดงก็พร้อมให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการหวงวิชา ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้สนใจเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกเมล่อนของลุงแดงบ้างเป็นครั้งคราว โดยสามารถติดต่อนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทรศัพท์ 081-538-7832 หรือจะลองเข้าไปเยี่ยมชมแฟนเพจ “โปรดปรานเมล่อนฟาร์ม” ของลุงแดงก่อนก็ได้

“หมามุ่ย” ได้ยินชื่อแล้วหลายคนอาจจะไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะคันจนเกาไม่หยุด แต่จริงๆ แล้วสรรพคุณที่ซุกซ่อนอยู่นั้นมากมายกว่าที่คิด

คุณอนงค์นุช ต๊ะคำ เจ้าของบริษัท คอสเม่ อินโนเวชั่น ในพื้นที่ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นถึงประโยชน์สรรพคุณที่สำคัญจึงสนับสนุนทุนวิจัยแก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อำภา จิมไธสง สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คิดค้นและพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผมจากสารสกัดหมามุ่ย” โดย บริษัท คอสเม่ อินโนเวชั่น จำกัด ได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมให้กลับมาดกดำ ทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์การย้อมสีผม

ด้าน รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อำภา จิมไธสง สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ คุณอนงค์นุช ต๊ะคำ แห่งบริษัท คอสเม่ อินโนเวชั่น จำกัด ได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมให้กลับมาดกดำ เพื่อทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผม และเนื่องจากปัจจุบันมีการแข่งขันสูงและมีความนิยมใช้สมุนไพรไทยมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยมีการส่งเสริมการปลูกหมามุ่ยเป็นจำนวนมาก แต่ตลาดที่รองรับและการแปรรูปไปใช้มีจำนวนน้อย

ทางทีมวิจัยอยากช่วยเกษตรกรผู้ปลูกหมามุ่ยในจังหวัดเชียงราย จึงนำผลเมล็ดหมามุ่ยอินเดีย ที่มีคุณสมบัติในการสร้างเม็ดสีลานินได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสารแอลโดปาทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดสีทำให้สีผมดำขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นหลอดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะดีขึ้น ทำให้รากผมแข็งแรง มาแปรรูปให้เป็นสารสกัดพร้อมใช้งาน พร้อมนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับลดผมหงอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณอนงค์นุช เล่าว่า ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผมจากสารสกัดหมามุ่ย เริ่มจากการศึกษาสภาวะการในการสกัดสารแอลโดปาจากเมล็ดหมามุ่ย พบว่า ผงเมล็ดหมามุ่ยเมื่อผ่านกระบวนการแช่แข็งจะได้ลักษณะเป็นผลสีเหลืองอ่อน และไม่มีการปนเปื้อนโลหะหนักทั้งแคดเมียม ตะกั่ว สารหนู และปรอท ซึ่งถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข

คุณสมบัติ สารสกัดเมล็ดหมามุ่ยในผลิตภัณฑ์แชมพูและผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผมที่คิดค้นขึ้นมีเนื้อสูตรตำรับใส สีน้ำตาลเข้มและมีความหนืดพอ ผลิตภัณฑ์แชมพูมีฟองเยอะ ช่วยให้ผมนุ่มลื่นไม่พันกัน และไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ส่วนผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผม มีคุณสมบัติ ซึมซับไวและไม่ทำให้หนังศีรษะเหนียวหรือมัน

ทางทีมวิจัยได้นำผลิตภัณฑ์แชมพู ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผม ไปทดสอบในอาสาสมัคร พบว่า ไม่เกิดการระคายเคือง ผลิตภัณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงสีผมจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลแดงถึงสีดำได้ หลังจากการใช้ภายใน 2 สัปดาห์ และเมื่อนำเส้นผมมาส่องกล้องขยาย พบว่าเส้นผมมีเม็ดสีมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณโคนผม

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกชื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางดูแลเส้นผมเพื่อผมดกดำลดหงอก จากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน พบว่าส่วนใหญ่เริ่มมีผมหงอกในช่วงอายุ 31-40 ปี และเลือกวิธีแก้ปัญหาผมหงอกโดยการย้อมสีผม 50.25% และใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูและเซรั่มบำรุงผม 33.50% และอาสาสมัครที่ใช้สินค้าที่ไม่มีแบรนด์สินค้าเฉพาะเจาะจงที่ใช้ 31.25% ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสในการทำตลาดของผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยนี้เป็นอย่างมาก เพียงแต่สมุนไพรที่กลุ่มตัวอย่างใช้ยังไม่ทราบถึงประสิทธิภาพของสารสกัดจากเมล็ดหมามุ่ย ทีมวิจัยจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการตีตลาด เพื่อสร้างการรับรู้สินค้าแก่ผู้บริโภคในวงกว้าง

รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผมกลับมาดกดำได้อย่างเป็นธรรมชาติ แทนการย้อมผมแบบเก่า จึงสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์แชมพูและเซรั่มบำรุงผมที่มีสารสกัดจากเมล็ดหมามุ่ย มีศักยภาพในการออกสู่ตลาดได้จริง มีประสิทธิภาพการแก้ปัญหาผมหงอกได้เป็นอย่างดี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และสามารถทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจได้ ตอบโจทย์ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพรับรองผลด้วยงานวิจัย

ปัจจุบัน มีการจัดจำหน่ายทางตลาดออนไลน์แล้ว โดยจัดจำหน่ายชุดละ 1,690 บาท ซึ่งได้รับผลตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้มียอดการจัดจำหน่าย 24 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังได้รับจ้างผลิตและพัฒนาสินค้าให้กับผู้ประกอบการ MSME รายอื่นๆ อีกด้วย

สำหรับท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ สามารถติดต่อได้ทางช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ ชอปปี้ ลาซาด้า เพียงค้นหาคำว่า Orisa Thailand หรือทางเบอร์โทรศัพท์ 097-949-6536

กระจับ เป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู มีอยู่ทั่วไป ลักษณะเป็นกอลอยน้ำ ชอบน้ำนิ่ง มีรากหยั่งยึดดินและมีไหล ใบเดี่ยวมี 2 แบบ ใบที่ลอยน้ำมีก้านยาว อวบน้ำและพองเป็นกระเปาะตรงกลาง ทำให้ลอยน้ำได้ดี แผ่นใบมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือรูปพัด ใบจะเรียงรอบลำต้นเวียนเป็นเกลียวถี่ๆ ทำให้ดูเหมือนใบแผ่เป็นวงรอบต้น ใบอีกแบบหนึ่งอยู่ในน้ำ เป็นเส้นฝอยๆ คล้ายราก

ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีขาว ออกที่โคนก้านใบ มีกลีบดอก 4 กลีบ บานอยู่เหนือน้ำ เมื่อติดผลแล้ว ก้านดอกจะงอกลับลงน้ำและผลจะเจริญอยู่ใต้น้ำ ผลอ่อนสีม่วงอมแดงจะเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่ ส่วนที่เป็นเขาโค้ง 2 ข้าง เจริญมาจากกลีบเลี้ยง ผลหรือฝักกระจับมีสีดำขนาดใหญ่ เปลือกหนาแข็งงอโค้งคล้ายเขาควาย เมื่อกะเทาะเปลือกนอกที่แข็งออก จะได้เนื้อในสีขาว มีแป้งมาก

สำหรับประโยชน์ของกระจับมีมากมาย ซึ่งส่วนมากและการใช้ประโยชน์จากกระจับจะนิยมนำฝักกระจับ มารับประทานเนื้อของฝักกระจับ สามารถนำเอามาทำอาหารหวานและอาหารคาวได้มากมาย ส่วนต้นกระจับหลายคนนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เหมือนบัว ต้นกระจับนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้ นำมาทำยาแก้ปวดท้อง นอกจากนั้น ต้นกระจับที่เหลือจากการนำมาใช้ประโชยน์นั้นนิยมนำมาทำปุ๋ยหมัก ซึ่งสามารถวับน้ำได้ดี เหมาะแก่การปลูกพืช

นิยมนำมาต้มรับประทาน
คุณสุนัน พละเจริญ ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ เกษตรกรผู้ปลูกกระจับ ที่อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เล่าว่า กระจับเป็นพืชที่ปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ที่มีน้ำท่วมขังตลอดทั้งปี ปัจจุบัน มีปลูกมากในแถบภาคกลาง โดยเฉพาะที่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อุทัยธานี สุพรรณบุรี

กระจับ ปลูกไม่ยาก แต่ต้องเอาใจใส่ ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมหรือแล้ง เนื่องจากอยู่ในน้ำอยู่แล้ว มีน้ำแค่เพียง 60 เซนติเมตร ก็อยู่ได้แล้ว ที่สำคัญยังปลูกขายฝักหรือขายต้นทำเป็นไม้ประดับได้อีกด้วย

“กระจับ ให้ผลผลิตดี แต่ไม่แนะนำให้ปลูกกระจับอย่างเดียวตลอดไป เพราะพื้นที่ที่มีน้ำขังตลอด ไม่นานจะเกิดสาหร่าย ซึ่งเป็นปัญหาในการปลูกกระจับ จริงๆ ควรปลูกในพื้นที่นาสลับ หรือควบคู่กับการทำนา โดยการทำนากระจับ มักจะเริ่มดำในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม และเก็บผลผลิตในเดือนตุลาคมของทุกปี” คุณสุนัน เล่าให้ฟัง และได้เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดต่างๆ อีกดังนี้

ขั้นตอนการปลูก
วิธีการ เหมือนกับการดำนา เอายอดพันธุ์มาดำ โดยนำยอด 1-2 ยอด ฝังลงไปในพื้นดิน ระยะห่างระหว่างต้นและแถว (1.1 x 1 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ = 1,000 กอ)

และหลังจากปลูก 1 สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยสูตร 24-8-8 ต้นกล้าเริ่มตั้งตัวและทอดยอด

จากนั้นให้เริ่มเติมน้ำเข้าแปลงเป็นระยะๆ (น้ำคลอง ค่า pH 6.5-7.0) จนระดับความสูงขั้นต่ำ 60 เซนติเมตร

พอต้นแข็งแรงเริ่มแตกกอและตั้งยอด บำรุงด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 24-8-8 อีกครั้ง

ร่วมกับปุ๋ยน้ำหรือสารสกัดสมุนไพร ฉีดพ่นทางใบ ทุกๆ 15-20 วัน การลงทุน
สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เงินลงทุน 4,000-6,000 บาท (ค่าต้นพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่าแรง)

เมื่ออายุต้นครบ 4 เดือน จะเริ่มเก็บผลผลิตชุดแรก โดยต้นกระจับ 1 กอ จะให้ผลผลิต 2-3 ฝัก

เฉลี่ย 1,000 – 1,200 กิโลกรัม/ไร่

ส่วนการขาย ขายให้กับแม่ค้าในพื้นที่ ที่ไปต้มขาย หากจะเข้าโรงงาน ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งโรงงานที่ว่า อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ใช้เปลือกสกัดเป็นยา นอกจากนี้ มีบางส่วนส่งร้านขนมหวาน พื้นที่ปลูกในปัจจุบัน
ปัจจุบัน พื้นที่ปลูก ที่ตำบลศรีประจันต์ มีปลูกประมาณ 100-200 ไร่ ก็ขยับสลับไปเรื่อย ในอดีตทำกันบ้านละ 1-2 ไร่ พอใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ แต่ปัจจุบัน ปลูกในเชิงการค้ากันมากขึ้น

“นี่เราไปดีล กับสำนักงานอุตสาหกรรมภาค 8 ในการผลิตแป้งกระจับ หรือจะนำไปทำเป็นแป้งอะไรได้บ้าง ซึ่งหากมีการแปรรูปได้ ก็จะสามารถมีช่องทางการขายได้มากขึ้น”

รายได้
ผลผลิตต่อฤดู หากมีการผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน จะเสี่ยงโดนฝน แต่จะได้ราคาดี กก.ละ 18-20 บาท ถ้าปลูกช้าไปกว่านั้น ราคาจะตกมาที่ 11 บาท/กก.

เช่น ใน 1 ไร่ ได้ 1,000 กก. ราคา กก.ละ 18 บาท ก็จะได้ 18,000 ต่อไร่

ตอนนี้มีเรื่องการขายยอดสวยงามเข้ามาอีก 1 ยอด 1 บาท -1.20 บาท สามารถทำยอดขายได้อีก ฉะนั้น 1 ไร่ ผลผลิตเกือบๆ 20,000 บาท ต่อรอบการผลิต

การเก็บผลผลิต
กระจับอ่อน มีสีน้ำตาลอ่อน กระจับแก่ balhakm.net มีสีน้ำตาลเข้ม คนเก็บมือใหม่ ใช้วิธีกดเขา ถ้าเขาแก่ แข็ง ไม่หัก หากนำไปต้มกิน ต้องใช้กระจับแก่ แข็งๆ แวะมาเยี่ยมมาเยือน สวนลัคกี้ฮิลล์ ป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ป่าละอู มีภูมิอากาศค่อนข้างดี ฝนตกบ่อย และพิเศษไปกว่านั้นคือ มีละอองหมอกมากในหน้าฝนที่ยาวนาน หรือคำพังเพยที่ว่า ฝนแปดแดดสี่ เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และแหล่งปลูกผลไม้ เช่น ชมพู่น้ำดอกไม้ ที่ทางสวนคือ คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ ได้ปลูกไว้ 700 กว่าต้น ในเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ทำเป็นสวนผสม แบ่งแปลงปลูกชมพู่ เป็น 5 แปลงใหญ่ กระจายในพื้นที่ มีทั้งทุเรียนสายพันธุ์ต่างๆ กว่ายี่สิบสายพันธุ์ มะยงชิด รวมทั้งผลไม้แปลกๆ เช่น ละมุดสาลี่ยักษ์ มะม่วงยักษ์โชคไพบูลย์ เงาะ ลองกอง มังคุด และเลม่อน

คิดอย่างไร ถึงมาอนุรักษ์ ชมพู่น้ำดอกไม้ และนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจ
คุณวันเพ็ญ ยุทธารักษ์ กล่าวว่า เดิมได้ปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ที่สวนในจังหวัดปราจีนบุรี ปลูกแล้วมีความชอบเป็นการส่วนตัว คิดที่จะขยายการปลูก และคิดว่าปลูกชมพู่น้ำดอกไม้แล้วตลาดจะต้องไปได้ดี จึงขยายและย้ายมาปลูกเพิ่มที่ป่าละอู เพราะพอมีที่ดินอยู่บ้าง ชอบดินฟ้าอากาศที่บริสุทธิ์ของที่นี่ ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด เหมือนกับที่ปราจีนบุรี ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย หน้าตาแปลกๆ มองผ่านนึกว่าเป็นลูกจันทน์และคล้ายลูกพลับ แต่มีมงกุฎ หรือกลีบเลี้ยงคล้ายมังคุดตรงก้น พอกัดแล้วมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกนมแมว ส่วนรสชาติหวานกว่าชมพู่ทั่วไป เนื้อมีความคล้ายชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นไม้ผลโบราณมากและหายาก แต่ตอนนี้กระแสเริ่มมา ราคาเริ่มดี เพราะเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหารสูง

ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นผลไม้ไทยโบราณที่นับวันจะหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ผลสุกมีกลิ่นหอมแบบดอกกุหลาบ โตไวและเลี้ยงง่าย ผลไม้เก่าแก่ชนิดนี้กำลังจะสูญหายไปกับกาลเวลา คงถึงเวลาที่เราต้องเร่งอนุรักษ์กัน ด้วยรูปทรงที่สวยงาม สีสันของผล ความหวาน กรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว นอกจากรสชาติแล้ว ยังปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตเร็ว เพียง 2-2 ปีครึ่ง ก็ให้ผลผลิตแล้ว ปลูกได้ง่าย เป็นทั้งไม้ผลและไม้ประดับที่ให้ร่มเงา สร้างรายได้เร็ว ผลเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน เหมาะสำหรับเป็น ผลไม้ที่ขายทางออนไลน์ โดยผลไม่ช้ำง่าย เหมาะสำหรับการทำธุรกิจสวนไม้ผลในภาวะปัจจุบัน สร้างรายได้จากสวนถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ส่งทั่วประเทศไทย

และอีกอย่างหนึ่ง เป็นเพราะว่ารสชาติโบราณที่ถูกปากคนไทย เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน กรอบ (หวานกว่าชมพู่ทั่วไป) ชิมแล้วบอกต่อ ที่สำคัญก็คือ เป็นผลไม้ปลูกแบบธรรมชาติจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ใช้แค่ปุ๋ยคอกและน้ำหมักชีวภาพก็เพียงพอแล้ว ซึ่งที่สวนได้ทดลองทำน้ำหมักขึ้นมาเอง ซึ่งก็ได้ผลค่อนข้างดีมาก เพราะไม้ผลชนิดนี้มาจากป่าธรรมชาติ การปลูกเลียนแบบธรรมชาติก็ได้ผลดีเช่นกัน