การทำนาผักบุ้ง ถือเป็นรายได้หลักของครอบครัวคุณสุภาวดีแตง

เจ้าของแปลงนาผักบุ้งน้ำ ที่ตำบลทวีวัฒนา อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ที่ทำนาผักบุ้งสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น คุณสุภาวดีเองทำนาผักบุ้งมาประมาณ 30 ปีแล้ว เพราะการทำนาผักบุ้ง ปลูกดูแลง่าย ไม่ต้องลงทุนเสียค่าเมล็ดพันธุ์ เพราะสามารถนำตันเก่าของผักบุ้งมาทำพันธุ์เพื่อใช้ได้ต่อเลย ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ผักบุ้งน้ำดูแลง่ายกว่าการปลูกผักบุ้งจีน ที่ต้องใช้คนงานเยอะ

ผักบุ้งน้ำ ปลูกคล้ายแปลงทำนา
คุณสุภาวดี จะใช้วิธีปลูกผักบุ้งน้ำ คล้ายกับการทำนาข้าว เริ่มจากขั้นตอนการเตรียมดินจะใช้แรงงานคนย่ำให้จม หากเป็นนาเก่าหรือนาที่มีผักค้างอยู่ในแปลงต้องย่ำให้หนักๆ เพื่อให้เกิดดินดำผุดขึ้นมา หลังจากนั้นจึงค่อยนำพันธุ์ผักบุ้งที่เป็นยอดๆ จะใช้ประมาณ 3-4 ยอด มาปักหรือดำเหมือนกับการดำนาข้าวแบบทั่วไป แล้วจัดให้ผักบุ้งที่ดำลงไปให้นอนราบ แล้วก็จัดทำเช่นนี้เรียงต่อไปเรื่อยๆ จนสุดแปลง โดยระยะความห่างของแถวจะอยู่ที่ประมาณ 5 ศอก โดยแปลงแห่งนี้จะใช้เวลาในการเพาะปลูกที่ 2 เดือน ก่อนที่จะย่ำทิ้งเพื่อปรับแปลงนาใหม่

หลังปลูกประมาณ 3 สัปดาห์ ต้นผักบุ้งน้ำที่เพาะก็จะแตกยอดออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะมีการดูแลบำรุงใส่ปุ๋ยในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกใช้ปุ๋ยที่ต้องการ เช่น สูตรปุ๋ยบำรุงยอด บำรุงใบ หรือว่าบำรุงลำต้น เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมให้ปุ๋ยเม็ด สูตร 25-7-7 โดยแบกถังใส่ปุ๋ยไปหว่านใส่กอผักบุ้งที่ปลูก เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ประมาณ 50 กิโลกรัม ต่อ 3 ไร่ จะช่วยให้ใบผักบุ้งเติบโตอย่างสวยงาม

“น้ำในคันนาผักบุ้ง” เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม เพราะน้ำที่จะเลี้ยงผักบุ้งได้ ต้องมีความลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ต้องระวังอย่าให้น้ำแห้งจนเกินไป ควรปล่อยน้ำลงแปลงนาผักบุ้งหากพบว่าพื้นนาเริ่มแห้ง 7 วัน หลังจากที่ปล่อยน้ำไปแล้ว เมื่อผักบุ้งเติบโตงอกงาม ก็ควรรีบตัดทันที ไม่อย่างนั้นขี้ตะไคร่ที่เกิดขึ้นจะมาเกาะได้ จะทำให้ต้นผักบุ้งไม่สวย ขายไม่ได้ราคา

ระยะเวลา 2 เดือน คือช่วงเวลาที่ดีในการเก็บผักบุ้ง เพราะในช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ยอดผักบุ้งยาวและสวยงาม ยอดผักบุ้งของคุณสุภาวดีที่ได้จะมีความยาวอยู่ที่ ประมาณ 30 เซนติเมตร

ระวังศัตรูพืชตัวฉกาจ
“แมลงศัตรูพืช” ประเภทหนอน แมลง เพลี้ย ไรแดง เป็นศัตรูตัวร้ายของผักบุ้งน้ำ ต้องหมั่นสังเกต หากพบในแปลงนาผักบุ้ง ต้องรีบกำจัดทันที เนื่องจากอาชีพปลูกผักบุ้งน้ำ เป็นงานที่ต้องทำในน้ำตลอดเวลา จึงต้องเฝ้าระวังตัวเองด้วย ทุกครั้งที่ขึ้นจากน้ำ ควรใช้ครีมอาบน้ำที่มีสารป้องกันหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในการชำระล้างร่างกายในทุกๆ ส่วน

ผักบุ้ง ขายดีตลอดทั้งปี
ด้านตลาด คุณสุภาวดี จะนำผักบุ้งที่ตัดจากแปลงมามัดรวมกัน เป็น 1 มัด น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม ส่งขายตลาดสี่มุมเมือง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ในราคาส่งอยู่ที่ มัดละ 70-80 บาท

คำแนะนำสำหรับเกษตรกรมือใหม่
ทุกจังหวัดสามารถปลูกผักบุ้งในแหล่งน้ำจืดได้เหมือนกัน ไม่ควรปลูกในพื้นที่น้ำกร่อยอย่างสมุทรปราการ เพราะผักบุ้งไม่ชอบน้ำกร่อย ความจริงก็ปลูกได้ แต่ยอดผักบุ้งจะเล็ก ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด

หากใครคิดจะปลูกผักปลูกเป็นอาชีพ ก็ไม่น่าห่วง เพราะผักบุ้งปลูกดูแลง่าย เหมือนกับการปลูกผักโดยทั่วไป แค่เพียงดูแลป้องกันศัตรูพืช ไม่ให้มีวัชพืชมาเกาะหรือทำลาย ก็ได้ผักบุ้งต้นงามๆ คุณภาพดี ไปวางขายในตลาดได้ไม่ยากหากใครมีความสนใจที่จะปลูกผักบุ้งน้ำ ก็สามารถปรึกษาได้ที่ คุณ สุภาวดี แตงสุข หมายเลขโทรศัพท์ 089-107-0124

ดอกไม้ที่นิยมนำมาแซมในการจับช่อ หลายคนคงนึกถึง “คัตเตอร์” เป็นอันดับต้นๆ ที่นิยมอย่างมาก แม้จะเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเป็นตัวเอกสักเท่าไร เพราะคัตเตอร์มักเป็นดอกไม้ที่ถูกใช้เพื่อทำให้ไม้ดอกอื่นๆ ดูสวยงามโดดเด่นยิ่งขึ้น ผู้คนจึงมักเปรียบดอกคัตเตอร์ว่าเป็นดั่งการแอบรักใครสักคนแบบไม่เปิดเผยแต่มั่นคง

คล้ายกับการบอกว่า “แม้คุณจะไม่ใส่ใจฉันก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ว่ายังไง คุณจะมีฉันอยู่ข้างๆ เสมอ” ตามความหมายของภาษาดอกไม้แห่งโลกตะวันตก “ดอกคัตเตอร์” เป็นตัวแทนของความรัก ความภักดี สติปัญญา แสงสว่าง และพลัง

ส่วนในประเทศจีน ดอกคัตเตอร์ยังหมายถึงความซื่อสัตย์ได้อีกด้วย ช่วงยุควิกตอเรียน “ดอกคัตเตอร์” ถูกใช้แทนความหมายของความสวยงาม ความอดทน และความมีเสน่ห์ แถมด้วยลักษณะของดอกที่มองดูเหมือนดาวดวงเล็กๆ คัตเตอร์จึงเป็นตัวแทนของความฝันหรือความปรารถนาที่อยากให้เป็นจริงในอนาคต “ดอกคัตเตอร์” มีทั้งหมด 5 สี แต่ละสีสื่อความหมายที่แตกต่างกัน

ดอกคัตเตอร์สีขาว แสดงถึงความไร้เดียงสาและความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ต่อคนที่คุณรักตราบวันสุดท้าย แทนความหมายว่า “แม้ความตายก็ไม่อาจทำให้ฉันหยุดรักคุณ”

ดอกคัตเตอร์สีเหลือง เป็นตัวแทนของความเสียใจในการกระทำสิ่งที่ผิดพลาดต่อคนที่คุณรัก และบอกว่าพร้อมจะกลับตัวเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม ดอกคัตเตอร์ชมพู คือสัญลักษณ์ของความรักอันอ่อนโยน แทนคำสัญญาว่า “จะไม่มีวันทรยศต่อความรัก”

ดอกคัตเตอร์สีแดง คือตัวแทนของความหลงใหลและแรงปรารถนาที่มีต่อคนที่คุณรัก และยังเป็นการตอกย้ำว่า “จะไม่มีทางรู้สึกแบบนี้กับใครได้อีก” ดอกคัตเตอร์สีม่วง แทนความหมายของความรอบรู้ ความภักดี และยังใช้แทนความหมายสุดโรแมนติกว่า “ทั้งร่างกายและหัวใจของฉัน จะเป็นของคุณคนเดียวเท่านั้นตลอดไป”

เพราะเหตุนี้ “ดอกคัตเตอร์” จึงเป็นดอกไม้ที่มีความต้องการของตลาดอย่างสม่ำเสมอ และมีตลาดรองรับที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเทศกาลต่างๆ พิธีมงคล งานอวมงคล ปลูกตกแต่งสวน ข้างบ้าน ในคาเฟ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ตลาดดอกไม้ อย่างคัตเตอร์ คึกคักอยู่ตลอด คุณอัมพร สีแขไตร หรือ คุณเปิ้ล อาศัยอยู่ที่ เลขที่ 62 หมู่ที่ 17 บ้านห้วยมะเขือ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันประกอบอาชีพหลักเป็นพนักงานประจำ และมีอาชีพเสริมเป็นเกษตรกรปลูกดอกไม้ คุณอัมพร กล่าวว่า สวนดอกไม้แห่งนี้เกิดขึ้นมา 6 ปีแล้ว จุดเริ่มต้นที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดสวนดอกไม้แห่งนี้คือ ภาระและรายจ่ายที่มากกว่ารายรับ อยากจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำมาดูแลครอบครัว

คุณอัมพรจึงปรึกษากับสามีว่า จะทำหารายได้เสริมจากอาชีพไหนดี เพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือน ทั้งคู่ทดลองทำมาหลายอาชีพ เช่น ขายน้ำปั่น ขายของตามตลาดนัด แต่ก็มีความเสี่ยงหลายปัจจัย และรายได้ยังไม่เพียงพอกับรายจ่ายในแต่ละเดือน จึงหันมาลองทำด้านการเกษตร เพราะเรียนจบทางด้านนี้และมีความชื่นชอบในการเกษตรอยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของ “สวนอัมพร คัตเตอร์ สร้อยทอง มากาเร็ต”

โดยเริ่มแรกทดลองปลูกแปลงเล็ก 3-4 แปลง ด้วยเงินลงทุนหลักร้อยบาท โดยใช้พื้นที่รอบบ้าน เกษตรกรในพื้นที่นิยมปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง ในการทดลองปลูกแรกๆ ก็ไม่คิดว่าจะรอด เพราะพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างแล้ง สภาพอากาศแตกต่างจากภาคเหนือ

มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสวนดอกไม้ แต่คุณอัมพรมีความตั้งใจที่จะทำ และมีความรู้จากการเกษตรที่เรียนมา ทำให้ดอกไม้ในแปลงทดลองสามารถเติบโตได้ดี ตัดดอกขายได้ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันทางสวนปลูกดอกไม้หลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์คัตเตอร์, สร้อยทอง, มาร์กาเร็ต สีชมพูและม่วง, มาร์กาเร็ตญี่ปุ่น

การดูแลการจัดการภายในสวน เนื่องจากมีงานประจำทำอยู่แล้ว ก็จะดูแลช่วงหลังเลิกงาน และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ การดูแลจะทำเองทุกอย่าง เช่น การปลูก การคัดพันธุ์ การขายเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง การตัดแต่งดอกก็ทำเองส่งร้านดอกไม้ การห่อและการแพ็ก เรื่องการดูแลนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่ต้องดูแล-เอาใจใส่ก่อนส่งมอบให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

การปลูกดอกไม้ของทางสวน พื้นที่ในการปลูกต้องระบายน้ำได้ดี การเตรียมดินก่อนปลูก จำเป็นต้องพรวนดินผสมกับปุ๋ยคอกเพื่อบำรุงและปรับสภาพดิน จากนั้นทำการยกแปลง คล้ายการปลูกพืชผักสวนครัว เช่น หอม กระเทียม

เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้ว นำต้นกล้าของดอกไม้แต่ละสายพันธุ์มาปักชำลงดิน โดยเว้นระยะความกว้าง 1 เมตร ในส่วนของความยาวขึ้นอยู่กับพื้นที่แต่ละที่ไม่มีระยะห่างที่แน่ชัด แต่การปลูกดอกไม้สายพันธุ์เหล่านี้ เทคนิคการปลูกจะคล้ายคลึงกับการปลูกหอม กระเทียม

การรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เมื่อต้นกล้าลงดินแล้วในช่วงการปลูกเริ่มแรก ควรรดน้ำเช้า-เย็น จนกว่าต้นกล้าจะแข็งแรง สามารถสังเกตได้จากตอนนำต้นกล้าลงดิน ต้นกล้าจะยังตั้งตัวไม่ได้ ต้นจะเอียงหรือนอนไปกับพื้นดิน เป็นระยะเวลาประมาณ 7 วัน หลังจาก 7 วัน ปรับการรดน้ำเป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงนั้นๆ และใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 10 วัน เมื่อต้นพันธุ์มีอายุครบ 3 เดือน ก็สามารถตัดดอกขายได้แล้ว

คุณอัมพร กล่าวว่า ทางสวนปลูกดอกไม้โดยที่มีรายได้เข้ามาในทุกๆ เดือน กลุ่มตลาด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มตัดดอกขาย และกลุ่มต้นกล้า ตลาดตัดดอกขาย จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าคนกลางที่นำไปจัดช่อขาย เป็นลูกค้าในพื้นที่และจังหวัดอื่นๆ จะสั่งล่วงหน้าก่อนจัดส่ง 2-3 วัน, ลูกค้าที่เป็นออร์แกไนซ์ จัดงานต่างๆ จะสั่งก่อน 1 เดือน ทำให้ทางสวนสามารถคำนวณรายได้ในแต่ละเดือนได้ และจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้อย่างดีที่สุด โดยราคาอยู่ที่ 60-80 บาทต่อกิโลกรัม

ตลาดต้นกล้า จะเป็นลูกค้าที่ซื้อไปเพื่อปลูกประดับ บริเวณบ้าน คาเฟ่ สถานที่ท่องเที่ยว และเกษตรกรที่ปลูกเพื่อจำหน่ายดอก ทางสวนจำเป็นต้องมีต้นกล้าที่พร้อมส่งอยู่เสมอเพื่อให้ทันความต้องการของลูกค้า และถือเป็นรายได้ที่ในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่หน่อละ 2 บาท

“การปลูกดอกไม้ อย่าง คัตเตอร์, สร้อยทอง, มาร์กาเร็ต ไม่ยาก ดูแลง่าย ต้นทุนต่ำ สร้างรายได้ดี ปัจจุบัน สวนดอกไม้ของเราเป็นสวนตัวอย่าง ที่ทำให้มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีเกษตรกรเข้าร่วมจำนวนมาก เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่น้อย สร้างรายได้เข้าจังหวัดและเกษตรกรในพื้นที่

และยังสามารถจำหน่ายดอก ต้นกล้า ที่เป็นรายได้หลักและรายได้เสริมให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น ตลาดดอกไม้มีราคาค่อนข้างนิ่ง สามารถคำนวณต้นทุนและกำไรได้ ทำให้ปัจจุบัน มีรายได้เข้ามาหลักแสนบาทต่อเดือน หักค่าใช้จ่ายแล้ว”

สำหรับท่านใดที่สนใจ คัตเตอร์, สร้อยทอง, มาร์กาเร็ต ตัดดอกและต้นพันธุ์ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณอัมพร สีแขไตร หรือ คุณเปิ้ล โทรศัพท์ 087-226-9059, 097-306-3486 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเฟซบุ๊ก สวนอัมพร คัตเตอร์ สร้อยทอง เตยหอม

แปลงติดตามสถานการณ์ศัตรูพืชหรือแปลงพยากรณ์ศัตรูพืช เป็นหนึ่งในวิธีการอารักขาพืชหรือการบริหารจัดการศัตรูพืช ที่กรมส่งเสริมการเกษตร นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสำรวจติดตาม และเฝ้าระวังศัตรูพืช เพื่อสามารถพยากรณ์หรือคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดการระบาดของศัตรูพืช และเตือนภัยแก่เกษตรกรได้ทันท่วงที นำไปสู่การเลือกวิธีการจัดการศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมไปถึงลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ด้วย

พื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งปลูกผักและผลไม้ที่สำคัญแห่งหนึ่ง เช่น วิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง บ้านคลองบงพัฒนา อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ที่มีการใช้แปลงพยากรณ์ศัตรูพืช ในการป้องกันศัตรูพืชและแจ้งเตือนภัยสถานการณ์ศัตรูพืชให้กับสมาชิกกลุ่มได้ทราบ จึงได้บริหารจัดการได้ทันท่วงที

ว่าที่ร้อยโท ธีรภัทร ศรีคงอยู่ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเขียว กล่าวว่า ทางสำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเขียวได้เข้ามาส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง บ้านคลองบงพัฒนา ตั้งแต่ต้นน้ำ ให้ความรู้การทำเกษตรปลอดภัย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวภัณฑ์ ซึ่งแต่ก่อนเกษตรกรอาจใช้ชีวภัณฑ์ไม่ตรงกับโรคหรือศัตรูพืช ก็มาถ่ายทอดความรู้วิธีการผลิตและใช้ชีวภัณฑ์ให้ถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งให้จัดทำแปลงพยากรณ์ศัตรูพืช เพื่อใช้วางแผนการบริหารจัดการศัตรูพืช เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต เมื่อพบเจอแมลงศัตรูพืชหรือโรคแมลง ก็จะได้แจ้งเตือนให้สมาชิกทราบ สามารถใช้ชีวภัณฑ์ได้ตรงกับชนิดของแมลงและโรคนั้นๆ ทำให้เกษตรกรจัดการศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ประโยชน์จากแปลงพยากรณ์ในการจัดการศัตรูพืชได้ผลถึง 80% อีก 20% ขึ้นกับสภาพอากาศที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งทางกรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำให้เกษตรกรทำแปลงพยากรณ์ทุกฤดูกาลผลิต โดยพืชผักกำหนดขนาดพื้นที่ประมาณ 1 งาน เกษตรกรต้องสำรวจและสุ่มนับจำนวนแมลงอย่างน้อย 10 จุด เพื่อดูว่าแมลงที่พบมีทั้งตัวดี (ศัตรูธรรมชาติ) หรือแมลงไม่ดี (ศัตรูพืช) มีอะไรบ้าง

ถ้าพบศัตรูพืชมากกว่าจะต้องแจ้งเตือนการระบาดศัตรูพืชโดยใช้ธงสัญลักษณ์ติดอยู่ที่ป้ายแปลง มีทั้งหมด 3 สี คือ ธงสีเขียว หมายถึง สถานการณ์ศัตรูพืชปกติ ธงสีเหลือง หมายถึง เฝ้าระวัง ธงสีแดง หมายถึง พบศัตรูพืชระบาด จากนั้นต้องแจ้งเตือนให้สมาชิกรับทราบโดยทั่วกัน เพื่อหาวิธีป้องกันต่อไป

เกษตรกรที่นี่เชื่อมั่นว่าแปลงพยากรณ์ทำแล้วได้ผล จึงขยายการทำเกษตรอินทรีย์ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา จากเริ่มต้นสมาชิก 10 คน ก็ขยายมาเรื่อยจนตอนนี้มีสมาชิก 34 คน ในการเพาะปลูกผักระบบอินทรีย์ นำมาซึ่งความปลอดภัยของผู้บริโภคและรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น

เดิมที่ขายผักมาตรฐานเกษตรปลอดภัย GAP เฉลี่ยอยู่ที่ 35-40 บาท ต่อกิโลกรัม แต่พอขยับมาเป็นมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ทางโรงคัดบรรจุเห็นความสำคัญก็เพิ่มราคารับซื้อตามมาตรฐานที่สูงขึ้นเป็น 70 บาท ต่อกิโลกรัม ผลผลิตมีคุณภาพ มีตลาดรองรับที่แน่นอน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของสมาชิกกลุ่มดีขึ้นตามลำดับ

ด้าน คุณจิรัชญา วงศ์ทิม ประธานวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง บ้านคลองบงพัฒนา อ.วังน้ำเขียว เล่าว่า สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์ฯ แห่งนี้ได้ประโยชน์จากแปลงพยากรณ์ศัตรูพืชอย่างมาก เวลาเจอแมลงศัตรูพืชก็สามารถแจ้งสมาชิกให้ป้องกันได้ทัน

โดยทางกลุ่มจะมีไลน์กลุ่ม (แอปพลิเคชั่น LINE) ไว้สำหรับแจ้งเตือนให้สมาชิกทราบสถานการณ์ศัตรูพืชระบาดทันที เพราะที่นี่ผลิตผักอินทรีย์จะเน้นการป้องกันมากกว่ากำจัด โดยรูปแบบการดำเนินงานของกลุ่มจะผลิตผักสลัด ผักพื้นบ้าน ส่งให้กับบริษัทเอกชนเป็นหลัก เน้นการตลาดนำการผลิต คือรับออเดอร์จากตลาดมาก่อนแล้วจึงมาวางแผนการผลิตกับสมาชิก โดยแบ่งการผลิตตามความเหมาะสมของสมาชิกแต่ละรายเนื่องจากทักษะการปลูกพืชแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ที่สำคัญสมาชิกจะช่วยกันติดตามแปลงพยากรณ์เพื่อเฝ้าสังเกตการระบาดของศัตรูพืชอย่างต่อเนื่อง

หากพบศัตรูพืชจะใช้ชีวภัณฑ์ในการป้องกัน เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า บิวเวอเรีย เมตตาไรเซี่ยม เชื้อ BT และเชื้อ BS ซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเกษตรตำบล เกษตรอำเภอ ซึ่งชีวภัณฑ์บางตัวอย่างไตรโค เดอร์ม่ากับบิวเวอร์เรีย ทางกลุ่มสามารถผลิตเองได้ ก็จะช่วยลดต้นทุนลงไปได้อีก แต่อย่างไรก็ดี กลุ่มจะลดปัญหาศัตรูพืชระบาดโดยหลีกเลี่ยงปลูกพืชชนิดนั้นๆ ในช่วงที่พบการระบาดมาก เช่น ฤดูร้อนแมลงระบาดมากก็จะไม่ปลูกถั่ว หรือผักกวางตุ้ง เป็นต้น

“เราทำผักอินทรีย์ ต้องใช้ชีวภัณฑ์ในการป้องกันศัตรูพืชและโรคพืช 100% ซึ่งทางกลุ่มได้การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากกรมวิชาการเกษตร ทำให้ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาด จนผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมส่งเสริมการเกษตรให้ทำโรงเรือนจำนวน 50 โรงเรือน จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายการผลิตผักอินทรีย์รองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญจะพัฒนาการผลิตเมล็ดพันธุ์ผักสลัดใช้เอง เนื่องจากตอนนี้ต้องซื้อในราคากิโลกรัมละ 20,000 บาท ถ้าเราผลิตเองจะลดต้นทุนส่วนนี้ได้อีกมาก หากสำเร็จก็จะขยายไปสู่เมล็ดพันธุ์ผักชนิดอื่นที่มีราคาสูง ทั้งนี้ เพราะกลุ่มเราอยู่ในพื้นที่นิคมเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นที่จำกัด เราต้องเน้นไปที่ผลิตผักที่ให้ราคาสูง เกษตรกรจะได้มีรายได้สูงขึ้นตามไปด้วย”

หากเกษตรกรท่านใดต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลด ละ เลิกการใช้สารเคมี หันมาใช้ชีวภัณฑ์ซึ่งสามารถผลิตใช้ได้เอง ติดต่อขอข้อมูลได้ที่สำนักงานเกษตรใกล้บ้าน หรือ วิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง โทรศัพท์ 093-498-1497

วันนี้เรามาทำความรู้จักดินที่ดีและเหมาะกับการปลูกต้นมะพร้าวกันค่ะ โดยดินที่มีลักษณะดีและเหมาะกับการเพาะปลูกมีด้วยกันทั้งหมด 6 ชนิดดังนี้

ดินใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ดินใกล้ปากน้ำติดทะเลเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมในฤดูฝน
ดินตามเกาะต่าง ๆ
ดินชายทะเลซึ่งส่วนมากหน้าดินเป็นดินทราย
ดินเลนที่ขุดลอกจากสันดอน
ดินบนคันนา
มะพร้าวเป็นพืชที่ไม่เลือกชนิดดินมากนัก เพียงแต่ต้องคำนึงถึงลักษณะพื้นที่ที่จะใช้ปลูกโดยสังเกตได้จากพื้นที่ลุ่มพื้นที่ดอน ซึ่งการปลูกมะพร้าวในพื้นที่ลุ่มต้องยกคันร่องให้สูงพ้นระดับน้ำที่ขังอยู่และให้หลังคันดินที่ยกขึ้นมาสูงกว่าระดับน้ำในฤดูน้ำสูงสุดประมาณ 60 เซนติเมตร เป็นลักษณะคันยาวจึงพอใช้ปลูกมะพร้าวให้ได้ผลดีนั้นเอง

สำหรับดินดาน เป็นดินที่ชั้นหินแข็งหรือหินดานอยู่ลึกจากผิวดินน้อยกว่า 1 เมตร ไม่ควรใช้ปลูกมะพร้าว เพราะจะไม่ค่อยได้รับผลดี ถ้าจะได้ผลดีก็ต้องลงทุนสูง

สุดท้ายดินดี ไม่ดี หมายถึงดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มากหรือน้อยสังเกตได้จากต้นไม้ หรือต้นมะพร้าวที่ขึ้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถ้าต้นไม้เหล่านั้นมีใบเขียวเข้มออกดอกออกผลแสดงว่าดินดี แต่ถ้าหากต้นมะพร้าวหรือต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงนั้นไม่เจริญงอกงาม ควรตรวจสอบดูให้แน่ชัดโดยการเก็บตัวอย่างดินส่งไปวิเคราะห์

สาหร่ายพวงองุ่น มีถิ่นกำเนิดตามชายฝั่งทะเลในแถบอินโด-แปซิฟิก เป็นหนึ่งในสาหร่ายรับประทานได้ และได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำ มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยสาหร่ายพวงองุ่นถูกเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในฟิลิปปินส์ ตามมาด้วยญี่ปุ่น และทั้งสองประเทศนี้ยังคงเป็นผู้บริโภคสาหร่ายพวงองุ่นอันดับต้นๆ ซึ่งในปัจจุบันการเพาะเลี้ยงได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ไต้หวัน จีน รวมถึงประเทศไทยที่มีการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ โดยนิยมบริโภคกันมากในภาคใต้และภาคตะวันออก รับประทานแทนผัก มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมด้วยวิตามินหลายชนิด สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพที่กำลังมาแรงในขณะนี้

คุณธัญรัตน์ ปรือปรัก หรือ คุณผึ้ง อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 57/1 หมู่ที่ 3 ตําบลคลองวาฬ อําเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นสร้างรายได้มานานกว่า 10 ปี ด้วยข้อดีของสาหร่ายพวงองุ่นก็คือ ขายได้กำไรดี ตลาดกว้างส่งขายได้ทั้งในและต่างประเทศ และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

คุณผึ้ง เล่าให้ฟังว่า capfundonline.com ตนเองเริ่มเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นมาตั้งแต่ปี 2552 นับเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นย้อนไปเมื่อปี 2550 ตนเองมีโอกาสได้ไปทำงานที่ภูเก็ต ซึ่งตรงกับช่วงจังหวะที่สาหร่ายพวงองุ่นกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เห็นพ่อค้าแม่ค้านำเอาสาหร่ายพวงองุ่นมาวางขายกันมากมาย จนได้ลองซื้อมารับประทาน แล้วเกิดความชื่นชอบในรสชาติ เวลาเคี้ยวแล้วมีความกรุบกรอบ อีกทั้งมีคุณค่าทางอาหารสูง จึงเป็นที่มาของจุดประกายความคิดในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นเพื่อสร้างรายได้

“หลังจากที่เริ่มมีความสนใจในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น ทำงานที่ภูเก็ตได้ 2 ปี พี่จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านที่ประจวบฯ เพื่อจะกลับมาเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นสร้างรายได้อย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจากการเข้าไปขอความรู้และฝึกฝนการเพาะเลี้ยงจากกรมประมง จากนั้นพอเริ่มรู้หลัก ก็กลับมาทดลองเลี้ยงที่บ้านเป็นของตัวเอง จนเกิดการสร้างรายได้ ซึ่งมาประจวบเหมาะกับที่โครงการหลวงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทำให้พี่เริ่มได้ออกสื่อมากขึ้น การตลาดก็โตไวมากๆ จากการได้ออกสื่อ และประกอบกับที่เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรง ทำให้พี่สามารถสร้างรายได้จากการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นได้เป็นเงินหลักแสน และถือเป็นการสร้างโอกาสให้ชุมชน หรือกับคนที่ต้องการมีรายได้เสริม มารับสาหร่ายพวงองุ่นจากพี่ไปขายต่อก็ได้เหมือนกัน เพราะสาหร่ายกิโลหนึ่งนำไปต่อยอดรายได้ได้ไม่น้อย”

“สาหร่ายพวงองุ่น” อาหารสุขภาพชั้นดี
เพาะเลี้ยงสำเร็จ สร้างรายได้งาม
เส้นทางในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นให้ประสบความสำเร็จ คุณผึ้ง บอกว่า ไม่ง่าย เนื่องด้วยเป็นพืชที่มีความละเอียดอ่อนและจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำที่มีสารอาหารอุดมสมบูรณ์และแสงแดดที่เหมาะสม ซึ่งด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นเป็นไปได้ยาก ผู้เลี้ยงต้องมีความชอบและใส่ใจจริงๆ ถึงจะสามารถเลี้ยงได้ โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ น้ำและอากาศ

“การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน กว่าพี่จะเข้าใจและประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย แล้วก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากตรงนี้ โดยเฉพาะเรื่องของสภาพอากาศที่ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพาะเลี้ยง ก็คือในช่วงหน้าฝน สาหร่ายพวงองุ่นจะมีราคาแพงและหายาก เนื่องจากฝนที่ตกลงมาในปริมาณมากก็มีผลต่อการเพาะเลี้ยง ทำให้เลี้ยงสาหร่ายได้ยากขึ้น หรือถ้าเป็นในช่วงที่อากาศร้อนเกินไป ทำให้ค่าความเค็มของน้ำทะเลที่มากเกินไป ส่งผลทำให้สาหร่ายเสียหายได้เหมือนกัน ตรงนี้ถือเป็นอุปสรรคของมือใหม่ที่ต้องเจอ และนำไปสู่การแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาของเราคือการเปลี่ยนรูปแบบการเพาะเลี้ยง จากการเพาะเลี้ยงในบ่อดิน ก็พัฒนามาเลี้ยงในบ่อคอนกรีต เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการดูแล”

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นในบ่อคอนกรีต
1. ที่ฟาร์มเลี้ยงในบ่อคอนกรีตขนาดความกว้าง 1.30 เมตร ยาว 10 เมตร โดยตัดท่อพีวีซีออกเป็น 4 ส่วน แล้วนำมาประกอบเป็นสี่เหลี่ยม ทำเป็นโครงแผง จากนั้นใช้ตาข่ายขนาด 1 เซนติเมตร ขึงให้เต็มกรอบสำหรับรองรับต้นพันธุ์ แล้วทำเชือกแขวนแผงสาหร่ายลงไปในบ่อเลี้ยงลึกจากผิวน้ำประมาณครึ่งเมตร หรือในระดับที่แสงส่องถึงเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต

“ข้อดีของการเลี้ยงสาหร่ายในบ่อปูนคือ ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ง่ายกว่าการเลี้ยงในบ่อดิน ถ้าเลี้ยงในบ่อดินตอนเก็บขึ้นมาจะมีทั้งโคลนทั้งดิน เราต้องนำไปล้างทำความสะอาดเอาดินออก ถึงจะนำไปเด็ดได้ แต่ถ้าเลี้ยงในบ่อปูนสาหร่ายจะสะอาดกว่า เวลาการเก็บจะง่าย และช่วยให้เด็ดง่ายขึ้น แต่ว่าความสวยของพวงสาหร่ายก็จะไม่เหมือนกัน เนื่องจากสาหร่ายที่เพาะเลี้ยงในบ่อดินจะมีสารอาหารที่มากกว่า ทำให้สาหร่ายที่เลี้ยงในบ่อดินมีพวงที่สวยช่อเต็มมากกว่าเลี้ยงในบ่อปูน”

เกลี่ยต้นพันธุ์สาหร่ายให้ทั่วแผง อัตราส่วน 0.5 กิโลกรัมต่อแผง ปิดทับด้วยตาข่ายพลาสติกอีกชั้น “ต้นพันธุ์สาหร่าย 1 ขีด เก็บผลผลิตได้ประมาณ 10-20 กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่ที่คุณภาพของน้ำ ถ้าหากได้น้ำดีการเลี้ยงจุลินทรีย์ในบ่อดี ผลผลิตก็จะได้ตามที่ตั้งเป้าไว้”

ระบบน้ำ ก่อนที่จะปล่อยน้ำเข้าสู่บ่อเลี้ยง จะต้องพักน้ำไว้ในบ่อพักก่อนประมาณ 2-3 วัน โดยขั้นตอนก่อนจะปล่อยน้ำเข้าบ่อเลี้ยงจะต้องมีการตรวจวัดค่าความเค็มของน้ำก่อนทุกครั้ง โดยค่าความเค็มของน้ำที่เหมาะสมในการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นอยู่ในระหว่าง 25-35 ppt และน้ำต้องสะอาด จะส่งผลให้เจริญเติบโตได้ดี