การนำ “ขมิ้นชัน” มาใช้ในตำรับยา และตำรับอาหาร เป็นภูมิปัญญา

ชาวบ้านที่ได้บ่มเพาะมาแต่อดีต ถ้าเราศึกษาภูมิปัญญาของไทยตามความเชื่อเข้าใจเรื่องอาหาร และยาสมุนไพรโอกาสที่จะเกิดโรคนั้นมีน้อย เพราะในอาหารก็คือยา ยาก็คืออาหาร การเข้าใจเรื่องประโยชน์ของอาหารและยาสมุนไพร โดยเฉพาะเรื่องสรรพคุณ เราก็จะได้ประโยชน์จากอาหารนั้น

“ขมิ้นชัน” เป็นสมุนไพรที่คนไทยกินเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าเราตระหนักถึงคุณค่าของขมิ้นชันในมิติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรส่งเสริมการกินขมิ้นชันเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น หากขมิ้นชันเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีทุกบ้าน จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมหาศาล โดยเกษตรกรทั่วประเทศ จะมีรายได้จากการปลูก การขาย การผลิตเป็นยา การจำหน่ายขมิ้นชัน เป็นการสร้างงานอีกจำนวนมาก สมุนไพรไทยนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาไทย ถ้าเรานิยมวัฒนธรรมต่างชาติมากเท่าไร เราก็ยิ่งพึ่งตนเองได้น้อย และสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ยังคงเป็นความพยายามของหลายฝ่ายที่จะช่วยกันลดโลกร้อนด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ หลายประเภท เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้คนใช้วัสดุจากธรรมชาติกันมากๆ พร้อมกับลดการใช้พลาสติกทุกชนิด โดยมุ่งหวังให้เป็นการควบคุมปริมาณพลาสติกมิให้เพิ่มขึ้น และหาทางกำจัดตามกระบวนการให้ถูกต้องต่อไป

อีกหนทางหนึ่งที่พอจะช่วยกัน นั่นคือการนำพลาสติกที่ใช้แล้วกลับมาทำประโยชน์ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นของใช้,สิ่งของประดิษฐ์ ฯลฯ แต่ทั้งนี้การนำสิ่งของดังกล่าวให้ดูมีค่าน่าสนใจ พร้อมกับทำให้เกิดประโยชน์คงไม่ง่ายเพราะจะต้องอาศัยผู้มีความรู้ และใจรักงานด้านศิลปะ แล้วยังต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อประดิษฐ์ชิ้นงานที่เป็นขวดพลาสติกออกมาให้เกิดความน่าสนใจซื้อหา

เริ่มต้นจากทำใช้เอง แจกลูกค้า เพื่อน และญาติ

คุณสุภาณี เหมาะสา เจ้าของร้านโคมไฟในฝัน เป็นอีกคนหนึ่งที่ผันตัวเองจากพนักงานฝ่ายการตลาดของหลายโรงแรม และยังเคยคลุกคลีอยู่ในธุรกิจการจัดกรุ๊ปท่องเที่ยว สัมมนาให้กับบริษัทหลายแห่ง แล้วหันมาจับงานด้านประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจากขวดพลาสติกที่ทำออกมาแล้วดูสวยงามมาเป็นของใช้ และของประดับที่เน้นการใช้งานได้จริง

คุณสุภาณี เล่าว่าด้วยความที่เป็นคนชื่นชอบงานศิลปะ และมีแผนที่จะทำธุรกิจที่ตนรักเป็นของตัวเอง จึงทดลองทำโคมไฟจากขวดน้ำพลาสติกก่อน จากนั้นค่อยนำมาปรับให้เข้ากับสิ่งที่ชอบที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันรอบๆ ตัวที่จำเป็น พร้อมกับการคิดออกแบบเป็นรูปทรงต่างๆ ให้มีความทันสมัย เช่นที่ใส่กระดาษทิชชู,กระถางต้นไม้ ฯลฯ ภายหลังที่ทำเสร็จจำนวนหนึ่งก็นำไปแจกให้กับลูกค้าที่ยังคงติดต่องานกันอยู่บ้าง แจกจ่ายให้กับญาติหรือเพื่อนสนิทบ้างในโอกาสวาระต่างๆ

เธอบอกว่าด้วยความที่เป็นคนชอบและใฝ่เรียนรู้ จึงได้ไปศึกษาเรื่องการทำโคมไฟและของใช้ต่างๆ จากขวดพลาสติกจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ต้องการทำเป็นของใช้ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อาทิ กล่องกระดาษทิชชูก็นำมาใช้บนโต๊ะอาหาร โต๊ะทำงาน ห้องรับแขก, โคมไฟนำไปประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ กระถางต้นไม้แบบใช้แขวนที่นอกจากใช้ปลูกต้นไม้แล้วยังเป็นของตกแต่งบ้านได้

นอกจากนั้นยังทำเป็นที่ใส่ปากกา, กิ๊บติดผม, ที่คาดผม, ปลาเงิน ปลาทองที่นำมาใช้แขวนตกแต่งสถานที่เพื่อเป็นสิริมงคลหรือโมบายที่เป็นรูปดอกไม้หลากหลายแบบ ฯลฯ

วัสดุที่ใช้เธอให้รายละเอียดว่าใช้ขวดพลาสติกทุกชนิด ที่สั่งซื้อมาเป็นจำนวนมากจากร้านขายน้ำตามโรงเรียนต่างๆ เพราะขวดที่มาจากแหล่งนี้จะมีความสะอาดกว่าที่อื่น แต่ต้องมาผ่านกระบวนการคัดเลือกก่อนจึงจะถูกนำไปใช้งานในขั้นตอนต่อไป

ส่วนสีที่ใช้เน้นใช้สีสำหรับเพ้นท์แก้วหรือสีเพ้นท์กระจกที่ต้องนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นและเยอรมัน ทั้งนี้เพราะมีคุณภาพความคงทนในการใช้งานยาวนานกว่า 5 ปี

“พอได้ขวดพลาสติกมาแล้วจะต้องนำมาล้างแล้วตากให้แห้งสนิท จากนั้นใช้ผ้าชุบทินเนอร์ทำความสะอาดอีกครั้ง นำหัวแร้งตัดขวดตามรูปทรงต่างๆที่ต้องการ แล้วนำลายที่กำหนดไว้สอดเข้าไปในขวดเพื่อลอกลายโดยใช้ปากกาเขียนแผ่นใสวาดตามแบบแล้วจึงนำหัวแร้งตัดตามรอยที่วาดอีกครั้ง

เมื่อเสร็จแล้วให้นำมาล้างน้ำเปล่าเพื่อให้หมึกที่เขียนไว้ออกให้หมด ปล่อยให้แห้งเองหรือจะใช้ผ้าเช็ดก็ได้ ต่อจากนั้นนำมาลงสีจริงตามลวดลายแบบที่กำหนด แต่หากเป็นงานโคมไฟจะต้องนำหลอดและสายไฟมาประกอบเข้าชุดเสียก่อน” เจ้าของงานอธิบาย

ผลิตงานไม่ค่อยทัน เพราะขาดแคลนฝีมือแรงงานอย่างไรก็ตามสินค้าที่ทำขึ้นจะผลิตขึ้นตามแบบต่างๆ ที่กำหนดไว้เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกตามความเหมาะสมและความชอบ แต่ในบางครั้งอาจจะผลิตตามคำสั่งของลูกค้าที่ต้องการพร้อมกับนำแบบตัวอย่างมาให้

เธอเปิดเผยว่าในบางเวลาอาจเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากผลิตสินค้าไม่ทันความต้องการ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะระดับฝีมือความชำนาญและทักษะของช่างแต่ละคนมีไม่เท่ากัน จึงทำให้ผลงานที่ออกมาต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนแก้ไขกว่าจะได้ตามที่ลูกค้าต้องการ

คุณสุภาณี กล่าวยอมรับว่า หากต้องการให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงจะต้องมีการวางแผนประชาสัมพันธ์และการตลาดอย่างรอบคอบ ดังนั้นเธอจึงเริ่มวางแผนและเดินหน้าตามแผนด้วยการจัดทำโปร์ชัวน์แจกตามสถานที่หลายแห่ง และยังนำสินค้าออกจำหน่ายพร้อมกับเปิดสอนตามห้างสรรพสินค้าและหน่วยงานหลายแห่ง จัดทำโฆษณาตามสื่อทั้งนิตยสารและโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องหลายช่องทาง ขณะเดียวกันยังได้ถูกเชิญไปเป็นวิทยากรสอนตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะทั้งภาคราชการหรือเอกชนก็ตาม

สินค้าน่าเชื่อถือ เพราะได้รับรองมาตรฐาน

แน่นอนสินค้าดีมีคุณภาพหากไม่ได้รับการรับรองก็จะขาดความเชื่อถือจากผู้ใช้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของคุณสุภาณีทุกชนิดได้ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมจากกระทรวงอุตสาหกรรม แถมยังได้รับรางวัลสูงสุดที่ถือว่าภูมิใจมากนั่นคือการยอมรับจากลูกค้าของหน่วยงานราชการจำนวนมากทั่วประเทศ

สำหรับสินค้าที่ขายดี เจ้าของงานเปิดเผยว่าส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้เครื่องมือในการพ่น (แอร์บัด) เพราะมีความน่าสนใจตรงที่สีสันสะดุดตา โดยเฉพาะเฉดสีที่ปรากฏจะมีความเนี๊ยบสามารถเล่นระดับความอ่อน-แก่ของสีแต่ละโทนได้อย่างสวยงามเมื่อทำออกมาแล้วดูเป็นมิติกว่างานที่ใช้มือทำ และลายที่ทำอยู่ขณะนี้มีอยู่จำนวน 4 ลายคือดอกลีลาวดี,ดอกชบา,ดอกทานตะวัน และดอกบัว

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต เราใช้สีเพ้นท์แก้ว เพ้นท์กระจก แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยการใช้แอร์บัดมาช่วยสร้างสีสันให้สะดุดตา ทั้งยังทำห้ามารถผลิตงานได้เร็วขึ้นมาก ที่จากเดิม 1 คนทำได้ไม่เกิน 10 ชิ้นต่อวัน เพิ่มเป็น 50-60 ชิ้นต่อวัน” เจ้าของงานบอก

ด้วยความที่สินค้ามีรูปแบบที่ทันสมัย มีหลากหลายลายให้เลือก ฝีมือการทำงานที่มีความประณีต ที่สำคัญราคาไม่แพง จึงเป็นผลให้ได้รับความสนใจและความนิยมมากจากลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยมีจำหน่ายหลายแห่งอาทิร้านเกาะเกร็ด นนทบุรี, สวนจตุจักร ส่วนต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่, ภูเก็ต, ลำปาง หรือแม้กระทั่งที่นราธิวาส ทั้งยังจำหน่ายปังต่างประเทศเช่นที่นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ด้านราคาจำหน่ายเริ่มตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน

ไม่ได้มีจำหน่ายอย่างเดียวเปิดสอนเพื่อสร้างรายได้อีกด้วย

เจ้าของธุรกิจบอกว่ามีความตั้งใจที่จะทำสินค้าให้ออกมาหลายรูปแบบ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ชอบตกแต่งบ้านที่มีทุกช่วงอายุ หรือกลุ่มที่นิยมใช้ของแนวรีไซเคิล อย่างไรก็ดีขณะนี้มีการวางแผนจะเจาะกลุ่มที่เป็นพวกหางานรายได้เสริม เช่นแม่บ้าน หรือพนักงาน หรือแม้แต่ผู้พิการก็ตาม

\“ปัจจุบันยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการแต่งบ้านอยู่ และนับวันจะมีมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อไปจะต้องขยายแนวออกไปในลักษณะเสริมสร้างอาชีพเพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับคนบางกลุ่มที่พอมีเวลาว่างและต้องการใช้เวลาส่วนนั้นให้เกิดประโยชน์ หรือบางคนอาจทำเป็นธุรกิจส่วนตัวเลยก็ได้

\แนวคิดนี้อาจเปิดช่องทางในการทำธุรกิจร่วมกันเหมือนสร้างพันธมิตร โดยสามารถคัดเลือกหรือคัดสรรผลงานของนักเรียน หรือคนนอกที่มีฝีมือมาช่วยในการผลิต อาจมีการรับสั่งซื้อชิ้นงานที่มีความสวยงามทั้งลักษณะงานและการออกแบบ แล้วนำไปขายต่อให้” คุณสุภาณีกล่าวในที่สุด

ถึงแม้การทำผลิตภัณฑ์โคมไฟจากขวดพลาสติกอาจจะดูเป็นเพียงแค่สิ่งของเล็กๆที่ไม่ได้หรูหรา มีค่าราคาแพงเช่นสินค้าแบรนด์ดังทั่วไป แต่นั่นอาจเทียบไม่ได้กับคุณค่าที่มีมากต่อการเป็นส่วนหนึ่ง

ของการช่วยไม่ให้ปริมาณพลาสติกเพิ่มขึ้นด้วยการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงดีกว่าการนำไปตั้งวางไว้เฉยๆ และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือยังเป็นส่วนหนึ่งจากอีกหลายส่วนของคนที่อยู่ในโลกใบนี้ที่ช่วยกันไม่ทำให้โลกใบนี้ร้อนขึ้น

สนใจต้องการซื้อสินค้าหรือสอบถามรายละเอียดการอบรมการทำผลิตภัณฑ์จากขวดพลาสติกสามารถติดต่อไปได้ที่ร้านโคมไฟในฝัน เลขที่ 70/185 หมู่ 10 ซอยถนอมมิตร ถนนรามอินทรา หมู่บ้านเลิศอุบล ซอย 67 ถนนแขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10230 โทรศัพท์ 080-4523424, 089-8908309

เสียงเห่าขรมดังหนักหน่วง ทำเอากลุ่มผู้ร่วมงานที่เดินทางมาด้วย กรูไปอยู่รวมกันเป็นก้อนประหนึ่งขนมปังก้อนกลมๆ อย่างไรอย่างนั้น แต่ทันทีที่เสียงเจ้าของบ้านจุ๊ปาก เสียงเห่าขรมที่ได้ยินชัดในตอนแรก กลับเบาเสียงลงเรื่อยๆ และเงียบไปในที่สุด

“เด็กๆ ที่นี่ ว่าง่าย ไม่ดุเหมือนอย่างที่ใครเข้าใจหรอก” ความหมายของคำว่า “เด็ก” ในที่นี้ คือ “สุนัขพันธุ์บางแก้ว” ที่คุณฤทธิรงค์ ม่วงแสง เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ และให้ความสำคัญพิเศษเสมือนหนึ่งบุคคลในครอบครัว

เรื่องราวของสุนัขพันธุ์บางแก้ว ที่คุณฤทธิรงค์ปั้นสร้างมากับมือ ตั้งแต่เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่น เพื่อนรัก เพื่อนกินและเพื่อนนอน กระทั่งปัจจุบันเติบโตขึ้นเป็นฟาร์มสุนัขเล็กๆ อย่างที่ใฝ่ฝัน เริ่มต้นจากที่คุณฤทธิรงค์ชื่นชอบ และนิยมในสุนัขที่มีลักษณะเป็นผู้นำ ซึ่งระยะแรกตั้งใจเลี้ยงสุนัขพันธุ์อัลเซเชียล แต่ครั้งหนึ่งที่เห็นสุนัขพันธุ์อัลเซเชียลถูกข่มด้วยสุนัขพันธุ์บางแก้ว จึงจุดประกายความชอบในสายพันธุ์บางแก้วขึ้นมาทันที

คุณฤทธิรงค์ พูดหยอกกระเซ้าว่า คุณเชื่อไหมว่า…เจ้าสี่ขา ที่แม้มันจะพูดไม่ได้ ยิ้มไม่ได้ หัวเราะไม่ได้ แต่มันสามารถทำให้เรามีความสุขได้ สุนัขสายพันธุ์บางแก้วที่ฟาร์ม “ละโว้บางแก้ว” มีอยู่ไม่มากนัก ราว 15 ตัว ที่คุณฤทธิรงค์ไม่คิดจะขายหรือส่งต่อให้ใคร แต่มีไว้สำหรับเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และส่งประกวดในงานต่างๆ เพื่อรักษามาตรฐานสายพันธุ์บางแก้วไว้

“บางแก้ว ตัวแรกของผม ซื้อจากถิ่นกำเนิดเดิม คือ จังหวัดพิษณุโลก เพราะเห็นว่าเป็นต้นสายพันธุ์ เริ่มเลี้ยงเพียงตัวเดียว จากนั้นไปชมในงานประกวดสุนัขสายพันธุ์บางแก้วทุกงาน เพื่อศึกษาและดูลักษณะมาตรฐานตามสายพันธุ์ให้เป็น และเริ่มซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วเพิ่มขึ้น เมื่อเริ่มมีความรู้และรู้จักงานประกวด จึงส่งสุนัขเข้าประกวดบ้าง และงานแรกที่ส่งเข้าประกวด ได้รางวัลที่ 3 ก็ถือเป็นความภูมิใจครั้งหนึ่ง”

เมื่อความรักและความสนใจในการขยายพันธุ์และรักษาสายพันธุ์ให้ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้น จำนวนสุนัขพันธุ์บางแก้วจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ในระยะแรกสุนัขเพิ่มขึ้นจากการซื้อ ต่อมาเพิ่มจำนวนจากการขยายพันธุ์เอง และเพื่อให้การเพาะเลี้ยงมีมาตรฐาน สุนัขพันธุ์บางแก้วของคุณฤทธิรงค์เกือบทุกตัวจะผ่านเวทีประกวด เพื่อเป็นเครื่องการันตีถึงมาตรฐานสายพันธุ์ที่เชื่อถือได้

พื้นที่บริเวณบ้านถูกแบ่งเป็นสัดส่วน กั้นรั้ว และมีกรงสุนัขที่สั่งทำขึ้นให้ได้ขนาดสำหรับสุนัข 1-2 ตัว ซึ่งเมื่ออยู่ในกรงแล้วจะไม่ทำให้สุนัขรู้สึกอึดอัด เพราะตลอดทั้งวันสุนัขทั้งหมดจะอยู่ในกรง ยกเว้นเช้าและเย็นที่เจ้าสี่ขาจะเป็นเวลาวิ่งเล่นได้ตามอัธยาศัย

คุณฤทธิรงค์ เล่าถึงการดูแลสุนัขในสไตล์ของ “ละโว้บางแก้ว” ว่า ใน 1 วัน จะปล่อยให้สุนัขออกจากกรงเพื่อขับถ่าย วิ่งเล่น ทุกเช้าและเย็น ครั้งละ 20 นาที แต่มีกติกาการปล่อย โดยจะแบ่งสุนัขเป็นชุด ปล่อยครั้งละชุด เมื่อชุดแรกวิ่งเล่นครบ 20 นาที ก็เรียกเข้ากรง และปล่อยสุนัขชุดต่อไป

เหตุผลของการแบ่งสุนัขเป็นชุด เพราะอาจมีสุนัขบางตัวไม่กินเส้นกัน จึงจำเป็นต้องแยกสุนัขออกจากกัน สุนัขคอกเดียวกันอาจไม่ถูกกันก็ได้ ดังนั้นการแบ่งสุนัขแต่ละชุดให้ดูจากพฤติกรรมของสุนัขเป็นหลัก โดยละโว้บางแก้วแบ่งสุนัขออกเป็น 5 ชุด ในช่วงเช้า เริ่มปล่อยเวลา 06.00 น. และช่วงเย็น เริ่มปล่อยเวลา 16.30 น.

การให้สุนัขอยู่ในกรงเดียวอย่างเดียว แม้จะมีน้ำ อาหาร ครบถ้วนสมบูรณ์ จะทำให้สุนัขเครียด และเกิดผลพวงอื่นตามมาได้ เช่น อาการก้าวร้าว หรือ เจ็บป่วย เป็นต้น

“สิ่งแวดล้อมบริเวณที่เลี้ยงสุนัขก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้สุนัขร่าเริง” คุณฤทธิรงค์บอก และอธิบายเพิ่มอีกว่า บริเวณโดยรอบพื้นที่เลี้ยงจะจัดแบ่งเป็นสนามหญ้าโล่ง ส่วนหนึ่งเป็นพื้นซีเมนต์ มีต้นไม้ให้ความร่มรื่น และเปิดพัดลมภายในกรงให้กับสุนัขในเวลากลางวัน

“สายพันธุ์บางแก้วในอดีต อาจเป็นสุนัขที่มีความก้าวร้าว แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้ลดความก้าวร้าวลงให้มากที่สุด เพราะเสน่ห์ของบางแก้วอยู่ที่ เลือกที่จะรัก จึงควรพัฒนาเรื่องจิตประสาทและโครงสร้างของสุนัขให้ดี”

อาหารสำหรับสุนัข เป็นอาหารเม็ดทั่วไป วิธีการเลือกให้ดูที่ส่วนผสมของอาหาร หากต้องการให้สุนัขได้รับสารอาหารชนิดใดก็เลือกได้ตามสะดวก ไม่มีกฎตายตัว ซึ่งคุณฤทธิรงค์เพิ่มโปรตีนให้กับสุนัขด้วยการเพิ่มไข่ต้มคลุกกับอาหารเม็ดให้สุนัขกิน

ละโว้บางแก้วให้อาหารสุนัขวันละมื้อ และมีข้อแนะนำว่า ในสุนัขเด็กอายุน้อยกว่า 8 เดือน เพิ่มแคลเซียมและโยเกิร์ตธรรมชาติในมื้ออาหาร และเพิ่มนมจืดในช่วงเย็น ทั้งยังควรดูแลเป็นพิเศษสำหรับสุนัขที่อายุมาก ลูกสุนัข และสุนัขตั้งท้อง ควรให้แคลเซียมวันละ 1 เม็ด

คุณฤทธิรงค์ ยกตัวอย่าง 1 ในสุนัขตัวโปรด ซึ่งทำหน้าที่พ่อพันธุ์ให้กับฟาร์มละโว้บางแก้วในขณะนี้ โดยบอกว่า “ฮอลลี่” เป็นสุนัขที่ได้เจ้าของตำแหน่งไทยแลนด์แชมป์ และอีกหลายรางวัลของการประกวด ซึ่งรางวัลที่ภูมิใจมากที่สุด เป็นรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานมหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7 ณ สวนสามพราน ประจำปี 2550 ซึ่งก่อนหน้าเจ้าฮอลลี่เป็นสุนัขที่มีเจ้าของ แต่ความใส่ใจในเจ้าของเดิมมีน้อย ฮอลลี่จึงถูกบอกขาย แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะสภาพของฮอลลี่ขณะนั้น ป่วยเป็นโรคเรื้อน แม้อดีตที่สุนัขตัวนี้เคยผ่านเวทีประกวด และคว้าตำแหน่ง Best puppy ด้วยวัยเพียง 8 เดือน มาครองในหลายเวทีก็ถูกมองข้ามไป แต่ในที่สุดคุณฤทธิรงค์ก็ตัดสินใจซื้อฮอลลี่มาด้วยราคา 30,000 บาท

ปัจจุบัน ราคาซื้อขายฮอลลี่ในฐานะพ่อพันธุ์สูงหลักแสน แต่คุณฤทธิรงค์ขอเลือกเก็บเจ้าฮอลลี่ไว้

สาวสวยของ “ละโว้บางแก้ว” อีกตัว ที่เป็นเจ้าของถ้วยรางวัลจากการประกวดมากมาย ทั้งยังจบไทยแลนด์แชมป์ด้วยวัยเพียง 9 เดือน คือ ชีลี่ ถึงขณะนี้ราคาซื้อขายชีลี่ที่วงการประกวดรู้กัน คือ 500,000 บาท

คุณฤทธิรงค์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแล ฝึก และขยายพันธุ์สุนัข ซึ่งนอกเหนือจากการรับผสมโดยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แล้ว ยังจำหน่ายลูกสุนัขให้กับผู้ที่ชื่นชอบและนิยมในสุนัขสายพันธุ์บางแก้ว

เมื่อถามถึงราคาซื้อขายต่อตัว คุณฤทธิรงค์ บอกว่า สุนัขพันธุ์บางแก้วเกรดประกวด ราคาขายเริ่มต้นที่ 35,000 บาท อายุลูกสุนัขที่จำหน่ายได้ต้องอายุ 45-75 วัน และที่ผ่านมาลูกสุนัขของละโว้บางแก้ว เคยจำหน่ายได้ราคาสูงสุดถึงตัวละ 80,000 บาท

ความภูมิใจของ “ละโว้บางแก้ว” ที่พยายามเพาะเลี้ยงและรักษามาตรฐานสายพันธุ์บางแก้วมานานกว่า 10 ปี ทำให้ปัจจุบันละโว้บางแก้วเป็นที่รู้จักของกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์บางแก้ว และผู้สนใจเลี้ยงจำนวนมาก หากใครยังไม่เคยสัมผัสความน่ารักของสุนัขสายพันธุ์บางแก้ว สามารถชมและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณฤทธิรงค์ ม่วงแสง โทรศัพท์ 084-715-1919 และ 081-832-1163 หรือติดต่อขอเข้าชมได้ที่ “ละโว้บางแก้ว” เลขที่ 128 หมู่ 8 ตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี หรือ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเว็บไซต์

คุณพนม อศรีโศก หรือที่ชาวบ้านแถวโป่งตาลองเรียกติดปากว่า “ป๋าพนม” บ้านเลขที่ 66/1 ม.7 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โทร. 086-2524285 ได้รับการยกย่องจากเกษตรกรชาวสวนมะม่วงในเขตนั้นให้เป็นเซียนมะม่วงคนหนึ่งของเมืองไทยเพราะมีความรอบรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการทำมะม่วง อีกทั้งยังคอยให้คำแนะนำแก่เพื่อนเกษตรกรชาวสวนมะม่วงด้วยกันทั้งในเขตใกล้เคียงหรือแม้แต่เกษตรกรที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ คุณพนมจะให้คำแนะนำและข้อคิดอย่างไม่มีการปิดบัง

เริ่มปลูกมะม่วงเขียวเสวย แรด และฟ้าลั่น แต่จบที่น้ำดอกไม้ คุณพนม เริ่มต้นอาชีพการทำสวนมะม่วงประมาณพ.ศ. 2527-2528 ในช่วงนั้นการทำสวนมะม่วงจะนิยมปลูกมะม่วงหลายๆ สายพันธุ์ที่ปลูกกันมากก็ได้แก่ เขียวเสวย แรด ฟ้าลั่น หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ ฯลฯ โดยเฉพาะเขียวเสวยเป็นที่นิยมกันมากเพราะตลาดมีความต้องการสูง

มะม่วงเขียวเสวย มีข้อเสีย คือ ดึงช่อดอกยาก ออกดอกติดผลได้ปีละ 1 ครั้ง คุณพนมจึงมองหามะม่วงพันธุ์ที่ออกดอกง่ายก็มาพบมะม่วงน้ำดอกไม้ ในช่วงแรกๆ จะมีแต่พันธุ์น้ำดอกไม้เบอร์ 4 และต่อมาก็มีพันธุ์สีทองออกตามมา

คุณพนม มองว่า มะม่วงน้ำดอกไม้นั้นเป็นพันธุ์ที่ออกดอกง่าย สามารถทำให้ออกนอกฤดูได้ดีปีหนึ่งสามารถทำผลผลิตได้ 2 รุ่นและที่สำคัญลงทุนน้อยกว่ามะม่วงแรดและเขียวเสวย จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนพันธุ์มะม่วงในสวนทั้งหมดเป็นพันธุ์น้ำดอกไม้ (มีทั้งน้ำดอกไม้เบอร์ 4 และสีทอง)

เคล็ดลับในการผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้คุณภาพดี

สูตรของคุณพนม ในการที่จะผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้ให้มีคุณภาพดีนั้นคุณพนมมีเคล็ดลับหลายประการที่จะแนะนำให้ชาวสวนมะม่วงทดลองนำไปศึกษาดังนี้ ศึกษาสภาพอากาศแวดล้อม จะต้องดูว่าในเขตพื้นที่ของเรานั้นฝนจะเริ่มตกเมื่อไร และตกชุกที่สุดช่วงไหน ฝนเว้นช่วงไหน และหยุดตกช่วงไหน เพื่อประกอบการกำหนดเวลาในการผลิตมะม่วง จะต้องพยายามให้ดอกมะม่วงออกมาโดนฝนน้อยที่สุดหรือออกมาในช่วงที่ฝนตกไม่หนาแน่นนัก เพราะหากดอกมะม่วงบานในช่วงที่ฝนตกชุกโอกาสเสียหายจะมากและเกษตรกรจะต้องฉีดพ่นยาเชื้อราบ่อยครั้งทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น

ที่สวนคุณพนมหรือพื้นที่ใกล้เคียงในเขต ต.โป่งตาลอง จะนิยมตัดแต่งกิ่งมะม่วงตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน เพื่อให้สามารถดึงดอกได้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน ดอกมะม่วงจะบานประมาณกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงสิ้นเดือน ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ฝนตกไม่หนาแน่นนัก

เคล็ดลับการดูแลมะม่วงก่อนแต่งกิ่ง

ก่อนตัดแต่งกิ่งประมาณ 15-20 วัน จะต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 15-0-0 (แคลเซียมไนเตรท) ต้นละประมาณ 1-2 กิโลกรัม โดยใส่แล้วฝังกลบแล้วรดน้ำตามทันทีให้ปุ๋ยละลายจนหมด ข้อนี้คุณพนมย้ำมากเพราะหากใส่ปุ๋ยแล้วไม่รดน้ำให้ปุ๋ยละลาย ปุ๋ยก็จะสูญเสีย ปุ๋ยไปโดยเปล่าประโยชน์ คุณพนมเคยเห็นเกษตรกรบางคนใช้วิธีหว่านปุ๋ยรอฝน คือเมื่อเห็นฝนทำท่าจะตกก็ใส่ปุ๋ยรอถ้าฝนตกปุ๋ยละลายหมดก็ไม่เป็นไรแต่บางครั้งใส่แล้วฝนก็ไม่ตกปุ๋ยก็สูญเสียเหมือนเราหว่านทิ้งหว่านขว้างเสียมากกว่า

หลังจากราดสารแล้วจะต้องใส่ปุ๋ยเร่งการสะสมอาหาร สูตรที่ใช้คือ 8-24-24 อัตราต้นละ 1-2 กิโลกรัม(ใส่แบบฝังกลบเหมือนเดิม) ส่วนทางใบนั้นจะใช้สูตรนูตราฟอส ซุปเปอร์-เค อัตรา 40 กรัม ผสมกับ โฟแมกซ์ คัลเซียมโบรอน อัตรา 10 ซีซี. และ น้ำตาลทางด่วน (เกรดดี) 30 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นประมาณ 3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 10 วัน

ใบมะม่วงจะสมบูรณ์ เขียวเข้ม พร้อมที่จะเปิดตาดอก เปิดตาดอกในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ปกติแล้วเราจะเปิดตาดอกมะม่วงหลังจากราดสารแล้วประมาณ 45 วัน ในการเปิดตาดอกเกษตรกรหลายรายนิยมใช้สารไทโอยูเรียในปริมาณที่สูงการออกดอกจะเร็วและออกดอกมาก แต่บางครั้งพบว่าแม้จะใช้สารไทโอยูเรียในปริมาณที่สูงดอกมะม่วงก็ยังไม่ออก หรือออกก็พบปัญหาดอกไม่สมบูรณ์ ในส่วนนี้คุณพนมแนะนำให้ใช้โปรแตสเซี่ยมไนเตรท อัตรา 400 กรัม ผสมกับ ไทโอยูเรีย อัตรา 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ส่วนเกษตรกรบางท่านอาจจะใส่ฮอร์โมนจำพวกสาหร่ายสกัดก็สามารถใส่เพิ่มได้

การใช้ปุ๋ยโปแตสเซียมไนเตรทในการเปิดตาดอก จะทำให้ดอกออกเสมอและสมบูรณ์กว่า ถ้าเกษตรกรท่านใดมีปัญหามะม่วงออกดอกยาก ลองใช้วิธีนี้ดูรับรองได้ผล

ระยะช่อดอกต้องดูแลเต็มที่ เมื่อสังเกตเห็นมะม่วงเริ่มแตกตาดอกคุณพนมจะเน้นการฉีดสารเพิ่มความสมบูรณ์ให้ช่อดอกอย่างเต็มที่โดยใช้ โฟแมกซ์ คัลเซี่ยมโบรอน อัตรา 10 ซีซี. ผสมกับ น้ำตาลทางด่วน อัตรา 30 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ร่วมกับสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น อโรไซด์ หรือ แอนทราโคล สารกลุ่มนี้จะใช้ในกรณีที่ฝนไม่ตก อากาศเปิดแต่ถ้าเป็นช่วงที่ฝนตก อากาศครึ้มจะต้องเปลี่ยนมาใช้สารแซดคลอราชหรือโวเฟ่น หรือสารอมิสตา

การบำรุงช่อดอก

จะต้องฉีดพ่นอย่างน้อย 3 ครั้งก่อนถึงระยะดอกบาน เมื่อดอกบานดอกจะสมบูรณ์ ติดผลง่าย คุณพนมยังย้ำว่าช่วงดอกบานเป็นช่วงที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องโรคที่จะมาพร้อมกับน้ำฝน บางครั้งดอกบานฝนตกทุกวันก็ต้องหาเวลาที่ฝนเปิดฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อราเพราะหากเราไม่ฉีดพ่นดอกมะม่วงจะเสียหายหมด กรณีฝนตกชุกคุณพนมจะใช้แอนทราโคล 30 กรัมร่วมกับสารแซดคลอราซ 20 ซีซี. ฉีดสลับกับสารอมิสตาอัตรา 5 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ในการฉีดแต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 3-5 วันแล้วแต่ช่วงเวลาที่ฝนตก ถ้าฝนตกชุกจะฉีดถี่ขึ้น

เมื่อช่อดอกแทงยาวประมาณ 2 นิ้ว จะมีหนอนมาทำลายเราก็จะฉีดยาฆ่าหนอน อาจจะใช้ยากลุ่มเมทโทมิล หรือ เซฟวิน-85 ก็ได้ ฉีดพ่นประมาณ 1-2 ครั้ง หนอนก็จะไม่ทำลาย หรือในระยะดอกบานเพลี้ยไฟจะระบาด ทางราชการเขาให้งดการฉีดพ่นสารเคมีเพราะจะไปทำลายแมลงที่มาช่วยผสมเกสรแต่จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ฉีดเพลี้ยไฟกินดอกมะม่วงเราหมดก่อนแน่ก็ต้องฉีด

แต่การฉีดจะต้องเน้นใช้ยาที่ไม่ทำลายดอก เช่น กลุ่มยาผงอย่างสารโปรวาโด ส่วนยาน้ำมันที่ลงท้ายด้วย EC ให้พยายามหลีกเลี่ยงเพราะเป็นยาร้อนจะทำให้ดอกแห้ง เวลาฉีดก็ควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็นห้ามฉีดเวลากลางวันเพราะอากาศร้อนจัด แต่ก็อาศัยประสบการณ์ทั้งลองผิดลองถูกมาโดยตลอดซึ่งประสบการณ์จะสอนเราได้ดีจนมาถึงวันนี้ ทุกคนจะต้องรู้ว่าตัวยาดังกล่าวสามารถฉีดพ่นได้หรือไม่ มีระยะเวลาตกค้างกี่วัน ฉีดแล้วกี่วันจึงจะเก็บผลิตได้ ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วจะทำให้ชาวสวนมะม่วงไม่ผิดพลาดในการใช้สารเคมี จะได้ไม่เสียโอกาส โดยถ้าส่งออกได้เราจะขายมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ถึงกิโลกรัมละ 80-90 บาท แต่ถ้าเราพลาดไม่มีความรู้ในการใช้สารเคมีมะม่วงถูกตรวจพบสารตกค้าง มะม่วงของเราก็จะเหลือกิโลกรัมละ 40 – 50 บาท ราคานี้เกษตรกรก็ยังพอได้ แต่ปีไหนช่วงไหนราคาไม่ดี มะม่วงราคาถูก มะม่วงชุดดังกล่าวอาจจะเหลือเพียงกิโลกรัมละ 20-30 บาทเท่านั้น

การใช้สารเคมี มีความสำคัญมาก ยกตัวอย่างการใช้ยาฆ่าแมลง เช่น เซฟวิน-85 สามารถใช้ก่อนเก็บเกี่ยว 14 วัน หรือจะเป็นยาป้องกันเชื้อรา “โพรคลอราซ” ก็ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 14 วันเป็นต้น ต้องทำความเข้าใจในการเลือกใช้สารเคมีต้องดูถึงเปอร์เซ็นต์ของตัวยาด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยตัวยาเดียวกันแต่ราคาต่างกันถึงเท่ากัน แต่เมื่อพิจารณาถึงเปอร์เซ็นต์ยาแล้วพบว่ายานี้ขายถูกๆ ก็มีเปอร์เซ็นต์ยาเพียง 20–30% เท่านั้นแล้วเขาขายเพียงขวดละ 500-700 บาท แต่ยาที่ขายแพงขวดละ 1,000–1,400 บาทนั้น มีเปอร์เซ็นต์ยาสูงถึง 50%

เมื่อเรานำมาใช้ยาที่มีเปอร์เซ็นต์ตัวยาสูงย่อมใช้ได้ผลดีกว่าแน่นอน อีกประการต้องเลือกใช้สารเคมีจากบริษัทนี่เชื่อถือได้ เท่านั้นไม่มีการผสมตัวยาอื่นต้อง ถูกต้องตามฉลากที่เขาระบุไว้ บางบริษัทข้างขวดเขียนว่า “อะบาเม็กติน” แต่พอเราไปใช้ผลปรากฏว่ามะม่วงของเราตรวจพบ “สารคลอไพริฟอส” นั้นทำให้เกษตรกรเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก เสียโอกาสเป็นอย่างมาก รายได้ของชาวสวนมะม่วงจะหายไปครึ่งหนึ่งทีเดียวแถมเราเองก็เสียชื่อเสียง

เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อนจะต้องฉีดปุ๋ยทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและลดปัญหาผลร่วงแนะนำให้ใช้ปุ๋ยเหลวสูตรเสมอหรือสูตรตัวหน้าสูงร่วมกับน้ำตาลทางด่วน ข้อดีของการใช้ปุ๋ยเหลวคือจะช่วยทำให้ผลมะม่วงโตเร็วและลดปัญหาผลแตกสะเก็ด ซึ่งถ้าใช้ปุ๋ยเกล็ดบางครั้งจะพบปัญหาผลแตกสะเก็ดขายไม่ได้ราคา ส่วนเรื่องเชื้อราในระยะนี้จะใช้สารแอนทราโคลฉีดป้องกันไว้ตลอดจนถึงระยะห่อผลจึงหยุดใช้ยาเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออก

ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ต้องห่อผล

ทุกวันนี้ถ้าเราปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ไม่ว่าจะเป็นน้ำดอกไม้สีทองหรือน้ำดอกไม้เบอร์4 เพื่อการส่งออกหรือขายในประเทศก็ต้องห่อผลให้ผิวมะม่วงมีสีสวย ยกตัวอย่างตลาดในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นตลาดไท,ตลาดสี่มุมเมือง ถ้ามะม่วงของเราไม่ห่อผลเขาก็จะไม่รับซื้อ หรือซื้อก็จะถูกตีราคาเป็นมะม่วงยำ ส่วนการห่อมะม่วงก็มีปัญหาที่เกษตรกรพบบ่อย คือ เพลี้ยแป้งที่อยู่ในถุงห่อมะม่วง ซึ่งก่อนนั้นเราก็เจอปัญหาเพลี้ยแป้งมาก่อน แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ พบว่าแก้ไขปัญหาเพลี้ยแป้งนั้นไม่ยากเลย เพียงแต่เราต้องรู้จักการใช้สารเคมีคือใช้ยากลุ่ม “มาลาไธออน” ฉีดสลับกับ “เมทโทมิล” ซึ่งเป็นยาที่ค่อนข้างถูก ไม่แพงแต่อย่างใด

ในช่วงที่เราฉีดพ่นมะม่วงระยะสะสมอาหาร ก็จะเริ่มมีการใช้ยากลุ่มนี้ไปด้วย จะเป็นการกำจัดและป้องกันเพลี้ยแป้งไว้แต่ต้นพบว่าเพลี้ยแป้งจะบางเบาจนเกือบจะไม่มีเลยทีเดียว แต่การป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งให้ได้ผลดีที่สุดก็ต้องย้อนไปกำจัดจุดเริ่มต้นของเพลี้ยแป้งคือกำจัด “มด” โดยเฉพาะมดดำ ที่มันจะคาบเอาเพลี้ยแป้งที่มันอาศัยอยู่บริเวณใต้ใบหญ้าใต้โคนต้นมะม่วงขึ้นไปบนต้นมะม่วงเพื่ออาศัยกินสิ่งขับถ่ายของเพลี้ยแป้ง จึงทำให้เกิดการระบาดของเพลี้ยแป้งในมะม่วงนั้นเอง ดังนั้นชาวสวนต้องเริ่มที่กำจัดมดให้ได้เสียก่อน ก่อนที่มดจะคาบเพลี้ยแป้งขึ้นต้นมะม่วง ตัวยาที่ฉีดได้ผลดีมากคือ ยาเซฟวิน-85 ฉีด ทั้งต้นมะม่วงและบริเวณดินโคนต้นมะม่วง เมื่อมดหมดไปเพลี้ยแป้งก็น้อยมาก ทำให้เราฉีดยากลุ่มมาลาไธออนและเมโทมิลน้อยลง เวลานี้แทบจะไม่เจอปัญหาเพลี้ยแป้งอีกเลย

คุณพนมกล่าวทิ้งท้ายว่า การจะทำสวนะม่วงให้ประสบความสำเร็จเราจะต้องเป็นคนช่างสังเกต ต้องหมั่นดูรายละเอียดทุกระยะว่าเกิดอะไรขึ้นกับมะม่วงของเรา จะต้องรู้ว่าระยะไหนมะม่วงต้องการอะไร ระยะไหนศัตรูอะไรจะมาทำลายแล้วหาวิธีป้องกันถ้าทำได้ก็ประสบความสำเร็จ

วิถีชีวิตชาวไทยผูกพันอยู่กับสายน้ำ

เราชาวบ้านเก่าก่อน ต้องอาศัยน้ำเป็นเส้นทางไปมาหาสู่กัน ไม่ว่าจะไปไหนใกล้ ไกล ต้องศัยเรือ แพ บางบ้านก็ใช้อีโปง อยากจะไปไหนก็พายหรือไม่ก็ท่อกันไป

อีโปง บางถิ่นเรียกอีโพง หรือ โพง การเรียกขานมีเพี้ยน ๆ กันไปบ้าง แต่หมายถึงพาหนะสิ่งเดียวกันคือ พาหนะคล้ายเรือ ชาวบ้านนำเอาต้นตาลมาขุด เจาะ เป็นโพรงด้านใน แล้วอุดด้านปลายไม่ให้น้ำเข้า จัดการเสี้ยนต่าง ๆ ให้ราบเรียบ แล้วนำมาใช้ถ่อหรือพาย ใช้ประโยชน์ตามใจต้องการ

การเดินทางของชาวบ้าน จะเลือกพาหนะอย่างไหน ขึ้นอยู่กับระยะทางและคนที่เดินทางแต่ละคน ว่ามีอะไรอยู่ในบ้าน

โดยทั่วไปแล้ว การเดินทางไกล มักใช้เรือและแพ ส่วนอีโปงหรือโพงนั้น เรามักถ่อไปไหนมาไหนใกล้ ๆ