การปลูกแบบอินทรีย์ก็คงหนีไม่พ้นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักเป็นหลัก

เพราะมีฮอร์โมนสูง อีกอย่างคือพวกเศษใบมะพร้าว ผลที่หล่นก็นำไปถมร่องที่ขุดไว้ พอมะพร้าวมีอายุ 3 ปี ให้จัดการถมร่องกลบให้เสมอพื้นที่ปลูก พออายุมะพร้าวเกิน 5 ปี รากจะแผ่ออกด้านข้างแล้วลงไปในร่องที่ถมก็จะไปเจอกับเศษวัสดุพืช จากนั้นให้ใส่ปุ๋ยคอกที่บริเวณรอบโคนต้นโดยปริมาณและระยะที่ใส่ควรสอดคล้องกับอายุต้น

อย่างเช่น ถ้าต้นอายุ 1 ปี ให้ใส่ห่างสัก 50 เซนติเมตร อายุต้น 2 ปี ห่าง 1 เมตร หรือ 3 ปี ห่าง 2.50 เมตร เพราะโดยธรรมชาติของมะพร้าวน้ำหอมมีรัศมีรากประมาณ 2.50 เมตร แล้วถ้ารวม 2 ด้าน เป็น 5 เมตร ดังนั้น ระยะห่างต้นควรอยู่ที่ 7 เมตร จะเหมาะสม เพราะแสงแดดสามารถส่องผ่านได้ แล้วควรปลูกแนวสามเหลี่ยม

การวางแผนปลูกมะพร้าวอย่าเพียงสนใจเรื่องคุณภาพผลผลิตอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงเรื่องการขนส่งคมนาคมกับการตลาดด้วยเป็นสำคัญ เพราะถ้าคิดปลูกแต่มีระยะทางไกลหรืออยู่ห่างไกลมากก็คงไม่คุ้มแน่นอน แล้วยังต้องมองว่าตลาดอยู่ห่างไกลไหม เป็นตลาดแบบไหน

“อายุเก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา 3 ปี ซึ่งจะได้ผลผลิตประมาณต้นละ 10 ผล พอเข้าปีที่ 4-5 จะได้จำนวนผลมากขึ้น สำหรับมะพร้าวที่มีความสมบูรณ์เนื้อจะเต็ม ให้สังเกตว่าสีผลมีสีเขียวนวล ที่ขอบขั้วมีสีขาวเล็กๆ หางหนูจะมีสีดำครึ่งเส้น พอเป็นเช่นนั้นสามารถเก็บได้ แล้วส่งเข้ากระบวนการเพื่อเตรียมส่งขายต่างประเทศ” อาจารย์ประสงค์ กล่าว

อย่างที่ท่านอาจารย์ประสงค์พยายามเน้นย้ำว่าบนเส้นทางอาชีพมะพร้าว คงต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ผู้ปลูกเองก็ต้องไม่ละเลยที่จะให้ความสำคัญและเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนเพื่อที่จะทำให้มะพร้าวทุกผลล้วนมีคุณภาพเพื่อการส่งขายทั้งในและต่างประเทศ สำหรับคราวหน้าติดตามอ่านสาระความรู้ ตลอดจนข้อมูลที่น่าสนใจจากการสัมมนามะพร้าวกันต่อ

คุณบุญลือ สุขเกษม เจ้าของสวนบุญบันดาล ตั้งอยู่ที่ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง เป็นสวนพันธุ์ไม้แปลกขึ้นชื่อที่ตำบลกลางดง และอย่างที่ทราบกันดีว่าที่กลางดง เป็นแหล่งขายพันธุ์ต้นไม้นาๆ ชนิด หากใครเคยเดินทางสัญจรผ่านก็จะเห็นได้ว่าระหว่างสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าพันธุ์ไม้ และสวนบุญบันดาล ก็เป็นสวนพันธุ์ไม้ขึ้นชื่อของ อ.กลางดง อีกแหล่งนึง ซึ่งมีต้นไม้แปลกหายากมากมายหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นต้นหม่อน หรือมัลเบอร์รี่ ส้มโอแดงเวียดนาม ลำไยชมพูพันธุ์ช้างทอง กล้วยร้อยปลี กล้วยหักมุขอันดามัน พริกกระดิ่ง แก้วมังกรสีเหลือง ชนิดพันธุ์ไม้แปลกที่กล่าวมานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง หากท่านใดสนใจอยากลองซื้อไม้ผลแปลกมาประดับบ้าน หรือทำตลาดใหม่ๆ โทรปรึกษาคุณบุญลือได้

หม่อน หรือมัลเบอร์รี่ ทั่วไปเห็นกิ่งพันธุ์ได้บ่อยแต่ที่นี่จะขายต้นพันธุ์แบบติดผลไปด้วย เรียกว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ต้นพันธุ์ และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าเป็นอย่างดี และยังได้ผลพลอยได้ ก่อนที่จะซื้อไปปลูกก็สามารถเก็บผลทานได้ก่อนแล้ว วิธีการปลูกไม่ยุ่งยาก ใช้วิธีการปักชำแบบง่ายๆ หม่อนที่สวนขายเป็นหม่อนพันธุ์เชียงใหม่เหมาะสำหรับการนำมาแปรรูปเป็นน้ำถือว่าอร่อยที่สุดถ้าเปรียบกับพันธุ์อื่น ปลูกง่าย ดูแลง่าย มีพื้นที่น้อยสามารถปลูกในกระถางได้ การตัดแต่งกิ่งให้ดูที่สีถ้ากิ่งมีสำน้ำตาลสามารถตัดได้เลย พอตัดแต่งเสร็จประมาณ 45 วัน ก็เก็บผลกินได้เลย ปุ๋ยไม่ต้องยุ่งยาก พอตัดแต่งกิ่งเสร็จให้ใส่ปุ๋ยสูตร 25-7-7 ราคาขายที่สวนมีตั้งแต่ 25 -1,000 บาท ถ้าใครใจร้อนก็แนะนำให้ซื้อต้นใหญ่มีผลไปเลย

ส้มโอแดงเวียดนาม ลักษณะเด่นคือเปลือกสีแดง เนื้อเป็นสีชมพู ติดลูกง่าย ออกดอกง่าย รสชาติหวาน ไม่มีรสเปรี้ยว แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะส้มโอพันธุ์นี้ยังใหม่ และกำลังจะกระจายไปที่ต่างๆ เหมาะสำหรับท่านที่ชื่นชอบผลไม้พันธุ์แปลก ราคาไม่แพง เพียง 450 บาท ใช้ระยะเวลาการปลูก 2-3 ปี ได้กินผล

ลำไยชมพูพันธุ์ช้างทอง ลักษณะเด่นเปลือกสีชมพู ต้นนี้จะดกมาก ออกผลทะวาย รสชาติดีมาก ที่สวนของคุณบุญลือปลูกเป็นแปลงใหญ่ จำนวนร้อยกว่าต้น ออกผลให้ได้ชิมกันแล้ว ตอนนี้ราคาขายกิโลกรัม 80-100 บาท แต่ว่าเป็นไม้นอกฤดูออกลูกตลอด ถือว่าเป็นอาชีพเสริมได้ หรือเป็นอาชีพหลักก็ดี เพราะลำไยสายพันธุ์นี้ให้ผลผลิตสูง คนปลูกน้อย เอาไว้ปลูกในครัวเรือน หรือทำตลาดก็ได้

กล้วยร้อยปลี จะออกลูกมาเป็นปลี เป็นปลี จะไม่มีผล เอาปลีมาทาน และสมัยนี้ทางโรงแรมเขาจะนำไปจัดจาน เวลาไปตัดไม่ต้องตัดเป็นต้น เป็นเครือ เราแค่ไปเด็ด 4-5 ปลี มาทำกับข้าว รสชาติมัน ขาย 150 บาท สำหรับท่านที่ไปลองปลูกถือว่าไม่แพง

กล้วยหักมุขอันดามัน เป็นพันธุ์ใหม่ล่าสุด ผลยาวใหญ่ จำนวนเครือประมาณ 18- 22 หวี น้ำหนักสองร้อยกว่าโล กินผลสุก หรือนำมาทำกล้วยฉาบก็ได้

พริกกระดิ่ง รูปร่างลักษณะคล้ายกระดิ่ง นำพันธุ์มาจากออสเตรเลีย จะปลูกสวยงามหรือปลูกไว้รับประทานก็ได้ รสชาติคล้ายพริกหวาน ผลสุกมีสีแดงสวย ใช้ระยะเวลาในการปลูกเพียง 3 เดือนได้ผลผลิต

แก้วมังกรสีเหลือง ลักษณะเด่นคือเปลือกสีเหลือง รสชาติหวานเนื้อสัมผัสเหมือนวุ้น ที่สำคัญราคาสูงกว่าแก้วมังกรทั่วไปกว่าเท่าตัว ที่สวนบุญบันดาลลงแปลงปลูกแล้ว

สำหรับท่านที่สนใจอยากหาพันธุ์ไม้ผลแปลกๆ สามารถค้นหาเส้นทางการเดินทางได้ทางอินเตอร์เน็ต หรือโทร.086-618-1453 คุณบุญลือ เจ้าของสวนบุญบันดาลยินดีให้คำปรึกษา

เมื่อไม่นานมานี้ ได้ไปเยี่ยมชม โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพ นำโดย บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เป็นหนึ่งพื้นที่ ที่อินทัชเข้ามาสนับสนุนชาวนาในเรื่องของความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการสร้างรายได้ และส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดสารเคมี

จุดเปลี่ยนผัน ที่หันมาทำอินทรีย์ ได้สัมภาษณ์ คุณลาวัล เพชตบรรพ์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม อยู่บ้านเลขที่ 169 หมู่ที่ 1 ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก

คุณลาวัล เล่าว่า “ก่อนที่จะมาเข้ากลุ่ม ก็ทำนามา 20 กว่าปี แต่ทำเป็นเคมี แล้วมีวันหนึ่งกำลังจะไปฉีดยาข้าว เกิดเคมีหกราดใส่หลัง แล้วแพ้สารเคมี ไปหาหมอตรวจเลือด ก็พบสารเคมีในเลือด เลยคิดว่าทำอย่างไรดีที่เราจะไม่ต้องใช้สารเคมี ก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง แล้วทางหมู่บ้านได้มีการอบรมการทำน้ำหมักของกรมพัฒนาที่ดิน เขามาส่งเสริมให้ทำน้ำหมักช่วยในการจัดการนาข้าว ก็เลยลองไปอบรมกับเขา แล้วก็นำมาปรับเปลี่ยนใช้ แต่ก็ยังใช้ควบคู่อยู่กับยาฆ่าหญ้า ยาคุมข้าว แล้วก็มีเคมีบ้าง”

เมื่อก่อนใช้เคมีอย่างเดียวในการทำนา มีต้นทุนสูง ตกไร่ละประมาณ 3,000 กว่าบาท รวมค่าแรงงาน ค่าปุ๋ยแล้ว เมื่อก่อนปุ๋ยก็ลูกละ 800 กว่าบาท พอเข้าไปอบรม ก็มีการใช้เคมีควบคู่อินทรีย์ ลดค่าใช้จ่ายไปได้ เหลือไร่ละ 1,000 กว่าบาท คุณลาวัล บอกว่า ใช้เคมีน้อยลง เปลี่ยนมาใช้น้ำหมักเสริมไปด้วย แล้วก็มีการใช้มูลไก่ ในกลุ่มมีการทำปุ๋ยอินทรีย์ ใช้มูลค้างคาว มูลไก่ ฟอสเฟตหรือมูลสุกร หมักรวมกับ สาร พด.2 ที่ได้จาก กรมพัฒนาที่ดิน เมื่อทดลองใช้แล้ว ได้ผลตอบรับที่ดีก็เลยปรับเปลี่ยนมาใช้อินทรีย์โดยที่ไม่มีเคมีร่วม

แต่เนื่องด้วยข้าวที่ขายเป็นข้าวอินทรีย์ ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เมื่อนำไปขายที่โรงสี กลับได้ราคาข้าวเท่ากับคนที่ไม่ต้องดูแลอะไร จึงทำให้กลุ่มชาวนาท้อ เพราะไม่มีตลาดไม่มีหนทางที่จะไป จนได้ บริษัท อินทัชฯ เข้ามาช่วยในเรื่องการทำตลาด และเทคโนโลยีเครื่องจักร จากการสมัครขอเข้าร่วมโครงการ และมีคนลงมาดูพื้นที่ มีการประชุม จนได้รับคัดเลือก ก่อนที่จะมีเครื่องจักรคัดพันธุ์ข้าว จะทำโดยใช้พัดลมพัดให้ข้าวไม่ดีปลิวไป ได้ราคาขายที่ถังละ 120 บาท แต่พอมีเครื่องคัดพันธุ์ข้าว ขายได้ราคาถังละ 200 บาท แถมยังทำให้ชาวนาเบาแรงลงอีกด้วย

แต่ก่อนชาววัดโบสถ์จะทำนาปีละ 2 ครั้ง นาปรัง กับนาปี แต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดภัยแล้ง จึงมีประกาศห้ามให้ชาวนาทำนาปรัง ชาวนาจึงต้องหาอาชีพเสริม มีการรวมกลุ่มกันทำไม้กวาด ทำขนม ไปขาย รายได้จากการทำนาของคุณลาวัล เมื่อทำข้าวอินทรีย์ ได้เกวียนละ 8,000 บาท เพิ่มขึ้นจากทำเคมี 1,000-2,000 บาท ต่อเกวียน สำหรับชาวนาเป็นรายได้ที่อยู่ได้แบบสบายๆ บางครั้งเข้าหลักหมื่น เพราะจากการออกบู๊ธขายข้าวของกลุ่มตามงานเกษตรต่างๆ

ขั้นตอนการทำนาของกลุ่ม ตอนแรกต้องไถดะ แล้วมีการคุยกันว่าจะตกกล้าเมื่อไร แล้วจึงจะไปทำเทือก เพื่อที่จะให้รถเข้าไปดำนาให้ ขั้นตอนที่สองทำเทือก หลังจากการทำเทือกก็จะใส่ปุ๋ยหมักย่อยสลายฟาง ขั้นตอนที่สามดำนา ดำเสร็จก็มีการดูแลใส่ปุ๋ย ดูแลเรื่องหญ้า ขั้นตอนที่สี่เกี่ยวข้าว จะเกี่ยวโดยจ้างรถเกี่ยว หลังจากเกี่ยวเสร็จก็ไปจ้างโรงสี พอโรงสีคัดเสร็จก็จะนำกลับมาที่ศูนย์เพื่อที่จะเข้ากระบวนการแพ็ก

ในกระบวนการแพ็ก สมาชิกในกลุ่มจะแยกแผนกกันทำ ตั้งแต่เริ่มชั่งกิโล อัดใส่ถุงไล่อากาศ เข้าเครื่องซีล จนติดสติ๊กเกอร์ เมื่อมีของดี ก็ย่อมมีศัตรู

ในนาข้าวเมื่อมีวัชพืช ชาวนาก็ต้องมีการกำจัดออก ซึ่งก็มีหลายวิธีแล้วแต่จะเลือกทำ แต่ของคุณลาวัลจะเป็นการถอน ที่ใช้เครื่องพรวนดิน ยู้ไปมาตามแนวร่องของต้นข้าว และในกลุ่มก็กำลังทดลองทำน้ำหมักกำจัดวัชพืชฆ่าหญ้า โดยไม่ใช้สารเคมีอีกด้วย

ศัตรูไม่ได้มีแค่วัชพืชอย่างเดียว แต่ยังมีพวกแมลง หนอน แต่คุณลาวัลบอกว่า “เราไม่กลัว” เพราะเราใช้น้ำหมักทำเอง มีวัตถุดิบเป็นสะเดา ตะไคร้หอม หางไหล กลอย ที่มาจากบนเขา แล้วก็หนอนตายหยาก โดยการนำมาหมักรวมกัน ใช้สาร พด.7 ที่ขอมาจากกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งใช้แล้วได้ผลดี ไล่แมลงได้ ทำนา 1 ครั้ง จะฉีด 2 รอบ รอบแรกฉีดตอนหลังจากปักดำได้ประมาณ 1 สัปดาห์ รอบที่สองฉีดตอนข้าวท้อง กันไว้ก่อนที่ข้าวจะออกรวง

รายได้จากการทำข้าวอินทรีย์

การทำอินทรีย์มีการลงทุนต่ำกว่าทำข้าวเคมี เพราะทำข้าวเคมี ยาฆ่าแมลง 1 ขวด ราคา 600-700 บาท แต่ทำข้าวอินทรีย์ใช้ยาไล่แมลงที่ทำเองในกลุ่ม ประหยัดกว่าและวัตถุดิบก็หาได้ตามธรรมชาติ บางอย่างก็ขอกรมพัฒนาที่ดิน

รายได้จากการทำนา 20 กว่าไร่ ถ้าราคาข้าวไม่ดี 10 กว่าเกวียน ได้กำไรประมาณ 30,000-40,000 บาท แต่ถ้าราคาข้าวดีก็จะได้ถึงหลักแสน คุณลาวัลไม่เพียงแต่ทำนาอย่างเดียว เพราะ 1 ปี ทำได้แค่ครั้งเดียว จึงมีการทำไร่มันสำปะหลัง เพื่อเป็นรายได้เสริม เพราะ 1 ปี รายได้จากการปลูกก็หลักแสน จึงทำให้ชาวนาอยู่ได้

ผลิตภัณฑ์จากโครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพ ของชุมชนท่างาม จะมีข้าวสารหอมมะลิ 105 ปลอดสารเคมี เมล็ดพันธุ์ข้าว กข 49 และพิษณุโลก 2 จำหน่าย ในตรา “ถิ่นงาม” ซึ่งตราสินค้า “ถิ่นงาม” สื่อถึงแหล่งผลิตข้าวชั้นดี ด้วยวิถีคนท่างาม มีจำหน่ายตั้งแต่ครึ่งกิโลกรัม 1 กิโลกรัม 5 กิโลกรัม หรือจะสั่งเป็นเกวียนก็ได้ เพราะตอนนี้ชาวบ้านกำลังรับออเดอร์

ถ้าใครสนใจ โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพ หรืออยากจะสนับสนุนชาวนา เดินทางไปเยี่ยมชมได้ที่ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก หรือติดต่อ คุณลาวัล เพชตบรรพ์ โทร. (082) 407-1341 หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม

ดอกหน้าวัว (Anthurium spp.) เป็นไม้ดอกเศรษฐกิจสำคัญ ที่นิยมใช้แพร่หลายในประเทศและส่งออก เพราะเป็นไม้ดอกที่มีหลากสีสันและหลายสายพันธุ์ ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง และมีอายุการใช้งานได้นาน

หน้าวัว เสริมรายได้ช่วงฤดูฝน-ราคายางตกต่ำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส พบว่า เมื่อนำต้นหน้าวัวปลูกเป็นพืชร่วมในสวนยางพารา ดอกหน้าวัวสามารถเจริญเติบโตและออกดอกได้ดี จึงแนะนำให้เกษตรกร ปลูกเป็นพืชร่วมในสวนยางพารา เพื่อเสริมรายได้ในช่วงฤดูฝนที่มีจำนวนวันกรีดน้อยหรือในช่วงที่ราคายางตกต่ำ

ธรรมชาติของหน้าวัว

ดอกหน้าวัว เติบโตได้ดีในแหล่งปลูกที่มีร่มรำไร มีแสงแดดประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และต้องการความชื้นสูง ทั้งนี้ แนะนำให้ปลูกในสวนยางพาราอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป ที่มีปริมาณแสงเพียงพอกับการเจริญเติบโตและออกดอกแล้ว ยังมีเวลายาวนานเพียงพอกับการลงทุน

สายพันธุ์ที่แนะนำปลูก

การปลูกหน้าวัวในสวนยางพารา ควรเลือกใช้สายพันธุ์ไทยที่ต้านทานโรคและทนทานต่อแสงแดด ได้แก่ เปลวเทียนภูเก็ต (สีชมพู) เปลวเทียนลำปาง (สีขาว) หน้าวัวผกามาศ (สีส้ม) และหน้าวัวดวงสมร (สีแดง)

ต้นดอกหน้าวัว ปลูกได้ไม่ยาก เริ่มจากใช้ต้นพันธุ์ที่มีใบ 3-4 ใบ และมีราก 2-3 ราก นำมาปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ โดยใช้กาบมะพร้าวสับเป็นวัสดุปลูกหลัก และใช้เศษอิฐหักผสมบ้างเพื่อกันต้นล้ม นิยมปลูกแถวคู่ โดยปลูกห่างแถวยางพารา 1.75 – 2 เมตร สำหรับพื้นที่สวนยางพารา 1 ไร่ ปลูกในระยะ 2.5×8 เมตร จะใช้ต้นพันธุ์ปลูกประมาณ 3,200 ต้น หากปลูกในระยะห่าง 3×7 เมตร จะใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 2,750 ต้น

การดูแลรักษา

ต้นดอกหน้าวัวที่ปลูกในปีแรก ควรใส่ปุ๋ยเกล็ด สูตร 21-21-21 อัตรา 15 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร สลับกับปุ๋ยน้ำ สูตร 11-8-6 อัตรา 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง ส่วนปีต่อไป ควรใช้ปุ๋ยเกล็ด สูตร 21-21-21 ในอัตราส่วนเท่าเดิม ฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สลับด้วยปุ๋ยเกล็ด สูตร 10-52-17 อัตรา 30 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเดือนละ 1 ครั้งเพื่อเร่งดอก

ในฤดูฝน แปลงปลูกดอกหน้าวัวมักเสี่ยงเจอโรคจากเชื้อรา ระบาดทางใบและดอก เช่น โรคแอนแทรกโนส ควรใช้สารออโธไซด์ฉีดพ่นเพื่อป้องกันหรือในช่วงเป็นโรคเพียงเล็กน้อย อัตรา 50 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร หากโรคแพร่ระบาดรุนแรง ควรฉีดพ่นสลับด้วยสารอาลีเอท ในอัตรา 30 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง จึงค่อยลดระยะการใช้ห่างออกไป ส่วนฤดูแล้งไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี

การให้น้ำ ช่วงฤดูแล้งควรรดน้ำแปลงปลูกหน้าวัวให้ชุ่มทั้งต้นและวัสดุปลูก ในช่วงเช้าและเย็น ต้นหน้าวัวจะเริ่มออกดอกหลังจากปลูกประมาณ 5-7 เดือน ในปีแรกจะให้ดอกน้อย ในปีถัดไปจึงให้ปริมาณดอกเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 22,000 ดอก ( ปลูกระยะ 2.5×8 เมตร) และ 16,000 ดอก (ปลูกระยะ3×7 เมตร ) ต่อพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ไร่

การเก็บเกี่ยว

แนะนำให้ตัดดอกในช่วงเช้า โดยเลือกจานรองดอกที่มีดอกจริงบนจานรองดอก 1/2-3/4 ของจาน ให้สังเกตจากสีของจานรองดอกที่เปลี่ยนไป จะทำให้ดอกที่ตัดมานั้นมีอายุการใช้งานได้นาน ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์

ต้นทุนการผลิต

สำหรับพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ไร่ การลงทุนในปีแรก จะประกอบด้วยต้นทุน จากค่าต้นพันธุ์ วัสดุปลูก อุปกรณ์ให้น้ำ ปุ๋ย และสารเคมีป้องกันกำจัดโรค เฉลี่ยประมาณ 51,700 บาท (ระยะ2.5×8 เมตร )และ 44,400 บาท ( ระยะ 3×7 เมตร )ต่อพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ไร่ ซึ่งต้นทุนการผลิตจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับราคาขายและพันธุ์

ส่วนปีต่อมา จะมีต้นทุนค่าใช้จ่าย จากค่าปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดโรค เฉลี่ย 2 บาท ต่อต้น หรือประมาณ 6,400 บาท (2.5×8 เมตร )และ 5,500 บาท ( ระยะ 3×7 เมตร ) ต่อพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ไร่

ในปีแรก รายได้จากการตัดดอกมีปริมาณต่ำ เฉลี่ยประมาณ 34,450 บาท (2.5×8 เมตร )และ 29,600 บาท ( ระยะ 3×7 เมตร ) ต่อพื้นที่ปลูกยาง 1 ไร่ ในปีต่อมาจะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 80,000 บาท (2.5×8 เมตร )และ 68,750 บาท ( ระยะ 3×7 เมตร ) ต่อพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ไร่ อย่างไรก็ตาม ผู้ปลูกมีโอกาสคืนทุนได้ในปีที่ 2 หลังจากปลูก และจะมีรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายต้นพันธุ์ ซึ่งเริ่มขยายพันธุ์ได้ในปีที่ 4-5 เป็นต้นไป

ข้อเสนอแนะ

การปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัวเพื่อเสริมรายได้ในสวนยางพารา เหมาะสมสำหรับสวนยางพาราในบางพื้นที่เท่านั้น โดยพิจารณาถึงตลาดรองรับ นอกจากนี้ เจ้าของสวนควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย คือ 1. ควรมี “ แหล่งน้ำ ”เพียงพอสำหรับดูแลแปลงปลูกในช่วงฤดูแล้ง 2. ควรมี “แรงงาน”เพียงพอสำหรับการดูแลรักษาแปลงปลูก 3. เริ่มลงทุนปลูก จากพื้นที่น้อยๆ ก่อน เมื่อมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นจึงค่อยขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ

ผู้สนใจปลูกหน้าวัว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานวิชาการเกษตร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โทรศัพท์ (073) 631-033, (073) 631-038

เผือกหอม เป็นพืชอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีวิตามินหรืออื่นๆ ที่เสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง มีอาหารรสอร่อยจากเผือกหอม เช่น ข้าวต้มเผือกกระดูกหมูอ่อนทรงเครื่อง หรือเผือกกวน เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศปีละหลายล้านบาท และส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพื่อการยังชีพที่มั่นคง

คุณสุพจน์ ประสมทอง เกษตรอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เล่าให้ฟังว่า เผือกหอมเป็นพืชอาหารคู่ครัวไทยที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทำได้ทั้งอาหารคาวและหวาน เช่น ข้าวต้มเผือกทรงเครื่อง หรือขนมบัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน ในเชิงการค้าเผือกหอมเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรจะปลูกและขายเพื่อก่อให้มีรายได้เงินแสนบาทในแต่ละปี

เผือกหอม เป็นพืชล้มลุก อายุยืน ลำต้นตรง มีหัวใต้ดินสะสมอาหาร ก้านดอกอวบใหญ่สั้นกว่าก้านใบ ดอกตัวเมียและตัวผู้มีขนาดเล็กอยู่แยกกันบนแกนช่อ ดอกตัวเมียสีเขียวอยู่โคน ส่วนดอกตัวผู้สีขาวอยู่ปลาย

เผือก แบ่งได้ 4 พันธุ์ คือ

เผือกหอม เป็นเผือกชนิดหัวใหญ่ กาบใบใหญ่ สีเขียว มีหัวขนาดเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย เมื่อต้มจะมีกลิ่นหอม เผือกเหลือง หัวเป็นสีเหลือง หัวมีขนาดย่อมลงมา

เผือกไม้ หรือ เผือกไหหลำ หัวมีขนาดเล็ก และ

เผือกตาแดง กาบใบและเส้นใบสีแดง ตาของหัวเผือกสีแดงเข้ม มีหัวขนาดเล็กติดอยู่รอบหัวใหญ่จำนวนมาก

สำนักงานเกษตรอำเภอบ้านหมอ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกและพัฒนาการผลิตเผือกหอมคุณภาพ ด้วยการรวมตัวกันขอจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและเข้าร่วมใน โครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อการเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ หรือร่วมกันซื้อปัจจัยการผลิตราคาถูก เพื่อลดต้นทุนการผลิต เป็นศูนย์รวมเพื่อรองรับข้อมูลวิชาการ หรือมีอำนาจในการต่อรองด้านการตลาด

ในปี 2560 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่ 194 ราย พื้นที่ปลูก 1,934 ไร่ ใน 3 ตำบล คือ ตำบลหรเทพ ตลาดน้อย และตำบลโคกใหญ่ ซึ่งพื้นที่ปลูกเผือกหอมแปลงใหญ่นี้จะเป็นศูนย์รวมเพื่อรองรับข้อมูลด้านวิชาการให้เกษตรกรนำไปสู่พัฒนาการผลิตได้เผือกคุณภาพและทำให้มีรายได้นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

คุณประเสริฐ แย้มโอษฐ์ เกษตรกรปลูกเผือกหอม เล่าให้ฟังว่า หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนาเสร็จแล้ว ได้เตรียมดินปลูกเผือกหอมเป็นพืชหมุนเวียน ในดินร่วนปนทรายเผือกจะเจริญเติบโตได้ดีและให้หัวเผือกที่มีคุณภาพ

การเตรียมดิน ได้นำรถไถลงไปย่ำดินในแปลงให้ดินแตกเละ จากนั้นยกแปลงปลูก กว้าง 70 เซนติเมตร และความยาวแปลงจัดตามแนวของพื้นที่ ขุดร่องน้ำระหว่างแปลงปลูก กว้าง 60 เซนติเมตร เพื่อเก็บน้ำใช้หรือระบายน้ำออก

พันธุ์เผือกหอม ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรไปซื้อพันธุ์เผือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้และปลอดภัยจากโรค เช่น จังหวัดเชียงใหม่ หรือพระนครศรีอยุธยา ซื้อตามปริมาณความต้องการใช้เป็นพันธุ์ปลูก เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตขายและเก็บส่วนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ปลูกด้วย แต่จะใช้ปลูกไม่เกิน 2 ครั้ง เพราะพันธุ์จะไม่มีคุณภาพ ต้องไปซื้อพันธุ์มาใหม่

หน่อพันธุ์เผือกหอม ได้จากลูกข้างที่ติดมากับหัวแม่เผือกคุณภาพ นำมาแยกเอาลูกข้างออกจากหัวแม่เผือก ซึ่งที่ลูกข้างจะมีใบอยู่ด้วย 2-3 ใบ และต้องคัดเอาเฉพาะลูกข้างที่มีคุณภาพปลอดภัยมาใช้เป็นพันธุ์ปลูก

การปลูก เมื่อได้เตรียมดินแปลงปลูกหรือหน่อพันธุ์แล้ว รูเล็ตออนไลน์ ก็เริ่มปลูกในช่วงบ่าย/เย็น ขุดหลุมปลูกกว้างยาวและลึก ด้านละ 1 หน้าจอบ หรือกว่า 30 เซนติเมตร นำปุ๋ยคอกแห้ง 2-3 กำมือ คลุกเคล้ากับดินบนใส่รองก้นหลุมปลูก วางหน่อพันธุ์เผือกลงปลูกให้ต้นตั้งตรง เกลี่ยดินกลบ ระยะปลูกระหว่างต้นห่างกัน 60 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกเผือกหอมได้ 8,000-10,000 หัว/หน่อ

การใส่ปุ๋ย ได้แบ่งใส่ดังนี้ ครั้งที่ 1 นำปุ๋ยคอกแห้งหว่านรองพื้นให้ทั่วแปลง แล้วนำปุ๋ย สูตร 15-15-15 หว่านให้ทั่วแปลง 50-100 กิโลกรัม ต่อไร่ ครั้งที่ 2 เมื่อต้นเผือกหอมอายุ 2 เดือน นำปุ๋ย สูตร 18-6-6 หรือ 15-15-15 ใส่รอบโคนต้น 50 กิโลกรัม ต่อไร่ และครั้งที่ 3 เมื่อต้นเผือกหอมอายุ 4 เดือน นำปุ๋ย สูตร 13-13-21 ใส่หว่านรอบโคนต้น 50-100 กิโลกรัม ต่อไร่ และทุกเดือนได้ฉีดพ่นฮอร์โมนทางใบเพื่อช่วยให้ได้หัวเผือกขนาดใหญ่และเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น

การให้น้ำ ต้องดูแลให้ต้นเผือกหอมได้รับน้ำอย่างพอเพียงสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก จึงจะเจริญเติบโตสมบูรณ์ได้หัวเผือกหอมมีขนาดใหญ่ ได้น้ำหนักและคุณภาพดี

การเก็บเกี่ยว นับตั้งแต่วันปลูกถึงวันเก็บเกี่ยว 6-7 เดือน จะเป็นระยะที่หัวเผือกเจริญเติบโตสมบูรณ์ ก็เริ่มเก็บเกี่ยวหรือขุดหัวเผือก โดยนำชะแลงที่มีลักษณะคล้ายกับไม้กางเขนหรือเสียม แทงลงไปที่ใต้หัวเผือกแล้วงัดขึ้นมา ลอกดึงเอากาบแห้งออกให้หมด ตัดแยกลูกหัวเผือกเก็บไว้ทำพันธุ์หรือขาย นำหัวแม่เผือกเข้าโรงเรือนทำความสะอาดและคัดขนาดเตรียมนำส่งขายให้กับผู้ซื้อ พื้นที่ 1 ไร่ ได้เผือกหอม 1,400-2,000 กิโลกรัม