การส่งออกตลาดฮ่องกง ปี 2560 คาดว่าจะขยายตัว 10%

เทียบปี 2559 ติดลบ 3.1% ทั้งนี้จากเดิมคาดการณ์จะขยายตัว 4% โดยปัจจัยสำคัญมาจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะค้าปลีกดีขึ้นหลังซบเซามา 3 ปี รวมถึงผลดีจากการเลือกตั้ง และนโยบายรวม 3 เมืองใหญ่ คือ จูไห่ ฮ่องกง มาเก๊า เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่ง ทำให้มีคนเข้าออกฮ่องกงมากขึ้น 6-7 ล้านคน ส่งผลดีต่อการค้า

นอกจากนี้ได้นำคณะผู้นำเข้า 40 ราย จากสมาคมผู้นำเข้าข้าวฮ่องกง และสมาคมผู้ค้าข้าวฮ่องกง ซึ่งมีสัดส่วน 80-90% ของการนำเข้าทั้งหมด และมีผู้นำเข้ารายใหม่ 12 ราย เดินทางมาร่วมสำรวจแหล่งผลิตร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อซื้อข้าวหอมมะลิปริมาณ 14,000 ตัน และจับคู่เจรจาธุรกิจกับสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท

ในช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) 2560 ไทยส่งออกข้าวไปฮ่องกง 155,000 ตัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนส่งออกได้ 130,000 ตัน มูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่มาก เพราะช่วงต้นปี 2560 ราคาลดลงไปที่ตันละ 600 เหรียญสหรัฐ แต่ขณะนี้ราคาปรับขึ้นมาที่ตันละ 800-820 เหรียญ

“เมื่อ 3 ปีก่อน ส่วนแบ่งตลาดข้าวหอมมะลิไทยในฮ่องกง ลดลงจาก 85-90% เหลือ 40% เพราะข้าวไทยแพงตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้นำเข้าหันไปซื้อเวียดนาม ตันละ 800 เหรียญสหรัฐ ทางสำนักงานได้จัดโครงการส่งเสริมความมั่นใจ มีการมอบรางวัลให้ผู้นำเข้าที่มีความสัมพันธ์กับไทยเกิน 40 ปี มีการจัดคณะผู้นำเข้ามาเยี่ยมชมการผลิตข้าว และการแปรรูป ปีแรกสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้จาก 40% เป็น 48% มาเป็น 56% และ 69% ในปีนี้”

พร้อมทั้งส่งเสริมการส่งออกข้าวสีออร์แกนิก ส่งผลให้มีการนำเข้าข้าวสี 4,000 ตันต่อปี ถือเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับยอดนำเข้าข้าวสีทั้งหมด 5,000 ตัน

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานได้สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคฮ่องกงยุคใหม่ ลดความนิยมในการบริโภคข้าว หันไปบริโภคขนมปัง จึงได้พัฒนานำข้าวไปแปรรูปเป็นขนมปัง กลูเตนฟรี และได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การบินไทย จัดกิจกรรมนำเยาวชนฮ่องกงเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตการบริโภคข้าวไทยด้วย

อนึ่ง ผู้นำเข้าฮ่องกงที่ MOU 2 ฉบับ ปริมาณรวม 14,000 ตัน ได้แก่ บริษัท 759 Store ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ต 224 สาขา ทั่วเกาะฮ่องกง ได้ลงนามกับบริษัท สยามไดมอนด์ เอ็กปอร์ตไรซ์ จำกัด สั่งซื้อข้าวหอมมะลิไทย 10,000 ตัน และฉบับที่สอง บริษัท 759 Store ลงนามกับบริษัท โกลบอลไร้ซ์ อินเตอร์เทรด จำกัด ซื้อข้าวกล้องออร์แกนิก และข้าวไรซ์เบอรี่ รวม 4,000 ตัน

“บิ๊กตู่” ประชุม คสช.- ครม. ลั่น รัฐบาลนี้ พูดว่าจะทำอะไรบ้าง ท้า นักการเมืองเสนอมา จะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุม คสช. ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนนตรี(ครม.) โดยก่อนการประชุม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะเข้าประชาสัมพันธ์งานตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม โดยได้นำตัวอย่างสินค้าเกษตร เกรดพรีเมี่ยมกว่า 20 รายการ จากกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มยังสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ อาทิการเปิดตัวข้าวพันธุ์ เพื่อสุขภาพ คือพันธุ์ กข 43 Low Sugar ทองม้วน และคุ๊กกี้ ผลิตจากข้าวทับทิมชุมแพ เครื่องสำอางค์สกัดจากหอมหัวใหญ่ เป็นต้น ทั้งนี้ระหว่างการเยี่ยมชม นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบข้าวสารพันธุ์ กข 43 Low Sugar พร้อมกล่าวว่า ข้าวพันธุ์ใหม่ กินแล้วดีต่อใจ รวมทั้งยังให้ความสนใจและชื่นชมสินค้าที่มีการต่อยอดจากการเลี้ยงปลากัด รวมทั้งชื่นชมดอกกล้วยไม้พิศชมพู จากกลุ่มแปลงใหญ่ รวมทั้งเครื่องประดับที่ทำจากดอกกล้วยไม้จริง โดยได้ทดลองทาบที่หน้าอกเสื้อของพล.อ.ฉัตรชัย แล้วถามว่า “ผู้ชายใช้ได้หรือไม่”

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเกษตรต้องพัฒนาไปสู่การเพิ่มมูลค่า สู่การเกษตรอินทรีย์ ไปสู่การรวมแปลงการผลิตต่าง ๆ ปัญหาก็คือผู้ที่ไม่เข้าสู่ระบบจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบอาชีพการเกษตรเยอะมาก เมื่อเราส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ก็ได้ให้ความสนใจ ว่าทำอย่างไรให้คนที่อยู่นอกระบบเหล่านี้ที่มีเยอะ และหลายอย่างอาจจะยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คือปัญหาภาคเกษตรของเราทุกเรื่อง ทั้งเรื่องข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ถ้าเราเดินอย่างนี้ไปจะเกิดความยั่งยืนและมีรายได้สูงขึ้น แต่ถ้าทำแบบเดิม ๆ มันลำบาก

“ดังนั้น อย่าให้เป็นประเด็นไปบิดเบือนกันเลย ว่าทำไมไม่แก้โน่นแก้นี่ และที่พูดกันมาก็ไม่เคยจะได้ยินว่าเขาจะแก้ยังไง เพียงแต่บอกว่าไอ้โน่นมันแย่ไอ้นี่มันแย่ แต่เขาไม่เคยบอกเราว่าต้องแก้ยังไง แต่ผมบอกหมดว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นอยากให้สื่อและสังคมเข้าใจตรงนี้ด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากและง่ายที่เราจะต้องทำให้ได้ วันนี้และวันหน้า นี่คือการปฏิรูปการเกษตร ปฏิรูปอาหาร ปฎิรูปอะไรต่าง ๆเยอะแยะไปหมด นี่คือการปฎิรูป ถ้ามาบอกว่าเรื่องราคามันตกแล้วไม่ทำอะไรเลย แต่จะให้แก้ ผมถามว่ารัฐบาลไหนจะแก้ บอกมาเลย เสนอมาเลย รัฐบาลหน้าหรือนักการเมืองที่จะเข้ามาเป็นพรรคการเมือง เสนอมาว่าจะทำอย่างไรให้ราคายางสูงขึ้น จะทำอย่างไรให้ข้าวสูงขึ้น ถ้าพูดแบบเดิมก็ได้แต่ประเด็นแล้วขัดแย้งกันอยู่แบบนี้ ไอ้ที่กำลังทำอยู่มันก็ไปไม่ได้ ก็ฝากไว้ด้วยแล้วกันนะ ก็ฟัง ๆ อยู่”นายกฯ กล่าว

วันที่ 6 พ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่กลุ่มแปรรูปปลาดุกร้าสมุนไพร สูตรเงาะป่าซาไก ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 241 หมู่ที่ 1 บ้านชุมพล ต.ชุมพล อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง มีนางเพียงเพ็ญ คงแสง เป็นประธานกลุ่ม เล่าว่า เดิมตนเองมีอาชีพเป็นช่างเสริมสวย และมีลูกค้าหลากหลาย ต่อมามีลูกค้าที่มารับบริการ ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักงานพัฒนาชุมชน อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ชักชวนให้ตนรวบรวมสมาชิกในหมู่บ้าน เพื่อจัดตั้งกลุ่มอาชีพตามความถนัด หลังรวบรวมสมาชิกในหมู่บ้านได้ประมาณ 20 คน จึงจัดตั้งกลุ่มสัมมาชีพ

เมื่อกลางปี 2559 โดยสมาชิกส่วนใหญ่ลงมติที่จะแปรรูปปลาดุกร้าสมุนไพร สูตรเงาะป่าซาไก โดยทางสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอศรีนครินทร์ ส่งตนและตัวแทนกลุ่มอีก 4 คน เข้ารับการฝึกอบรมการผลิตปลาดุกร้า พร้อมสนับสนุนงบประมาณ จัดสร้างโรงตากปลาดุก ซึ่งต่อมาได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่ม จากกรมส่งเสริมการเกษตร ภายใต้โครงการ 9101 ตามรอยพ่อ ใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน นำมาสร้างโรงตากปลาเพิ่มขึ้นอีก 1 โรง นอกจากนั้นยัง ได้จัดสร้างอาคาร และจัดซื้อเครื่องซีนถุง เพื่อบรรจุปลาดุกร้าด้วย

นางเพียงเพ็ญ กล่าวอีกว่า การแปรรูปปลาดุกร้าสูตรสมุนไพรของกลุ่มปลาดุกร้าชุมพล จะใช้ปลาดุกบิ๊กอุย โดยรับซื้อปลาจากสมาชิกในหมู่บ้าน เพื่อให้คนในหมู่บ้านมีรายได้เสริม นอกจากนี้ส่วนหนึ่งจะรับซื้อจากตลาดทั่วไป โดยจะเลือกซื้อปลาดุกที่เลี้ยงจากบ่อดิน เนื่องจากปลาจะมีเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย โดยในระยะ 2 วัน จะซื้อปลาดุกสด 50 กิโลกรัม สามารถนำมาแปรรูปเป็นปลาดุกร้าได้ประมาณ 16 กิโลกรัม ซึ่งปลาดุกร้าจะจำหน่ายกิโลกรัมละ 250 บาท และที่แพ็กถุงๆละ 2 ตัว จำหน่ายถุงละ 60 บาท ส่วนสาเหตุที่แปรรูปไม่มาก เนื่องจากโรงตากมีจำกัด ในแต่ละเดือนสามารถขายปลาดุกร้าได้กว่า 5 หมื่นบาท และมีกำไรประมาณ 1 หมื่นบาท ส่วนหนึ่งแบ่งปันให้สมาชิกที่มาทำปลาดุกร้า สมาชิกที่ร่วมลงหุ้น และนำรายได้เข้ากลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ปลาดุกร้าสมุนไพร สูตรเงาะป่าซาไกบ้านชุมพล นับว่าเป็นที่ชื่นชอบและต้องการของผู้บริโภคอย่างมาก จนทางกลุ่มผลิตแทบไม่ทัน ทั้งนี้ผู้บริโภคนอกจากจะได้รับโปรตีนจากเนื้อปลาแล้ว ยังได้รับสมุนไพรอีกด้วย ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของเงาะป่าซาไก มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ถือว่าเป็นเจ้าเดียว และเจ้าแรกของประเทศไทย สำหรับผู้สนใจ สามารถสั่งซื้อได้ที่ กลุ่มผลิตปลาดุกร้าสมุนไพร เงาะป่าซาไก บ้านเลขที่ 241 ม.1 บ้านชุมพล ต.ชุมพล อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง หรือ โทร. 064-041-7772

นายเอกกฤต จิตตางกูร หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.เชียงราย เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงนี้ ทำให้นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เล็งเห็นความสำคัญต่อปัญหาดังกล่าว จึงให้แต่ละอำเภอของ จ.เชียงราย ทั้ง 18 อำเภอ สำรวจและเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชน เนื่องจากในภาพรวมแล้วพบว่าประชาชนยังคงมีความต้องการเครื่องกันหนาวจำนวนมาก โดยเฉลี่ยจะมีความต้องการรวมกันประมาณ 210,000-341,000 ผืน โดยคำนวณจากสถิติความต้องการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2559 มีตัวเลขความต้องการได้รับความช่วยเหลือจำนวน 341,666 ผืน ดังนั้น ทางจังหวัดยังคงเปิดรับบริจาค เพื่อจะได้นำไปมอบให้ผู้ที่ขาดแคลนตามการสำรวจของแต่ละอำเภอดังกล่าาวต่อไป

นายเอกกฤตกล่าวว่า ล่าสุดพบว่ามีองค์กรหน่วยงานต่างๆ แสดงความจำนงบริจาคผ้าห่มกันหนาวกันแล้วหลายราย เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) แจ้งความประสงค์จะบริจาคเครื่องกันหนาวให้จำนวน 15,000 ชุด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ จำนวน 4,000 ชุด มูลนิธิสัจธรรมสี่ตี่ตึ้ง-ตระกูลหยาง จำนวน 3,000 ชุด แขวงการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 3,000 ชุด เป็นต้น ซึ่งทางจังหวัดจะดำเนินการตามความประสงค์และแจ้งให้ประชาชนระวังสุขภาพช่วงฤดูหนาวนี้ด้วยแล้ว

กระทรวงพลังงานหนุนงบประมาณ 6.8 แสน สร้างโรงอบแห้งกาแฟพลังงานแสงอาทิตย์ เผยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ชุมพรสร้างรายได้ปีละ 60 ล้านบาท เตรียมต่อยอดเป็นศูนย์เรียนรู้พลังงานชุมชน

นายทองรัตน์ วรรณนุช พลังงานจังหวัดชุมพร กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมชมกิจการของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ต.ถ้ำสิงห์ อ.เมือง จ.ชุมพร ว่ากระทรวงพลังงานและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ได้ร่วมกันประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างความแตกต่างให้สินค้าของกลุ่มจากสินค้าประเภทเดียวกัน ได้รับการยอมรับทั้งเรื่องคุณภาพมาตรฐานของสินค้า และการเป็นต้นแบบวิสาหกิจลดใช้พลังงานยอดเยี่ยม จนทำให้ได้รับรางวัล “สุดยอดคนพลังงาน” ทั้งในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ในสาขาวิสาหกิจลดใช้พลังงานยอดเยี่ยม

ทั้งนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานได้ให้การสนับสนุนโรงพบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบ green house จำนวน 2 โรง ในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชน ภายใต้งบประมาณ 680,000 บาท โดยกระทรวงพลังงานสนับสนุนงบประมาณ 476,000 บาท หรือคิดเป็น 70% ของมูลค่าโครงการ

ส่วนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ สนับสนุนงบประมาณ 204,000 บาท หรือคิดเป็น 30% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งการอบเมล็ดกาแฟด้วยโรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว ทำให้คุณภาพของกาแฟมีคุณภาพดีขึ้น และสามารถลดระยะเวลาในกระบวนการผลิตลงได้ 60%

“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ สร้างรายได้เข้าชุมพรได้ปีละ 60 ล้านบาทด้วย”

นายทองรัตน์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนกาแฟบ้านถ้ำสิงห์มีการพัฒนาบุคลากร เทคโนโลยี และการจัดการองค์ความรู้ จนสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงาน และยังมีการพัฒนาต่อยอดเป็นศูนย์การเรียนรู้พลังงานชุมชนที่เปิดโอกาสให้ชุมชนต่างๆ เข้ามาเรียนรู้ เพื่อนำกลับไปปรับใช้ในชุมชนตนเอง จนได้รับรางวัลมากมาย อาทิ ปี 2558 รางวัลผลิตภัณฑ์ระดับห้าดาว กาแฟดริฟและกาแฟคั่วบด ตราถ้ำสิงห์ ปี 2559 รางวัลผลิตภัณฑ์ระดับห้าดาว กาแฟสำเร็จรูปชนิดผง 3 in 1 เป็นต้น

ตามที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ข้อเสนอการเก็บเงินสมทบ เข้ากองทุนประกันสังคมแบบใหม่” ซึ่งสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่ใช้ประกันสังคมทั่วประเทศ 1,251 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2560 โดยกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจะเรียกเก็บเงินสมทบสำหรับผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นใหม่ตามฐานเงินเดือน โดยร้อยละ 57 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะจ่ายเท่าเดิมก็ดีอยู่แล้ว ไม่อยากจ่ายเพิ่ม เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อย ไม่ค่อยได้ใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม และถึงแม้ว่าจะจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น แต่การให้บริการก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ขณะที่ร้อยละ 23.50 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะจะได้รับสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานเงินเดือนที่ปรับขึ้น และร้อยละ 19.50 ไม่แน่ใจ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายมนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการสำรวจดังกล่าว เนื่องจากการเพิ่มเงินสมทบนั้นจะดำเนินการในกลุ่มผู้มีเงินเดือน 16,000-20,000 บาท โดยเพิ่มสูงสุดที่ 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่ได้กระทบกับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท เนื่องจากยังเก็บเงินสมทบเท่าเดิม แต่ผลการสำรวจไม่ชัดเจนว่ามุ่งไปที่กลุ่มเงินเดือน 16,000 บาทอย่างเดียวหรือไม่ หรือเฉลี่ยภาพรวมทั้งหมด ตนมองว่าการสำรวจดังกล่าวอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้นได้ เพราะจริงๆ แล้วการเพิ่มเงินสมทบจะส่งผลดีในเรื่องของเงินออมยามเกษียณที่มากขึ้น แต่ในเรื่องการบริหารจัดการแน่นอนว่า ต้องมีการปฏิรูปโดยต้องทำคู่ขนานกันไป เช่น เมื่อมีการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเพื่อประโยชน์ยามเกษียณนั้น แต่ก็ต้องมีการปรับปรุงการจ่ายเงินยามเกษียณให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นด้วย

“เมื่อเร็วๆนี้ คปค.ได้ประชุมหารือจนได้ข้อสรุปในเรื่องปฎิรูปชราภาพ กรณีการเก็บเงินสมทบเพิ่ม ว่า หากเก็บเพิ่มในกลุ่ม 16,000 บาทต่อเดือนเห็นด้วยเพื่อประโยชน์ต่อการเพิ่มเงินออม แต่ต้องปฏิรูปการบริหารจัดการใหม่ โดยเฉพาะเกณฑ์การจ่าย ยกตัวอย่าง เมื่อเกษียณและรับเงินบำนาญ แต่เสียชีวิตหลังจาก 60 เดือนไปแล้วนั้น เดิมเงินออมที่ผู้ประกันตนเก็บจะตกไปอยู่ในกองทุน สปส.อัตโนมัติ แต่ คปค.เห็นว่า ควรปรับเปลี่ยนให้เงินก้อนนี้มอบแก่ทายาทโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะอย่างไรเสียเงินจำนวนนี้ก็ยังเป็นของผู้ประกันตน ซึ่งเก็บออมมาตั้งแต่ทำงาน” นายมนัสกล่าว

ประธาน คปค. กล่าวอีกว่า festivaladventures.com ขณะเดียวกันต้องเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่รับบำนาญชราภาพ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนใน ม.39 โดยยังได้เงินชราภาพเป็นรายเดือนเช่นเดิม แต่เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตน ม.39 จะต้องจ่ายเพิ่มคิดในอัตราประมาณ 168 บาทต่อเดือน โดยได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี คือ 1.ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค 2.ประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ และ 3.ประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย ส่วนเงินสมทบชราภาพให้เริ่มนับตั้งเดือนแรกที่ถูกนำส่งประกันสังคม นอกจากนี้ ประเด็นเงินสงเคราะห์บุตร เดิม สปส.มีข่าวว่าจะมีการขยายเงินสงเคราะห์บุตรจำนวน 400 บาทเป็น 600 บาท แต่ยังอยู่ในขั้นอนุกรรมการ ยังไม่มีการประกาศใช้ และกรณีนี้จะได้เงินสงเคราะห์บุตรสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี ทาง คปค.เห็นว่าควรขยายอายุเพิ่มเติม เป็นจากเด็กอายุ 6 ปีไปถึง 12 ปี และเพิ่มเงินสงเคราะห์จากเดิม 400 บาท เป็น 600 บาทต่อเดือน และไม่จำกัดจำนวนบุตรจากเดิมกำหนดไม่เกิน 3 คน ซึ่งจะให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับแก้ไขเพิ่ม 4/2558 ชึ่งมีผลบังใช้ตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2558 โดยคลอดบุตรไม่จำกัดจำนวนครั้ง ค่าคลอดเหมาจ่าย ครั้ง 13,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเรื่องการปฏิรูปประกันสังคมนั้น ทาง คปค.และเครือข่ายเตรียมจัดงานเสวนาการปฏิรูปประกันสังคมที่ผ่านมา ผู้ประกันตนได้อะไร ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ที่กระทรวงแรงงาน

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายวัน ม่วงมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เผยว่า ช่วงอากาศหนาว อุณหภูมิบนยอดดอยเฉลี่ย 10-15 องศาเซลเซียส เนื่องจากมีความสูง 1,000 – 1,200เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวไปชมทัศนียภาพและหมอกตอนเข้า ที่ม่อนแจ่ม เขตติดต่อโป่งแยง จำนวนมาก บางส่วนไปชมนกที่บ้านผานกกก หมู่ 9 ซื้อเครื่องเงินและเครื่องประดับของชาวม้ง ที่บ้านแม่สาหมู่ 6 พร้อมชมเกษตรแปลงใหญ่ ที่ผลิตดอกไม้และผลไม้เมืองหนาว โดยเฉพาะไวน์สตอเบอรี่ ที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝาก

“ช่วงอากาศหนาว มีโฮมสเตย์บริการกว่า 20 แห่ง จำนวนกว่า 100 หลัง รองรับได้ 300-400 คน บางส่วนกางเต็นท์นอน โดยเฉพาะช่วงธันวาคม-มกราคมปีหน้า โดยมีมัคคุเทศก์ หรือไกด์ท้องถิ่น นำเที่ยวชุมชนโดยชุมชน แต่นักท่องเที่ยวบางส่วนนิยมไปเล่นซิปไลน์ หรือเครื่องเล่นผจญภัย ที่จังเกิ้ล โคสเตอร์ เพื่อเล่นรถรางเหาะ เฉลี่ยวันละ 100-200 ราย โดยเฉพาะชาวจีน อเมริกา และยุโรป ช่วงอากาศหนาว คาดมีนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่กว่า 100,000 คน สร้างรายได้แก่ชุมชนกว่า 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10%” นายวันกล่าว

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผนึกกำลังร่วมกับ สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการธรรมชาติปลอดภัย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดงานมอบรางวัล โครงการประกวดภาพถ่าย ปลุกความคิด…สำนึกรักษ์ธรรมชาติ ภายใต้หัวข้อ “Memory Si Lanna” เพื่อร่วมแสดงความยินดี และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวดภาพถ่ายในโครงการฯ

ดร.ทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า “โครงการประกวดภาพถ่าย ปลุกความคิด…สำนึกรักษ์ธรรมชาติ ภายใต้หัวข้อ “Memory Si Lanna” เป็นการผนึกกำลังร่วมกันของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการธรรมชาติปลอดภัย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าว ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป ร่วมส่งผลงานภาพถ่ายเข้ามาร่วมประกวดในโครงการครั้งนี้จำนวนมาก และในวันนี้เป็นการจัดงานมอบรางวัล โครงการประกวดภาพถ่าย ปลุกความคิด…สำนึกรักษ์ธรรมชาติ ภายใต้หัวข้อ “Memory Si Lanna”

ถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความยินดี และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวดภาพถ่าย ทั้ง 22 ท่าน รางวัลในการประกวดมอบโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำหรับผลงานประกวดภาพถ่ายที่เข้ารอบในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยปลุกความคิด…สำนึกรักษ์ธรรมชาติ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ให้กับประชาชนทั่วไป ได้หันมาตระหนัก และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการปกปักรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเฉพาะแหล่งต้นน้ำลำธาร ให้คงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป และยังเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์สถานที่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญในการสร้างรายได้เกิดให้กับชุมชนในบริเวณใกล้เคียง โดยนำเสนอ ความงดงาม ผ่านมุมมองภาพถ่ายจากเลนส์กล้องของแต่ละคน ที่สื่อสารออกมาได้อย่างน่าประทับใจ มีความหมาย และถ่ายทอดความเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม” ดร.ทรงธรรมกล่าว