การให้น้ำ เพราะต้นไม้โตจนเริ่มให้ผลผลิตแล้ว จึงสูบน้ำ

จากแหล่งน้ำใกล้เคียงขึ้นไปให้ท่วมพื้นที่ เช่นเดียวกับการทำนา ความสูงของน้ำระดับหัวเข่า จากนั้นหยุดสูบปุ๋ยเคมี ยอมรับว่ามีบ้าง บางช่วงใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ประมาณ 5-6 ถุงต่อปีปุ๋ยขี้ไก่ กระสอบละ 25 บาท ต้นทุนเฉพาะปุ๋ยขี้ไก่ ประมาณ 10,000 บาทต่อปี ทั้งปุ๋ยขี้ไก่และปุ๋ยเคมี หากเป็นฤดูแล้งให้หว่านเมื่อสูบน้ำเข้าสวน หากเป็นฤดูฝน ให้หว่านเมื่อฝนตก รวมต้นทุนค่าปุ๋ย ค่าน้ำ (น้ำมันใช้สำหรับสูบน้ำ) รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนต่อปี ไม่เกิน 15,000 บาท

การตัดแต่งกิ่ง ก็ทำเมื่อมีเวลาว่าง แต่ไม่ปล่อยให้ต้นโทรม และไม่ได้ทำทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตเหมือนรายอื่น คุณวิทยา ให้เหตุผลว่า ไม่ได้ตั้งใจไม่ดูแลต้นไม้ แต่เพราะต้องใช้เวลาไปกับการห่อ การเก็บผลผลิต และการนำไปขาย แต่จะตัดแต่งกิ่งไปพร้อมๆ กับการเก็บในแต่ละครั้ง เท่าที่ทำไหว

ปัญหาโรคและแมลง เจอบ้าง ทำให้ต้องใช้สารเคมีช่วย คุณวิทยา เล่าว่า ปัญหาโรคและแมลงพบไม่บ่อย แต่เมื่อพบก็จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงบ้าง ซึ่งน้อยมาก เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอยู่แล้ว

ฝรั่งกิมจู จำเป็นต้องห่อผล เริ่มห่อผลเมื่อฝรั่งติดผลขนาดเท่าลูกมะนาว จากนั้นนับไปอีกประมาณ 45 วัน ในฤดูฝนเก็บผลผลิตได้ หรือนับไปอีก 60 วัน ในฤดูร้อน จึงเก็บผลผลิต แต่สำหรับคุณวิทยาเธอใช้ความชำนาญจากการเทียบน้ำหนักผลกับมือ

ในแต่ละวันคุณวิทยาจะใช้เวลาตอนเช้าไปกับการเก็บผลฝรั่ง เงาะ และมะเขือพื้นบ้าน เมื่อเก็บและเตรียมเรียบร้อย จะใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับห่อผลและดูแลความเรียบร้อยในสวน จากนั้นจึงไปตลาด

ตลาดนัด เปิดทุกวัน ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ คุณวิทยา จึงนำผลไม้และมะเขือพื้นบ้านออกไปขายเอง ทั้งขายส่งและขายปลีก กรณีขายส่งจะนำไปส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดนัดด้วยตนเอง และการขายปลีกจะขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด เช่น ฝรั่ง กิโลกรัมละ 35 บาท คุณวิทยาขายเพียง กิโลกรัมละ 25 บาท เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ผลผลิตไม่เหลือทิ้งกลับบ้านก็ถือว่าโชคดีแล้ว

คุณวิทยา เป็นทั้งคนปลูก คนดูแล คนเก็บ และคนขาย เธอนำผลผลิตที่ได้จากสวนไปจำหน่ายยังตลาดนัดทุกวัน ทำให้มีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน ส่วนเงาะและฝรั่ง มีช่วงเวลาให้ผลผลิต ก็ถือเป็นรายได้รายเดือน ส่วนอ้อยและข้าวโพด ซึ่งคุณวิทยาไม่ทิ้งการทำไร่นั้น ก็ถือเป็นรายได้รายปี

หากคิดต้นทุนของการปลูกพืช 6 ไร่ อยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทต่อปี แต่รายได้มีมาก 300,000-400,000 บาทต่อปี ไม่นับรวมไร่อ้อยและไร่ข้าวโพด ที่ทำเงินประมาณปีละกว่า 200,000 บาท ทำให้มีรายได้เพิ่มจุนเจือครอบครัวและมีเงินเก็บเหลือมากพอ

คุณวิทยา เป็นเกษตรกรหญิงใจดี พร้อมแบ่งปันความรู้เท่าที่ประสบการณ์การปลูกพืชแบบผสมผสาน บนพื้นที่ 6 ไร่ ให้กับทุกคน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณวิทยา โพธิลำเนา ตำบลบ้านโคก อำเภอ

การปลูกกระชายในเขตนี้น่าจะเป็นต้นแบบที่ดีของระบบเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากเกษตรกรจะปลูกกระชายแซมในพืชหลัก เช่น ปลูกแซมในสวนผสม ขนุน กล้วย กระท้อน สะเดา มะม่วง ฯลฯ เป็นการใช้ประโยชน์ของพื้นที่เกษตรได้อย่างครบถ้วน” นี่คือคำพูดของ คุณวิโรจน์ เทียนขาว เกษตรกรนครสวรรค์ จัดเป็นเกษตรกรอีกรายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการปลูกกระชาย หลายคนต่างก็ทราบดีว่า “กระชาย” เป็นพืชผักสมุนไพรที่มีความสำคัญเคียงคู่ครัวไทยมาทุกยุคทุกสมัย ในตำราอาหารคาว “กระชาย” จะใช้เพิ่มรสเผ็ดร้อนและช่วยดับกลิ่นคาวของอาหาร

ประชาชนในชนบทจะนิยมปลูกกระชายเป็นแบบพืชผักสวนครัวในบริเวณบ้านหรือใต้ร่มต้นไม้ผล เกษตรกรบางรายปลูกกระชายเป็นรายได้เสริม แต่สำหรับคุณวิโรจน์ปลูกกระชายในสวนผลไม้เก่าจากที่เคยเป็นรายได้เสริมมาสู่รายได้หลักในปัจจุบัน จากประสบการณ์ในการปลูกกระชายมานานกว่า 20 ปี ทำให้ทราบถึงวิธีการปลูกและบำรุงรักษา รวมทั้งเทคนิคต่างๆ มากมาย

ในทางพฤกษศาสตร์ “กระชาย” จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุยืนและเป็นพืชที่ตอบสนองต่อช่วงแสง คือจะเจริญเติบโตทางลำต้นให้เห็นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม (ต้นฤดูฝน) เรื่อยไปจนถึงเดือนธันวาคม (ฤดูหนาว) หลังจากนั้นใบจะเหลืองและต้นตาย โดยจะคงเหลือแต่เหง้าสดและรากติดอยู่ในดินได้นานถึง 4 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนเมษายน) ถ้าไม่มีการเก็บเกี่ยวเหง้าออกมา เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนของปีถัดไป ต้นกระชายก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ไม่ควรปลูกกระชายใต้ร่มเงา
ต้นมะปรางและมะขาม
จากประสบการณ์ของคุณวิโรจน์ เริ่มต้นก่อนปลูกกระชายจะต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสม เนื่องจากพื้นที่ว่างใต้สวนผลไม้บางชนิดอาจจะไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นกระชาย ตัวอย่าง เกษตรกรที่ทำสวนมะปรางหวานและมะยงชิดพันธุ์ดี หรือทำสวนมะขามหวาน คุณวิโรจน์บอกว่า ไม่ควรปลูกกระชายใต้ร่มเงาของไม้ผลทั้ง 2 ชนิดนี้ เนื่องจากต้นกระชายจะยุบตายก่อนที่ลงหัว แต่ถ้าเป็นไม้ผลชนิดอื่น เช่น ขนุน สะเดา มะม่วงและกล้วย เป็นต้น เมื่อปลูกกระชายแซมในสวนผลไม้เหล่านี้ การเจริญเติบโตของต้นกระชายจะดีมาก มีการลงหัวที่ดี รากอวบใหญ่และได้น้ำหนัก

จะทำสวนกระชาย
ต้องเริ่มต้นอย่างไร
เกษตรกรจะต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า กระชายเป็นพืชที่ชอบสภาพแสงรำไร ดังนั้น การปลูกกระชายส่วนใหญ่จะต้องปลูกภายใต้ร่มเงาของไม้อื่น ถ้าเป็นสวนผลไม้เก่าจะดีมาก โดยเฉพาะในสภาพพื้นที่ที่มีการปลูกกล้วยจะดีมาก ในการเตรียมดินจะไม่ยุ่งยากเหมือนกับการปลูกพืชอื่น เพียงแต่ตัดต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ออกบ้างให้มีพื้นที่ว่างปลูกกระชายได้ ตามปกติแล้วจะเริ่มขุดพรวนดินประมาณเดือนพฤษภาคม มีเกษตรกรบางรายได้ใช้รถไถเล็กเข้าไปพรวนดิน

สำหรับเคล็ดลับสำคัญในการเตรียมดินปลูกกระชายนั้น คุณวิโรจน์จะมีการขุดตากดินนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อให้แสงแดดส่องฆ่าเชื้อโรคและทำลายศัตรูของกระชายให้ลดลง และถ้าจะให้ต้นกระชายเจริญเติบโตลงรากใหญ่ คุณวิโรจน์แนะนำให้ใส่ปุ๋ยขี้ไก่ไปพร้อมกับการพรวนดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ คุณวิโรจน์ย้ำว่า “ปลูกกระชายถ้าใส่ขี้ไก่ ต้นจะเจริญเติบโตดีมาก ปริมาณรากมาก แต่ไม่แนะนำให้ใส่ขี้วัว เพราะหญ้าจะขึ้นมาก กำจัดยากและสิ้นเปลืองเวลา” โดยปกติแล้วสภาพดินที่จะปลูกกระชายควรจะดินร่วนซุย มีความลึกของหน้าดินอย่างน้อย 1 คืบ (กระชายไม่ชอบดินเหนียวและดินลูกรัง) นอกจากนั้น ยังมีเกษตรกรบางรายปลูกกระชายด้วยวิธีการยกร่อง ร่องที่ยกนั้นสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ไม่ควรยกร่องให้ต่ำกว่านี้ เพราะเมื่อฝนตกลงมาจะทำให้ร่องต่ำลงไปอีก

เกษตรกรจะต้องอย่าลืมว่า กระชายเป็นพืชที่มีตุ้มต่อจากหัว ส่วนหัวจะเป็นก้อนค่อนข้างกลมติดกับลำต้นเป็นก้อนไม่ใหญ่นัก ผู้ซื้อต้องการได้ตุ้มหรือส่วนที่เป็นรากยาวๆ ถ้าส่วนนี้สั้นๆ มักจะขายไม่ได้ราคา สาเหตุที่ตุ้มหรือรากสั้นนั้นเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ดินใต้ต้นกระชายแข็ง ทำให้ตุ้มเจริญเติบโตลงไปในดินไม่ได้ อีกประการหนึ่งคือต้นกระชายได้ปุ๋ยไม่เพียงพอ

เลือกปลูกกระชายพันธุ์ไหนดี
คุณวิโรจน์ได้อธิบายถึงสายพันธุ์กระชายที่ปลูกอยู่ในบ้านเราในปัจจุบันนี้จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ “กระชายพื้นบ้าน” หรือบางคนเรียก “กระชายปุ้ม” กระชายพันธุ์นี้รากจะสั้นและเป็นปุ้มตรงปลายและเป็นพันธุ์ที่จะต้องปลูกใต้ร่มรำไรเท่านั้น แต่กระชายพันธุ์นี้แม่ค้าจะนิยมซื้อและให้ราคาค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นกระชายที่มีกลิ่นหอม เหมาะต่อการประกอบอาหารและเป็นส่วนประกอบของเครื่องแกง แต่มีข้อเสียตรงที่หั่นยาก ในขณะที่กระชายอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ “พันธุ์รากกล้วย” เป็นกระชายที่นิยมปลูกกันมากในเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี ฯลฯ เป็นสายพันธุ์กระชายที่สามารถปลูกได้ในสวนผลไม้เก่า ปลูกเป็นพืชแซมหรือจะนำมาปลูกในสภาพกลางแจ้งในเชิงพาณิชย์ก็ได้ ปลูกได้เหมือนกับการปลูกพืชผักชนิดอื่นๆ ลักษณะรากของกระชายพันธุ์รากกล้วยจะมีลักษณะยาวตรงและอวบ เหมือนกับรากกล้วย ให้ผลผลิตค่อนข้างดี น้ำหนักมาก

ปลูกกระชายได้ 2 วิธี คือปลูกโดยใช้ต้นและปลูกโดยใช้เหง้า วิธีการในการเตรียมเหง้าพันธุ์กระชาย ควรคัดเลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุเฉลี่ย 7-9 เดือน มีตาสมบูรณ์และไม่มีโรคแมลงทำลาย แบ่งหัวพันธุ์ด้วยการหั่น ขนาดของเหง้าควรจะมีตาอย่างน้อย 3-5 ตาหรือแง่ง มีน้ำหนักประมาณ 15-50 กรัม ต่อแง่ง ก่อนปลูกควรแช่หัวพันธุ์ด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อราและสารฆ่าแมลงที่ป้องกันแมลงในดิน แช่ไว้นานประมาณ 30 นาที

การปลูกกระชายของคุณวิโรจน์ จะขุดหลุมให้มีระยะระหว่างแถวประมาณ 30 เซนติเมตร และระยะระหว่างต้น 20 เซนติเมตร ปลูกต้นกระชายด้วยต้นหรือเหง้าลงไปในดินและกดดินให้แน่น ถ้าฝนไม่ตกอาจจะต้องให้น้ำอย่างน้อย 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ต้นกระชายตั้งตัวได้เร็วขึ้น เมื่อต้นกระชายตั้งตัวได้แล้วไม่ต้องทำอะไรอีก นอกจากคอยดูแลเรื่องวัชพืชอย่าให้ขึ้นคลุมต้นกระชายเท่านั้น

สำหรับคำแนะนำในการปลูกกระชายของฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จะแนะนำให้ปลูกโดยใช้ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว 30×30 เซนติเมตร ขุดหลุมปลูกขนาด กว้าง ยาว และลึก 15 เซนติเมตร ก่อนปลูกให้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยขี้ไก่เก่า หลุมละ 200 กรัม (ประมาณ 1 กระป๋องนม) คลุมแปลงปลูกด้วยฟางข้าวหนาประมาณ 2 นิ้ว เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชและยังช่วยรักษาความชื้นในดิน หลังจากปลูกเสร็จให้รดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกระชายงอกยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร เกษตรกรควรรีบกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่

ป้องกันโรคเน่า
ในแปลงปลูกกระชายอย่างไร
คุณวิโรจน์บอกว่า ปัญหาที่สำคัญในการปลูกกระชายคือ ปัญหาโรคเน่า และได้แนะนำให้เกษตรกรผู้ปลูกควรหมั่นตรวจแปลงปลูกกระชายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคเน่าเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เมื่อตรวจพบว่าค่าความเป็นกรด-ด่างของดินมีสภาพความเป็นกรดสูงจะต้องรีบแก้ไขด้วยการใส่ปูนขาวในอัตรา 200-300 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยหว่านรอบโคนต้นหรือจะใส่ในช่วงของการเตรียมดินก็ได้ อีกประการหนึ่งที่เกษตรกรไม่ควรลืมก็คือ การจุ่มเหง้ากระชายด้วยสารป้องกันและกำจัดเชื้อราก่อนปลูก ช่วยป้องกันการเกิดโรคเน่าได้ นอกจากนั้น คุณวิโรจน์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการใส่ปุ๋ยเคมีให้กับต้นกระชายมากๆ จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้นกระชายเน่าตายได้เช่นกัน

ปลูกกระชายไปได้ 8 เดือน
ขุดรากขึ้นมาขายได้
หลังจากปลูกกระชายไปได้นาน 8 เดือน คือเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมครบ 8 เดือนในเดือนธันวาคม ในช่วงเดือนมกราคมจะเริ่มขุดรากขึ้นมาขายได้ โดยวิธีการสังเกตที่ใบและต้นของกระชาย จะเริ่มมีสีเหลืองและยุบตัวลง จะขุดโดยใช้จอบ คุณวิโรจน์ย้ำว่า ในการขุดกระชายในแต่ละครั้งจะต้องขุดในขณะที่ดินมีความชื้น ก่อนขุดถ้าดินแห้งให้รดน้ำก่อนเพื่อให้ดินนุ่ม วิธีการนี้จะช่วยลดความเสียหายของรากกระชายไม่ให้หักหรือขาดได้ ขณะที่ขุดรากกระชายขึ้นมานั้นมีเกษตรกรหลายรายจะใช้วิธีการฝังเหง้าเล็กๆ ลงไปพร้อมกับตอนขุดเลย เป็นการประหยัดแรงงานไม่ต้องเสียเวลาในการปลูกรุ่นต่อไป ทำงานไปพร้อมกัน แต่ถ้าเราขุดกระชายขึ้นมาพบว่ามีปริมาณของรากน้อยเกินไป ไม่ควรจะขุดขึ้นมา รอให้ถึงปีหน้าถึงจะขุดได้รากกระชายที่มีปริมาณมากขึ้น

กระชายเป็นพืชที่ได้เปรียบ
ตรงที่รอเวลาการขุดขายได้
หลังจากที่ขุดกระชายขึ้นมา เกษตรกรจะต้องนำไปล้างทำความสะอาดและตัดแต่งเหง้าหรือรากที่ฉีกขาดออกก่อนที่จะบรรจุลงถุงขาย แต่ถ้าเราขุดรากกระชายขึ้นมาแล้วปรากฏว่าราคาในขณะนั้นไม่เป็นที่พอใจ คุณวิโรจน์แนะนำให้เก็บรากกระชายที่ขุดขึ้นมาใส่กระสอบปุ๋ยเก็บไว้โดยไม่ต้องล้างทำความสะอาด รากกระชายจะยังคงความสดไม่เน่าเสีย อย่าลืมว่าอย่าล้างน้ำเด็ดขาด จะล้างก็ต่อเมื่อจะนำไปขายเท่านั้น ข้อดีอีกประการหนึ่งของการปลูกกระชายก็คือ กระชายเป็นพืชที่เราไม่ต้องรีบขุดมาขายเหมือนพืชอื่น ช่วงไหนราคาไม่ดีก็ปล่อยทิ้งไว้จนกว่าราคาจะอยู่ในระดับที่พอใจจึงขุดขึ้นมาขาย คุณวิโรจน์ย้ำว่า “การปลูกกระชายเหมือนกับการฝากธนาคาร เก็บไว้นานได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น” จากการสำรวจราคาซื้อ-ขายกระชายในแต่ละปีพบว่า กระชายจะมีราคาสูงสุดในช่วงแล้งก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์

กระชายจัดเป็นอีกพืชหนึ่งที่การบำรุงรักษาน้อย มีโรคและแมลงรบกวนไม่มาก มีความต้องการของตลาดตลอดทั้งปี เก็บไว้ได้นาน ไม่เสียหาย ถ้าราคาไม่ดี ชะลอการขุดเพื่อรอราคาได้ เกษตรกรที่มีพื้นที่การเกษตรไม่มากหรือมีสวนผลไม้เก่าควรปลูกกระชายเพื่อเป็นรายได้เสริมเพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“กระชาย” จึงเป็นอีกพืชหนึ่งที่หมาะต่อการทำการเกษตรแบบพอเพียง แต่สำหรับคุณวิโรจน์ “กระชาย” จากพืชรอง กลับสร้างรายได้หลัก หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด” เนื้อที่ 448 ไร่ ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้อยู่ติดทะเล มีสภาพเป็นดินทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นทับถมกันเป็นเวลานานจนกลายสภาพเป็นเนินทราย (Sand Dune) กระจายอยู่ทั่วไป

เดิมสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการวิจัยปลูกต้นไม้โตเร็วชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อศึกษาผลกระทบที่ดินดังกล่าว ต่อมาสำนักงานจัดการทรัพยากรที่ดินส่วนพระองค์ ซึ่งดูแลรับผิดชอบดูแลที่ดินแปลงนี้อยู่ได้นำกลับมาเพื่อพัฒนา หลังจากที่พระบาทสมเด็จ​พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9 ) เสด็จพระราชดำเนินกลับจากจังหวัดชุมพร เมื่อปี พ.ศ. 2541 มีพระราชกระแสรับสั่งให้โครงการพัฒนาส่วนพระองค์รับผิดชอบ โครงการพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ โดยให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิมซึ่งมีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาด พัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตร โดยการปรับปรุงดินตามความเหมาะสม เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพและแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชุมพร

เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพเหมาะสมทุกด้าน สนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นตัวอย่างให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาหาความรู้ฝึกปฏิบัติงานจนนำไปประกอบอาชีพ เกษตรกรสามารถรู้จักวางแผนการทำงานตั้งแต่การผลิต การดูแลรักษา การจัดจำหน่าย ตลอดจนการจัดทำบัญชีฟาร์ม ช่วยเหลือตนเองและครอบครัวได้ และเมื่อมีความชำนาญแล้วก็สามารถขยายผลไปสู่การจัดจำหน่ายในประเทศ นับเป็นตัวอย่างที่ไม่ยากต่อการปฏิบัติ และทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติตามได้

หากใครสนใจศึกษาพันธุ์ไม้หายากและระบบนิเวศพื้นที่สันทรายชายทะเล สามารถร่วมกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่สันทรายที่มีความสมบูรณ์และสูงที่สุดในประเทศไทย ผ่านเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ และพันธุ์พืชสันทรายริมทะเล ซึ่งมีพืชแปลกตานานาชนิดพร้อมป้ายอธิบายข้อมูลของพันธุ์ไม้อย่างละเอียด ได้แก่ เสม็ดแดง เตยทะเล มังคุดป่า เป็นต้น

ตลอดเส้นทาง มีแปลงสาธิตการปลูกพืชผสมผสาน จำนวนพื้นที่ทั้งหมด 22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 4 แปลง ซึ่งได้แก่ แปลงมะม่วงหิมพานต์ โดยจะปลูกแซมด้วยมะขามเปรี้ยว มะม่วง ส่วนแปลงมะพร้าวนั้น จะถูกแซมด้วยส้มโอ ขนุน พุทรา น้อยหน่า มะม่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ส่วน 2 แปลงที่เหลือจะเป็นการปลูกมะพร้าวเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยแปลงๆ หนึ่งจะถูกแซมด้วย มะม่วง สับปะรด มะม่วง ส่วนอีกแปลงนั้นจะปลูกด้วยสนทะเล อีกทั้งยังมีแปลงสาธิตที่ปลูกดอกหน้าวัว โดยการเพาะชำกางมุ้งที่มีขนาดใหญ่ และที่สำคัญยังเป็นการปลูกโดยปราศจากสารเคมี หรือยาฆ่าแมลงอีกด้วย

สาธิตการปลูก ดอกหน้าวัว

ทางโครงการฯ มีเป้าหมายส่งเสริมอาชีพปลูกไม้ตัดดอกเพื่อเป็นรายได้เสริมให้แก่ราษฎร จึงจัดทำแปลงสาธิตการปลูกดอกหน้าวัวในโรงเพาะชำกางมุ้งขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี เนื่องจากดินในพื้นที่แห่งนี้มีสภาพเป็นดินทราย ไม่มีอินทรียวัตถุ ทางโครงการฯ จึงปลูกดอกหน้าวัวในถ่านไม้ ที่ได้จากการเผาเพื่อเก็บน้ำส้มควันไม้ นำมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด ปัจจุบัน ผลผลิตของที่นี่ไม่มีขายในท้องตลาด เพราะทางสวนจิตรลดารับซื้อดอกหน้าวัวทั้งหมด

แหล่งผลิต กาแฟขี้ชะมด

ขณะเดียวกันที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการผลิตกาแฟขี้ชะมด โดยมุ่งศึกษาเก็บไขจากตัวชะมดและขยายพันธุ์ชะมดเช็ด เนื่องจากประชากรชะมดเช็ดในธรรมชาติมีจำนวนลดลงมาก เนื่องจากป่าถูกบุกรุก และการจับชะมดมาเป็นอาหาร ทางโครงการฯ จึงเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์และเก็บไขของชะมดอีก รวมทั้งผลิตกาแฟขี้ชะมดไปพร้อมๆ กัน โดยธรรมชาติแล้ว ชะมด มักผลิตไขออกมาจากต่อมบริเวณใกล้กับก้นแล้วเช็ดกับเสา จึงเรียกว่า “ชะมดเช็ด” ส่วนไขที่ชะมดเช็ดทิ้งไว้กับเสา มีสารบางชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นที่ติดทนนาน จึงนิยมนำชะมดเช็ดไปผลิตเป็นหัวน้ำหอม ที่นี่ยังให้ชะมดกินเม็ดกาแฟสุก เนื่องจากภายในกระเพาะของชะมดจะมีน้ำย่อยเอนไซม์ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้โปรตีนแตกตัว เมื่อชะมดถ่ายออกมาจะได้ผลกาแฟที่มีกลิ่นหอม เม็ดกาแฟมีคุณภาพสูง มีรสชาติอร่อย กลมกล่อมเฉพาะตัว กลายเป็นกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

ภายในโครงการ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพดีติดมือกลับไปด้วย เช่น สเปรย์กันยุงสมุนไพร ถ่านผลไม้ น้ำส้มควันไม้ และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่นี่นอกจากจำหน่ายสินค้าแก่ผู้สนใจแล้ว ยังเปิดสอนวิธีการทำให้กับชาวบ้านได้มีรายได้เสริมกันอีกด้วย

หากผู้อ่านสนใจที่จะเข้าชม หรือศึกษาเกี่ยวกับโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ณ บางเบิด ที่นี่มีห้องพักและสถานที่เหมาะแก่การอบรมในงานที่เกี่ยวกับโครงการ ภาพของภาคอีสาน ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนาโล่งแจ้ง มีต้นไม้ขึ้นสลับบ้าง ฤดูฝนดูเขียวขจีสวยงาม ก่อนเก็บเกี่ยวข้าวมีสีเหลืองอร่ามของทุ่งรวงทอง

ครั้นเข้าสู่หน้าแล้ง อากาศแห้ง แม้แต่น้ำในร่องริมถนนก็เหือดหายไปจนหมด ดูแตกต่างจากภาคอื่นโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นภาพส่วนใหญ่มีผืนดินของอีสานบางแห่ง อุดมสมบูรณ์ ใกล้เคียงกับภาคตะวันออก ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี มีพื้นที่ติดชายแดนกัมพูชาและลาว สภาพของดินสีแดงคล้ายดินอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี แถบถิ่นนี้จึงปลูกไม้ผลเมืองร้อน จำพวกเงาะ ทุเรียนได้ผลดี

งานสวนของที่นี่พัฒนาอย่างช้าๆ มั่นคง มีผลผลิตตอบสนองคนในท้องถิ่นได้อย่างดี โอกาสต่อไปคงเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น คุณไพศาล ยงปัญญา เกษตรกรอยู่บ้านเลขที่ 241 หมู่ที่ 7 ตำบลบุเปือย อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โทรศัพท์ (094) 274-9931 เป็นเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จในการทำสวนผลไม้มากที่สุดคนหนึ่ง

เขาปลูกไม้ผล 4-5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ชมพู่ ฝรั่ง มะกอกน้ำ ขนุน มะละกอ ด้วยเหตุนี้จึงมีผลผลิตเก็บจำหน่ายได้ทั้งปี

ชมพู่ทับทิมจันท์ มีปลูก 40 ต้น

ชมพู่ทับทิมจันท์ มีถิ่นกำเหนิดอยู่ประเทศอินโดนีเซีย คุณประเทือง อายุเจริญ นำเข้ามาปลูกอยู่อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี จึงได้ชื่อว่า ทับทิมจันท์ ทั้งนี้ เพราะผิวผลมีสีออกไปทางทับทิม แต่พบว่า ปัจจุบันนี้ มีคนเขียนชื่อพันธุ์ผิดกันพอสมควร เช่น เขียนว่า “ทับทิมจันทร์” หากเป็นเมื่อก่อน การกระจายพันธุ์อาจจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่การสื่อสารยุคใหม่ พืชพันธุ์ดี กระจายไปยังแหล่งปลูกอย่างรวดเร็ว ที่อื่นมีปลูก ที่อำเภอน้ำยืนก็มีปลูกเช่นกัน

คุณไพศาล ปลูกชมพู่ทับทิมจันท์ 2 ไร่ด้วยกัน จำนวน 40 ต้น ถือว่าชมพู่เป็นไม้ผลที่ซื้อง่าย-ขายคล่อง รสชาติดี ผู้ปลูกขายในราคาไม่สูงก็มีกำไรอยู่ได้ ขณะที่คนกินไม่ต้องควักเงินซื้อในราคาที่แพง

เจ้าของเล่าวิธีการผลิตให้ฟังว่า ปลายเดือนพฤษภาคม เก็บผลผลิต จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก จำพวกขี้วัว จำนวน 5 กิโลกรัม ต่อต้น รวมทั้งใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 1 กิโลกรัม โดยใส่ให้ 3 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน การใส่ปุ๋ยสูตรเสมอครั้งสุดท้าย เจ้าของจะใส่สูตร 8-24-24 รวมไปด้วย จำนวน 1 กิโลกรัม เพื่อเตรียมต้นสำหรับออกดอก

ราวเดือนสิงหาคม ชมพู่ทับทิมจันท์ก็จะมีดอกออกมาให้เห็น สล็อต SBOBET หลังดอกบาน 14 วัน จึงห่อผล เมื่อห่อได้ 23 จึงเก็บผลผลิต ราคาที่จำหน่ายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35 บาท ผลผลิตชมพู่ มีออกมาเป็นชุดใหญ่ๆ 3 ชุดด้วยกัน ดังนั้น การใส่ปุ๋ย อาจจะมีขยับบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับผลผลิตที่อยู่บนต้น โดยที่ผลผลิตต่อต้น ต่อปี นั้น อยู่ที่ 100-200 กิโลกรัม

ศัตรูของชมพู่ คือแมลงวันทองผลไม้ ช่วงฝนมีระบาดมาก ดังนั้นอาจจะพ่นสารป้องกันกำจัดแล้วห่อ แต่บางฤดูกาลแทบไม่พบเห็นเลย

ปลูกฝรั่ง 3 พันธุ์

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป สนนราคาสามารถซื้อหาได้ ผลสวยและขนาดใหญ่ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้วราคาไม่แพง

เป็นที่ยอมรับในหมู่เกษตรกรว่า หลังจากปลูกต้นลงดินฝรั่งให้ผลผลิตเร็ว ให้ผลผลิตต่อเนื่อง เรียกว่ามีเก็บขายทั้งปีก็ได้ หากพื้นที่ปลูกมาก พันธุ์ที่ปลูกมีดังนี้

แป้นสีทอง…มีปลูกมานาน ผลขนาดใหญ่ หากดูแลรักษาดีรสชาติจะดีมาก เจ้าของจะห่อเมื่อผลมีขนาดเท่ามะนาว จากนั้นนับไปอีก 60 วัน จึงเก็บผลผลิตได้

กิมจู…เป็นฝรั่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง หากปลูกแล้วน้ำดี ปุ๋ยถึง รสชาติจะเยี่ยมยอดมาก เมื่อห่อ 45 วัน สามารถเก็บผลผลิตได้

เย็น 2…เป็นพันธุ์ฝรั่งที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก จุดเด่นอยู่ที่ให้ผลดก รสชาติกรอบ หลังห่อ 50 วัน จึงเก็บผลผลิตได้ คุณไพศาลบอกว่า มีพันธุ์ฝรั่งแปลกๆ ใหม่ๆ มานำเสนอ แต่เขาจะเก็บรักษาเย็น 2 คู่กับสวนตลอดไป รับรองไม่ทิ้งอย่างแน่นอน

การดูแลฝรั่ง เจ้าของใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ให้ ช่วงที่ต้นไม่มีผลผลิต เมื่อมีผลก่อนเก็บผลผลิตใช้สูตร 13-13-21 บางครั้งหากต้องการคุณภาพและความหวานสูงก็ใส่สูตร 0-0-60 ให้

“ราคาฝรั่งที่ขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 20 บาท ปัญหาที่พบคือแรงงานห่อ ผมทำงานหลักๆ กับภรรยา 2 คน คุณนิ่มนวล ฝรั่งรายได้รายวัน” มะละกอ “ดกและใหญ่”

ภาคอีสานบริโภคมะละกอกันมาก โดยเฉพาะทำส้มตำ แหล่งผลิตมะละกอของอีสานที่เหมาะสมมีไม่มากนัก แต่ที่อำเภอน้ำยืน ปลูกมะละกอได้ดี คุณไพศาลคือเกษตรกรที่ปลูกมะละกอได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ