ขั้นตอนการปลูกมะยงชิด สามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่

ทั้งดินทราย ดินลูกรัง ดินร่วนปนทราย แต่มีข้อสำคัญคือ ตอนปลูกครั้งแรกพื้นที่ปลูกต้องไม่มีน้ำขัง ถ้าน้ำขังรากจะเน่า ให้ปลูกในลักษณะพูนดินขึ้นมาเป็นกระทะ รอจนต้นเริ่มแตกใบอ่อนให้เห็นแสดงว่ารอด ก็สามารถอยู่และเจริญเติบโตริมน้ำได้สบาย

มะยงชิด ใช้เวลาปลูก 3 ปี ให้ผลผลิต เก็บผลผลิตได้นานอีก 40-50 ปี “ผมปลูกมะยงชิดตั้งแต่ปี 2524 ผ่านมาแล้ว 38 ปี ตอนนี้ยังให้ลูกดกอยู่เลย พูดง่ายๆ ว่าต้นยิ่งแก่ลูกยิ่งดก นับเล่นๆ แค่ 11 ต้น ได้ผลผลิตเกือบสองตัน ต้นหนึ่งเก็บได้ 200-300 กิโลกรัม” ลุงบอก

ฤดูของผลผลิต …ปกติตามธรรมชาติเริ่มออกดอกเดือนพฤศจิกายนอย่างเร็ว แต่เดี๋ยวนี้มีเทคนิคใหม่คือ เปิดไฟเร่งดอก อย่างที่นี่เปิดไฟเร่งดอกตั้งแต่เดือนตุลาคม ผลผลิตออกมาเก็บขาย วันที่ 3 มกราคม เป็นวันแรก

การเตรียมดิน …การปลูกจะดินอะไรก็แล้วแต่ ต้องดูว่าพื้นดินเป็นที่ลุ่มหรือเปล่า ถ้าเป็นที่ลุ่มก็ควรจะพูนดินขึ้นมาเป็นหลังเต่า ถ้าดินดีไม่ต้องขุดลึก ขุดแค่ 50 เซนติเมตร แล้วผสมปุ๋ยหรือใช้ดินธรรมดาปลูกได้ทุกสภาพ อย่าให้น้ำขัง อย่าให้แล้งจัด ช่วงแรกต้องให้ความชุ่มชื้น

การปลูก … มี 2 แบบ ถ้าปลูกแบบทำกิ่งขาย ใช้ระยะ 4-5 เมตร แต่ถ้าปลูกเพื่อเก็บผลผลิต ให้ปลูกระยะ 8 เมตร ถือว่าดีที่สุด 10 ปี แทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ดูว่ากิ่งข้างในพุ่มยาวไปเสียบข้างในหรือเปล่าแค่นี้เอง

ระบบน้ำ … มะยงชิด เป็นพืชที่ทนแล้งได้ แต่จะอาศัยเทวดาเลี้ยงอย่างเดียวไม่ได้ ทางที่ดีควรมีระบบน้ำ หากปลูกแบบรอน้ำฝนต้นไม่ตาย แต่ผลผลิตที่ได้ก็จะไม่ดีเท่าที่ควร ขนาดของผลจะเล็ก การให้น้ำก็ไม่ต้องให้เยอะ ให้ดูว่าถ้าแห้งจัดก็ให้ ระยะการให้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นดินของแต่ละที่ คนปลูกต้องหมั่นสังเกตเอาเองจะดีที่สุด

ปุ๋ย …ทันทีที่เก็บลูก ควรตัดแต่งกิ่งที่เสียออก แล้วใส่ปุ๋ยคอก ที่นี่ไม่ได้ใส่ปุ๋ยเร่งลูกเร่งขนาด ปล่อยตามธรรมชาติ เพราะพันธุ์ที่ปลูกดีอยู่แล้ว โรคและแมลงที่พบ
จะมีปัญหาเป็นช่วง ถ้าผลผลิตออกช่วงเดือนพฤศจิกายน แมลงวันทอง หรือเพลี้ยจักจั่นยังไม่มี เพราะมะม่วงกับกระท้อนยังไม่ออก แต่หลังจากช่วงที่ผลผลิตมะม่วง กระท้อน ออกพร้อมกัน จะเริ่มมีแมลงมารบกวน วิธีแก้ ใช้แค่แอมโมเนียชุบสำลีแขวนไว้ตามต้นแค่นั้น

เทคนิคทำขนาดผลให้ใหญ่
มี 2 ประการ ประการแรก ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่เลือกปลูก ถ้าพันธุ์ที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่ให้ลูกเล็กดูแลดีแค่ไหน ลูกก็ยังเล็กอยู่ ประการที่สอง ระบบน้ำ ถ้าพันธุ์ที่ปลูกดีแค่ไหน แต่ไม่รดน้ำ จะอาศัยธรรมชาติอย่างเดียวแล้วให้ลูกใหญ่ถือว่ายาก ทางที่ดีคือ เมื่อผลเท่าหัวแมลงวันก็เริ่มให้น้ำได้ ให้วันเว้นวันหรือสองวันครั้ง ถ้าให้มากเกินไปใบอ่อนออกต้นจะสลัดลูกทิ้ง ของแบบนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และเป็นคนช่างสังเกตด้วย ไม่ใช่อ่านทฤษฎีมา เขาบอกทำแบบนั้นแบบนี้แล้วจะได้ผลตามเขา แค่พื้นที่ปลูก หรือฝน ฟ้า อากาศ ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

ห่อผลด้วยโฟม กับกระดาษ
มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกัน
ที่นี่มีการดูแลผลของมะยงชิดอยู่ 2 แบบ

1. ห่อด้วยกระดาษ ข้อดี คือได้ผลสวย และแมลงไม่มารบกวนแน่นอน ส่วนข้อเสีย คือเราจะไม่รู้ว่าผลผลิตสุกหรือยังต้องเสียเวลามาเปิดดูทีละลูก

2. ห่อด้วยโฟมตาข่าย ข้อดี คือสามารถเห็นผลได้ชัดไม่ต้องเปิดดู ช่วยประหยัดเวลา กันนกได้ส่วนหนึ่ง ข้อเสีย กันแมลงตัวเล็กไม่ค่อยดี

แม้ผลผลิตออกเยอะ ตลาดก็ไม่ตัน
เพราะมีคุณภาพการันตี
ลุงนวย เริ่มปลูกมะยงชิดตั้งแต่ ปี 2524 ปลูกสะสมมาเรื่อย มีการคัดหาสายพันธุ์เพื่อหาพันธุ์ที่ดีที่สุดอยู่หลายปี กิ่งพันธุ์จะราคาแพงเท่าไรไม่เกี่ยง เมื่อสะสมปลูกนานไปผลผลิตเริ่มเยอะ กินไม่ไหว ก็เอาไปแจกเพื่อน พอเหลือแจกก็ขายบ้าง การตลาดเริ่มจากมีแม่ค้าที่รู้จักกันอยู่อำเภอสาริกา โทร. มาหาว่ายังมีผลผลิตอยู่ไหม ให้เอามาเดี๋ยวขายให้ เราก็เอาไปให้ลังหนึ่ง สรุปยังกลับไม่ถึงบ้านเลย เขาโทร. มาบอกให้เอาไปให้อีกลัง เมื่อกี้หมดแล้ว

ตั้งแต่นั้นก็กลายเป็นว่ามีคนตามมาซื้อถึงสวนเลย เพราะมะยงชิดเราลูกใหญ่ รสชาติดี ราคาขายเป็นกิโลก็ดีช่วงเดือนมกราคมเก็บขายคละไซซ์กิโลกรัม 280 บาท พอเป็นช่วงที่ผลผลิตออกเยอะ ราคาจะค่อยลดลงมาตามตลาดแต่ไม่มาก หากเป็นไซซ์ใหญ่ชั่งได้ 16 ลูกโล กิโลกรัมละ 280 บาท แม่ค้าก็เอาแล้ว แต่ถ้าจะคัดแบบจริงจังให้ได้ราคาเพิ่ม 12 ลูก 1 กิโลกรัมกำลังดี ด้วยคุณภาพที่ดีมาตลอด ผลผลิตออกมากแค่ไหนไม่กลัวว่าจะขายไม่หมด เพราะแม่ค้าเขามาเฝ้าเก็บเอาเลย เก็บเอง ชั่งเอง เจ้าของจดจำนวนรับเงินอย่างเดียว

การปลูกมะยงชิดไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าจะปลูกไว้กินเองมีแหล่งน้ำเพียงพอก็ปลูกได้ สมัยนี้กิ่งพันธุ์ราคาไม่แพง แต่ถ้าจะปลูกเชิงการค้าให้หาตลาด และศึกษาธรรมชาติดูสักนิดก่อน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ให้ท่องจำไว้เสมอว่า ทุกอย่างมันไม่ใช่ 1+1 = 2 ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะ ไปอ่านมาบอกให้ใส่ปุ๋ยสูตรคนนั้นสั่งมาให้ใส่ปุ๋ยวันนั้นวันนี้ไม่ใช่ ที่ดินแต่ละที่ดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน บางที่ตก อีกที่ไม่

นอกจากเงินแล้ว ปัจจุบันคนเรารู้จักแสวงหาสุขภาพกันมากกว่าเก่า เพราะรู้ว่าเงินบางครั้งก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้ แต่ซื้อของดีๆ มาบำรุงสุขภาพได้ เงินซื้อการออกกำลังกายไม่ได้ แต่ก็ซื้อเครื่องออกกำลังกายมาใช้ที่บ้านหรือเป็นสมาชิกคลับออกกำลังกายได้เช่นกัน อายุขึ้นเลขสี่ก็ควรลดเนื้อสัตว์ให้น้อยลง หันมากินผักให้มากขึ้น ผักที่กินก็ควรดูผักที่ปลอดสารเคมี ช่วงนี้ผักที่ตลาดส่วนใหญ่จะมาจากจีน

เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสนำเสนอ คะน้าเม็กซิโก จนบัดนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ และมีกำขายเป็นผักพื้นบ้านทั่วไปตามตลาดนัด ผู้คนก็เริ่มนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่างแทนคะน้าในปัจจุบัน เช่น ผัดไฟแดง ลวกกินกับน้ำพริก ผัดซีอิ๊ว ผัดราดหน้า ตอนนี้ได้มีโอกาสเจอผักคะน้าอีกอย่างหนึ่ง มีคุณค่าทางอาหารมาก แต่ปลูกไม่ง่ายเหมือนคะน้าเม็กซิโก คราวนี้ไม่แนะนำให้ปลูกเหมือนคะน้าเม็กซิโกที่ปลูกทิ้งปลูกขว้างอย่างไรก็ได้ แต่แนะนำให้กินมากกว่า

ผักเคล (Kale) หรือ ผักคะน้าใบหยิก เป็นพืชตระกูลเดียวกับผักจำพวก บร็อกโคลี่ คะน้า และดอกกะหล่ำ รวมๆ กัน ต้นและใบมีสีเขียวเข้ม ใบหยิก เป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ และถูกยกให้เป็น ‘Superfood’ หรือ “The queen of green” ราชินีแห่งผักใบเขียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย อาทิ โอเมก้า 3 แมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก โซเดียม โพแทสเซียม วิตามินเอ วิตามินซี เป็นต้น

ผักเคล เป็นพืชที่พบเห็นได้ทั่วไปในทวีปยุโรป และได้ถูกใช้เป็นอาหารและยาในลักษณะของอาหารเพื่อใช้รักษาโรคลำไส้ ต่อมาผักเคลได้แพร่หลายเข้าไปในทวีปอเมริกาเหนือ รัสเซีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนรักสุขภาพมาก ส่วนใหญ่จะนำมาปั่นเป็นน้ำผักสมูสตี้ ดื่มกันโดยทั่วไป ซึ่งสามารถปั่นรวมกับผักหรือผลไม้ชนิดอื่นที่ชอบ

เคล เป็นผักที่มีแคลอรีต่ำ แต่มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ช่วยลดการอักเสบของร่างกายป้องกันเลือดแข็งตัว วิตามินเอ ที่ช่วยการลดอายุของผิว ลดการเหี่ยวย่น ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวมีสุขภาพดี ลดริ้วรอย ชะลอความแก่ มีสารที่ช่วยเรื่องการเจริญของผม และลูทีน ช่วยบำรุงสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในเคล เช่น แคโรทีน โพลีฟีนอล และฟลาโวนอยด์ มีงานวิจัยว่า ดื่มน้ำผักเคลเป็นประจำทุกวันติดต่อกัน 12 สัปดาห์ จะช่วยลดคอเลสเตอรอล และในผักเคลยังมีวิตามินซีมากกว่าส้ม และไม่มีน้ำตาลเลย

ในร่างกายที่ต้องการแคลเซียม เคล มีแคลเซียมมากกว่านมวัว ในคนสูงอายุต้องการบำรุงกระดูก แต่ไม่สามารถดื่มนมวัวได้ก็เหมาะอย่างยิ่ง และธาตุเหล็กในเคลก็ยังมากกว่านมวัวอีกด้วย ที่สำคัญเคลเหมาะสำหรับเป็นตัวล้างสารพิษ เพราะมีไฟเบอร์และซัลเฟอร์ช่วยดึงพิษที่สะสมในร่างกาย ได้แก่ จากสารพิษตกค้างในเนื้อ ผัก ยา และมลภาวะ

เดิม คุณพลวิวัฒน์ บัณฑิตภักดิ์ หรือ คุณไก่ ทำงานในโรงงานผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ เนื่องจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการบริหารอุตสาหกรรม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2532 เปลี่ยนงานมาหลายโรงงาน จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2547 หลังจากทำงานได้ 15 ปี จึงลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนเนื่องจากเบื่อชีวิตการทำงานแบบนั้น มาปักหลักทำเกษตรอยู่ที่ปากช่อง

เริ่มจากงานการทำฟาร์มเห็ด เพราะความชอบทางด้านนี้ โดยได้ไปศึกษางานตามฟาร์มต่างๆ ที่เขาเปิดให้ศึกษาความรู้ จึงได้ทำฟาร์มเห็ดตั้งแต่นั้นมา โดยทำก้อนเองขายทั้งก้อน และขายทั้งดอก ซึ่งมีทั้งเห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดหลินจือ และเห็ดโคนญี่ปุ่น โดยใช้แรงงาน 5 คน ซึ่งเป็นคนในครอบครัวทั้งหมด ทำอยู่ได้ 13 ปี ธุรกิจเห็ดก้อนและดอกเห็ดไปได้ดี แต่ก็ต้องเลิกรากันไป เนื่องจากคุณไก่บอกว่า เป็นงานค่อนข้างหนัก และต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างมาก คุณพ่อและคุณแม่ก็ชราแล้วจึงหันมาทำงานอย่างอื่น

ตอนที่ทำเห็ดอยู่โดยปกติ ได้ปลูกผักสวนครัวนำมาใช้ปรุงอาหารกินกันในบ้านอยู่แล้ว และมีส่วนที่ปลูกเพื่อจำหน่ายบ้าง เช่น มะเขือเปราะ มะเขือไข่เต่า ส่วนผักสลัดต่างๆ เนื่องจากคนในบ้านชอบกันเป็นพิเศษจึงปลูกไว้มากหน่อย ส่วนที่กินไม่ทันก็จะนำไปจำหน่ายให้แม่ค้าในตลาดปากช่อง จึงเริ่มปลูกผักสลัดเมื่อสองปีก่อน และได้เริ่มปลูกผักเคล พบว่า มีตลาดรองรับดี สำหรับผู้รักสุขภาพ แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

เคล เป็นผักเมืองหนาว
เคล เป็นผักเมืองหนาว ชอบอุณหภูมิระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส ถ้าหนาวเกินไปจะเจริญเติบโตได้ช้า และถ้าอุณหภูมิร้อนกว่า 30 องศาเซลเซียส ผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพต่ำ ใบผักจะเหนียว พื้นที่ที่เหมาะสมควรอยู่จากระดับความสูงตั้งแต่ 300-800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และสามารถปลูกได้ดีในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนสถานที่ที่อยู่สูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเล 800 เมตร และอากาศเย็นสม่ำเสมอ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ดินที่ชอบจะเป็นดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์สูง สามารถระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ขัง ชอบแดดจัด แต่ควรให้น้ำสม่ำเสมอเช้าเย็น หากรดน้ำไม่เพียงพอใบจะเหนียวและรสชาติไม่ดี

คุณไก่ ใช้วิธีเพาะกล้าในถาดหลุม โดยใช้พีชมอสส์ผสมกับขี้จิ้งหรีด ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ผสมให้เข้ากัน โดยไม่ต้องหมัก ใส่ถาด 105 หลุม หยอดหลุมละ 1 เมล็ด แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่ร่ม หลังจากนั้นก็รดน้ำเช้าเย็นด้วยฝักบัวฝอย ใช้เวลา 2-3 วัน เมล็ดจะงอก หลังจากเพาะอยู่ในถาดหลุม ประมาณ 14-21 วัน จึงจะย้ายลงปลูกในแปลง ระยะห่างต่อต้นต่อแถวประมาณ 40 เซนติเมตร ถ้าปลูกในกระถางควรใช้กระถางประมาณ 12 นิ้ว

หลังจากการใช้รถไถในครั้งแรกที่ยกร่อง ในการปลูกครั้งต่อไปคุณไก่จะใช้คราดยกร่องแปลงเดิมทั้งหมด ความกว้างของร่อง 1 เมตร ยาว 22-25 เมตร หลังจากพรวนดินบนร่องก็จะตากดินไว้ ต่อมาจะโรยขี้วัวหรือขี้ไก่แล้วคลุมร่องด้วยฟาง ร่องละ 1 ก้อน เพื่อเก็บความชื้นและคลุมวัชพืชในแปลง เนื่องจากในสวนคุณไก่ปลูกเป็นแปลงเกษตรอินทรีย์ จึงไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีและยาเคมีใดๆ ทั้งสิ้น

ในช่วงระหว่างการปลูก ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้ ช่วงนี้จะใช้ปุ๋ยปลาฉีดพ่นในอัตราส่วน 2 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยใช้เครื่องฉีดพ่นแบบสะพายหลัง เพื่อเป็นการบำรุงต้น ส่วนถ้ามีแมลงเข้ามาในแปลงก็จะใช้พริกแกงละลายน้ำและน้ำส้มควันไม้ฉีดรวมกัน โดยจะฉีดในเวลาเย็น ยาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า การกำจัดวัชพืชก็ใช้วิธีการถอน แต่บางครั้งถ้าทำงานในแปลงไม่ทันก็จะปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติ วิธีเก็บผลผลิตของเคล คือการเด็ดใบล่างเหมือนกับการเก็บผลผลิตของปูเล่ ไม่เหมาะกับการใช้มีดหรือกรรไกรตัด เพราะจะเหลือก้านติดต้นทำให้เน่าได้ง่าย ราคาผักเคล จำหน่ายกิโลกรัมละ 200 บาท หรือกำละ 20 บาท ส่วนผักสลัดอื่นๆจำหน่าย กิโลกรัมละ 100 บาท

ผมได้ทดลองเอาผักเคลมาผัดน้ำมันหอย พบว่า รสชาติดี ไม่ขมเหมือนคะน้า และเมนูต่อไปเป็นเมนูน้ำปั่นผักเคล ได้ทดลองชิมปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเขียวของผักเล็กน้อย สำหรับคนรักสุขภาพถือว่าไม่มาก แต่ถ้ากินไม่ลงก็จะใส่ผลไม้ที่ชอบได้หลายอย่าง แต่อย่าลืมมะนาว เพราะจะช่วยชูรสให้มีรสชาติดี และถ้าต้องการหวานควรเติมน้ำผึ้ง หรือน้ำตาลแบบโบราณ

ปัจจุบัน คุณไก่ ขายผักสลัดและผักเคลอยู่หน้าฟาร์ม และส่วนหนึ่งแม่ค้าในตลาดปากช่องจะรับไปขาย ส่วนวันศุกร์ตอนเช้าจะไปจำหน่ายที่โรงพยาบาลปากช่องนานา ซึ่งจะมีการจำหน่ายพืชผักปลอดสารพิษของกลุ่มเกษตรอินทรีย์โคราช สนใจผักเคลสามารถติดต่อคุณไก่ได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 092-736-9018

“กระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย” (Mushroom Cottage) ชื่อนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการผ่านสื่อมวลชนเมื่อช่วงปี 2560 ปัจจุบัน “กระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย” ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนทำให้ คุณนัยนา ยังเกิด ลาออกจากพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง มาทำกระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อยอย่างเต็มตัว เพื่อเนรมิตให้เป็นศูนย์เรียนรู้ที่เน้นแนวทางให้ความรู้กับคนเมืองที่สนใจการทำเกษตร หรือบางคนที่กำลังมองหางานด้านเกษตรกรรมเป็นอาชีพเสริม เพื่อพัฒนาให้เป็นอาชีพหลักต่อไป ด้วยการเริ่มต้นเกษตรจากจุดเล็กๆ ในการเพาะเห็ด และขยายสู่การทำฟาร์มเห็ดต่อไป

สำหรับคุณนัยนามีประสบการณ์ทำงานอยู่ในส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารและบริหารแบรนด์ โดยมีประสบการณ์เป็นพนักงานประจำมา 3 ธนาคาร แต่เมื่อถึงจุดที่ทำให้คุณนัยนาต้องทบทวนการเป็นพนักงานประจำ โดยในปี 2554 เกิดการควบรวมกิจการของธนาคาร เธอจึงมองเห็นความไม่แน่นอนในงานประจำ จึงเริ่มเตรียมตัวและเตรียมอาชีพไว้รองรับ ในจังหวะนั้นเธอผันตัวเองมาเรียนรู้การเพาะเห็ดฟาร์ม และเริ่มทำฟาร์มเห็ดอย่างจริงจัง

คุณนัยนา เล่าว่า ตอนแรกมองหาธุรกิจที่เหมาะกับเรา เช่น ร้านเสริมสวย ร้านอาหาร และร้านกาแฟ แต่ก็มองว่ามีคนเปิดเยอะมาก และต้องแข็งเรื่องแบรนด์ดิ้ง (Branding) ก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณยายที่จังหวัดเชียงใหม่ คุณยายแนะนำให้ทำฟาร์มเห็ด ซึ่งตอนนั้นได้เข้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ต ก็พบว่ามีฟาร์มเห็ดอยู่ใกล้ๆ กับที่เราพัก จึงไปรับก้อนเห็ดมา 10 ก้อน พอไปเห็นดอกเห็ดออกมาก็ชอบ เพราะสวยเหมือนช่อดอกไม้ เป็นเห็ดฮังการี

“หลังจากนั้นก็มีโอกาสไปเรียนหลักสูตร 5 วัน ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเป็นหลักสูตรที่หน่วยงานภาครัฐเข้าสนับสนุนด้วยส่วนหนึ่งทำให้ราคาค่าเรียนไม่แพง ตอนเข้าไปเรียนหลักสูตรเพาะเห็ด วันแรกๆ มีคนเรียน 60-70 คน พอวันสุดท้ายเหลือคนเรียนจริงๆ 10 กว่าคน โดยตอนนั้นอาจารย์ที่สอนเพาะเห็ดก็ย้ำว่า ใบประกาศนียบัตรนี้สามารถนำไปกู้เงินแบงก์ได้ด้วย เราก็เลยเรียนจนถึงวันสุดท้ายที่พาไปดูฟาร์มเห็ดและมีการเลี้ยงอาหารเป็นเมนูเห็ด ก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจขึ้นมาว่า การเพาะเห็ดเป็นอาชีพได้จริง ซึ่งหลักสูตรที่ได้เรียน อาจารย์สอนตั้งแต่การเพาะเห็ด ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีในการเพาะเห็ดฟาร์ม ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะมีเทคโนโลยีการเกษตรในต้นทุนที่ไม่แพงมาใช้ด้วย” คุณนัยนาเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

ในเวลานั้น คุณนัยนาได้มองหาทำเลซึ่งเป็นที่ดินของพี่สาว และเริ่มลงทุนทำฟาร์มเห็ด ในปี 2555 บนพื้นที่ 300 กว่าตารางวา ในซอยวัดเล่งเน่ยยี่ จังหวัดนนทบุรี โดยช่วงแรกของการเพาะเห็ด คุณนัยนาทำด้วยความชอบและทำเป็นงานอดิเรกในช่วงที่ต้องทำงานประจำไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งจากระยะเวลาที่เริ่มต้นจนมาถึงวันนี้นับว่า 10 ปีแล้วที่ปลุกปั้นการทำฟาร์มเห็ดจนมาเป็นกระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย โดยขยายมาทำในพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่เดิม บนพื้นที่ 2 ไร่ ในอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ใกล้วัดลาดปลาดุก ซึ่งปัจจุบันในไร่ของเธอมีพันธุ์เห็ด 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ เห็ดนางนวลสีชมพู เห็ดนางรมสีทอง เห็ดนางรมฮังการี เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดนางฟ้าภูฏาน

การทำฟาร์มเห็ดของคุณนัยนาตลอดระยะเวลา 10 ปีนั้น ยังได้ยึดหลักแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงเนรมิต “ศูนย์เรียนรู้กระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย” ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนที่ 1 อุตสาหกรรมเห็ด ซึ่งเป็นพื้นที่เรียนรู้การนำเห็ดมาแปรรูป ส่วนที่ 2 เป็นพื้นที่ของกระท่อม ซึ่งจะให้ผู้เข้าชมเรียนรู้การเพาะเห็ด และ ส่วนที่ 3 ร้านคาเฟ่ เมนูเห็ด รวมทั้งมีในส่วนที่นำไปทำตลาดในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต โดยใช้ชื่อว่า “กระท่อมเห็ดฟู้ด” โดยเน้นซื้อกลับบ้าน

คุณนัยนา เล่าว่า เห็ดมีโครงสร้างแตกต่างกันไปทำให้ทางคาเฟ่ เมนูเห็ดจึงนำเห็ดแต่ละสายพันธุ์ที่ปลูกในกระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย มาสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ เช่น เห็ดนางนวลสีชมพูนำมาทำอาหารแทนเมนูปลาหมึกแท้ และใช้เห็ดเป๋าฮื้อ มาทำเป็นเมนูต้มยำ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่รักอาหารมังสวิรัติ หรือ Plant Base รวมทั้งยังมีเมนูสำหรับเด็ก เช่น การนำเห็ดมาผสมกับเนื้อแซลมอน เป็นผัดแซลมอนเห็ด หรือนำปลาทูและเนื้อไก่มาสร้างสรรค์เมนูร่วมกับเห็ด ส่วนเมนูที่ผู้ใหญ่ชื่นชอบจะเป็นเมนูปูนิ่มผัดพริกเกลือ โดยมีจุดเด่นคือเห็ดในฟาร์มมาเป็นส่วนผสมหลักส่วนเมนูแบบซื้อกลับบ้าน (take home) ที่จำหน่ายในเซ็นทรัล เวสต์เกต เช่น เห็ดซอสเกาหลี ใช้เห็ดนางนวลสีชมพู, แกงเขียวหวานเห็ด และไข่เจียวเห็ด ใช้เห็ดนางรมสีทอง รวมทั้งยังมีเมนูมินิ พิซซ่าเห็ด

“ศูนย์เรียนรู้กระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย” ยังได้เปิดคอร์สสอนเพาะเห็ด หลักสูตร 1 วัน ราคา 1,850 บาท โดยสอนแบบตัวต่อตัว และที่ผ่านมาผู้เข้าอบรมไปแล้ว 100 กว่ารุ่น และมีแนวคิดต่อยอดว่า ในอนาคต “เห็ด” สามารถนำไปผลิตเป็นยารักษาโรค และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

คุณนัยนาให้ความเห็นว่า baseball-intellect.com ปัจจุบันเครือข่ายเกษตรกรคนเมืองเริ่มขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะรอบปริมณฑล กรุงเทพมหานคร แต่ยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐในการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรคนเมือง ให้สามารถรวมตัวกันนำสินค้าเกษตรวางจำหน่าย หรือทำตลาดในวงกว้างผ่านเครือข่ายเกษตรกรคนเมืองที่มีการรวมศูนย์กัน โดยมีภาครัฐเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้ทุกวันนี้คนเมืองเมื่อเรียนรู้การทำเกษตร เมื่อผลิตวัตถุดิบได้ แต่บ่อยครั้งที่ประสบปัญหาด้านการตลาด โดยไม่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดของภาครัฐได้เหมือนในต่างจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ

สำหรับท่านใดที่สนใจเรียนรู้การทำเห็ดฟาร์มแบบสไตล์คนเมือง ในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สามารถไปศึกษาเรียนรู้ได้ที่ “ศูนย์เรียนรู้กระท่อมเห็ดฟาร์มไทรน้อย” จังหวัดนนทบุรี ของคุณนัยนา ยังเกิด หรือสอบถามได้ที่เบอร์โทร. 081-903-1331 และ 063-240-2951

ปกติมะยงชิดและมะปรางหวานจะออกดอกตามธรรมชาติในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม หรือในช่วงหน้าหนาวและผลสุกพร้อมเก็บขายหรือรับประทานระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ของทุกปี หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่ามะยงชิด-มะปรางหวานที่อร่อย ผลใหญ่ รสหวาน ต้องนครนายก ซึ่งเป็นไม้ผลเอกลักษณ์ที่ได้รับขึ้นทะเบียน GI เรียบร้อย

สวนมะยงชิดหลายแห่งล้วนมีศักยภาพในการผลิตมะยงชิด-มะปรางหวานได้อย่างคุณภาพ แต่มีอยู่แห่งหนึ่งที่มีความพิเศษตรงได้ค้นพบเทคนิคส่องไฟที่ต้นมะยงชิดทำให้ออกดอกออกช่อติดผลดกได้จำนวนมากขึ้น ทั้งยังมีคุณภาพเหมือนเดิม สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้สวนมะยงชิดหลายแห่งทั่วประเทศนำเทคนิคนี้ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย

ร.ต.ต. อำนวย หงษ์ทอง หรือที่รู้จักกันว่า “ดาบนวย” ท่านเป็นนายกสมาคมชาวสวนมะปรางจังหวัดนครนายก แล้วยังเป็นเจ้าของ “สวนนพรัตน์” ตั้งอยู่ที่เลขที่ 99 หมู่ที่ 10 ชุมชนบ้านดงละคร ตำบลดงละคร อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก และเป็นเจ้าของเทคนิคส่องไฟต้นมะยงชิดจนมีผลดก แต่ก่อนจะไปรู้ว่าเทคนิคนี้ทำอย่างไร ขอย้อนกลับไปเล่าประวัติการทำสวนมะยงชิด-มะปรางหวานของดาบนวยพอสังเขปก่อน

อยากปลูกมาก แต่ทุนน้อย ค่อยเรียนรู้จนสำเร็จ

ดาบนวยเริ่มปลูกมะยงชิดในราวปี 2533 ขณะที่รับราชการตำรวจ มีเงินเดือนไม่มาก แต่สนใจปลูกมะยงชิด จึงซื้อกิ่งพันธุ์ทาบมาราคา 200 บาท มีความสูงประมาณศอก ตอนนั้นมีที่ดินอยู่ 10 ไร่ อยากจะปลูกให้มากก็ทำไม่ได้เพราะทุนน้อย ไปกู้ก็ไม่ผ่าน จึงปลูกได้เพียงไม่เกิน 20 ต้น ปลูกไว้รอบบ้านก่อน ไม่มีความรู้เรื่องเกษตรเลย ลองผิด-ถูกเอง ถามชาวบ้านแถวนั้นบ้าง จนเมื่อประสบความสำเร็จระดับหนึ่งจึงค่อยขยายจำนวนต้นมากขึ้นเกือบ 200 ต้น เพิ่มพื้นที่ปลูกแล้วจัดการแปลงปลูกอย่างเป็นระบบ ซึ่งสมัยนั้นมะยงชิดเป็นของใหม่ ราคาดี ถ้าปลูกให้มีคุณภาพขายได้ราคาสูงกว่าเงินเดือนด้วย