คุณประโยชน์ของอินทผลัมสด เป็นผลไม้ไม่มีคอเลสเตอรอล

มีไขมันต่ำ เต็มไปด้วยโปรตีน และวิตามิน B1 B2 B3 B5 A1 และ C มีไฟเบอร์สูง จึงช่วยดูแลเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี โพแทสเซียมสูง และมีโซเดียมต่ำ จึงช่วยลดโอกาสเกิดเส้นเลือดแตกในสมองได้ ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยน้ำตาลจำพวกกลูโคส ซูโครส และฟรักโทส หากจะให้มีประโยชน์สูงสุดควรกินร่วมกันกับนม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุได้อีกด้วย มีธาตุเหล็กที่เป็นส่วนสำคัญในเม็ดเลือดแดง จึงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคพยาธิ และสารพิษตกค้างในลำไส้ และระบบทางเดินอาหาร

อีกทั้งยังยับยั้งเชื้อโรคบางตัวที่เป็นสารก่อมะเร็ง ช่วยทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง ช่วยลดความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยป้องกันเยื่อบุในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ทำให้ชุ่มคอและลดเสมหะในลำคอได้ เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดี เพราะมีไฟเบอร์สูง มีพลังงาน และแคลอรีต่ำ บำรุงและรักษาสายตา อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคตาบอดแสง หรือการมองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืนได้ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง และช่วยในโรคเบาหวาน ช่วยป้องกันมะเร็งในช่องท้อง

อินทผลัมสดมีสารกระตุ้นชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งจะช่วยทำให้มดลูกบีบตัวได้อย่างง่ายดายในช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อีกทั้งยังสูญเสียเลือดในขณะคลอดอีกด้วย ช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศ เพราะมีสารฟีลกูลีนที่ช่วยบำรุงการหลั่งน้ำเชื้อของเพศชายได้

คุณวิเชียร เมืองวงค์ เปิดเผยว่า ตนเองทำงานอยู่บริษัทรับเหมาก่อสร้างโดยเป็นโฟร์แมนมาก่อน และมีเงินเดือน 30,000 บาท ต่อมาบริษัทได้หยุดทำกิจการ จึงออกจากงานและมาอยู่บ้าน จึงหันมาทำเกษตร โดยเริ่มทดลองนำอินทผลัมพันธุ์บาฮี มาปลูกในพื้นดินบริเวณบ้านในพื้นที่ 2 ไร่ จำนวน 60 ต้น หลังจากใช้เวลาปลูก 3 ปี ทำให้มีผลผลิต และในปีนี้เป็นปีที่ 4 อินทผลัมให้ผลผลิตเยอะ อินทผลัมที่ให้ผลผลิตมีจำนวน 15 ต้น ซึ่งแต่ละต้นให้ผลผลิตประมาณ 30-60 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 300-800 บาท แล้วแต่ขนาดและพันธุ์ ในแต่ละปีมีผู้สนใจโทร.มาสั่งจอง ทำให้ผลผลิตไม่พอจำหน่าย และสามารถสร้างรายได้หลายแสนบาท สำหรับปีนี้ผลผลิตเริ่มสุกและจะสามารถจำหน่ายได้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน

ผู้ที่สนใจจะสั่งจองหรือเข้าไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับการปลูกอินทผลัม สามารถติดต่อสวนคุณวิเชียร เมืองวงค์ บ้านต๋อมดง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา “ประทีป มายิ้ม” เกษตรกรเจ้าของ “สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม” อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ กลายเป็น “ปราชญ์เกษตรต้นแบบ” โดยอาศัยที่ดินเพียงแค่ 1 ไร่ เป็นที่ทำกินสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 600,000 บาท สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เกษตรกรจำนวนมาก ได้ใช้เป็นต้นแบบสู้ชีวิต

เมื่อ คุณประทีป มายิ้ม อายุ 19 ปี เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ในโครงการแลกเปลี่ยนเกษตรกรไทยกับซาอุฯ เขาใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างยากลำบาก ต้องทำงานปลูกต้นไม้ ปลูกข้าว จัดสวนหย่อม ไม้ดอกไม้ประดับกลางทะเลทราย แต่เขาใจสู้เกินร้อย ก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างได้สำเร็จ

เมื่อเดินทางกลับมาอยู่เมืองไทย เขาได้นำวิชาความรู้ที่ได้จากต่างแดนมาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรที่จังหวัดชลบุรี คุณประทีปทำเกษตรแบบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อยากกินไข่ก็เลี้ยงไก่ อยากกินกุ้ง กินปลา ก็ลงมือเลี้ยงด้วยตัวเอง พร้อมปลูกพืชแบบคอนโดฯ 7 ชั้น (ปลูกต้นไม้ 7 ระดับ) ซึ่งเป็นเกษตรเชิงนิเวศหรือเกษตรผสมผสาน ที่มีสภาพใกล้เคียงกับป่าธรรมชาติ

“ภาคเกษตรเมืองไทยอุดมสมบูรณ์มาก แถมมีต้นทุนต่ำสุด เพราะได้เปรียบในเรื่องดินดี น้ำดี และมีอุณหภูมิความชื้นที่เหมาะสม ทำให้ปลูกพืชผักนานาชนิดได้งอกงาม” คุณประทีป กล่าว

ปัจจุบัน คุณประทีปได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่เป็นแบบอย่างในการทำกิน โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ดำรงชีวิตตามรอยพ่อหลวง “รัชกาลที่ 9” คือปลูกสิ่งที่กิน กินเหลือก็แจก เหลือแจกก็ขาย เพื่อสร้างรายได้

ทุกวันนี้ สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม มีเนื้อที่เพียง 1 ไร่ แต่สร้างรายได้กว่าปีละ 600,000 บาท รายได้หลักมาจากการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ปีละ 400,000 บาท ที่เหลือมาจากการขายพืชผักปลอดสารพิษและอื่นๆ คุณประทีปเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งก้ามแดง 4 ตัว ที่ลูกสะใภ้ซื้อมาฝาก ปัจจุบัน เนื้อที่ 1 ไร่ รอบบ้านของคุณประทีปสามารถเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้มากกว่า 10,000 ตัว

เคล็ดลับการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงให้ประสบความสำเร็จ เริ่มจากเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของกุ้งก้ามแดงเสียก่อนว่า ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด มีออกซิเจนสูง อุณหภูมิน้ำ 23-28 องศา มักออกหากินพืชและสัตว์ในเวลากลางคืน ไม่ชอบแสง ชอบนอนกลางวัน โดยซ่อนตัวตามจอก แหน ตะไคร่น้ำ

ในช่วงอายุ 1-4 เดือน กุ้งก้ามแดงจะมีอัตราการเจริญเติบโตเดือนละ 1 นิ้วโดยประมาณ หลังจากนั้น จะเติบโตลดลง ขณะที่กุ้งลอกคราบเป็นช่วงที่กุ้งอ่อนแอที่สุด หากอาหารและแคลเซียมไม่เพียงพอ กุ้งจะกินกันเอง คุณประทีปใช้เวลาเลี้ยงกุ้งประมาณ 18 เดือน จึงจับกุ้งน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม ออกขายได้ในราคา 1,200 บาทต่อกิโลกรัม กุ้งก้ามแดงขายได้ราคาดี เป็นที่ต้องการของร้านอาหาร ภัตตาคาร โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่มีลูกค้าต่างชาติจำนวนมาก

คุณประทีปในฐานะนายกสมาคมการค้ากุ้งก้ามแดงแห่งประเทศไทย เคยเดินทางกว่า 1,000 กิโลเมตร จากชลบุรีไปเชียงใหม่ จากชลบุรีไปนครพนม ฯลฯ เพื่อไปถ่ายทอดความรู้เรื่องการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงให้แก่ผู้สนใจ และนำพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามแดงติดรถไปด้วย เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่สนใจ

“หากช่วงไหนเจออากาศร้อนๆ กุ้งก้ามแดงก็เสี่ยงตายได้ง่าย ผมจะนำพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามแดงใส่ลังโฟม นำไปวางบนเบาะหน้ารถใกล้กับช่องแอร์ เพื่อให้กุ้งได้รับแอร์เย็นๆ ในรถ โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง กุ้งก็อยู่รอดได้สบาย”

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์แปรรูปกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยเฉพาะผลไม้ที่สามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลาย ซึ่งผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ หรือศูนย์ของฝากของแต่ละจังหวัดที่ขึ้นชื่อ จึงทำให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานแปรรูปได้ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งฝรั่งเองเป็นอีกหนึ่งไม้ผลที่สามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำมาแปรรูปน้ำฝรั่ง ตลอดไปจนถึงการทำเป็นของทานเล่น ก็ทำให้เคี้ยวไปพร้อมกับการได้รับคุณประโยชน์ไปด้วยพร้อมๆ กัน

คุณธวัช อุทัย เกษตรกรชาวสมุทรสาคร ได้ปลูกฝรั่งแป้นสีทองนอกจากจำหน่ายผลสดแล้ว ผลผลิตที่ได้จากการคัดเกรดจะนำมาทำการแปรรูป จึงทำให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้หลากหลาย เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญสินค้าแปรรูปมีโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน จึงทำให้สามารถส่งจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นและการสร้ารายได้ที่ยั่งยืง

คุณธวัช เล่าให้ฟังว่า ตลอดของการทำอาชีพเพื่อสร้างรายได้นั้น ยึดการทำเกษตรมาโดยตลอด มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชไปตามความเหมาะสม โดยก่อนที่จะมาปลูกฝรั่งแป้นสีทองเหมือนเช่นในปัจจุบัน สมัยก่อนนั้นได้ทำสวนกล้วยไม้มาก่อน แต่ด้วยระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาในพื้นที่มีปัญหาในเรื่องของน้ำเค็ม จึงทำให้น้ำที่ใช้รดให้กับกล้วยไม้มีปัญหา จึงได้ปรับเปลี่ยนมาปลูกฝรั่งแป้นสีทองแทนการทำสวนกล้วยไม้

“ประมาณปี 2557 เราก็เริ่มมาทำสวนฝรั่ง เพราะดูจากสภาพแวดล้อมแล้วไม่น่าจะทำสวนกล้วยไม้ต่อไป โดยพืชที่เลือกก็จะเป็นไม้ผลเป็นหลัก คือมาปลูกฝรั่งแป้นสีทอง เหตุที่เลือกสายพันธุ์นี้ เพราะว่ามีผลที่ใหญ่และให้น้ำหนักที่ดี เมื่อเทียบกับฝรั่งสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้ในเรื่องของการจัดการอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ฝรั่งแป้นสีทองเราไม่ได้มองที่จะขายผลสดเพียงอย่างเดียว เรามองไกลไปถึงในเรื่องของการแปรรูป ดังนั้นจึงเลือกปลูกสายพันธุ์นี้เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของการทำตลาดที่หลากหลาย” คุณธวัช บอกถึงที่มาของการเลือกปลูกฝรั่งแป้นสีทอง

โดยวิธีการปลูกฝรั่งแป้นสีทองให้ได้ผลที่มีคุณภาพนั้น คุณธวัช บอกว่า จะต้องทำพื้นที่ปลูกให้เหมาะสมด้วยการยกร่องสวนให้มีพื้นที่ปลูกและร่องน้ำที่เพียงพอ โดยร่องน้ำจะมีขนาดกว้างประมาณ 1.20 เมตร ส่วนพื้นแปลงปลูกจะมีขนาดกว้างอยู่ที่ 6 เมตร ซึ่งการปลูกต้นฝรั่งจะปลูกแบบ 2 คู่ ให้มีระยะห่างต้นและแถวอยู่ที่ 2 เมตร โดย 1 ไร่ สามารถปลูกต้นฝรั่งได้ถึง 200 ต้น

เมื่อปลูกฝรั่งลงแปลงในวันแรกๆ คุณธวัช บอกว่า จะต้องรดน้ำให้กับไม้ทุกวัน ดูแลต่อไปเรื่อยๆ จนได้อายุ 5 เดือน จึงจะเริ่มทำค้างสำหรับใช้รับน้ำหนักของผลฝรั่ง เพื่อไม่ให้กิ่งของไม้หักหรือฉีกในช่วงที่ผลผลิตออกมา ซึ่งในช่วงที่ต้นฝรั่งจะให้ผลผลิตจะหมั่นมัดกิ่งให้ติดอยู่กับค้างสม่ำเสมอ

“การใส่ปุ๋ยให้กับต้นฝรั่ง หลังจากปลูกลงดินได้ 45 วัน จะใส่สูตร 25-7-7 ทุก 45 วันครั้ง สลับกับให้ปุ๋ยคอกทุก 3 เดือนครั้ง เมื่อฝรั่งเข้าสู่อายุ 6-7 เดือน เราจะเริ่มโน้มกิ่งติดกับค้างที่ทำไว้เพื่อเตรียมความพร้อมในการติดผล ก็จะเปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็นสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 หลังใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 2 เดือน ก็จะมีดอกและติดผลเล็กๆ ให้เห็น 1 ต้น จะปล่อยให้มีผลอยู่ที่ 25 ผล เพื่อไม่ให้มีผลเล็กเกินไป จากนั้นเราก็ทำการห่อผลทั้งหมด เพื่อป้องกันแมลงต่างๆ นับวันห่อผลไป 2-3 เดือน ผลฝรั่งก็จะแก่สามารถตัดขายได้” คุณธวัช บอก

ส่วนในเรื่องของการป้องกันโรคและแมลงของฝรั่งแป้นสีทองนั้น คุณธวัช บอกว่า ศัตรูพืชที่ต้องระวังมากที่สุดเป็นเพลี้ยแป้งสามารถเข้าทำลายได้ตลอดทั้งปี ดังนั้น จะมีการป้องกันอยู่เสมอในเรื่องของการกำจัด ด้วยการใช้สารชีวภัณฑ์ต่างๆ ในการฉีดพ่น

ฝรั่ง 1 ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 ตัน การเก็บจำหน่ายสามารถทำได้ตลอดทั้งปี หากมีการบำรุงรักษาต้นให้มีความสมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งผลผลิตภายในสวนของเขาได้รับรองมาตรฐานจีเอพี (GAP) จึงทำให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเชื่อมั่นในการผลิตของเขา โดยจะมีลูกค้าเข้ามาติดต่อขอซื้อเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ และผลที่เหลือจากการคัดไซซ์ จะนำไปแปรรูปเพื่อให้ผลผลิตภายในสวนสามารถจำหน่ายได้ทั้งหมด

“ตลาดต่างประเทศค่อนข้างที่จะต้องการฝรั่งผลสด ที่มีคุณภาพดี ดังนั้นในเรื่องนี้กลุ่มของเราจะเน้นมาก ว่าทุกผลที่ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศต้องได้มาตรฐาน ซึ่งราคาขายผลสดก็อยู่ที่ 25-35 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนผลที่ตกเกรดเราก็จะนำมาแปรรูปด้วยการมาอบแห้ง ทำเป็นฝรั่งบ้วย หรือน้ำฝรั่งก็ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตมากขึ้น ทำให้เราทำตลาดได้หลากหลายและขายได้ทุกช่องทาง ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้ถูกคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการเกษตร ไปร่วมงาน The International Horticultural Exhibition 2019 : Beijing Expo 2019 ที่เมืองเหยียนชิง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นการเปิดตลาดในประเทศจีนอีกช่องทาง จึงทำให้เราได้พบกับลูกค้าคนจีนที่เป็นรายใหม่ๆ และจะได้นำความต้องการของลูกค้ามาพัฒนาสินค้าและนำมาบอกทางกลุ่มเพื่อสร้างมาตรฐานสินค้าต่อไป” คุณธวัช บอก

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปลูกฝรั่งเพื่อสร้ารายได้ คุณธวัช แนะนำว่า การจะประสบผลสำเร็จในเรื่องของการปลูกไม้ผลอย่างฝรั่งได้นั้น การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องหมั่นหาข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอทั้งเรื่องของการปลูกและการประหยัดต้นทุน โดยการผลิตอาจไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีเหมือนเช่นสมัยก่อน เพื่อปรับเปลี่ยนการปลูกให้มีมาตรฐานมากขึ้น พร้อมทั้งทำตลาดให้มีความหลากหลายด้วยการนำมาแปรรูป ก็จะช่วยให้มีรายได้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนต่อไป

คุณสังคม นิลฉวี อดีตนายกองค์การบริหารส่วนคำบลประณีต อยู่ในตำแหน่งร่วม 10 ปี เล่าว่า ตำบลประณีต เป็นแหล่งปลูกทุเรียนโดยเฉพาะหมอนทอง ที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียง จากพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 70,000 ไร่เศษ พื้นที่ปลูกทุเรียน ประมาณ 30,000 ไร่ สร้างรายได้ให้ชาวตำบลประณีต ปี 2564 มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทเศษ (เพิ่มจากปี 2563 มีรายได้ 4,000 ล้านบาท) การจัดหลักสูตรทุเรียนของโรงเรียนประณีตวิทยาคม สอดคล้องกับอาชีพทำสวนทุเรียนในท้องถิ่น ในครอบครัวของเด็กๆ และยังพัฒนาเป็นอาชีพหลักที่ยั่งยืนได้ ในการปลูกทุเรียน สร้างรายได้ตั้งแต่การเพาะชำกล้าไม้ จำหน่ายต้นพันธุ์ได้ต้นละ 80-100 บาท มือตัดรับจ้างวันละ 1,500 บาท ถ้าทำสวนขายผลสด กิโลกรัม 150-200 บาท หากทำออนไลน์จะได้ราคาสูงขึ้น อบต.ได้มีข้อกำหนดให้เกษตรกรที่ปลูกทุเรียน ต้องแบ่งพื้นที่ 10% เป็นแหล่งน้ำ มี 10 ไร่ ต้องแบ่งทำแหล่งน้ำ 1 ไร่ และ อบต.พัฒนาแหล่งน้ำสาธารณะรองรับไว้อย่างเพียงพอ

“ขั้นตอนกว่าจะได้ทุเรียนที่มีคุณภาพ ต้องมีกระบวนการตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนกระทั่งตัดขาย จึงเป็นองค์ความรู้ ที่ต้องเรียนรู้ เช่น แผงจำหน่ายกล้าพันธุ์ไม้ทุเรียน แผงใหญ่ใน อบต.ประณีต มีรายได้ปีละ 80 ล้านบาทนั้น กว่าจะได้กิ่งพันธุ์ที่ดี แข็งแรง ต้องหาเมล็ดทุเรียนป่ามาเพาะ นำกิ่งพันธุ์ดีๆ มาเสียบยอด ใช้เวลา 1-2 ปี การดูแล บำรุงรักษา การโยงกิ่ง การตัดทุเรียนแก่มีคุณภาพที่ต้องมีจิตสำนึก หลักสูตรโรงเรียนเริ่มต้นจากการเพาะชำกล้าไม้ขาย อาจจะช่วยพ่อแม่ทำได้ หรือรับจ้างน่าจะมีรายได้ถึง 1,000 บาท/วัน การตัดทุเรียนที่รับประกันได้ว่า ทุเรียนแก่จัด สุกภายใน 3 วัน จะมีรายได้ 1,500-2,000 บาท/วัน ปี

เมื่อเรียนจบอาจจะทำสวนทุเรียนพื้นที่ 2 ไร่ ปลูกไร่ละ 25-30 ต้น 1 ต้น ได้ผลผลิตต้นละ 100-120 กิโลกรัม มีรายได้อย่างต่ำปีละ 600,000-700,000 บาท เดือนละ 30,000-40,000 บาท ถ้าเก่งๆ สร้างรายได้ถึงเดือนละแสนบาท เรียกว่าเป็นอาชีพที่โคตรดีเลย และได้ประกอบอาชีพอยู่กับครอบครัวไม่ต้องทิ้งถิ่น”

คุณอรณี สำราญรื่น หรือ พี่หยก อยู่ที่ 16 หมู่ที่ 8 ตำบลโพนทอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์หญิงเก่งแห่งเมืองกาฬสินธุ์ ประสบความสำเร็จจากการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากจุดเริ่มต้นการปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ จนกลายเป็นงานสร้างรายได้แซงทุกอาชีพที่เคยทำมา และที่สำคัญยังกลายเป็นอาชีพสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนได้อีกด้วย

พี่หยก เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพว่า ก่อนที่จะหันมาเป็นเกษตรกรตนเองทำงานอยู่ที่ประเทศไต้หวันมาก่อน เพิ่งจะหันมาปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ตอนปี 51 เริ่มแรกปลูกเพื่อไว้ใช้เลี้ยงสัตว์ภายในฟาร์มของตนเอง และมองข้ามไปเลยว่าหญ้าที่ตนเองปลูกไว้จะสามารถขายได้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคนมาขอซื้อหญ้าที่ปลูกไว้จึงเป็นจุดประกายไอเดียขึ้นมาว่าจะปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เชิงการค้าและได้กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน

ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ 80 ไร่
หลากหลายสายพันธุ์
สร้างรายได้หลายแสนต่อเดือน
เจ้าของบอกว่า หลังจากที่ตัดสินใจจะปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพ ก็เริ่มทำการขยายพื้นที่ปลูกเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด 80 ไร่ โดยแบ่งปลูกหลากหลายสายพันธุ์ เพื่อให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งหญ้าหวานอิสราเอล หญ้าเนเปียร์แคระ หญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 หญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ และการแปรรูปทำอาหารหมัก ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าหลักได้ 4 กลุ่ม ดังนี้

ลูกค้ากลุ่มเลี้ยงสัตว์ใหญ่ เช่น โคเนื้อ โคนม โคขุน จะต้องการหญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ ตอบโจทย์เรื่องของปริมาณ ทนแล้งน้ำหนักดี และหญ้าหวานอิสราเอล มีสารอาหารเยอะ

ลูกค้ากลุ่มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก เช่น แพะ แกะ เป็ด ไก่ และปลา จะต้องการหญ้าหวานอิสราเอล ตอบโจทย์ด้านสารอาหารเหมาะสำหรับสัตว์เล็ก และหญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ

ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อนำไปปลูกขยายพันธุ์และขายต่อเป็นมัด จะแนะนำให้ปลูกหญ้าเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ โตไว ใบเยอะ ลำต้นอ่อน ตอบโจทย์ผู้ที่ปลูกเชิงการค้า ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการอาหารสัตว์แปรรูป นิยมนำหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 และหญ้าเนเปียร์นรกจักรพรรดิ แปรรูปทำหญ้าหมักจะเก็บรักษาไว้ได้นาน เพราะหากถ้าเป็นหญ้าสดจะเก็บได้แค่ 3-4 วัน แต่เมื่อนำมาแปรรูปจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน 1-2 เดือน จะทำให้ลดต้นทุน ลูกค้าไม่ต้องมาซื้อบ่อย สามารถขายได้จำนวนมากต่อครั้ง และสามารถส่งขายตามต่างจังหวัดได้สะดวกขึ้

เทคนิคการปลูก

วิธีการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ทุกสายพันธุ์จะมีวิธีการปลูกคล้ายๆ กัน จะแตกต่างกันตรงที่ฤดูกาลที่ปลูก และวิธีการเก็บเกี่ยววิธีใดใช้แรงงานคน หรือใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว การเตรียมแปลง…เกษตรกรผู้ปลูกทำให้ดินร่วนให้ได้มากที่สุด กำจัดวัชพืชออกให้หมดอย่าให้หลงเหลือ แล้วเตรียมระบบน้ำ สำคัญที่สุดคือหลังปลูกดินต้องชุ่ม หากปลูกทิ้งไว้แล้วไม่มีน้ำรด จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร และแนะนำให้ปลูกแบบชักร่อง จะทำให้เจริญเติบโตได้ดีกว่าการปลูกแบบธรรมดา และการบริหารจัดการน้ำจะง่ายและสะดวกกับเกษตรกรมากกว่าด้ว

การปลูก…หากใช้แรงงานคนตัดให้ปลูกในระยะห่างระหว่างแถว 80 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 60 เซนติเมตร แต่ถ้าใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแนะนำปลูกระยะห่างระหว่างแถวอย่างน้อย 1.20 เมตร ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 40-50 เซนติเมตร โดยวิธีการปลูกสามารถปลูกเป็นท่อนพันธุ์ หรือปลูกทั้งลำเหมือนอ้อยก็ได้

โดยที่ฟาร์มจะเลือกปลูกทั้ง 2 แบบ ให้เหมาะสมตามฤดูกาล เช่น หากเป็นช่วงฤดูฝน จะใช้วิธีการปลูกโดยใช้ท่อนพันธุ์ เนื่องจากหากลงทั้งลำจะทำให้น้ำขัง เจริญเติบโตได้ไม่ดี แต่ถ้าใช้ท่อนพันธุ์ในการปลูกจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า เพราะน้ำไม่ขังและดินไม่แน่น และที่สำคัญการปลูกต่อหลุมถ้าจะให้ดีต้องใช้ 2 ท่อนต่อหลุม 1 ไร่ ใช้ประมาณ 4,800 ท่อน และถ้าหากเป็นฤดูฝน จะเหมาะกับการปลูกแบบทั้งลำ เพราะดินเย็นและน้ำไม่ขัง และเหมาะสำหรับหญ้าสายพันธุ์เนเปียร์แคระ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์นรกจักรพรรดิ และท้ายเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ โดยให้ความสูงของต้นไม่เกิน 1 เมตร จากนั้นใช้ดินกลบ แล้วปล่อยน้ำตามทันที

ระบบน้ำ…คือที่ฟาร์มโชคดีตรงที่แปลงปลูกอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตแป้งมัน ก็จะใช้โอกาสตรงนี้ผันน้ำจากโรงงานมาใช้รดหญ้าภายในแปลง ซึ่งเป็นน้ำที่ผ่านการบำบัดมาแล้ว ช่วยลดต้นทุน ไม่ต้องใส่ปุ๋ย หรือบำรุงใดๆ แต่ถ้าที่อื่นไม่มีน้ำบำบัดจะต้องใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุง และต้องขอบอกว่าน้ำบำบัดจากโรงงานนี้หากใช้รดพืชชนิดอื่น เช่น มันสำปะหลังและใช้ในนาข้าว จะใช้ไม่ได้ผลจะมีแต่ใบ อันนี้ถือว่าเป็นความโชคดีของที่ฟาร์ม เพราะน้ำคือปัจจัยสำคัญในการปลูกหญ้า ถ้ามีน้ำไม่เพียงพอแนะนำว่าอย่าปลูก เพราะจะได้ผลผลิตไม่ดี หรือถ้ารอแต่น้ำฝนก็จะได้เกี่ยวได้แต่เฉพาะในฤดูฝน ได้ผลผลิตไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ที่ฟาร์มมีน้ำจากโรงงานใช้อยู่ตลอด ทำให้สามารถผลิตหญ้าให้เก็บได้ทั้งปี และยังได้ผลผลิตในปริมาณที่มากอีกด้วย

โดยที่ฟาร์มจะให้น้ำจากบนลงล่างโดยการปล่อยตามร่อง หรือบางท่านถ้าน้ำน้อยก็สามารถใช้ระบบสปริงเกลอร์หรือน้ำหยดได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือหลังปลูกถ้าใช้ระบบสปริงเกลอร์ต้องไถพรวน แต่ถ้าปลูกตามร่องจะง่ายกว่า และดินจะชุ่มกว่าระบบน้ำหยดและน้ำพุ่ง ส่วนความถี่ในการให้น้ำ คือหลังปลูกต้องให้น้ำทันทีเพราะดินแห้ง หลังจากนั้น สังเกตสภาพดินอย่าให้แห้ง หากดินแห้งให้รดน้ำ 3-4 วันครั้ง หรือ 7-10 วันครั้ง มีข้อแม้ว่าอย่าทิ้งระยะไว้นานเกิน 2 สัปดาห์

ปุ๋ย…แนะนำสำหรับเกษตรกรท่านอื่นๆ ถ้าไม่มีปุ๋ยเคมีใส่ ให้ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ใส่ได้ทุกชนิด แต่ถ้าหากพื้นที่ใดหาปุ๋ยขี้เป็ดหรือขี้ไก่ได้จะดีมาก จะทำให้พืชโตและงามกว่าการใส่ขี้วัวและขี้ควาย

ระยะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว…ขึ้นอยู่แต่ละสายพันธุ์ สมัคร GClub หากเป็นหญ้าเนเปียร์แคระ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์นรกจักรพรรดิ และเนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ ตัดเกี่ยวได้ 5-6 ครั้งต่อปี ได้หญ้าสดประมาณ 8-10 ตันต่อไร่ต่อครั้ง ส่วนหญ้าหวานอิสราเอลเหมาะกับการใช้แรงงานคนเก็บเกี่ยว ไม่เหมาะกับการใช้เครื่องจักร อายุการเก็บเกี่ยวรอบแรก 3 เดือน รอบต่อไปประมาณ 35-45 วัน

อุปสรรคในการปลูก

1. น้ำคือสิ่งสำคัญ แนะนำสำหรับพื้นที่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอ และเรื่องของการดูแลรักษา คือไม่สามารถไถพรวนได้เพราะไม่มีแรงงาน ไม่มีเครื่องจักร จะให้ผลผลิตได้ไม่ดี
2. อย่าปล่อยให้หญ้าขึ้นสูงมากจนเกินไป จะเป็นปัญหาตอนที่ลมกับฝนมาพร้อมกันจะทำให้ต้นล้ม ซึ่งจะมีปัญหาเหมือนกันทุกสายพันธุ์ ยกเว้นหญ้าหวานอิสราเอล

ตลาดอยู่ที่ไหน

ราคาขาย…เป็นไปตามฤดูกาล 1. ขายหญ้าสด ในฤดูหนาวจำนวน 5-6 มัด น้ำหนักรวมประมาณ 7-8 กิโลกรัม ราคา 100 บาท แต่ถ้าเป็นฤดูฝนจะเพิ่มจำนวนมัดขึ้นมาเป็น 8-10 มัด แต่ขายในราคา 100 บาท เท่าเดิม เนื่องจากฤดูฝนมีผลผลิตออกมาเยอะพร้อมๆ กัน 2. หญ้าหมักแปรรูป 30 กิโลกรัม ราคา 50 บาท ขายราคาเดียวตลอดทั้งปี และ 3. ท่อนพันธุ์ เนเปียร์แคระ เนเปียร์นรกจักรพรรดิ เนเปียร์ปากช่อง 1 เนเปียร์ท้ายเขื่อนซุปเปอร์ลีฟ และหญ้าหวานอิสราเอล จำหน่ายท่อนละ 2 บาท

รายได้…เมื่อหักต้นทุนแล้วเหลือกำไร 50-60 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายต่อเดือนคิดเป็นเม็ดเงินแล้วสร้างรายได้มากถึงเดือนละ 200,000-300,000 บาท เมื่อหักต้นทุนออกก็จะเหลือกำไรเกือบครึ่งต่อครึ่

เจ้าของบอกว่า หญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอะไรที่คนยังมีความต้องการสูง เพราะคนต้องบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน และสัตว์ก็ยังต้องกินอาหารทุกวัน เพราะฉะนั้น ตลาดยังไปได้อีกไกลแน่นอน ยกตัวอย่างของที่ฟาร์ม จะมีลูกค้าทั้งในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง และมาประจวบเหมาะกับที่จังหวัดกาฬสินธุ์อยู่ใกล้กับจังหวัดที่มีสหกรณ์โคนมทั้งหมด เช่น จังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี ทำให้สามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงตลาดเพื่อนบ้านคือ ลาวและกัมพูชา ที่ก่อนหน้าที่เกิดโควิด-19 เขามีความต้องการหญ้าเลี้ยงสัตว์จากไทยสูงมาก