คุณสุภาพ บอกว่า การอดน้ำต้องทำให้ถูกจังหวะ หากทำไม่ถูก

จังหวะวัชพืชจะขึ้นมาก และต้องใช้สารเคมีมาช่วยในการกำจัดหญ้าอีก วิธีการที่ถูกต้องคือ หลังจากหว่านเมล็ดแล้วให้เอาน้ำออกเพื่อให้เมล็ดข้าวจับดิน หลังจากนั้น 3 วัน จึงเอาน้ำเข้านา หากเป็นการปลูกเพื่อขายส่งโรงสีข้าว สามารถใช้ยาคุมหญ้ามาช่วยได้ หลังจากการหว่านเมล็ดแล้วใส่ยาได้ 2 วัน ก็ปล่อยน้ำเข้านา คอยหล่อน้ำในนาห้ามให้ดินโผล่เป็นเวลา 30-35 วัน เพื่อกันวัชพืชขึ้น จากนั้นจึงปล่อยน้ำให้ดินแห้ง จนข้าวหิวน้ำจึงให้น้ำอีกครั้ง วิธีสังเกตว่าข้าวหิวน้ำคือ ใบธงข้าวจะมีปลายใบเหี่ยว หลังจากต้นโตแล้วสามารถให้น้ำแบบเปียกสลับแห้งได้ตลอด เพราะเมื่อต้นโตแล้วจะมีใบทึบคอยปิดไม่ให้แสงลงดิน เมื่อไม่มีแสงต้นหญ้าจะไม่ขึ้น หรือถ้าขึ้นก็จะไม่โต

“วิธีการปลูกแบบอดน้ำนี้สามารถนำไปใช้ในการทำนาได้ทุกพื้นที่ของประเทศ ตอนนี้มีเกษตรกรสิงห์บุรี มาเรียนรู้ดูงานแล้วนำกลับไปทำก็ประสบผลสำเร็จได้ผลผลิตดี ไม่ต่างจากการปลูกข้าวแบบเดิมๆ เกษตรกรควรจะพัฒนาความรู้อยู่ตลอด และนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาพื้นที่ของตนเอง เช่น เรื่องแมลงศัตรูพืชที่รบกวนข้าว ควรศึกษาชนิดของแมลงให้ดี เพราะยังมีแมลงบางชนิดที่ช่วยชาวนากำจัดศัตรูพืช ได้แก่ แตนเบียน แมลงปอ และแมงมุม ที่ช่วยในการกำจัดไข่และตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดด หากรู้จักสมดุลทางธรรมชาติของแมลงเหล่านี้ดีก็สามารถช่วยลดค่าต้นทุนในเรื่องยาพ่นกำจัดแมลงและทำให้ข้าวที่ผลิตออกมาปลอดสารเคมีเต็มตัว” เจ้าของนาอธิบาย

แต่แท้จริงแล้ว ดินเสียหายเพราะเคมีนั่นเอง คุณสุภาพ ได้รับการอบรมมาว่า ทำนาให้ใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยที่สุด จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ก็ราคาแพง ก็เลยใช้ปุ๋ยสด ปุ๋ยสดคือต้นปอเทือง หว่านปอเทืองทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน แล้วไถกลบให้เน่าเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยสดชั้นดีวิเศษ ต้นข้าวจะชอบปุ๋ยสด นา 80 ไร่ ถ้าใช้ปุ๋ยอินทรีย์กระสอบละ 300 บาท จะหมดเงินหลายแสน เป็นต้นทุนที่สูง ชาวนาที่ชาญฉลาดเขาไม่ค่อยทำ ทำไปก็เหนื่อยเปล่า ต้องลงทุนให้ต่ำเข้าไว้ ที่ทางออกที่ดีที่สุดของชาวนาผู้เก่งกาจอย่างคุณสุภาพ แห่งตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว ทุกวันนี้คุณสุภาพ ปลูกข้าวหอมสีม่วง หรือเรียกว่าข้าวไรซ์เบอร์รี่ ถือว่าสารสีม่วงในข้าวหอมชนิดนี้มีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารสีม่วงที่หมอยืนยันว่าช่วยบำรุงเรื่องสายตา เพราะเป็นข้าวที่มีประโยชน์มากมายนี้เอง ข้าวสีม่วงนี้จึงมีราคาแพง ชาวนาไม่ต้องยากจนอีกต่อไป ยิ่งคนรุ่นใหม่ใส่ใจในสุขภาพต่างก็ต้องการ ราคาจึงสูงถึง กิโลกรัมละ 70-100 บาท

คุณสุภาพ ปลูกข้าวสีม่วง 40 ไร่ ปลูกแล้วตากให้แห้งสีเอง แพ็กใส่ถุงขายเองในราคา กิโลกรัมละ 60 บาท โดยทำตลาดเองด้วย ถ้าชาวนาขายข้าวได้ราคาอย่างนี้ ก็คงจะหมดไปกับคำพูดที่ว่า ชาวนายากจน อีกต่อไป

ข้าวเปลือก 800 กิโลกรัม สีแล้วเป็นข้าวสาร ได้ 600 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 60 บาท ชาวนาก็ได้ 36,000 บาท ต่อ 1 ไร่

ต้องการข้อมูลหรืออยากเรียนรู้เรื่องการทำนาให้ประสบความสำเร็จ ติดต่อคุณสุภาพ โนรีวงศ์ ได้ที่ ศูนย์เรียนรู้เรื่องการเกษตร บ้านเลขที่ 31/2 หมู่ที่ 4 ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โทร.ไปก่อนได้เลย (092) 654-8040

“เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม” คำขวัญประจำจังหวัดเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีหลายคนอยากมาเยี่ยมเยือนสัมผัสความหนาวเย็น และธรรมชาติที่สวยงาม ภูกระดึง เมื่อเอ๋ยชื่อต่างรู้จักทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จังหวัดเลย ด้วยความที่จังหวัดเลยยังคงมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดได้ผลดี และพร้อมที่จะกลายเป็นของฝากให้กับผู้มาเยือนได้

ข้าวโพดตักหงาย เป็นข้าวโพดพันธุ์พื้นเมือง เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวเมล็ดสีม่วงที่นิยมปลูกกันมากในจังหวัดเลย โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ เช่น อำเภอภูเรือ อำเภอด่านซ้าย และอำเภอนาแห้ว และมีปลูกกันบ้างในอำเภอท่าลี่และอำเภอเมือง

ลักษณะเด่นของข้าวโพดตักหงาย คือ จะมีกลิ่นหอม นุ่มเหนียว และเคี้ยวไม่ติดฟัน จึงเป็นที่นิยมรับประทานของคนในพื้นที่และคนต่างถิ่นที่ได้ไปเยี่ยมเยือนจังหวัดเลย นอกจากนี้ยังมีลักษณะเด่นอีกอย่างคือ จะมีจำนวนฝักตั้งแต่ 2-6 ฝักต่อต้น ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดพันธุ์นี้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

แม้เกษตรกรจะมีความต้องการปลูกมากขึ้นแต่ก็ทำได้ยาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคราน้ำค้างมาก บางพื้นที่เกิดการระบาดของโรคราน้ำค้างทำให้ผลผลิตเสียหายถึง 100 เปอร์เซ็นต์ สถานีทดลองพืชไร่เลยซึ่งรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาพืชไร่ในท้องถิ่น จึงได้ริเริ่มโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดตักหงายให้สามารถต้านทานต่อโรคราน้ำค้างให้ผลผลิตสูง และยังคงมีรสชาติเหมือนเดิม ซึ่งทำให้เกษตรกรสามารถปลูกได้ในทุกท้องที่และทุกเวลาที่ต้องการปลูก อันจะทำให้มีผลผลิตข้าวโพดตักหงายออกขายตลอดทั้งปี เป็นการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร และสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของรัฐบาล

ข้าวโพดตักหงาย มีราก เป็นระบบรากแขนง พบอยู่ในความลึกไม่เกิน 75 เซนติเมตร การเจริญเติบโตเป็นไปในทางขนานกับพื้นดิน มีระบบรากอากาศ(เจริญออกมาจากข้อที่อยู่เหนือดิน) ที่ดีมาก ซึ่งรากอากาศนี้จะช่วยพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม พบมากในดินที่มีความชื้นสูงหรือแฉะน้ำ ลำต้นตั้งตรงมีข้อและปล้องถี่ ลำต้นมีสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งพบมีลำต้นสีม่วง และไม่ว่าลำต้นจะมีสีอะไรเมล็ดเมื่อแก่จัดจะสีม่วงเข้มทั้งนั้น ใบมีสีเขียวสด ใบเล็กสั้นตั้งชัน 45 องศา

ลักษณะของดอก แบ่งออกเป็น ดอกตัวผู้ สีขาวอมเหลือง ก้านชูดอกสั้นจนดูเหมือนว่าดอกตัวผู้ออกข้างๆใบธง และถ้ามองไปยังแปลงปลูกข้าวโพดตักหงาย จะแทบไม่เห็นดอกตัวผู้เลย ส่วนดอกตัวเมีย ไหมสีขาวอมเหลือง เมื่อผสมเกสรแล้วไหมจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลดำ อายุออกดอก 52-90 วัน ขึ้นกับฤดูปลูก เช่น ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน จะมีอายุออกดอกประมาณ 52 วัน แต่ถ้าปลูกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งมีอากาศเย็น จะมีอายุออกดอกประมาณ 74-90วัน ขึ้นกับปีนั้นๆ จะมีอุณหภูมิต่ำขนาดไหน ฝักมีขนาดเล็ก ความยาวฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีจำนวนฝักต่อต้น 4-5 ฝักและเมื่อเล็กฝักจะมีสีขาว เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงหลังออกดอกตัวเมียไปแล้วประมาณ 20 วัน เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม

การปลูกและดูแลรักษา ให้เตรียมดิน ไถดะโดยใช้ผาน 3 หรือ ผาน4 แล้วตากดินไว้ประมาณ 7 วัน แล้วไถพรวน อีกครั้งเพื่อย่อยดินให้ละเอียด ส่วนการปลูกมี 3 ระยะ คือ 75x75x3 (ระหว่างแถวxระหว่างต้นxต้นต่อหลุม) หรือ 8,533 ต้น/ไร่ และ 75x75x3 หรือ 12,800 ต้น/ไร่ หรือ 75x30x1 หรือ 7,111 ต้น/ไร่

ธาตุไนโตรเจน สำคัญต่อข้าวโพดตลอดอายุการเจริญเติบโต ตั้งแต่ระยะต้นอ่อนจนถึงระยะสร้างเมล็ด ระยะที่ข้าวโพดต้องการธาตุไนโตรเจนมากที่สุดคือ ระยะที่ข้าวโพดออกดอกตัวผู้และดอกตัวเมียธาตุฟอสฟอรัส พบว่า ข้าวโพดต้องการฟอสฟอรัสตลอดฤดูปลูกเช่นกัน แต่ต้องการมากในระยะแรกของการเจริญเติบโต ในระยะที่ข้าวโพดแตกรากจะมีการดูดใช้ธาตุฟอสฟอรัสจากปุ๋ยมากกว่าจากดิน จนกระทั่งรากเจริญเติบโตเต็มที่จะดูดฟอสฟอรัสจากดินมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้ใส่หมดตั้งแต่ปลูก ธาตุโพแทสเซียม มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตและความแข็งแรงของลำต้น และสร้างเมล็ด แต่ในพื้นที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่จะมีธาตุโพแทสเซียมเพียงพอในดิน ดังนั้นจึงควรใช้ ปุ๋ยผสมสูตร 15-15-15 ใช้อัตรา 1 ช้อนแกงต่อ 1 หลุม เมื่อข้าวโพดอายุ 15 วัน 1 เดือน และช่วงข้าวโพดออกดอก

เมื่อเมล็ดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ เมื่อหลังออกดอกตัวเมีย 20 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ส่วนข้อควรระวังในการปลูกนั่นก็คือ ให้คลุกเมล็ดด้วยสารเอพรอน 7% อัตรา 7 กรัมต่อข้าวโพด 1 กิโลกรัม เพื่อป้องกันโรคราน้ำค้าง และควรหาพื้นที่ปลูกใกล้แหล่งน้ำเพราะข้าวโพดต้องการน้ำมากในเฉพาะช่วงออกดอก ให้ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผาทำลาย รวมทั้งควรทยอยปลูกเป็นช่วงๆ เพื่อให้มีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดตลอดปีและไม่มากจนล้นตลาด และควรผลิตเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เองเพราะเมล็ดพันธุ์ราคาแพง

วิธีการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดพันธุ์ตักหงายว่า ให้ปลูกก่อนหรือหลังข้าวโพดชนิดอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงประมาณ 1 เดือน ให้คัดเลือกต้นที่สมบูรณ์ และเก็บฝักจากต้นที่แห้งแล้ว โดยเลือกฝักที่มีเมล็ดสีม่วงเข้มทั้งฝักนำเมล็ดมากะเทาะแล้วตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้น คลุกเมล็ดด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลง แล้วเก็บไว้ในที่ร่ม

เนื่องจากข้าวโพดพันธุ์ตักหงายเป็นพันธุ์ที่ปลูกในท้องถิ่น พื้นที่ที่เพาะปลูกไม่มากนัก แต่โดยคุณสมบัติและลักษณะของข้าวโพดพันธุ์นี้ สามารถจะพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้ สถานีทดลองพืชไร่เลย จึงได้มีแนวทางการวิจัยข้าวโพดพันธุ์นี้ไว้ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น ปรับปรุงพันธุ์ให้ต้านทานโรคราน้ำค้าง ศึกษาระยะปลูกที่เหมาะสมที่ให้ผลผลิตสูง ศึกษาหาวิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ศึกษาหาช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมเพื่อให้ผลผลิตและคุณภาพสูง หาวิธีการปลูกข้าวโพดตักหงายเพื่อให้มีผลผลิตสู่ตลาดตลอดปี

แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถปลูกและส่งออกมะม่วงได้มากมายหลายสิบชนิด แต่วันนี้กลับพบว่า ความต้องการบริโภค “มะม่วงแก้ว”เพิ่มขึ้นเท่าตัว และไทยยังผลิตมะม่วงแก้วนอกฤดูได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ นี่คือช่องว่างการตลาดที่ทำให้ “มะม่วงแก้วขมิ้น”จากกัมพูชารุกเข้ามายึดตลาดเมืองไทย

สำหรับมะม่วงแก้วขมิ้น ปลูกมากที่ประเทศกัมพูชา เพราะสภาพดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นเหมาะสม จึงให้ผลดกมาก และยังมีรสชาติหวาน กรอบ อมเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงแก้วของไทย ลักษณะเนื้อมาก ผลใหญ่ เนื้อมีสีเหลืองสวยงามเหมือนขมิ้น โดยเฉพาะตรงไส้จะเหลืองจัด จึงเป็นที่มาของชื่อมะม่วงแก้วขมิ้น หรือมะม่วงไส้ขมิ้น แต่มีชื่อเป็นทางการว่า “พันธุ์ละเมียด”

ข้อมูลปี 2557 กัมพูชามีเนื้อที่ปลูกทั้งหมด 65,250 เฮกตาร์ หรือประมาณ 391,500 ไร่ ผลผลิตส่งขายไทย 30% และเวียดนาม เกาหลี จีน 70% ปลูกมากใน 8 จังหวัด คือ กัมปงสะปือ (ปลูกมากที่สุด 243,750 ไร่) กัมปงจาม กันดาล ตะแก้ว ตบูงขมุม เสียมเรียบ พระตะบอง และบันเตียเมียนเจย

มะม่วงแก้วขมิ้นเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของกัมพูชา ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนตุลาคม-พฤษภาคม แต่เว้นระยะหมดรุ่นเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะมะม่วงไทยขาดตลาด และโรงงานแปรรูปส่งออก มีความต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก

อีกทั้งด้วยรสชาติที่ถูกปากคนไทย เนื้อหนา สีเหลืองสวย จึงเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยเป็นอย่างมาก คาดว่ามีมะม่วงแก้วขมิ้นส่งเข้ามาเมืองไทยวันละ 1,000 ตัน

เส้นทางของมะม่วงแก้วขมิ้นส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกัมปงสะปือ และเป็นเจ้าของสวนรายใหญ่ปลูกหลายหมื่นไร่ บางรายเกือบแสนไร่ มีผู้รับซื้อเข้าไปซื้อถึงสวนทั้งคนจีน คนไทย กัมพูชา จากนั้นจะขนส่งด้วยรถตู้ รถปิกอัพ รถ 6 ล้อ 10 ล้อมาไทยตามเส้นทางผ่านพนมเปญ ตะแก้ว กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และจังหวัดไพลิน ถึงด่านชายแดน บ้านผักกาดและบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รวมระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร

เมื่อถึงด่านบ้านแหลม บริษัทส่งออกของจังหวัดไพลินต้องจัดทำพิธีการศุลกากรผ่านด่านเข้ามาด่านไทย กระจายให้ลูกค้าประจำ สำหรับที่ด่านบ้านผักกาด มีผู้นำเข้ามากเกือบ 20 ราย มีพื้นที่โรงพักสินค้าและคัดเกรด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ1.มะม่วงตะกร้า แพ็กตะกร้าละ 25-30 กิโลกรัมเพื่อบริโภคผลสด ส่งให้ลูกค้าตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง และทั่วประเทศ

2.มะม่วงโรงงาน ส่วนใหญ่ป้อนให้โรงงานแปรรูปที่จันทบุรี ราชบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และทั่วไป โดยแนวโน้มจะส่งขายโรงานแปรรูปเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปทำมะม่วงแช่อิ่ม หรืออบแห้งจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนมีออร์เดอร์ล่วงหน้ามาแล้ว

ยูคาลิปตัส เป็นไม้โตเร็ว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปออสเตรเลีย ปัจจุบัน ภาคเอกชนของไทยได้พัฒนาพันธุ์ออกมาให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป เช่น ทำเสาเข็ม นั่งร้านในการก่อสร้าง เพื่อผลิตเยื่อกระดาษ ทำโครงสร้างหลักของบรรจุภัณฑ์สำหรับขนส่งเครื่องจักรและสุขภัณฑ์ต่างๆ ที่สำคัญปรับปรุงพันธุ์สำหรับทำพื้นปาร์เก้ต์ของอาคารบ้านเรือนและสำนักงาน

ตัวชี้วัด ที่ช่วยในการตัดสินใจร่วมโครงการ อันดับแรก พื้นที่ใช้ปลูก ควรเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีการใช้ประโยชน์ใดๆ ดินขาดความอุดมสมบูรณ์และอยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ และ

อันดับต่อไป เงื่อนไขที่ตกลงกัน ให้ศึกษาอย่างละเอียด ผมทราบมาว่า บริษัทจะจัดหาต้นพันธุ์ให้ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำตลอดอายุการปลูก 1 รอบ เป็นเวลา 4 ปี จึงมีการตัดฟัน โดยบริษัทจะรับซื้อคืนทั้งหมด ในราคาที่ตกลงกันไว้ แล้วหักค่าใช้จ่ายทั้งราคาต้นกล้าและปัจจัยการผลิตอื่นๆ หากอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว ก็โอเค

“จิตร์นิยม” เป็นสวนออร์แกนิกที่ส่งต่อกันมาเป็นเวลายาวนานถึง 4 รุ่น และได้เป็นสวนออร์แกนิกดีเด่นระดับประเทศจากกรมวิชาการเกษตร ประจำปี 2556 มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยรุ่นอาเหล่ากงบุกเบิกทำเป็นสวนเกษตรอินทรีย์เป็นที่แรกของอำเภอศรีมหาโพธิ จนถึงปัจจุบันที่สวนก็ยังยืนหยัดที่จะทำเกษตรอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงมีการขยับขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมพื้นที่ 20 ไร่ จนถึงปัจจุบันขยายพื้นที่ไปถึง 500 ไร่ นับได้ว่าเป็นอีกสวนเกษตรผสมผสานแบบอินทรีย์ที่มากคุณค่า มากเรื่องราว และน่าค้นหาเป็นอย่างมาก

คุณปิยะพัทธ์ อุดมสิน หรือ คุณซีวิล อยู่บ้านเลขที่ 29/1 หมู่ที่ 2 ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เกษตรกรรุ่นใหม่ไฟแรง ในวัย 24 ปี กลับมาสืบทอดกิจการทำสวนของที่บ้าน ในรุ่นที่ 4 อาศัยความเป็นคนรุ่นใหม่มาพัฒนาสวนที่บ้านให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้วยการประยุกต์เอาความคิดของคนรุ่นใหม่มาผสมกับประสบการณ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จะไม่ยึดฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นที่ตั้ง แต่จะพยายามบาลานซ์ทั้งสองฝั่งให้เข้ากันระหว่างเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่กับประสบการณ์ความรู้จากคนรุ่นเก่า

คุณปิยะพัทธ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเป็นเกษตรกรว่า ตนเรียนจบปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยตอนที่เรียนจบนั้นมีการตัดสินใจว่าอยากจะออกไปหาประสบการณ์การทำงานจากข้างนอกก่อน แต่เมื่อได้มาลองนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่คลุกคลีอยู่ด้วยมาตลอดทั้งชีวิต นั้นคือ วิถีชีวิตการเป็นเกษตรกร จึงได้เล็งเห็นโอกาสที่จะกลับมาพัฒนาสวนของครอบครัวให้ก้าวหน้าดีกว่า เพราะมองเห็นว่าทุกอย่างในสวนสามารถพลิกทุกอย่างให้กลายเป็นเงินได้ แม้กระทั่งดินก็สามารถขายได้ จึงตัดสินใจที่จะเลือกเดินทางกลับมาทำสวนที่บ้าน โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดพอดี จากเดิมที่สวนไม่ได้มีการขายของออนไลน์ ก็ใช้โอกาสตรงนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองไปด้วย

โดยรูปแบบการจัดสรรพื้นที่ของสวนเน้นปลูกพืชผสมผสาน ปลูกไม้ผลมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นล้วนแล้วแต่มีรางวัลการันตีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมะยงชิดอุดมสินและมะปรางรุ่งอรุ่น พันธุ์พิเศษที่พัฒนาสายพันธุ์โดย คุณสมพร อุดมสิน เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกเข้าโครงการอนุรักษ์พันธุ์ชัยพัฒนา โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทุเรียนหมอนทอง ชะนี ก้านยาว และพันธุ์โบราณ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ทุเรียนหลากหลายพันธุ์ปลูกบนแหล่งพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรีที่อุดมสมบูรณ์

ทำให้มีรสชาติเฉพาะที่ยากจะหาที่ไหนเลียนแบบได้ มะไฟเหรียญทอง และลองกองรางวัลชนะเลิศ ลูกใหญ่ เนื้อแน่น หวาน อร่อย จนได้รางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันในหลายๆ รายการ และได้ชื่อลองกองพันธุ์พิเศษนี้ว่า ลองกอง EXTRA นอกจากผลไม้อันโดดเด่นอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของสวนจิตร์นิยมแล้ว ยังมีผลไม้พันธุ์หายากอีกหลากหลาย อาทิ มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วง R2 E2 เขียวใหญ่ ขนุนฟ้าถล่ม กระท้อนอีล่า และกระท้อนทองกำมะหยี่ ปลูกแบบเน้นระบบนิเวศ สร้างความสมดุลทางธรรมชาติและความหลากหลายในชีวภาพโดยไม่เบียดเบียนหรือใช้สารเคมีเพื่อกำจัดศัตรูพืช

มีการปลูกแนวไผ่ป้องกันไฟป่า และควันพิษ มีการขุดคูน้ำรอบสวน รวมถึงการจัดโซนไว้สำหรับให้สัตว์ป่าอยู่ในโซนนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้รุกล้ำเข้ามาในส่วนที่ปลูกไม้ผลไว้ รวมถึงศัตรูพืชอื่นๆ และนอกเหนือจากนี้ที่สวนยังมีข้อได้เปรียบจากแหล่งน้ำที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เนื่องจากชั้นใต้ดินลึกจากผิวดินไปประมาณ 1 เมตร เป็นหินศิลาแลง มีตาน้ำที่กรองโดยธรรมชาติ ใสสะอาด และมีความหวานจากแร่ธาตุที่มีอยู่มากมาย เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของพืชจากธรรมชาติ ส่งผลให้รสชาติของผลไม้ที่สวนทุกชนิดมีรสชาติที่โดดเด่น มีความหวานที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากที่อื่นอย่างชัดเจน

“กบชายน้ำ”
สุดยอดทุเรียนโบราณ
ทรงคุณค่าตลอดกาล
เจ้าของเล่าถึงประวัติความเป็นมาของทุเรียนกบชายน้ำที่สวนว่า ทุเรียนกบชายน้ำ ที่สวนเริ่มปลูกมาตั้งแต่สมัยอาเหล่ากง ในสมัยนั้นจะมีการหาพันธุ์พืชมาปลูก อย่างเช่น ทุเรียนที่มีจุดเด่นในสมัยนั้นคือ “ทุเรียนเมืองนนท์” จะใช้วิธีขนส่งพันธุ์ขึ้นเรือเมล์แดง มาจากนนทบุรีแล้วร่องผ่านแม่น้ำบางปะกงมาลงที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เหมือนในสมัยปัจจุบัน เพื่อรักษาพันธุ์ไว้ให้คงเดิม เพราะฉะนั้นสมัยนั้นจะใช้วิธีการเพาะเมล็ดเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการเพาะเมล็ดนั้นค่อนข้างจะมีโอกาสกลายพันธุ์ค่อนข้างสูง แต่ที่สวนโชคดีที่การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกลับได้พันธุ์ที่ดียิ่งขึ้น ถือว่าเป็นโชคของเรา

ส่วนที่มาของชื่อ ทุเรียนกบชายน้ำนั้น มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่จังหวัดนนทบุรี โดยต้นแม่จะขึ้นอยู่ตามริมสระน้ำ จึงถูกเรียกว่า “ทุเรียนกบชายน้ำ” และมีความทนต่อโรคไส้ซึม น้ำหนักเฉลี่ยต่อผล 1.5-2 กิโลกรัม ลักษณะทรงผลกลมรี พูเต็มเสมอกัน มีตั้งแต่ 5-6 พูขึ้นไป เนื้อมีความเนียนนุ่ม ไม่มีเส้นใย รสชาติหวานมัน มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ป่าเป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนพันธุ์กบ ถึงแม้ว่าผลจะสุกแล้ว กลิ่นก็ไม่ฉุน สามารถวางไว้ในห้องแอร์ได้ และอีกจุดเด่นของทุเรียนกบชายน้ำคือ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยที่ไม่เสีย ปล่อยไว้จนก้นปริ แล้วกลับมารับประทานเนื้อก็จะไม่เละ ไม่เป็นปลาร้า ถือเป็นทุเรียนอีกหนึ่งพันธุ์ที่ทรงคุณค่ามากๆ แต่ละต้นมีอายุไม่ต่ำกว่า 40-50 ปีขึ้นไป

ไฮไลต์เด็ด ทุเรียนกบชายน้ำ ลูกละแสน!
เชื่อว่าหลายท่านคงสงสัยว่า ทุเรียนอะไรราคาลูกละเป็นแสน เจ้าของได้อธิบายว่า เนื่องจากทุเรียนกบชายน้ำที่มีการซื้อขายในราคาลูกละเป็นแสนนั้น เรียกว่าทุเรียนนางพญา จะออกมาเป็นลูกแรกของต้น ซึ่งลูกแรกที่ออกมาจะมีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด จากไซซ์ปกติอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 กิโลกรัม น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3-3.5 กิโลกรัม อันนี้คือจุดเด่นเลย ซึ่งในแต่ละต้นจะมีแค่เพียงลูกเดียวเท่านั้น ทำให้เป็นที่สุดของที่สุด ราคาจึงแพง ซึ่งราคาลูกละแสนนี้ไม่ได้เกิดมาจากการประมูล แต่เป็นราคาที่ลูกค้าเสนอมาให้เอง เริ่มต้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว มีกลุ่มลูกค้าเป็นนักธุรกิจต้องจองกันข้ามปี อย่างเช่นเมื่อปีก่อนมีลูกค้าซื้อไปถวาย สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) และในสมัยตอนที่อากงยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีทีมงานของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำไปถวายท่านทุกๆ ปี สวนจิตร์นิยมเริ่มสะสมชื่อเสียงตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน

ส่วนวิธีการดูแลนั้น หลายท่านคงคิดว่าต้องมีการประคบประหงมเหมือนลูกน้อย รูเล็ตออนไลน์ แต่ในทางกลับกันนั้น ทุเรียนนางพญาลูกแรกของต้นแทบไม่ต้องดูแลอะไรเลย เนื่องจากมีความเชื่อที่ต่อกันมาว่า มีรุกขเทวดาช่วยดูแล ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะจากการสังเกตมานั้น ทุเรียนนางพญานี้จะเป็นอะไรที่ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องห่อผลเหมือนลูกอื่นๆ มดและแมลงไม่มารบกวน นับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง และนอกเหนือจากทุเรียนลูกละแสนแล้ว ยังมีทุเรียนกบชายน้ำจำหน่ายในราคาเริ่มต้น ตั้งแต่ลูกละ 11,000-100,000 บาท อีกด้วย

ผลไม้มาตรฐานส่งออกยุโรปและเอเชีย
สร้างรายได้คุ้มค่ากับการลงทุน
เจ้าของบอกว่า ที่สวนแบ่งการส่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ส่งไปยุโรป คือมะม่วงและมังคุดออร์แกนิก และอีกกลุ่มคือส่งให้กับประเทศจีน เป็นการส่งออกทุเรียน ทำสัญญาเอ็มโอยู (MOU) ร่วมกับทางจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีมูลค่าการส่งออกที่ได้ราคาสูงกว่าทั่วไปกว่าเท่าตัว ในราคากิโลกรัมละเกือบ 200 บาท ในขณะที่ตลาดทั่วไปขายได้กิโลกรัมละ 90-100 บาท เนื่องจากคุณภาพและการคัดไซซ์ ขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 4-5 ตู้ ต่อเดือน รวมของสมาชิกเครือข่ายด้วย ซึ่งราคาที่ได้มาสูงก็ต้องแลกกับความใส่ใจกว่าที่อื่นด้วย ในขั้นตอนการส่งออกนั้น

ค่อนข้างที่จะมีกฎระเบียบมากมาย แต่คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งในแต่ละปีสวนจิตร์นิยมสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกผลไม้ได้ไม่น้อย ถือเป็นรายได้ที่มาก สามารถนำเงินส่วนนี้มาต่อยอดธุรกิจให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการนำเทคโนโลยีการเก็บรักษา เรื่องการออกแบบแพ็กเกจจิ้ง หรือล่าสุดในปีนี้ที่สวนมีการเปิดหน้าสวนอย่างเป็นทางการ มีการปรับปรุงหน้าสวนใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะเปิดรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าขาจร หรือสั่งออนไลน์ให้สามารถมาเยี่ยมชมที่สวนได้ นี่ก็เป็นการนำรายได้จากการส่งออกมาพัฒนา

ฝากถึงคนรุ่นใหม่
ทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จ
ต้องใจเย็นและมีสติ
“ในฐานะที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่และมีสิ่งที่เจอกับตัวเองอย่างเห็นได้ชัดคือ คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมาก ทำให้เราเป็นคนใจร้อน คิดเร็ว ทำเร็ว บางทีการทำเกษตรเป็นเรื่องที่ต้องรอ ไม่ใช่ว่าจะได้ภายในวันสองวัน หรือปีสองปี แต่เราต้องวางแผนล่วงหน้า ระหว่างที่เรารอ เราก็ใช้วิธีการปลูกพืช 3 ระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพื่อที่จะรอให้มีรายได้ตลอดเวลา แต่ว่าในระหว่างนั้นพยายามอย่าไปเร่งธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือสิ่งที่สวยงามที่สุดแล้ว เราอย่าพยายามทำอะไรด้วยความใจร้อน มันทำให้ผลที่ได้รับกลับมาบางทีอาจจะไม่คุ้มกับที่เราลงทุนไป นี่เป็นเรื่องที่เจอกับตัวเอง และอยากฝากกับทุกคนให้ระวังไว้” คุณปิยะพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย