คุณอุ๋ย เผยสิ่งที่เกษตรกรจะได้ “เราก็ให้เมล็ดพันธุ์แล้วก็รับซื้อ

ส่วนเรื่องพวกยาทางเคมี พวกอะไรเนี่ย ร้านเกษตรเยอะ เราก็ให้บ้าง อย่างถ้าเมล็ด เราก็ให้ยืมก่อน แล้วก็ไปหักตอนเก็บผลผลิตครับ…ราคารับซื้อก็เข้ากระเป๋าเกษตรกรเลยครับ 6 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม ไม่มีการขึ้นลงตามฤดูกาล เราประกันราคาซื้อ เพราะเราประกันราคาขาย ราคาก็จะไม่ขึ้นไม่ลง ราคาสม่ำเสมอตลอดทั้งปี แต่ว่า 6 บาทนี่ คือเกษตรกรเขาก็แค่ปลูกนะ ไม่มีคนงานอะไร คนงานเนี่ยเราก็เอาคนงานมาเก็บเอง เอาขึ้นรถเอง เขาก็แค่มาจดดูว่าน้ำหนักเท่าไร ตัวคนงานค่าแรงก็จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาท อยู่แล้ว เพราะว่าเราเก็บตอนเที่ยงคืน”

คุณอุ๋ย เผยว่า “การรับเกษตรกรเพิ่ม อันนี้เป็นส่วนของโบรคเกอร์ เราไม่สามารถตอบได้จริงๆ อันนี้เรารับซื้อผ่านโบรคเกอร์แต่ละหมู่บ้านอยู่ ผมจะจ่ายเงินผ่านโบรคเกอร์ แล้วโบรคเกอร์ก็จ่ายเงินให้เกษตรกร โบรคเกอร์จะเป็นตัวการันตีว่าลูกไร่คนนี้ทำงานดีนะ โบรคเกอร์ก็จะคัดสรรมา โบรคเกอร์จะเป็นตัวไปรับประกันกับลูกไร่อีกทีหนึ่งว่าพ่อค้าคนนี้ดีนะ ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ รายได้ของโบรคเกอร์ก็จะมาจากเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนัก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเงินของเกษตรกร เกษตรกรก็เข้ากระเป๋า 6 บาท เต็มๆ”

“เราไปขายแม่ค้า ถ้าใกล้หน่อย แถวๆ บ้านเราก็ 8-9 บาท ถ้าไกลแล้วเป็นลูกค้าที่ไม่ใช่ลูกค้าเรา เราก็จะคิด 10 บาท ไม่คิดค่าขนส่ง แต่ต้องอยู่เชียงใหม่ เวลาเขาไปนึ่งขาย เขาก็จะขายที่ 3 ฝัก 20 บาท ต้นทุนซื้อของเขา 3 ฝัก อยู่ที่ประมาณ 7-8 บาท ก็ถ้าเขาซื้อเราไป 1 หน่วย หรือ 1 กระสอบ ราคา 180 บาท หรือ 200 บาท เขาก็จะขายได้ประมาณ 400-500 บาท ส่วนใหญ่ผลผลิตจากเมล็ดพันธุ์ศรแดงแทบจะไม่มีอันเสียเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์เลย ยกตัวอย่าง แปลงนี้พูดได้เลยว่า 99 เปอร์เซ็นต์ครับ” คุณอุ๋ย กล่าว

ในส่วนของมุมมองของพ่อค้าคนกลาง พันธุ์นี้ที่นิยมขายมากกว่าพันธุ์อื่น “คุณภาพการกิน ก็คือ กินแล้วอร่อย คนชอบกิน เวลาขายแล้วเนี่ยได้กำไร เพราะว่าขนาดของฝักเขาแทบจะเท่ากัน ฉะนั้น มาตรฐานของฝักจะเท่ากัน ทำให้วันหนึ่งที่เขารับไป 100 กิโลกรัม ทำให้เขารู้ว่า 100 กิโลกรัม ที่เขารับไปเนี่ยจะได้กำไร 1,000 บาท นะเขารู้ คนซื้อเขาก็เน้นมาว่า เอาพันธุ์นี้นะ ลงพันธุ์นี้นะ” คุณอุ๋ย บอก

สำหรับโรคและแมลง คุณอุ๋ย บอกว่า พันธุ์นี้ถ้าเป็นโรคก็จะพบเจอราน้ำค้างครับ ใบไหม้แผลใหญ่ ราสนิมบ้าง ส่วนแมลงก็จะเป็นหนอนเจาะฝัก หนอนเจาะสมอฝ้าย แล้วก็หนอนกระทู้ วิธีการป้องกันและกำจัด โดยการใช้เคมีพ่นตอนต้นอ่อน ส่วนยาโรคพืชก็ใช้ยาโรคพืชแก้ สารเคมีที่ใช้กำจัดหนอนกระทู้เราใช้อะบาเม็กติน แต่ก็จะเป็นช่วงสั้นๆ นะครับ ถ้าติดฝักแล้วเขาก็จะไม่ขึ้นแล้วครับ ถ้าเป็นพวกราน้ำค้างใช้เป็นพวกแมนโคเซบ

มุมมองในอนาคต
“พันธุ์นี้ใช้ได้นะครับ พันธุ์นี้ผมใช้คำว่า ลอยตัว คือเขามีฐานคนกินของเขาอยู่แล้ว คือถ้ามีพันธุ์อื่นเข้ามาเนี่ยมันอาจจะเพิ่มความหวานหรืออาจจะเพิ่มขนาดของฝัก อันนั้นมันก็จะเป็นกลุ่มคนกินอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ตัวนี้ก็คือความอร่อย เขาได้เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ฉะนั้นคือเขาเติมเต็มสำหรับการกินแล้ว ก็อนาคตข้างหน้าก็เชื่อว่ายังอยู่ในตลาดตลอดไป ทาง EAST-WEST-SEED หรือ ศรแดง เขาเก่ง”

สำหรับผู้ที่สนใจปลูกหรือสนใจสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ หรือผลผลิตข้าวโพด สามารถติดต่อผ่าน คุณอุ๋ย ได้โดยตรง

“ถ้าเป็นเชียงใหม่ ก็ส่งฟรีครับ แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็จะมีค่าขนส่งครับ” คุณอุ๋ย บอก คุณอุ๋ย ฝากถึงเกษตรกรที่สนใจปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว “ถ้าเกษตรกรอยากปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว…ข้าวโพดข้าวเหนียวเขาต้องการน้ำและปุ๋ยสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ปุ๋ยใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ระยะก็ให้มีวินัยหน่อย ระยะการใส่ปุ่ยก็อย่าให้เกิน 15 วัน ครับ ไม่งั้นผลผลิตก็จะไม่ได้ 15 วันนี่ นับตั้งแต่ปลูกเลยครับ เพราะว่าเกษตรกรก่อนปลูกเขาจะมีการรองก้นหลุมอยู่แล้ว ปุ๋ยที่ให้เป็นปุ๋ยตลาดทั่วไปเลยครับ”

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณฐิติพันธ์ จงจิระสวัสดิ์ หรือ คุณอุ๋ย โทรศัพท์ 085-008-5885 หรือ Facebook : จงเจริญการเกษตร ข้าวโพดข้าวเหนียวเชียงใหม่ หรือการปลูก การดูแลรักษา คุณพิรุณ แสงดวง คุณอุไรวรรณ แสงดวง โทรศัพท์ 085-036-2791 และ 097-154-5527

จากสถานการณ์การผลิตอ้อยในปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกมาก ผลผลิตออกมากเป็นเงาตามตัว ราคาค่อนข้างต่ำ ทำให้รายได้ต่อไร่ต่ำ มีเกษตรกรรายย่อยหลายรายปลูกอ้อยแล้ว เมื่อถึงระยะจะตัดอ้อยส่งโรงงานกลับไม่ตัดเอง เพราะไม่คุ้มค่าตัด แรงงานหายาก จึงขายเหมาให้พ่อค้ามาตัดส่งโรงงาน ในราคาไร่ละ4,000-5,000 บาท (เกษตรกรบางรายบอกขาย ไร่ละ 3,500 บาท ก็มี) และมีพ่อค้าจำนวนหนึ่งต้องเผาอ้อยเพื่อให้สะดวกต่อการตัด ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการตัด เช่นเดียวกับเกษตรกรบางรายก็เผาก่อนตัด โดยไม่ได้รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงเกิดฝุ่นละออง เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประกอบกับในการปลูกอ้อยนั้นทำรายได้ปีละครั้ง และในระยะแรกเกษตรกรยังต้องใช้สารกำจัดวัชพืชค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตกค้างในดิน บางส่วนถูกฝนชะล้างพัดพาลงสู่แหล่งน้ำ และเกิดผลกระทบอื่นๆ มากมาย

คุณลักษณู หาริพงษ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 หมู่ที่ 4 บ้านฝั่งแดง ตำบลฝั่งแดง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู โทร. 089-160-9889 เป็นอีกคนหนึ่งที่ปลูกอ้อย ต่อมาลดพื้นที่การปลูกลงแล้วหันมาปลูกดาวเรือง ข้าวโพดข้าวเหนียว และพืชผัก เพียงไม่กี่ไร่ สร้างรายได้ตลอดปี ปีละกว่า 2 แสนบาท

คุณลักษณู ให้ข้อมูลว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว ทำไร่อ้อย ประมาณ 10 ไร่ ระยะแรกรายได้ดี และใช้สารกำจัดวัชพืชค่อนข้างมาก ต่อมาราคาตกต่ำ จึงลดพื้นที่ปลูกลง ปัจจุบัน ทำนา 5 ไร่ เก็บผลผลิตไว้บริโภคในครัวเรือน อ้อยโรงงาน 4 ไร่ แต่ที่ทำรายได้หลักคือ ดาวเรือง รุ่นละประมาณ 7,000 ต้น (ราว 1 ไร่) และข้าวโพดข้าวเหนียว รุ่นละประมาณ 1 งาน โดยพื้นที่ปลูกดาวเรืองและข้าวโพด ประมาณ 3 ไร่ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

คุณลักษณู บอกว่า ปลูกดาวเรืองมา 3 ปี ปีละ 4 รุ่น รุ่นละ 7,000 ต้น พันธุ์มหาโชค สีเหลืองทองซื้อเมล็ดราคา เมล็ดละ 1 บาท ปลูกเพื่อร้อยมาลัย

ขั้นตอนการปลูกและดูแลรักษา เริ่มจากเพาะเมล็ดในกระบะเพาะ เป็นเวลา 15 วัน แล้วนำลงปลูกในแปลงระยะระหว่างต้น ประมาณ 1 คืบ ระหว่างแถว ประมาณ 120 เซนติเมตร ให้น้ำโดยระบบน้ำหยด

โรคแมลงศัตรู มีหนอนกินดอก เจาะดอก เจาะยอด ถ้าพบจะฉีดพ่นด้วยยาฆ่าแมลง แต่ละรุ่น 2-3 ครั้ง

หลังจากปลูก 15 วัน ดาวเรืองจะเจริญเติบโตมีใบ 6 ใบ (3 คู่) ให้เด็ดยอด นับอีก 15 วัน จะเริ่มออกดอก (ตั้งแต่เพาะกล้าถึงออกดอกราว 45 วัน) ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 โดยโรยข้างหลุมแล้วใช้ดินกลบ ให้น้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ อีกประมาณ 15 วัน จะเริ่มเก็บดอกขายได้ (เมื่ออายุรวม 60 วัน) จากนั้นจะเก็บดอกได้ทุกๆ 3-4 วัน เป็นจำนวนร่วม 20 รุ่น

โดยรุ่นแรก ดอกจะโต ราคาขาย ดอกละ 70-80 สตางค์ จะเก็บดอกได้ราว 3,000-4,000 ดอก รุ่นที่ 2 ขนาดดอกจะลดลง ราคา ดอกละ 40-60 สตางค์ ได้ดอก 7,000-8,000 ดอก รุ่นที่ 3 เป็นต้นไป ราคา ดอกละ 25-30 สตางค์ ได้ดอก 11,000-12,000 ดอก แต่ละรุ่นจะให้ดอกเพิ่มประมาณ 5,000 ดอก โดยรุ่นท้ายๆ จะเก็บดอกได้ 60,000-70,000 ดอก โดยใช้เวลาในการเก็บดอกขายเดือนเศษ รายได้รุ่นละ 35,000-40,000 บาท โดยส่งขายให้พ่อค้าที่จังหวัดอุดรธานี ช่วงที่ราคาดีจะอยู่ในช่วงฤดูฝนต่อเนื่องถึงเดือนธันวาคม จากนั้นราคาจะลดลงบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากหลังจากเก็บเกี่ยวข้าว จะมีการปลูกดาวเรือง ทำให้ผลผลิตออกมากทำให้ราคาต่ำ

นอกจากนี้ ยังปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว รุ่นละประมาณ 1 งาน ใช้เวลา 2 เดือนเศษ นำมานึ่งขายที่หน้าสวน (ติดถนน) มีรายได้รุ่นละประมาณ 8,000-9,000 บาท ปีละ 4-5 รุ่น และยังปลูกผักขายภายในชุมชนอีกด้วย

คุณลักษณู บอกว่า ภายหลังจากลดการปลูกอ้อย หันมาปลูกดาวเรือง ข้าวโพดข้าวเหนียวและพืชผัก ปรากฏว่ามีรายได้หมุนเวียนทุกเดือน ปีละกว่า 2 แสนบาท (นอกเหนือจากข้าวและอ้อย)

คุณชนะ ไชยฮ้อย เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า จังหวัดหนองบัวลำภูมีพื้นที่ปลูกอ้อย 6 แสนไร่เศษ ในการผลิตมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ประกอบกับส่วนใหญ่มักจะปลูกพืชเชิงเดี่ยว (อ้อย) ที่อายุยาวหลายเดือน รายได้ต่อไร่ก็ลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากอ้อยราคาตก ดังนั้น จึงขอแนะนำให้เกษตรกรลดการปลูกอ้อยลง แล้วหันมาทำการเกษตรหลายอย่างในรูปแบบไร่นาสวนผสม หรือเกษตรผสมผสาน และปลูกพืชหลากหลายชนิดหมุนเวียน ที่ทำให้มีการใช้แรงงานตลอดปี ทำให้มีรายได้รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และผลิตให้ปลอดภัยจากสารพิษ ลดละการใช้สารเคมี โดยใช้วิธีการอื่นทดแทน จะทำให้สินค้าปลอดสารพิษเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

ดังนั้น หากเกษตรกรมีปัญหาในการทำการเกษตร หรือการควบคุมโรคแมลงศัตรูพืช ขอคำปรึกษาได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน!!! ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการปลูกโกโก้เป็นอย่างมาก เกษตรกรไทยหันกลับมาให้ความสนใจปลูกโกโก้มากขึ้นในช่วงนี้เนื่องจากผลตอบแทนดีกว่าพืชเศรษฐกิจหลายชนิด โดยพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศ อยู่ที่ 5,464.39 ไร่ และพื้นที่เก็บเกี่ยว 4,090.66 ไร่

ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ คิดเป็นพื้นที่ 3,957.59 ไร่ ซึ่งจังหวัดที่ปลูกมากคือ จังหวัดน่าน จังหวัดเชียงราย จังหวัดลำปาง และจังหวัดตาก ขณะที่ภาคตะวันออกก็ปลูกมากเช่นกันโดยมีพื้นที่เพาะปลูก 586.48 ไร่ จังหวัดที่ปลูกมากคือ จังหวัดจันทบุรี

ขณะที่ผู้ผลิตช็อกโกแลตในประเทศไทยยืนยันว่า ความต้องการบริโภคช็อกโกแลตของคนไทยอยู่ที่ 120 กรัม ต่อคน ต่อปี เมื่อเทียบกับประเทศเบลเยียมอยู่ที่ 8 กิโลกรัม ต่อคน ต่อปี โกโก้สามารถป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมได้หลายผลิตภัณฑ์ ทั้งบริโภคเป็นอาหารทำเป็นช็อกโกแลตโอวัลติน หรือไมโล และยังใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเครื่องสำอาง

ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนรับซื้อเมล็ดตากแห้งในราคากิโลกรัมละ 50 บาท เพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถือว่าตลาดโกโก้ในไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก

ทั้งนี้ คุณอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า สำนักงานมีพื้นที่รับผิดชอบ 8 จังหวัด คือ จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม

“โดยในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็น 1 ใน 8 จังหวัดภายใต้การรับผิดชอบที่มีการปลูกโกโก้แซมพืชหลัก เช่น มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้อำเภอบางสะพาน โดยมี คุณนิตย์ ตั่นอนุพันธ์ เป็นประธานกลุ่ม”

“คุณนิตย์ ตั่นอนุพันธ์ ปลูกโกโก้แซมมะพร้าว จำนวน 2,200 ต้น บนพื้นที่ 126 ไร่ แปลงโกโก้แซมปาล์มน้ำมัน จำนวน 350 ต้น ในพื้นที่ 28 ไร่ และแปลงโกโก้แซมยางพารา จำนวน 200 ต้น ในพื้นที่ 16 ไร่ ทั้ง 3 แปลง อยู่ในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และแปลงโกโก้อย่างเดียว จำนวน 16,000 ต้น ในพื้นที่ 104 ไร่ อยู่ในอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี รวมมีต้นโกโก้ 23,700 ต้น ในพื้นที่ทั้งหมด 274 ไร่” คุณอาชว์ชัยชาญ กล่าว

ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลผลิตโกโก้จะเริ่มออกปีที่ 3 และให้ผลผลิตสูงสุดปีที่ 6 โดยมีผลผลิตสูงสุด 24 กิโลกรัมแบบน้ำหนักสด ต่อต้น ต่อปี มีต้นทุนการปลูกการเก็บเกี่ยวรวมกองควักเมล็ดใส่ถุงหมัก ฯลฯ เป็นเงินประมาณ 15,500 บาท ต่อตัน มีรายได้เฉลี่ยที่ไร่ละ 46,500 บาท

ในอดีตมีการส่งเสริมการปลูกโกโก้ เพื่อส่งผลผลิตสดให้ผู้รับซื้อและรวบรวมส่งโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจกรรมการผลิตโกโก้ระดับโลก ทำให้การตลาดเป็นแบบผูกขาดตลาดรับซื้อผลผลิตจึงมีอำนาจในการกำหนดราคาเป็นหลัก หลังจากมีปัญหาด้านราคาจึงส่งผลให้ผู้ปลูกโกโก้ในอดีตเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นทดแทน ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนที่เห็นโอกาสของอุตสาหกรรมโกโก้ในประเทศไทยเนื่องจากมีความต้องการสูง จึงได้สร้างโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กขึ้นเพื่อผลิตผงโกโก้ป้อนอุตสาหกรรมต่างๆ จึงมีความต้องการโกโก้เป็นจำนวนมาก

ในวันนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรที่จะปลูกโกโก้ และสามารถกำหนดราคาของผลผลิตเองได้ ด้วยมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตจึงสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกรายใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

ที่สำคัญในกระบวนการปลูกแทบไม่ต้องมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเลย สามารถปลูกเป็นพืชแซม
ก็ช่วยส่งเสริมพืชหลักได้ สามารถปลูกแซมกับพืชได้หลากหลาย เช่น มะพร้าว ลองกอง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และโกโก้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะสามารถอยู่กลางแจ้งได้

“ในการผลิตโกโก้เพื่อป้อนอุตสาหกรรม จะยึดราคาตลาดโลก โดยเฉลี่ยราคาที่เกษตรกรควรได้รับคือ ราคาผลสดที่กิโลกรัมละ 5 บาท แต่ในบางพื้นที่ที่ราคาผลสดสูงกว่าราคาเป็นจริงในขณะนี้นั้นเนื่องจากว่ามีผู้ซื้อไปเพื่อเพาะกล้าจำหน่ายเนื่องจากมีเกษตรกรเริ่มหันมาให้ความสนใจในการปลูกมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกแซมพืชหลัก ซึ่งจะเป็นรายได้สำรองหากราคาพืชหลักมีความผันผวน สำหรับราคาโกโก้ในตลาดโลก ณ ราคาปัจจุบันเกษตรกรสามารถดูได้จากเว็บไซต์ https://markets.businessinsider.com เป็นราคาโกโก้ ต่อ 1,000 กิโลกรัม (1 ตัน) ต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นราคาอ้างอิงได้” คุณอาชว์ชัยชาญ กล่าว

ผักพื้นบ้านเป็นสิ่งที่ธรรมชาติประทานให้มาเป็นอาหารของมนุษย์ ผักพวกนี้จะมีความแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและโรคแมลงในถิ่นกำเนิดเนื่องจากเป็นผักที่แพร่พันธุ์เองในธรรมชาติ ในประเทศไทยเราแต่ละภาคมีผักส่วนหนึ่งที่แตกต่างกันทำให้มีความหลากหลายในการนำมาบริโภค ผักกูดเป็นผักพื้นบ้านที่มีแหล่งกำเนิดในธรรมชาติทั่วทุกภาคของประเทศไทยและในภูมิภาคนี้ ทำให้ผักกูดจึงเป็นผักพื้นบ้านที่นำมากินกันมานานแล้ว

ก่อนจะมาเข้าเรื่องผักกูด ผู้เขียนเห็นเพจหนึ่งในเฟซบุ๊กชื่อ ป๋าสนธิ์ ป๋าสนธิ์ ได้ลงรูปสวนผักกูดและมีเรื่องราวเกี่ยวผักกูดมากมาย จึงได้ติดข้อมูลความเป็นไปมานาน จนกระทั่งได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของเพจ ที่ชื่อ คุณสนธิ์ นันตรี หรือให้เรียกนิคเนมว่า ป๋าสนธิ์ โดยได้เล่าให้ฟังเรื่องราวชีวิตนักสู้ให้ฟังว่า หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายก็ได้เข้าทำงานเป็นพนักงานของบริษัทผลิตและบรรจุเมล็ดพันธุ์ยี่ห้อหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ญาติทางฝั่งภรรยาได้ชักชวนให้ทำงานในบริษัทโฟมแห่งหนึ่ง ซึ่งกิจการของบริษัทคือทำชนวนกันความร้อนด้วยโฟมตามหลังคารอาคารต่างๆ อยู่หลายปีจนมีความชำนาญ จึงหันมาประกอบกิจการด้านนี้เสียเองโดยหุ้นกับญาติคนดังกล่าว ทำงานเกี่ยวกับโฟมอยู่หลายปี จนกระทั่งเริ่มถึงจุดอิ่มตัวจึงกลับมาบ้านของภรรยาที่จังหวัดพะเยาเพื่อดำรงชีวิตการเกษตรกรรมที่ตัวเองรัก

เปลี่ยนเป็นอาชีพเลี้ยงไก่สามสาย

เริ่มอาชีพเกษตรกรรมด้วยอาชีพการเลี้ยงไก่เนื้อสามสายเนื่องจากเป็นที่นิยมบริโภค จึงซื้อลูกไก่มาเลี้ยงไว้จำนวน 800 ตัว ต้องสร้างโรงเรือนขึ้นมาหนึ่งหลัง อยู่มาไม่นานไก่ยังไม่ทันจับ เกิดวิกฤติไข้หวัดนกทำให้ไก่ตายเกือบหมดเล้า เงินทุนที่สะสมมาแล้วนำมาลงทุนเลี้ยงไก่ก็หายไปในพริบตา ต้องกลับบ้านไปที่จังหวัดน่านเพื่อยืมเงินพ่อมา 3,500 บาท มาลงทุนขายลูกชิ้น ตับไก่ทอดขายในหมู่บ้าน ปรากฏว่าขายดิบขายดี จึงเพิ่มเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ก็ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงทำเป็นตลาดสดมีการเชือดหมูและวัว วันละตัว ก็ขายดีอีก แต่ทำอยู่ 6-7 ปี กิจการขายเนื้อวัวและเนื้อหมูที่ต้องเชือดเองก็เลิกเพราะเหนื่อยมาก เหลือแต่ร้านขายของชำอย่างเดียว ส่วนร้านลูกชิ้นทอดก็โอนกิจการให้ญาติ

ในช่วงนั้นมีเวลาว่างจึงคิดทดลองปลูกผักสลัดขาย ทำได้ดี แต่มาเหนื่อยที่ต้องเตรียมแปลงปลูกทุกครั้งที่ถอนขายแล้ว จึงมาคิดว่าจะปลูกผักอะไรดีที่ปลูกครั้งเดียวแล้วสามารถเก็บขายได้เรื่อยๆ ไม่ต้องปลูกใหม่ทุกรอบ นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ที่จังหวัดน่านเห็นพ่อแม่ปลูกผักกูดข้างบ้านซึ่งสามารถเก็บมากินได้ตลอดปี จึงทดลองเอาพันธุ์มาจังหวัดน่านปลูกดูเพียงไม่กี่ต้น ก็เจริญงอกงามดี เลยคิดการที่จะปลูกผักกูดให้แปลงใหญ่ ทำไปสักระยะหนึ่ง มีใครมาหาที่บ้านก็ถ่ายรูปกับแปลงผักกูด จึงขยายไปเรื่อยๆ และเพิ่มซาแรนคลุมแปลง ก็สามารถเก็บยอดได้ทุกวัน

วิธีปลูกง่ายๆ

เนื่องจากผักกูดชอบความชื้น ควรเลือกที่ลุ่มสำหรับปลูกอย่าเลือกปลูกในที่ดอน แต่ต้องสามารถระบายน้ำได้ดี ไม่ใช่ที่น้ำขัง ถึงแม้ว่าเราจะเห็นว่าตามธรรมชาติผักกูดอยู่ในน้ำ แต่เมื่อพิจารณาจริงๆ แล้วผักกูดจะอยู่ริมๆ น้ำ เพราะผักกูดชอบความชื้นแต่ไม่ใช่ผักน้ำ เมื่อไถพรวนเสร็จก็สามารถนำพันธุ์ผักกูดมาปลูกได้เลย ที่ดีควรตัดยอดให้เหลือจากรากประมาณ 10-12 นิ้วก็เพียงพอ และต้นพันธุ์ควรจะมีรากสมบูรณ์ ขุดหลุมไม่กว้างมากพอให้ลงต้นกล้าผักกูดได้ ระยะต้นและระยะแถวอยู่ที่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร นำปุ๋ยมูลสัตว์ใส่ลงในหลุมประมาณ 1 กระป๋องนม แล้วเอาดินเก่าทับ นำผักกูดลงปลูกแล้วกดดินให้แน่น

ถ้าเอาฟางคลุมโคนได้จะช่วยรักษาความชื้นในช่วงแรกได้ดี ผักกูดสามารถตั้งตัวได้เร็ว การรดน้ำช่วงแรกวันละครั้งก็เพียงพอ และพื้นที่ที่ปลูกผักกูดควรจะมุงด้วยซาแรนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เพื่อบังแสงแดดให้ แสงที่ผักกูดชอบจะเป็นแสงรำไร ถ้าแสงแดดจ้าหรือแสงร่มเกินไปผักกูดจะไม่ค่อยงาม

ผักกูดเป็นพืชที่ไม่มีศัตรูพืชมากนัก BALLSTEP2 แต่ในช่วงหน้าแล้งถ้าไม่ได้ให้น้ำสม่ำเสมอ จะมีหนอนเข้ามากินยอดอ่อน และถ้าผักกูดโดนแสงมากเกินไปเราจะเด็ดยอดได้แค่สั้นๆ ส่วนในฤดูที่ความชื้นและแสงเหมาะสมเราสามารถเด็ดผักกูดได้ก้านยาวมาก โดยปกติหลังจากเด็ดยอดแล้ว 2-3 วัน ยอดผักกูดจะแตกขึ้นมาใหม่ ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืชจึงไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ในสวนของป๋าสนธิ์มักจะใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงซึ่งหมักไว้เองฉีดพ่นทุกๆ สัปดาห์ละครั้ง โดยใช้จุลินทรีย์ 1 แก้วกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นได้ในช่วงกลางวันเพราะจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทนแดดได้ระดับหนึ่ง ยอดจะอวบเขียวน่ากิน ส่วนปุ๋ยจะใส่เฉพาะปุ๋ยมูลสัตว์เท่านั้น ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเด็ดขาด

ในช่วงแรกมีผักกูดแปลงเดียวพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ข้างบ้าน ผักกูดเจริญเติบได้ดี แต่ผลผลิตก็ไม่พอขาย จึงขยายเพิ่มเข้าไปปลูกในสวนยางอีก 1 ไร่ แต่ในสวนยางไม่มีน้ำรด จึงมีผลผลิตเฉพาะในช่วงฤดูฝนและต้นฤดูหนาวเท่านั้น ในสวนยางไม่สามารถคลุมซาแรนได้ในช่วงที่ยางผลัดใบ แสงที่ส่งลงมากระทบต้นผักกูดจ้าเกินไปจึงไม่ค่อยมีผลผลิตในช่วงดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเพิ่มเนื้อที่ปลูกอีก 2 ไร่ ในแปลงนี้มีการมุงซาแรนอย่างดี แต่เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา ลมพัดแรงทำให้เสาหักไปจำนวนหนึ่ง จึงเหลือพื้นที่จริงแค่ 1 ไร่เท่านั้น รวมพื้นที่ที่มีผลผลิตทั้งปีแค่ 2 ไร่ในปัจจุบัน

ผักกูดที่ปลูกใหม่จะใช้เวลาประมาณ 10 เดือนก็เริ่มเก็บยอดได้ แต่จะให้ผลผลิตเต็มที่เมื่อใช้เวลา 1 ปี ในฤดูฝนยอดผักกูดจะมีผลผลิตมากที่สุด ซึ่งในสวนจะเก็บได้ประมาณวันละ 20-30 กิโลกรัม สวนป๋าสนธิ์จะขายยอดผักกูดในราคากิโลกรัมละแค่ 40 บาท ค่าขนส่งผู้ซื้อเป็นคนออก เนื่องจากราคาไม่แพงทำให้มียอดสั่งซื้อจากหลายจังหวัด โดยเฉพาะคนภาคเหนือที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ มักจะรวบรวมกันหลายคนแล้วสั่ง ยอมเสียค่าขนส่งเพราะส่งมาถึงกรุงเทพฯ ก็ยังถูกกว่าซื้อในกรุงเทพฯ อยู่ดี และอีกอย่างหนึ่งเขาบอกว่ากินอร่อยกว่าผักกูดอื่น ซึ่งอาจเป็นการคุ้นชินกับรสชาติผักของที่บ้าน วิธีการส่งเมื่อเด็ดยอดผักกูดมาแล้ว ก็จะห่อหนังสือพิมพ์ปิดหัวท้ายแล้วส่งทางเคอร์รี่ ให้ส่งของตลาดใกล้บ้านคือตลาดเชียงคำ ป๋าสนธิ์จะไปส่งถึงที่ ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ค้าที่สั่งไปขายเป็นประจำ

กรณีปลูกไปนานผักกูดจะเริ่มโทรม จะสังเกตเห็นว่ายอดมีขนาดเล็กลง ให้ใช้เครื่องตัดหญ้าตัดใบเก่าให้สูงกว่ายอดสุดท้ายขึ้นมาหน่อย หรือถ้าต้นมีขนาดใหญ่เกินให้ขุดต้นขึ้นมาแล้วตัดรากนำมาปลูกใหม่ ก็จะได้ผักกูดที่มียอดอวบใหม่อย่างเดิม