จากการสอบถามเจ้าหน้าที่เรือนจำอุตรดิตถ์ผู้ดูแลพื้นที่ทราบว่าพื้นที่

ดังกล่าวเป็นโครงการเตรียมก่อสร้างเรือนจำจังหวัดแห่งใหม่ แต่ยังไม่มีการดำเนินการ จึงกลายเป็นป่ารกร้าง ฝูงนกจึงอพยพมาอาศัย เป็นเวลาประมาณ 5-6 เดือนแล้ว ขยายพันธุ์เร็ว เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน และเนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีฝนตกชุก ทำให้มูลนกส่งกลิ่นเหม็นบริเวณรอบๆ ด้วย ในเบื้องต้นทางเรือนจำอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ได้ดำเนินการตัดต้นไม้และตัดแต่งกิ่งไม้บริเวณที่อยู่ติดบริเวณถนน ทำให้ฝูงนกถอยเข้าไปอาศัยอยู่ในบริเวณป่าลึกขึ้น

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอุตรดิตถ์ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ ลับแล ด่านกักกันสัตว์อุตรดิตถ์ และผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 6 ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล ได้ร่วมกันดำเนินการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทั่วบริเวณที่พบฝูงนกกระยางขาวและนกปากห่างในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างซากนกกระยางขาว จำนวน 2 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทางสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลก นอกจากนี้ ได้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกัน/หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับซากสัตว์ปีกที่ตายโดยตรง

ให้แก่ชาวบ้านในบริเวณดังกล่าวด้วย เพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรคระบาดในสัตว์ปีก และการระบาดของโรคจากสัตว์ปีกสู่คน ดังนั้น กรมปศุสัตว์ จึงขอความร่วมมือเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไป หากพบสัตว์ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่านำซากสัตว์เหล่านั้นไปบริโภค ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์โดยด่วน เพื่อไปชันสูตรหาสาเหตุการตาย เก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และทำลายซากสัตว์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันโรคระบาดสัตว์ได้อย่างทันท่วงที

นายวิริยะ แก้วทอง ผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า จากกรณีกระแสข่าวที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยโรคบรูเซลลามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2557 โดยในปี 2561 ตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค.-17 ก.ค. 2561 พบรายงานการเกิดโรคในคน จำนวน 12 ครั้ง และมีผู้ป่วย จำนวน 12 ราย ในจังหวัดนครราชสีมา นครสวรรค์ สระบุรี อุทัยธานี สกลนคร และราชบุรี โดยไม่พบผู้เสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์หรือทำงานในฟาร์มและโรงฆ่าสัตว์ ทั้งนี้

จากผลการสอบสวนโรค ในปี 2560-2561 พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสสัตว์ป่วย ดื่มนมดิบ นำรกแพะที่ออกลูกตายไปรับประทานเป็นอาหาร มีประวัติทำคลอดสัตว์ รีดนม ฝังซากโดยไม่ป้องกันตนเอง และไม่ได้ใส่ชุดหรืออุปกรณ์ป้องกันเมื่อต้องสัมผัสสัตว์นั้น ในข้อเท็จจริง โรคบรูเซลลาเกิดจากเชื้อ Brucella spp. ก่อโรคในสัตว์ ได้แก่ โค กระบือ แพะ แกะ สุกร และเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน โดยสัตว์จะแสดงอาการแท้งระยะท้าย ข้ออักเสบ

โดยชนิดเชื้อที่มักก่อให้เกิดปัญหาในคน คือ Brucella melitensis ซึ่งติดต่อได้จาก แพะ แกะ โดยส่วนใหญ่แพะ แกะ จะแสดงอาการแท้งระยะท้ายเพียง 1-2 ครั้ง หลังจากนั้นอาจไม่พบแสดงอาการดังกล่าวของโรคอีก แต่สามารถทำให้ผู้ที่สัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรคหรือดื่มนมโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน (pasteurization) ติดเชื้อดังกล่าวและแสดงอาการป่วยได้ ดังนั้น สัตว์ต้องได้รับการทดสอบโรคและตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ จึงจะทราบสภาวะของโรคบรูเซลลา

กรณีที่จะนำสัตว์เข้ามาเลี้ยงภายในฟาร์ม สัตว์ที่จะนำเข้ามาต้องผ่านการทดสอบโรคและมีผลเป็นลบ หรือนำสัตว์มาจากฟาร์มที่มีประวัติการทดสอบโรคเป็นลบ หรือเป็นฟาร์มที่ได้รับรองฟาร์มปลอดโรคจากกรมปศุสัตว์ ซึ่งจะเป็นการป้องกันโรคดังกล่าว

นายวิริยะ กล่าวว่า เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์และคน กรมปศุสัตว์ มีโครงการรณรงค์ทดสอบโรคบรูเซลลาประจำปี ตั้งแต่ปี 2550 และในปี 2561 กรมปศุสัตว์ ได้มีโครงการเร่งรัดสร้างฟาร์มปลอดโรคบรูเซลลาในแพะ เพื่อเร่งกำจัดโรคบรูเซลลาให้หมดจากประเทศไทย ปัจจุบัน ฟาร์มปลอดโรคบรูเซลลาในแพะ แกะ ที่ได้รับรองจากกรมปศุสัตว์ จำนวน 333 ฟาร์ม โดยได้มีมาตรการควบคุมและกำจัดโรคบรูเซลลา เมื่อตรวจพบผลบวกทางห้องปฏิบัติการ สัตว์ที่ให้ผลเป็นบวกจะถูกทำลายโดยมีค่าชดเชย

ส่วนสัตว์ร่วมฝูงจะถูกสั่งกักและทดสอบโรคทุกตัว ทุก 2 เดือน ติดต่อกัน 3 ครั้ง จากนั้นให้ทดสอบโรคอีก 6 เดือนถัดมา หากให้ผลลบถือว่าโรคสงบ ทั้งนี้ สัตว์ร่วมฝูงห้ามเคลื่อนย้าย ยกเว้นกรณีเคลื่อนย้ายเข้าโรงฆ่าเท่านั้น ส่วนกรณีพบผู้ป่วยด้วยโรคบรูเซลลา กรมปศุสัตว์ ในพื้นที่จะประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อร่วมกันสอบสวนโรคและหาสาเหตุการเกิดโรค พร้อมทั้งดำเนินการเก็บตัวอย่างซีรั่มสัตว์ที่สงสัยส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ รวมทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจ กับเกษตรกร ผู้มีส่วนได้เสียและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงสถานการณ์โรคและวิธีการป้องกัน

แนะกลยุทธ์รุกตลาดจีน “อาลีบาบา” สอนมวย 3,000 เอสเอ็มอี ไทย รุกตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มจีน แง้ม “ดอกไม้ไทย” มีโอกาสขยายตลาดจีนได้
นายลูอิส หลิว ประธานฝ่ายโกลบอล เทรนนิ่ง มหาวิทยาลัยเถาเป่า แพลตฟอร์มหลักด้านการศึกษาและฝึกสอนของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า Alibaba Business School (ABS) จัดทำหลักสูตรอบรมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย 3,000 ราย เพื่อสร้างความสามารถการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ โดยเน้นการขายสินค้าบนเว็บไซต์เถาเป่า ซึ่งมีรูปแบบการตลาดแบบ C2C และเว็บไซต์ทีมอลล์ ซึ่งมีรูปแบบการตลาดแบบ B2C

สำหรับความร่วมมือนี้ทางอาลีบาบาและรัฐบาลไทยจัดทำขึ้น เมื่อปี 2560 โดยอาลีบาบากรุ๊ปมอบให้มหาวิทยาลัยเถาเป่าร่วมกับลาซาด้าสตาร์จัดทำความตกลงพิเศษให้กับ SMEs ได้รู้จักวิธีการคัดสินค้าที่มีคุณภาพขึ้นขายบนเว็บไซต์ของลาซาด้าและทดสอบออเดอร์บนอินเทอร์เน็ตส่งใน 3 วัน

นายหลิว กล่าวว่า ปีนี้อาลีบาบามีเป้าหมายที่จะหาสินค้าใหม่ๆ จากไทย เพื่อส่งตรงไปยังตลาดจีนเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดเตรียมเจรจานำดอกไม้สดจากไทยเข้าตลาดจีนในรูปแบบเดียวกับทุเรียนและข้าว เพราะแม้ว่าจีนจะมีผลผลิตดอกไม้สดจากมณฑลยูนนาน แต่ปริมาณไม่เพียงพอ การเปิดตลาดด้วย e-Commerce คือวิธีการซื้อขายที่ง่ายและเร็วขึ้น เพื่อให้ดอกไม้สดไปขายที่จีนได้มากขึ้น

“ปัจจุบัน SMEs สามารถค้าผ่านช่องทาง e-Commerce มีศักยภาพสูงมาก จากเดิม SMEs ผลิตของออกมาส่วนใหญ่จะขายในร้านซึ่งมีต้นทุนสูงมาก และไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่ตอนนี้มีอินเทอร์เน็ต สามารถเสนอสินค้าได้ทั่วโลก ซึ่งยังต้องใช้เวลา แต่ก็หวังว่า SMEs ไทยจะศึกษาความเชื่อมั่นเปิดรับธุรกิจรูปแบบใหม่ เปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจ

e-Commerce อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในการทำอีคอมเมิร์ซดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตต้องมีความเร็ว และลงไปถึงระดับชนบท หมู่บ้าน ระบบโลจิสติกส์ทำเวลาได้รวดเร็วไหม ต้นทุนสูงไหม การจ่ายเงินบนอินเทอร์เน็ต โมบายเพย์เมนต์ต่างๆ มีความปลอดภัยหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องตัดสินว่า การทำธุรกิจบน e-Commerce จะสำเร็จได้ด้วยหรือไม่”

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซในไทยจะเติบโตได้ดี โดยระบบจะมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ พบว่าผู้ที่นิยมซื้อผ่าน e-Commerce ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 1985 และเด็กรุ่นหลังปี 1990 กลุ่มนี้มีแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นแบบใหม่ เป็นต้น

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความร่วมมือกับอาลีบาบา ซึ่งได้มาร่วมจัดอบรมด้าน e-Commerce ให้กับ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ล็อตแรก 1,000 ราย เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจากนี้ หากรายใดมีความพร้อมในการผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานอาลีบาบาก็สามารถจำหน่ายใน platform อาลีบาบาได้ โดยเบื้องต้นจะมีค่าใช้จ่าย รายละ 40,000-50,000 บาท/ปี ซึ่งขณะนี้ภาครัฐเตรียมหารือเพื่อขอให้อาลีบาบายกเว้นค่าใช้จ่ายในปีแรกได้หรือไม่

ระดับน้ำโขงที่จังหวัดหนองคาย เริ่มสูงขึ้นฉับพลัน และไหลเชี่ยว วันเดียวขึ้นถึง 169 ซม. เหตุเกิดจากฝนตกพื้นที่ตอนบนที่ใน สปป.ลาว ติดต่อกันหลายวัน โป๊ะ แพ เสริมความมั่นคงแข็งแรง และเฝ้าระวังปรับให้เหมาะสมกับระดับน้ำที่สูงขึ้น ส่วนการสัญจรทางเรือก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ คาดพรุ่งนี้เพิ่มสูงขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2 เมตร เนื่องจากระดับน้ำที่สถานีเชียงคาน จังหวัดเลย วันนี้สูงขึ้น 2.15 เมตร ที่จะไหลมาถึงจังหวัดหนองคายภายใน 20 ชั่วโมง

ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคาย วันนี้ (23 ก.ค. 61) มีระดับสูงขึ้นอย่างฉับพลันและไหลเชี่ยว เนื่องจากมวลน้ำจากตอนบน ที่เกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องกันหลายวันในพื้นที่ตอนบนของไทยและใน สปป.ลาว ล่าสุดระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านจังหวัดหนองคาย วัดที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ อ.เมือง จ.หนองคาย อยู่ที่ระดับ 8.30 เมตร เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของเมื่อวานนี้ถึง 169 ซม. ต่ำกว่าตลิ่งเพียง 3.90 เมตร ระดับน้ำโขง 2 วัน รวมกันเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.12 เมตร คาดพรุ่งนี้สูงขึ้นอีกเกินกว่า 2 เมตร เนื่องจากระดับน้ำโขงทางตอนบน คือที่เชียงคาน จังหวัดเลย วันนี้มีระดับสูงขึ้นถึง 2.15 เมตร เช่นกัน ที่จะไหลมาถึงจังหวัดหนองคายภายใน 20 ชั่วโมง

จากระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากจะทำให้ แพ โป๊ะ ถูกระดับน้ำที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วดันจนเอียง โดยเฉพาะโป๊ะแพสำหรับขนสินค้าลงเรือส่งข้ามไปยัง สปป.ลาว ที่ท่าเรือหายโศก ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย คนงานต้องช่วยกันปรับโป๊ะแพให้เหมาะสมกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เช่นเดียวกับ เจ้าของโป๊ะแพที่อยู่ริมแม่น้ำโขงในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ต้องตรวจสอบและเสริมความมั่นคงแข็งแรงของแพ รวมไปถึงเชือกหรือสลิงที่ผูกยึดไว้กับฝั่ง อีกทั้งยังต้องคอยเฝ้าระวัง ปรับระดับโป๊ะแพให้มีความเหมาะสมกับระดับน้ำที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย

ระดับน้ำโขงที่เพิ่มขึ้นและไหลเชี่ยว ยังได้ส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางเรือในแม่น้ำโขง ที่ต้องมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น คอยหลบเศษไม้ที่ขนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยมากับน้ำ นอกจากนี้ ยังต้องใช้คนขับเรือที่มีความชำนาญ ยังต้องหาวิธีการที่จะทำให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรือขนส่งสินค้าที่ท่าเรือหายโศกในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ที่ขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยไปฝั่ง สปป.ลาว ก็ต้องลดปริมาณในการขนให้น้อยลงจากปกติ และแยกเรือที่ใช้ในการขนสินค้าและขนส่งผู้โดยสารออกจากกัน

จากความเดือดร้อนของภาคเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560 จากเดิมที่กำหนดค่าใช้จ่ายแบบเหมาร้อยละ 80-85 แต่ได้กำหนดใหม่เป็น ร้อยละ 60 นำสู่การจัดประชุมผู้แทนเกษตรกร องค์กรเกษตรกร ที่เดือดร้อนจากผลกระทบดังกล่าว เพื่อหารือทางออกร่วมกัน เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ณ อาคารวชิรานุสรณ์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และในที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายณัฐวุฒิ ประทีปะวณิช ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมโคกก่อ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ พร้อมกับตัวแทนเกษตรกรยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี

ในวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นั้น นายณัฐวุฒิ ประทีปะวณิช ในฐานะผู้แทนเกษตรกร ได้แจ้งว่า เมื่อนำเรื่องความเดือดร้อนและเรื่องแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบเกษตรกรจาก พ.ร.ฎ. ดังกล่าว ปรึกษากับภาคเกษตรกรและเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีทำให้ต้องเตรียมการให้รอบคอบ และนัดแนะกับภาคเกษตรกรและตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ โดยลงความเห็นกันว่า จะขอเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีจากวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 เลื่อน เป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 10.00 น. แทน

ดัชนีรายได้เกษตรกรเดือนมิถุนายน 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.27 ระบุ กรกฎาคม รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเดือนสิงหาคมนี้ ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สุกร จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น และดัชนีรายได้เกษตรกรยังอยู่ในเกณฑ์ดี

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาพรวมรายได้ของเกษตรกร วัดจากดัชนีรายได้เกษตรกรในเดือนมิถุนายน 2561 เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2560 ร้อยละ 4.27 โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นาเดือนมิถุนายน 2561 ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ร้อยละ 3.60 สินค้าที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ยางพารา ราคาลดลงเนื่องจากปริมาณยางออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น สับปะรด ราคาลดลงเนื่องจากมีปริมาณผลผลิตออกกระจุกตัว และโรงงานแปรรูปปรับราคารับซื้อลดลง และ สุกร ราคาลดลงเนื่องจากความต้องการบริโภคชะลอตัวลง

สินค้าที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ มันสำปะหลัง ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ส่งผลให้ผลผลิตมันสำปะหลังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ประกอบกับราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์สูง มังคุด ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลต่อการติดดอกออกผลของผลไม้ในช่วงต้นปี ทุเรียน ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการของตลาดภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และ ไข่ไก่ ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะการค้าชะลอตัวตามความต้องการใช้ที่ลดลงจากปกติ แต่มีมาตรการเพิ่มการส่งออกไปยังต่างประเทศ

ด้านดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายน 2561 เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2560 ร้อยละ 8.17 สินค้าสำคัญที่ดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา ข้าวเปลือกเจ้า สับปะรด ปาล์มน้ำมัน ไก่เนื้อ ไข่ไก่ และกุ้งขาวแวนนาไม ส่วนสินค้าสำคัญที่ดัชนีผลผลิตลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง ทุเรียน ลิ้นจี่ และสุกร

หากมองถึงแนวโน้มดัชนีรายได้ ราคา และผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561 พบว่า แนวโน้มดัชนีรายได้เกษตรกร เดือนกรกฎาคม 2561 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2560 ร้อยละ 9.87 เป็นผลมาจากดัชนีผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.31 โดยสินค้าสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา สับปะรด ปาล์มน้ำมัน ไก่เนื้อ ไข่ไก่ และลิ้นจี่ ในขณะที่ดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.39 โดยสินค้าสำคัญที่มีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ลำไย มังคุด ลองกอง และไข่ไก่

ด้านสินค้าสำคัญที่มีผลผลิตออกมากในช่วงเดือนสิงหาคม 2561 ได้แก่ ยางพารา ซึ่งคาดว่าผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจากเกษตรกรเริ่มเปิดกรีดยาง ขณะที่ผู้ซื้อต้องการยางเพื่อส่งมอบ ส่งผลให้ดัชนีราคาปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน เนื่องจากข้าวโพดฤดูกาลใหม่ (ปี 2561/62) ทยอยออกสู่ตลาด และ สุกร คาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เป็นผลจากสภาพอากาศที่เย็นลงในช่วงฤดูฝน ทำให้สุกรโตเร็ว ส่งผลให้ดัชนีราคามีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

ทั้งนี้ เดือนสิงหาคม 2561 คาดว่าดัชนีรายได้เกษตรกรอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนดัชนีราคา คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2560 ในขณะที่ดัชนีผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เงาะโรงเรียน สุกร และไข่ไก่

สหกรณ์จังหวัดน่าน ร่วมมือกับไปรษณีย์ไทย เพิ่มช่องทางการกระจายลำไยสดถึงมือผู้บริโภค หลังคาดการณ์ปีนี้ผลผลิตออกมาทะลัก 1.8 หมื่นตัน เชื่อระบบไปรษณีย์มีความสะดวก ส่งผลผลิตถึงมือผู้สั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว

นางสุภาพ ไทยน้อย สหกรณ์จังหวัดน่าน เปิดเผยว่า สหกรณ์จังหวัดน่าน ได้ร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดช่องทางการจำหน่ายลำไยสดคัดคุณภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภคผ่านระบบการขนส่งของไปรษณีย์ไทย ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการกระจายผลผลิตลำไยที่กำลังจะออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในช่วงตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2561 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยในพื้นที่ภาคเหนือไม่ให้ประสบปัญหาลำไยล้นตลาดจนราคาตกต่ำ หลังจากทางสำนักงานเกษตรจังหวัดน่าน ได้คาดการณ์ปริมาณผลผลิตลำไยในปีนี้ จะออกมาสู่ตลาดมากถึง 18,000 ตัน

ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถทำการสั่งซื้อลำไยสดได้ 2 ช่องทาง คือ การสั่งซื่อผ่านทางเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย หรือสั่งซื้อผ่านที่ทำการไปรษณีย์ทุกสาขา จากนั้นจึงส่งข้อมูลมายังที่ทำการไปรษณีย์จังหวัดน่าน เพื่อรวบรวมยอดคำสั่งซื้อ ส่งไปยังสหกรณ์จังหวัดน่าน ไปประสานสมาชิกผู้ปลูกลำไย ส่งลำไยสดเกรดคุณภาพคัดพิเศษ (AA) มารวบรวมก่อน ส่งมายังที่ทำการไปรษณีย์จังหวัดน่าน เพื่อกระจายถึงมือผู้สั่งซื้อภายในระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 วัน

“ลำไยเป็นชนิดพืชหนึ่งของจังหวัดน่านที่เกษตรกรในจังหวัดนิยมปลูกเป็นอาชีพ มีพันธุ์ที่ขึ้นชื่อคือ พญาแก้ว ซึ่งเกษตรกรชาวสวนลำไยของจังหวัดน่านจะเน้นการปลูกลำไยให้ได้คุณภาพและปลอดสารพิษ ซึ่งผลผลิตจะออกมามากที่สุดในอำเภอท่าวังผา และอำเภอเชียงกลาง โดยในขั้นตอนของการบริการจัดการผลผลิตแปลงลำไย ทางสหกรณ์จังหวัดน่านได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทางด้านการเกษตรที่เข้ามาส่งเสริมการผลิตลำไยคุณภาพ มีการทำมาตรฐานฟาร์มรายแปลง และส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมรับรองมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัย หรือจีเอพี อีกทั้งบางส่วนก็มีการทำแบบเป็นเกษตรแปลงใหญ่ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะที่อำเภอเชียงกลาง ที่ทำแปลงใหญ่หลายราย”

นางสุภาพ กล่าวว่า ทางสหกรณ์จังหวัดน่านได้มีการร่วมมือกับสถาบันเกษตรกรระดับอำเภอประมาณ 5-6 แห่ง เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นสมาชิกในการรวบรวมผลผลิตลำไย ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมา สามารถรวบรวมผลผลิตลำไย ได้มากถึง 6,000 ตัน ก่อนทำการส่งเสริมการตลาด เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพ และกลไกด้านราคาให้กับเกษตรกร โดยการทำการตลาดในปีที่ผ่านมา มีทั้งผลสดรูดร่วง ที่นำมาอบแห้งแล้วจำหน่ายต่างประเทศ และผลสดทำเป็นลำไยช่อ ส่งไปยังสหกรณ์ปลายทางที่เป็นคู่ค้านอกพื้นที่ เช่นสหกรณ์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวมไปถึงการส่งไปยังตลาดในท้องถิ่น ส่วนปีนี้ สหกรณ์จังหวัดน่านยังได้มีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านระบบไปรษณีย์ ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่มีคุณภาพ สามารถส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันผลผลิตลำไยที่ออกมาสู่ตลาดนั้น ได้มีการคัดคุณภาพออกเป็น 3 เกรด คือ เกรด AA หรือเป็นเกรดคุณภาพสูงสุดมีผลใหญ่พิเศษ เกรด A มีคุณภาพด้อยลงมา และเกรด B ซึ่งเป็นลำไยคุณภาพปกติ โดยแต่ละชนิดก็มีราคาแตกต่างกัน คือ เกรด AA มีราคาหน้าสวน อยู่ที่กิโลกรัมละ 20 บาท เกรด A มีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 17 บาท และเกรด B มีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 8 บาท

“สมคิด” สั่งเกษตรเกลี่ยงบปี ‘61 ซื้อเมล็ดพันธุ์แจก ดึง “เกษตร-พาณิชย์” ร่วมมือปฏิรูปภาคเกษตรเต็มตัว จับมือเอกชนรายใหญ่ ห้างค้าปลีก ปตท. พลิกฟื้นเกษตรกร นัดถกเป็นทางการ ดึง รมว.เกษตรไปยืนยันกับเจ้าสัวว่าต้องการสินค้าอะไร พร้อมผลิตป้อนให้ ดันพาณิชย์รุกตลาดออนไลน์

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า สัปดาห์ก่อน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกลี่ยงบประมาณปี 2561 มาใช้ในการสนับสนุนการปฏิรูปภาคเกษตร โดยใช้ตลาดนำการผลิต เพื่อนำงบมาดำเนินการแจกปัจจัยการผลิต อาทิ เมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร ลดความเสี่ยงของการปรับเปลี่ยนอาชีพด้านการเกษตร ให้เกษตรกรเห็นความสำคัญในการทำการเกษตรที่ตลาดมีความต้องการ

ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ ต้องร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ เช่น บริษัท ปตท. บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และบริษัทเทสโก้ โลตัส เป็นต้น เพื่อช่วยกันพลิกฟื้นการเกษตร

โดยการปฏิรูปภาคเกษตร ภายใต้ตลาดนำการผลิต ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกัน ให้เป็นคอหอยลูกกระเดือก เพื่อชี้เป้าให้เกษตรกรผลิตสินค้าให้ตรงกับตลาดต้องการ และให้เอกชนเข้ารับซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อการส่งออก

“เบื้องต้นผมได้หารือกับเอกชนรายใหญ่ๆ อาทิ เซ็นทรัล ปตท. ไทยเบฟ ซีพี และโลตัสแล้ว เตรียมนัดหารืออีกครั้งอย่างเป็นทางการ โดยนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ ต้องไปกับผม เพื่อยืนยันผลผลิตด้านการเกษตรว่าสามารถผลิตได้ตามความต้องการของผู้ซื้อ โดยเฉพาะพ่อค้า การปฏิรูปภาคเกษตร ปฏิเสธไม่ได้ต้องขอความร่วมมือจากพ่อค้า เพราะถือเป็นช่องทางการขายที่สำคัญ พร้อมกันนี้พาณิชย์ ต้องส่งเสริมช่องทางตลาดออนไลน์ โดยจัดทำแคมเปญส่งเสริมการขายให้แก่ประชาชนทั่วไป” นายสมคิดกล่าวในการประชุม

นายสมคิด ยังกล่าวต่อว่า การปฏิรูปการผลิตด้านการเกษตรต้องจัดแบ่งการดำเนินงานตามแผนการผลิตออกเป็นระยะๆ โดยเริ่มปฏิบัติให้สำเร็จในระยะแรก เกษตรกรต้องไม่มีความเสี่ยงจากการผลิต เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อโดยไม่มีดอกเบี้ย กระทรวงเกษตรฯ ชี้เป้าการผลิต และกระทรวงพาณิชย์รองรับเรื่องการตลาด เมื่อทำสำเร็จจะได้เป็นตัวอย่างในการขยายออกไปสู่สินค้าอื่นๆ