จำหน่ายเมล่อนออกจากสวนตอนนี้ กิโลกรัมละ 90 บาท

ขนาดผลเมล่อนก็จะอยู่ที่ 1.5-2 กิโลกรัม เฉลี่ยราคาต่อผล ก็ประมาณ 135-180 บาท ซึ่งเป็นราคาที่คนทั่วไปสามารถซื้อเมล่อนรับประทานได้ ไม่แพงจนเกินไป อนาคตก็คาดว่าจะขยายโรงเรือนมากขึ้น อีกสัก 3 โรงเรือน รวมแล้วให้ได้ 6 โรงเรือน

เมล่อน มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึง เก็บเกี่ยว ประมาณ 75-80 วัน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์และฤดูปลูกเมล่อน พันธุ์เบาเก็บเกี่ยวได้เร็วและเมล่อนที่ปลูกในฤดูร้อนผลจะสุกเร็วกว่าในฤดูหนาว เมล่อนเริ่มติดผลเมื่อมีอายุได้ประมาณ 35-40 วัน หลังย้ายปลูกเมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่จะเริ่มแขวนผล หลังจากนั้น ประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถที่จะเก็บเกี่ยวได้ นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตระยะที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวได้ เช่น รอยแยกของขั้ว สังเกตระหว่างขั้วกับผลเมล่อน ถ้ามีรอยร้าวสีน้ำตาลเกิดขึ้นแสดงว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้ สีของผล ผลจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีครีม หรือสีเหลือง สีส้ม สีขาวขุ่นปนเหลือง หรือสีนวลรอยนูนของตาข่ายร่างแห (Net)

เมล่อนที่มีตาข่ายเมื่อสุกรอยนูนของตาข่ายจะคลุมผล แข็ง นูน เห็นชัด กลิ่นเมล่อนบางพันธุ์เมื่อสุกจะมีกลิ่นหอม ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้โดยการนับอายุ โดยนับจากช่วงผสมเกสรตามอายุของพันธุ์นั้นๆ ใช้หลายวิธีประกอบกันในการตัดสินใจ เนื่องจากเมล่อนเป็นพืชที่ค่อนข้างตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมง่าย ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับพื้นที่ที่มีการแปรปรวนของสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ การตัดเมล่อนนอกจากตัดขั้วติดมาแล้ว ยังต้องตัดให้ติดส่วนของกิ่งแขนงย่อยออกมาด้วย โดยให้ติดเป็นรูปตัว T หลังจากเก็บเกี่ยวเมล่อนจะเก็บรักษาไว้ได้ ประมาณ 15-20 วัน แล้วแต่พันธุ์ ซึ่งการบ่มไว้จะทำให้รสชาติความหวานเพิ่มขึ้น

ก่อนการเก็บเกี่ยว ประมาณ 5 วัน ควรงดการให้น้ำ เพื่อให้ผลเมล่อนมีความหวานมากขึ้น แล้วก็จะตรวจเช็กความหวานด้วยเครื่องวัดความหวาน (Brix Refractometer) มักถูกนำมาใช้ในการวัดปริมาณน้ำตาลทุกครั้งก่อนการเก็บเกี่ยว เพราะเรื่องความหวานของเมล่อนมีความสำคัญมาก โดยทั่วไปแล้วความหวานของเมล่อนจะอยู่ที่ 14-18 บริกซ์

ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน พืชผลมีความผันผวนทางด้านราคา การปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นความเสี่ยงของเกษตรกร จังหวัดพังงาจึงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเสริมรายได้ในสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันที่ยังเล็ก อายุ ตั้งแต่ 1-3 ปี ได้แก่ ผักเหมียง สับปะรด กล้วยหอมทอง ข้าวโพดหวาน ถั่วลิสง โดยเฉพาะแตงโม ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมากในอำเภอคุระบุรี ได้มีการเพิ่มมูลค่าโดยการผลิตเป็นแตงโมรูปหัวใจ ซึ่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เกษตรกร

คุณอุดมศักดิ์ บัญชาเมฆ เกษตรกรผู้ปลูกแตงโมรูปหัวใจ บ้านเลขที่ 35/2 หมูที่ 2 ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ให้ข้อมูลว่า ตนปลูกแตงโมมาหลายปี เพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวนอกจากพืชเศรษฐกิจหลัก

แตงโมที่ปลูกคือพันธุ์จินตหราเนื้อแดง ตอร์ปิโด ธารโต พื้นที่ปลูก 5 ไร่ ประมาณ 2,500 ต้น โดยใช้เวลาในการปลูก ประมาณ 90 วัน ก็จะได้แตงโมน้ำหนักผลละ 6-10 กิโลกรัม…พื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิตประมาณ 3,500 – 4,000 กิโลกรัม สำหรับในปีนี้ขายแตงโมได้มากว่าในปีที่ผ่านมาเนื่องจากสำนักงานเกษตรจังหวัดพังงา และสำนักงานเกษตรอำเภอคุระบุรี ได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาคุณภาพผลผลิตโดยการผลิตแตงโมรูปหัวใจ

ในการทำแตงโมรูปหัวใจครั้งแรก มีปัญหาบ้างตรงที่บล็อกที่ได้มามีขนาดแค่ 8 นิ้ว เป็นบล็อกที่เหมาะกับเมล่อน ซึ่งมีผลเล็กกว่าแตงโม ทำให้ต้องเลือกแตงโมลูกไม่ใหญ่ ขนาดพอดีกับบล็อกมาทดลองทำ ปรากฏว่าได้แตงโมรูปหัวใจแค่ 4 ผลเท่านั้น เพราะผลอื่นๆไม่ได้รูปทรงหัวใจ แต่ทุกวันนี้รู้หมดแล้วว่าต้องทำยังไงให้ได้รูปหัวใจ ติดแค่ปัญหาเรื่องบล็อกเท่านั้น เลยรวมกลุ่มกันสั่งทำบล็อกที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 10 นิ้ว อยู่ระหว่างการทดลองครั้งใหม่ ปีหน้าคาดว่าแตงโมรูปหัวใจจะมีให้เห็นวันวาเลนไทน์แน่นอน

วิธีการทำแตงโมรูปหัวใจนั้นคุณอุดมศักดิ์ บอกว่าไม่ถึงกับยุ่งยากอะไร…เริ่มจากเมื่อหลังดอกบาน ประมาณ 7 วัน เลือกผลที่เป็นรูปทรงรี ยาวประมาณ 6 นิ้ว ไว้ผลเดียว ที่เหลือเด็ดทิ้งให้หมด จากนั้นเอาบล็อกมาสวมลูกแตงโม รดน้ำตามปกติ

เฝ้าระวังอย่าให้ลูกถูกแดดจัด เพราะผิวแตงโมจะเสียต้องหาหญ้า ฟาง หรือวัสดุมาคลุม

ภายใน 20 – 23 วัน จะได้แตงโมรูปหัวใจ ทำสำเร็จแค่ 2 ผล จาก 3 ผล ถือว่าคุ้มเพราะเดิมขายแตงโมได้ผลละไม่ถึงร้อย แต่แตงโมรูปหัวใจขายได้ผลละ 1,000 บาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว

คุณสมชาย บริพันธุ์ เกษตรจังหวัดพังงา กล่าวว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดพังงาได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชทางเลือกใหม่เพื่อเสริมรายได้ ได้แก่ เมล่อน มะนาวเลม่อน และแตงโม ซึ่งในปีนี้มีพื้นที่ปลูก ประมาณ 4,700 ไร่ ผลผลิตรวมกว่า 15,000 ตัน ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10-14 บาท สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร ประมาณ 150 ล้านบาท และได้พัฒนาคุณภาพผลผลิตและส่งเสริมการตลาดโดยการผลิตแตงโมรูปหัวใจเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานตามระบบการส่งเสริมเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) มีศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนและได้ดำเนินการฝึกอบรมเกษตรกรก่อนที่จะดำเนินการปลูกโดยมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรประจำตำบลเป็นที่ปรึกษาให้เกษตรกรตลอดฤดูกาลปลูก และยังได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาในการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง เพื่อให้ผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ด้านคุณณฐวรรณ บัวแก้ว เกษตรอำเภอคุระบุรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์แตงโมและของดีอำเภอคุระบุรีให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อำเภอคุระบุรีและสำนักงานเกษตรอำเภอคุระบุรีจึงได้จัดงานวันแตงโมและของดีอำเภอคุระบุรีขึ้น เมื่อวันที่ 12-21 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอคุระบุรี และในการจัดงานดังกล่าวมีการเปิดประมูลแตงโมรูปหัวใจ เพื่อนำรายได้

ไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งราคาที่ประมูลได้ คือ 100,000 บาท ผู้ประมูลคือ

คุณวัลภา ธีระสาร ประธานกรรมการบริษัทโชควัลลภา น้ำมันปาล์ม จำกัด

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดพังงาโทรศัพท์ 0 7648 1467 สำนักงานเกษตรอำเภอคุระบุรี โทรศัพท์ 0 76-49 1457 หรือติดต่อคุณอุดมศักดิ์ ได้โดยตรงที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-0897636

หลายคนคงจะคุ้นเคยกับ คำขวัญเมืองโพธาราม ที่กล่าวว่า “ คนสวยโพธาราม งดงามน้ำใจ ค่ายหลวงบ้านไร่ หนังใหญ่วัดขนอน ที่นอนนุ่มชั้นนำ ถ้ำค้างคาวร้อยล้าน งามตุ๊กตาน่าพิศ จิตกรรมฝาผนัง หนองโพดังนมสด เลิศรสผักกาดหวาน ”

แต่ความจริงแล้ว เมืองโพธารามยังมีของดีอีกอย่างที่อยากแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักก็คือ ข้าวโพดแปดแถว อยู่ในกลุ่มข้าวโพดข้าวเหนียว มีลักษณะพิเศษคือ ขนาดฝักเล็ก เมล็ดข้าวโพดสีขาวมีจำนวนแปดแถว รสชาติหวาน เนื้อเหนียวนุ่ม ไม่ติดฟัน สามารถปลูกได้ตลอดปี แค่ชิมครั้งแรก มีตกหลุมรักรสชาติความอร่อยของข้าวโพดพันธุ์นี้เสียแล้ว เพราะมีรสอร่อย นุ่มและหวาน ไม่เหมือนข้าวโพดต้มที่เคยกินในพื้นที่อื่นเลย

ชาวบ้านในชุมชนตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ที่มีอาชีพปลูกข้าวโพดแปดเล่าให้ฟังว่า “คุณดำรง มินทนนท์” หรือ ลุงดำเป็นคนแรกที่นำมาปลูก เมื่อ 30 ปีก่อน โดยได้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดแปดแถวมาจากเพื่อนคนหนึ่ง จึงนำมาปลูกครั้งแรกในพื้นที่อำเภอโพธาราม และนำออกต้มขายที่หน้าวัดโบสถ์ ปรากฎว่า ชาวบ้านชอบใจในรสชาติความอร่อยของข้าวโพดพันธุ์นี้ จึงหันมาปลูกเป็นพืชเสริมหลังฤดูทำนากันอย่างแพร่หลาย ในพื้นที่ตำบลคลองตาคต และตำบลบ้านเลือกจนถึงทุกวันนี้

ข้าวโพดแปดแถวมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้น หลังจากถูกส่งเข้าถวายในวัง ทำให้ข้าวโพดแปดแถว กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของท้องถิ่น ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะซื้อข้าวโพดแปดแถวเพื่อเป็นของฝากติดมือก่อนกลับบ้านกันเพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้ แหล่งใหญ่ที่ขายข้าวโพดแปดแถว อยู่ที่วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม นั่นเอง ที่นี่มีแผงขายข้าวโพดแปดแถวอยู่หลายราย ร้านดังที่มีชื่อเสียงติดปากลูกค้าคือ ร้าน”ป้าแสงเดือน” ในช่วงวันหยุดและเทศกาลสำคัญจะขายดีมาก ไม่ถึงช่วงบ่าย ก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว เรียกว่า ขายข้าวโพดต้ม จนร่ำรวยกันเลยทีเดียว

การปลูกข้าวโพดแปดแถว

โดยทั่วไปเกษตรกรแต่ละรายจะมีเนื้อที่ปลูกข้าวโพดแปดประมาณ 1 ไร่ จะแบ่งการปลูกเป็น 2 รุ่น ๆ ละ 2 งาน เมื่อปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวโพดรุ่นแรกเสร็จ จะพักหน้าดิน และเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดในแปลงที่สอง เมื่อเก็บเกี่ยวรุ่นสองแล้วจะหมุนเวียนกลับมาปลูกในแปลงแรกอีกครั้งหนึ่ง วางแผนการปลูกในลักษณะนี้ ทำให้มีผลผลิตข้าวโพดแปดแถวป้อนเข้าสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ

ข้าวโพดแปดแถว ปลูกได้ทั่วไป ในสภาพดินดินร่วน ดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินร่วนปนทราย ระดับหน้าดินลึก 25-30 เซนติเมตร ค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 5.5-6.8 ต้นข้าวโพดเติบโตดีในแหล่งที่มีแสงแดดจัด อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ 1,000-1,200 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภุมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต 24-35 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส อาจจะมีปัญหาในการผสมเกสร ทำให้การติดเมล็ดไม่ดีเท่าที่ควร

ขั้นตอนการปลูก เริ่มจากไถดินและ ตากดิน 7 วัน ยกร่องปลูก ใส่ ปุ๋ยสูตร 16-16-16 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ รองก้นร่องพร้อมปลูก ขุดหลุม 10 นิ้ว หยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหลุมละ 6-7 เมล็ด รดน้ำตาม หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน เมล็ดข้าวโพดก็จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้า

เมื่อต้นข้าวโพดอายุ 15-20 วัน หว่านปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากนั้น คอยพรวนดิน และ ถอนแยกให้เหลือ4-5 ต้นต่อหลุม เมื่อปลูกไปได้ 40 วัน ต้นข้าวโพดจะเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 อีกครั้ง ข้าวโพดจะให้ผลผลิตเพียงหนึ่งฝักต่อต้น เมื่อต้นข้าวโพดอายุ 55-60 วัน ก็เก็บฝักออกขายได้ ส่วนต้นข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยวก็นำไปเลี้ยงวัวนมต่อไป

ชาวบ้านจะใช้วิธีปลูกและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เอง โดยแบ่งที่ดินประมาณหนึ่งร่องสำหรับปลูกข้าวโพดแปดแถวไว้ใช้ทำพันธุ์โดยเฉพาะ เพื่อรักษาคุณภาพความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ โดยใช้ระยะเวลาปลูกประมาณ 3-4 เดือนเพื่อเก็บฝักแก่ไว้ทำพันธุ์ โดยคัดเลือกฝักแก่ ที่มีลักษณะเป็นข้าวโพดแปดแถวเพียงอย่างเดียว เพื่อเก็บไว้ปลูกและขยายพันธุ์ในฤดูถัดไป

ข้าวโพดแปดแถว ดูแลยากกว่าข้าวโพดที่ปลูกในเชิงพาณิชย์ทั่วไป ข้าวโพดแปดแถวจะให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เมื่อถึงช่วงฤดูร้อน มักเจอปัญหาหนอนเจาะลำต้นรบกวน ทำให้ต้นข้าวโพดไม่มีฝัก แต่แก้ไขได้โดยฉีดยาฆ่าหนอน นอกจากนี้ ในช่วงฤดูฝน ต้นข้าวโพดแปดแถวมักเกิดปัญหาเชื้อรารบกวน ทำให้เกิดอาการใบเหลืองลาย ไม่มีฝัก เมื่อเกิดอาการดังกล่าว จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ต้องถางไร่ข้าวโพดทิ้งและนำต้นข้าวโพดไปเลี้ยงวัวได้อย่างเดียว เกษตรกรส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวโพดในช่วงหน้าฝน หรือพยายามป้องกันโรคเชื้อรา โดยนำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมาคลุกยาก่อนปลูก ก็ได้ผลดีในระดับหนึ่ง

ข้าวโพดแปดแถวให้ผลกำไรสูง

ทุกวันนี้ ข้าวโพดแปดแถวได้รับความนิยมจากท้องตลาดอย่างแพร่หลาย ไร้กังวลเรื่องตลาดเพราะ มีแม่ค้ามารับซื้อสินค้าถึงไร่ การปลูกข้าวโพดแปดแถว ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ปลูกได้ตลอดทั้งปี เฉลี่ยปีละ 3-4 รอบ และใช้ระยะเวลาปลูกเพียงช่วงสั้นๆ ประมาณ 55-60 วันเท่านั้น เกษตรกรก็จะมีรายได้เข้ากระเป๋ากว่า 200,000 บาทในแต่ละปี ทำให้ชาวบ้านในท้องถิ่นแห่งนี้ ปลูกข้าวโพดแปดแถวเป็นรายได้ประจำเลี้ยงครอบครัวมาตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา

ใครบ้างที่ไม่รู้จักกระเทียม มีบางคนรู้จักกระเทียมเพียงแค่ในส่วนที่ถูกนำมาใช้ทำอาหารเท่านั้น หรือบางคนรู้จักกระเทียมมากกว่านั้น คือ รู้ว่ากระเทียมสามารถนำไปใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย ขณะเดียวกันบางคนกลับรู้จักกระเทียมในแง่ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เพราะเวลากินกระเทียมหรือกินอาหารที่ใส่กระเทียมทีไร ทำให้เพื่อนพ้องเมินหน้าหนีกันเป็นแถวๆ กับกลิ่นเหม็นติดปากของเจ้ากระเทียมนี่เอง

เนื่องจากกระเทียมเป็นพืชสมุนไพร ที่ปัจจุบันทั้งวงการแพทย์และสาธารณสุขตลอดจนประชาชนผู้บริโภคทั่วไปได้ให้ความสนใจ หันมาศึกษาวิจัย ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับกระเทียมกันอย่างมาก และหากท่านได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับกระเทียม ท่านจะต้องทึ่งในสรรพคุณของมันแน่นอน

มารู้จักกระเทียมกัน

กระเทียม มีชื่อท้องถิ่นที่เรียกขานกันในแต่ละภูมิภาค กระเทียม (ภาคกลาง) หอมขาว (ภาคเหนือ) หอมเตียน ผักเทียม (ภาคอีสาน) หัวเทียม เทียม (ภาคใต้) กระเทียมเป็นพืชตระกูลเดียวกับหัวหอม (หอมแดง) ลำต้นมีลักษณะเป็นหัวอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะเป็นกลีบเล็กๆ เกาะติดกันคล้ายกลีบส้ม เป็นพืชที่ชอบดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำได้ดี และชอบอากาศเย็น แหล่งปลูกกระเทียมในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดคือ ภาคเหนือ รองลงมาก็ภาคอีสาน ซึ่งกระเทียมแต่ละพันธุ์จะมีสีแตกต่างกัน คือ ขาว ชมพู เหลือง รสชาติของกระเทียมค่อนข้างเผ็ดและร้อน เมื่อใดที่ท่านกินกระเทียมเข้าไปแล้ว รับรองว่ากลิ่นกระเทียมติดปากท่านแน่นอน

พลิกตำนาน เล่าขานเรื่องกระเทียม

กระเทียม เป็นพืชพื้นเมืองที่เก่าแก่และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก โดยถูกนำมาใช้เป็นอาหารและยารักษาโรคมานานหลายพันปีแล้ว จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่า ชนชาติต่างๆ ทั่วโลกทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกา ต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการกินกระเทียม และการนำกระเทียมไปใช้ในการบำบัด รักษาโรค ซึ่งพอจะมีข้อมูล ดังนี้

ชาวกรีกและโรมัน เชื่อว่ากระเทียมมีคุณสมบัติในการเพิ่มพละกำลังและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย (โดยเฉพาะพวกนักกีฬาชาวกรีก และทหารโรมันนิยมกินกระเทียมกันมาก) รวมทั้งได้นำกระเทียมมารักษาโรคต่างๆ มากมาย เช่น ใช้รักษาบาดแผล โรคผิวหนัง พยาธิ ใช้รักษาอาการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และอาการผิดปกติของลำไส้ เป็นต้น

ชาวอียิปต์โบราณ ใช้กระเทียมรักษาโรคพยาธิ โรคปวดหัว หัวใจ หืด ไอ หวัด และโรคเกี่ยวกับระบบประจำเดือนของสตรี นอกจากนั้นยังมีความเชื่อเช่นเดียวกับชาวกรีกว่า กระเทียมจะช่วยเสริมสร้างพละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกาย

ชาวยิว เชื่อว่าถ้าพกกระเทียมติดตัวจะปลอดภัยจากโรคติดต่อที่แพร่กระจายในประชาชนได้ ในฝรั่งเศส ราวศตวรรษที่ 18 พบว่า นักโทษที่กินกระเทียมผสมน้ำส้มสายชูเป็นประจำทุกวัน สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคระบาดได้

สำหรับในประเทศไทย กระเทียมเป็นทั้งอาหารและพืชสมุนไพรมามากกว่า 600 ปี โดยมีเอกสารหลักฐานยืนยันได้ว่า หมอพื้นบ้านของไทยใช้กระเทียมสดรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน หิด แก้ไอ หวัด และหืดหอบ เป็นต้น

คุณค่าทางอาหารของกระเทียม

กระเทียมจะมีแร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม เหล็ก และเซเลเนียม ส่วนวิตามินที่สำคัญ คือ มีวิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินซี ส่วนแร่ธาตุที่สำคัญในกระเทียม คือ กระเทียมมีเซเลเนียมมากกว่าพืชอื่นๆ เซเลเนียมเป็นสารแอนตีออกซิแดนต์ ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย และช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเป็นพิษจากสารโลหะหนัก และนอกจากนี้กระเทียมยังมีวิตามินบี 1 หรือที่เรียกว่าไธอะมิน ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อสร้างพลังงาน ซึ่งบทบาทสำคัญนี้อาจช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมนักกีฬาชาวกรีกหรือทหารโรมันในสมัยก่อนกินกระเทียม เพราะมันทำให้พวกเขาแข็งแรง ซึ่งอาจเป็นเพราะ ไธอะมิน ช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตในอาหารให้เป็นพลังงานส่วนพิเศษก็เป็นได้

สรรพคุณทางด้านการรักษาโรค

กระเทียม ได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาล ใช้รักษาได้สารพัด ลองมาดูกันว่ากระเทียมใช้รักษาโรคอะไรกันได้บ้าง

โรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน หูด รักษาแผล ฝี หนอง แผลสุนัขกัด แก้สิว แก้ลม พิษผื่นคัน โรคเท้าเปื่อย ผิวหนังอักเสบ
โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ ไอเรื้อรัง ขับเสมหะ แก้โรคหืด โรคหลอดลมอักเสบ วัณโรค ไอกรน
โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย โรคกระเพาะ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ท้องร่วง ท้องเสีย บิด
โรคเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนโลหิตและหัวใจ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โดยช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและเส้นเลือดอุดตัน ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย
โรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ขัดเบา นอกจากนี้ กระเทียมยังช่วยขับพยาธิชนิดต่างๆ ด้วย เช่น พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวตืด พยาธิเข็มหมุด พยาธิตัวกลม
โรคอื่นๆ เช่น โรคปวดข้อ ข้ออักเสบ แก้เคล็ดขัดยอก แก้ปวดเมื่อย แก้ปวดฟันรำมะนาด แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ชักกระตุก แก้ลมบ้าหมู โรคภูมิแพ้ โรคประจำเดือนผิดปกติในสตรี เป็นต้น
นอกจากเราจะใช้กระเทียมเป็นยาบำบัดรักษาโรคแล้ว กระเทียมยังถือเป็นยาบำรุงสุขภาพโดยเชื่อว่า เมื่อกินกระเทียมเป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสำหรับป้องกันไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มากล้ำกราย และช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย

สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในกระเทียม

อัลลิซิน จากข้อมูลพบว่า สารตัวนี้ทำหน้าที่หลักในการยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ ทำให้เป็นตัวต่อต้านการอักเสบ และติดเชื้อต่างๆ

ได-ซัลไฟต์ เชื่อกันว่า สารกลุ่มนี้มีผลต่อการลดลงของคอเลสเตอรอล โดยช่วยให้กระเทียมควบคุมไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดได้ กลิ่นร้ายของกระเทียม

ในสมัยก่อนได้มีการผูกเรื่องราวของกระเทียมเข้ากับวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งรู้จักกันในตำนาน แดร็กคิวล่า โดยเชื่อกันว่ากลิ่นฉุนของกระเทียม สามารถขับไล่ภูติผีปีศาจได้ ก็คงเพราะความร้ายกาจของกลิ่นกระเทียมนี้นี่เอง จึงทำให้เกิดเป็นตำนานและความเชื่อในเรื่องโชคลางขนาดนั้น

ในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาถึงการเกิดกลิ่นของกระเทียมไว้โดยพบว่า กระเทียมจะส่งกลิ่นฉุนออกมาได้ก็ต่อเมื่อเรานำกระเทียมมาแกะกลีบออก แล้วนำมาบด สับ หรือทุบให้แตกเท่านั้น จึงจะเกิดปฏิกิริยาทำให้สารอัลลิซินที่มีอยู่ตามธรรมชาติในกระเทียมสดออกมา

วิธีดับกลิ่นกระเทียม

ที่นิยมกันมากคือ การใส่ผักชีฝรั่งลงไปในอาหารที่ปรุงด้วยกระเทียม เพราะผักชีฝรั่งเป็นสารดับกลิ่นตามธรรมชาติตัวหนึ่ง นอกจากนี้นมสดหรือน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวก็มีผู้นำไปใช้ดับกลิ่นกระเทียมได้อีกวิธีหนึ่ง ในปัจจุบันได้มีผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศ ผลิตกระเทียมสกัดบรรจุในแคปซูลออกมาจำหน่ายตามร้านขายยา และร้านอาหารเพื่อสุขภาพกันมากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งก็คงเป็นเหตุผลที่ตระหนักในสรรพคุณของกระเทียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จนทำให้ผู้คนซื้อหามากินกันมากขึ้น เพราะบางคนทนกับกลิ่นกระเทียมสดๆ ไม่ไหว

กระเทียมไทย กระเทียมจีน

ท่านทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่ท่านกินหรือใช้การทำอาหารในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เป็นกระเทียมจีน เพราะหลังเปิดเสรีการค้ากับจีน กระเทียมจีนก็ทะลักเข้ามา โดยกระเทียมจีนได้เข้ามาครอบครองตลาดทั้งอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารและครัวสมัยใหม่ที่นิยมความง่าย ความเร็ว และราคาถูก เนื่องจากกระเทียมจีนกลีบขนาดใหญ่ เนื้อมาก แกะง่าย กลิ่นไม่ฉุนแรง จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ตกแต่งอาหาร

ถ้าพูดถึงเรื่องคุณภาพแล้วกระเทียมไทยคุณภาพดีที่สุด กระเทียมไทยมีหัวเล็ก แห้งกว่า กลิ่นและรสจัดกว่า เผ็ดกว่า เข้มข้นกว่า ลองกินเปล่าๆ ดูจะรู้เลยว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง และคนที่เขากินกระเทียมเพื่อลดคอเลสเตอรอลก็ต้องใช้กระเทียมไทย แต่ที่ส่วนมากใช้กันเยอะก็เพราะมันถูกและทำง่ายเท่านั้นเอง

กระเทียมจีนหัวใหญ่ หัวสวย แต่จะมีน้ำเยอะ รสก็จืดกว่ากระเทียมไทย ถ้าเอากระเทียมไทยไปทำอาหารไทย จะให้รสชาติดีกว่าและเหมาะมากกว่า เทียบได้เลยว่าอร่อยกว่ากันเยอะจริงๆ ส่วนมากกระเทียมจีนจะเอามาใช้ซอยใส่น้ำพริก น้ำปลา หรือเอาไว้โรยอาหารเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าจะเอาไปปรุงรสชาติอาหาร ยังไงกระเทียมไทยเราชนะขาดลอย

ดูเหมือนว่าเราจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างกระเทียมไทยกับกระเทียมจีน หรือถ้าท่านมีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารที่ปรุงจากกระเทียมไทย กับอาหารที่ปรุงจากกระเทียมจีน ลองนั่งพินิจพิเคราะห์ดูเอาเองว่า รสชาติ กลิ่น และความเผ็ดที่สัมผัสลิ้นนั้นมันแตกต่างกันอย่างไร บางทีเราอาจได้ค้นพบกับความละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง ละมุนละไมจากศิลปะของอาหารไทยๆ อย่างที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็ได้นะ

จะถ้าพูดถึงสินค้าทางการเกษตร ตอนนี้ ใครๆ ก็เล็งไปที่ “มะพร้าวน้ำหอม” ด้วยราคาอันหอมหวลชวนใจสมชื่อ ขึ้นไปสูงอย่างชนิดที่ต้องติดว้าวกันเลยทีเดียว

แต่ช้าก่อน ….. ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก ตลาด ผลผลิตน้อย ราคาสูง

ผลผลิตมาก ราคาต่ำ เป็นปกติ

หากตอนนี้ ใครที่เห็นว่าราคาสูง ต่างก็แห่ปลูกกัน ถามว่า ผลผลิตในอีก 3-4 ปี ข้างหน้า ถ้าออกมาชนกัน แล้วจะยังไงต่อ….

ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า จะต่อต้านไม่ให้ปลูกมะพร้าว

หากแต่ …. ต้องลองถามตัวเองให้ดี ทั้งการลงทุน การขายและการตลาด

หากมีเงินลงทุน ที่ไม่ใช่เป็นการกู้ยืม ชนิดที่เรียกว่า ขาดทุนไม่ได้ ต้องขายได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่ได้ ตายแน่…อย่างนี้ อาจจะต้องคิดมากหน่อย แต่ถ้าใคร ที่มีสวน มีพื้นที่อยู่ มองเห็นศักยภาพของไม้ผลชนิดนี้ ลงทุนปลูกไป ดูแลไปเรื่อยๆ หาตลาดรองรับ ถ้าล้นตลาดจับแปรรูป ถ้าอย่างนี้ ล่ะก็ มีความเป็นไปได้สูง

ไม่ว่าจะทำอะไรก็เสี่ยงทั้งนั้น เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย แค่นั้นเอง

ถ้าจะเสี่ยงน้อยที่สุด ก็ต้องมีข้อมูลที่รอบด้าน มีการป้องกันและไม่ลงทุนเกินตัว และสำหรับ ใครที่สนใจการปลูกมะพร้าวในเชิงการค้า วันนี้ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ก็มีตัวอย่งการลงทุนเจ๋งๆ มาฝากกัน ส่วนจะไปใช้ประกอบต่อยอดในแบบของตัวเองอย่างไร คงต้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปประยุกต์กัน

ไปกันที่สวนของ คุณวีรวุธ พรชัยสิทธิ์ ที่ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา

สวนแห่งนี้คุณวีรวุธ มีสวนมะพร้าวอยู่ 80 ไร่ จำนวนราว 3200 ต้น เฉลี่ยไร่ละ 40 ต้น ถ้ามีผลผลิตออกเต็มที่ ประมาณ 10,000-15,000 ผล ต่อเดือน แต่ ณ ขณะนี้ เหลือผลผลิตราว 3,000 ผลต่อเดือนเท่านั้น เนื่องจากสภาพอากาศแล้ง ผลผลิตลดลง

แม่ค้าที่มารับซื้อ มาทั้งจาก จังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ ระยอง ราคาส่งประมาณลูกละ 20-25 บาท ไปถึงผู้บริโภคตกลูกละ 35 บาท หรือขายกันง่าย ๆ 3 ลูกร้อยบาท

นอกจากขาย ผลสดแล้ว ก็ยังขายพันธุ์ด้วย เป็นพันธุ์มะพร้าวน้ำหอมต้นเตี้ย ต้นละ 100 บาท คุณวีรวุธ เล่าประวัติตัวเองให้ฟังคร่าวๆ ว่า หลังจากเรียบจบปริญญาตรี ก็เข้าทำงานเป็นนักข่าวโทรทัศน์สายการเมือง ทำอยู่ ราว 2 ปี ก็กลับมาช่วยพ่อแม่ ดูแลสวนมะพร้าวอาชีพดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ

คุณวีรวุธ บอกว่า มาทำงานเป็นนักข่าวหาประสบการณ์ ซึ่งเงินเดือนตอนนั้น ก็ไม่มาก สองหมื่นนิดๆ แต่พอมาทำสวนมะพร้าว นี่รายรับต่างกันมาก เพราะรายได้เฉลี่ย 2-3 แสนบาทต่อเดือน

และเนื่องจาก ตั้งแต่ราวปี 2558 เป็นต้นมา ราคามะพร้าวสูงขึ้นมา มีคนสนใจเยอะ สั่งพันธุ์ไปก็มาก บางคนก็ปลูกแล้วไม่รอด ยืนต้นตายไปบ้างอะไรบ้าง เนื่องจากไม่ได้ศึกษาจริงจัง คุณวีรวุธ และพี่ชายคือ คุณสราวุธ พรชัยสิทธิ์ ก็รับเป็นที่ปรึกษา สำหรับคนที่ต้องการทำสวนมะพร้าวแต่ยังไม่มีข้อมูล ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ โดยจะให้คำปรึกษาตั้งแต่ การขุดร่องสวน การคำนวณจำนวนต้น การปลูก และการดูแล ใครที่สนใจก็โทรศัพท์ไปสอบถามได้เลย

แต่สำหรับ ผู้อ่าน “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ที่สนใจปลูกมะพร้าวในเชิงการค้า คุณวีรวุธ ให้คำแนะนำมาตรงนี้เลยว่า ร่องสวนควรมีขนาดกว้าง 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 3 เมตร ส่วนความยาวแล้วแต่พื้นที่

เหตุที่ ต้องมีขนาดนี้ เพราะการปลูก จะปลูกทั้งสองข้างร่อง ห่างจากริมน้ำประมาณ 30 เซนติเมตร ตรงกลางกว้าง 3 เมตร ก็ใช้รถเข้าไปขนผลผลิตได้เลย ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะ หรือมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง

“ระยะปลูกประมาณนี้ ช่วงที่ต้นมะพร้าวยังเล็กๆ จะดูว่าหลวมมาก แต่เมื่อมะพร้าวโตเต็มที่แล้ว จะพอดีเลย ทางมะพร้าวไม่ถึงกะซ้อนทับ หรือเกยกัน”

สำหรับพื้นที่ที่เหมาะกับการปลูก ควรเป็นที่ราบลุ่ม ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ที่ น้ำเค็มดันขึ้นไปถึง จะยิ่งดีมาก เพราะมะพร้าวชอบน้ำกร่อยมากที่สุด ทำให้น้ำมะพร้าวหอม หวาน (ผู้เขียนเห็นบางสวน ซื้อกากน้ำปลาไปเทรอบต้น ซึ่งทำให้มะพร้าวได้รับความเค็มเช่นกัน)

ส่วนการดูแลอื่นๆ ก็ได้แก่ UFABET การดูแลในช่วง 6 เดือนแรกที่ต้องเข้มข้น ห้ามปล่อยให้ขาดน้ำ มิเช่นนั้นจะยืนต้นตาย ส่วนเรื่องโรคแมลง ก็ใช้แตนเบียนช่วยกำจัดศัตรูพืช (แตนเบียน คือแมลงที่กินแมลงศัตรูพืชเป็นอาหาร) และบางครั้งอาจต้องใช้สารเคมีตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ

ที่สวน คุณวีรวุธ ใช้ปุ๋ยขี้ไก่ ปีละ 2 ครั้ง และปุ๋ยเคมีสูตรเสมออีกปีละ ครั้ง เท่านี้ มะพร้าวก็ให้ผลผลิตดี

ถามว่า หากปลูกกันมากๆ จะล้นตลาดหรือไม่

คุณวีรวุธ ตอบว่า ทุกอย่างก็เป็นไปตามกลไกของตลาด แต่ถ้าเราผลิตได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ก็จะทำให้ สินค้าเราโดดเด่น เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ดี

ใครที่สนใจ ติดต่อ คุณวีรวุธ หรือคุณสราวุธ พรชัยสิทธิ์ ได้ที่ เลขที่ 18 หมู่ 1 ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา 24110 โทร.087-7436922 // 089-4059467