จีนเอาแน่ ลดปล่อยน้ำลงโขงครึ่งหนึ่ง 10-17 เม.ย. พร้อมจ่อสำรวจ

วันที่ 12 เมษายน ในเดือน เม.ย.นี้พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงติดกับ จ.เชียงราย ชายแดนไทย-สปป.ลาว มีระดับสูงจนเข้าท่วมเกาะแก่งและริมตลิ่งตลอดแนว ซึ่งสภาพดังกล่าวแตกต่างจากธรรมชาติของแม่น้ำโขงที่ผ่านมา โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าเกิดจากการที่เขื่อนจี่งหงซึ่งกั้นแม่น้ำโขงในเขตเมืองเชียงรุ้ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ห่างจาก อ.เชียงแสน ประมาณ 400 กิโลเมตร ที่มีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนในปริมาณ 2,500-2,800 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่อัตราการไหลเข้าของน้ำจากเขื่อนอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานว่าทางการจีนได้ลดระดับการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนลงกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะที่มีกระแสว่าทางการจีนกำลังจะกลับมาสำรวจแม่น้ำโขงในจุดที่ติดฝั่งไทยโครงการปรับปรุงร่องแม่น้ำโขงอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้ถูกต่อต้านหนัก

โดยนายสุรนาท ศิริโชค รักษาการ ผอ.สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา จ.เชียงราย กล่าวว่า สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคฯ ได้รับข้อมูลจากผู้ประสานงานคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) ว่าทางการจีนได้แจ้งหนังสือถึง MRC อย่างเป็นทางการว่าในระหว่างวันที่ 10-17 เม.ย.นี้ ทางการจีนจะลดอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนจิ่งหงดังกล่าวลง จากเดิมระบายในปริมาณราว 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเหลือเพียง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงหลังจากนั้นลดลงจากระดับปกติลงไปประมาณ 1-1.50 เมตร

ด้าน น.ส.ผกายมาศ เวียร์ร่า รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่าศูนย์ควบคุมแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ได้เริ่มมีการแจ้งเตือนบรรดาคนเดินเรือแม่น้ำโขงว่าได้เริ่มมีการระบายน้ำจากเขื่อนจิ่งหงล่วงหน้ามาตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.แล้ว โดยระบายน้ำมากในช่วงเวลา 17.00-24.00 น.จากเดิมมีการระบายน้ำในปริมาณ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก็เหลือเพียง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งก็จะมีผลทำให้พื้นที่ตอนล่างแม่น้ำโขงเขต สปป.ลาว เมียนมา และไทย จะมีระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว

ขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมของไทยได้มีการจัดประชุมชี้แจงความเข้าใจกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งครั้งนี้พบว่ามีที่ปรึกษาการสำรวจภาคสนามของจีนและไทยเข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมนาคราช อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายสมชาย สุขมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่านำคณะไปให้ข้อมูล โดยแจ้งถึงสถานการณ์เกี่ยวกับแม่น้ำโขงที่ผ่านมา การออกสำรวจภาคสนามในแม่น้ำโขงของที่ปรึกษาจีนตามโครงการปรับปรุงร่องแม่น้ำโขงและทางคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2559 ที่ผ่านมา กระทั่งมีการจัดกิจกรรมของภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเพราะเกรงจะกระทบกับระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต ฯลฯ

นอกจากนี้ การแจ้งคาดการณ์ว่าที่ปรึกษาจีนจะเริ่มสำรวจภาคสนามในแม่น้ำโขงอีกครั้งช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2560 นี้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการสำรวจในเขตจีน สปป.ลาว-เมียนมา และใน สปป.ลาว ตั้งแต่แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไชย แขวงไชยบุรี และแขวงหลวงพระบาง ไปแล้วแต่เว้นไว้เฉพาะเขตแดนไทยระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร โดยการสำรวจรอบใหม่จะมีตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปจนถึง อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น ถึงจุดแก่งผาไดซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของแม่น้ำโขงที่ไหลเข้าสู่ สปป.ลาว ต่อไป

ในส่วนของกลุ่มนักอนุรักษ์นั้น นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การจะดำเนินการตามโครงการดังกล่าวควรจะมีการศึกษาประเมินผลกระทบที่เกิดจากการระเบิดเกาะแก่งในโครงการระยะหรือเฟสแรกบนพื้นที่เหนือน้ำ และศึกษาการปล่อยน้ำของจีน ศึกษาผลกระทบเรื่องเขตแดน อธิปไตย ยุทธศาสตร์ความมั่นคง การพัฒนาที่เหมาะสมกับร่องน้ำก่อนด้วย

วันที่ 12 เมษายน 2560 บรรยากาศตลาดสดเทศบาลนครสกลนครเช้าวันนี้พบว่า มีประชาชนทยอยออกมาซื้อ อาหารสด อาหารแห้ง เตรียมไปกักตุนในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันอย่างคึกคัก เช่น ผัก ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ อาหารทะเล จากการสอบถามแม่ค้า ทราบว่าหลังจากคนที่เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพมหานครพอกลับมาบ้าน จึงนึกถึงรสชาติอาหารป่าและอาหารอีสานเพราะไม่ได้รับรับประทานนาน เมื่อออกมาจับจ่ายใช้สอยจึงสนใจที่จะเลือกซื้อวัตถุดิบที่เป็นอาหารป่ามากกว่าอาหารทั่วไป เช่น ผักหวาน เห็ดผึ้ง เห็ดขาว หน่อไม้ จิ้งหรีด แมงจิซอน ฮวกหรือลูกกบ แมงตับเต่า หนอนไหม และอื่นๆ ที่หารับประทานยากในแถบภาคกลาง ทำให้บรรยากาศตลาดสดก่อนสงการนต์ 1 วัน เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้อง สาเหตุอาจจะมาจากการเข้มงวดมาตรการต่างๆ จึงทำให้คนเลือกที่จะอยู่บ้านสังสรรค์รับประทานอาหารแบบครอบครัวมากกว่าออกไปเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์

สหกรณ์การเกษตร 4 แห่งในจังหวัดจันทบุรีจับมือห้างแมคโครและบริษัท ริชฟิลด์ เฟรชฟรุท จำกัด รวบรวมผลไม้คุณภาพดีจากเกษตรกรส่งจำหน่ายถึงผู้บริโภคและส่งออกไปยังประเทศจีน กรมส่งเสริมสหกรณ์พร้อมสนับสนุนมอบเงินทุนสร้างโรงคัดแยกผลผลิตทางการเกษตรและจัดซื้อตะกร้า 2,500 ใบ มอบให้สหกรณ์นำไปใช้สำหรับรวบรวมผลผลิตจากสมาชิก ขนส่งไปยังตลาดและบริษัทคู่ค้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการผลไม้ให้กับสหกรณ์

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สหกรณ์การเกษตรในจังหวัดจันทบุรีได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ผลไม้ออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน-กรกฎาคม จะมีผลไม้ทั้ง เงาะ ทุเรียน มังคุด และลองกอง ทยอยออกสู่ตลาด แบ่งออกเป็น 4 รุ่น ซึ่งคาดว่าปริมาณผลไม้ของจังหวัดจันทบุรีจะมีประมาณ 500,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และจะมีปริมาณผลผลิตออกกระจุกตัวในช่วงเดือนมิถุนายน ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ผลไม้ที่จะออกสู่ตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้สั่งการให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี ร่วมกันวางมาตรการรองรับ โดยร่วมกับขบวนการสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี วางแผนจัดเตรียมหาตลาดรองรับและเร่งกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาปัญหาผลไม้ล้นและอาจจะส่งต่อด้านราคาผลผลิตตกต่ำได้

ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตร 4 แห่ง ในจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎ จำกัด สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด สหกรณ์การเกษตรเมืองขลุง จำกัดและสหกรณ์การเกษตรนายายอาม จำกัด ได้ทำบันทึกข้อตกลงซื้อขายผลไม้ร่วมกับห้างแมคโคร และบริษัท ริชฟิลด์ เฟรชฟรุท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกผลไม้ ซึ่งมีจุดจำหน่าย 30 แห่ง กระจายอยู่ ทุกมณฑลของประเทศจีน โดยทั้ง 4 สหกรณ์จะรวบรวมผลไม้คุณภาพดีจากสมาชิก ปริมาณ 10,760 ตัน มาคัดเกรดคุณภาพเพื่อส่งมอบให้กับคู่ค้า ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้จัดสรรเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ให้สหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรีกู้ยืมไปเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับรวบรวมและกระจายผลผลิตตลอดช่วงฤดูกาลปีนี้ วงเงิน 72 ล้านบาท และจัดซื้อตะกร้าบรรจุผลไม้ จำนวน 2,500 ใบ มอบให้สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัดและสหกรณ์การเกษตรเมืองขลุง จำกัด นำไปใช้สำหรับรวบรวมผลผลิตและขนส่งผลไม้ไปยังตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการผลไม้ให้กับสหกรณ์

“ปัจจุบัน สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎ จำกัด ยังได้จัดสร้างศูนย์รวบรวมและคัดแยกผลไม้ พื้นที่ขนาด 1,800 ตารางเมตร สำหรับรองรับผลผลิตจากสมาชิกในช่วงฤดูกาลผลไม้ในปีนี้ โดยศูนย์ฯแห่งนี้เป็นความร่วมมือกัน 3 ฝ่าย โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้อุดหนุนเงินจากโครงการพัฒนาขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก จำนวน 4.18 ล้านบาท และบริษัทพันธมิตรคู่ค้าธุรกิจของสหกรณ์ บริจาคอีกจำนวน 6.817 ล้านบาท และสหกรณ์สมทบเงินเพื่อการก่อสร้างอีกจำนวน 1.41 ล้านบาท ซึ่งศูนย์ฯแห่งนี้จะใช้สำหรับรวบรวมผลผลิตทุเรียนจากเกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับผลผลิตในช่วงฤดูกาลแรกนี้ไม่น้อยกว่า 500 ตัน โดยแบ่งเป็นทุเรียนเกรดพรีเมี่ยมและทุเรียนมาตรฐานส่งออก สิ่งที่เน้นย้ำกับสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจรวบรวมผลไม้คือต้องส่งเสริมให้สมาชิกผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน GAP เพื่อให้ผลผลิตเป็นที่ยอมรับของตลาด และเกิดความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจรวบรวมผลไม้ได้ รวมถึงยังเป็นการยกระดับราคาผลผลิตให้แก่เกษตรกรเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวอย่างของความเข้มแข็งในด้านการดำเนินธุรกิจรวบรวมและจำหน่ายผลไม้ที่มีคุณภาพ และสามารถขยายช่องทางตลาดที่จะมารองรับผลผลิตจากเกษตรกรได้อย่างกว้างขวาง ทั้งตลาดส่งออก ห้างค้าปลีก รวมถึงไปยังศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกด้วย” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว

กรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนเงินงบประมาณ 144,000 บาท เพื่อจัดโครงการพัฒนากลุ่มอาชีพ กลุ่มสตรีเพื่อการส่งเสริมอาชีพบ้านโคกไคร และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร บ้านเขาตำหนอน จังหวัดพังงา

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2560 นางปาริชาต สุธาประดิษฐ นักวิชาการสหกรณ์ชำนาญการ รักษาการสหกรณ์จังหวัดพังงา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ในสำนักงานฯ มอบเงินสนับสนุนงบประมาณ ตามโครงการพัฒนากลุ่มอาชีพ สร้างมูลค่าเพิ่มในสถาบันการเกษตรกรปี 2560 จากกรมส่งเสริมสหกรณ์ สนับสนุนเงินงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 144,000 บาท โดยให้สำนักงานสหกรณ์ จังหวัดพังงา ดำเนินการให้กลุ่มอาชีพ ในสังกัดสหกรณ์ จังหวัดพังงา ในการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ ในการผลิต 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร บ้านเขาตำหนอน สังกัดสหกรณ์การเกษตรทับปุด จำกัด จำนวนเงิน 72,000 โดยมีนางปรีดา ทวีรส ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร บ้านเขาตำหนอน และสมาชิกเป็นผู้รับมอบ ณ บ้านเขาตำหนอน อ.ทับปุด จ.พังงา และกลุ่มสตรีเพื่อการส่งเสริมอาชีพบ้านโคกไคร สังกัดสหกรณ์การเกษตร ทับปุด จำกัด เป็นจำนวนเงิน 72,000 บาท โดยมีนางพวงเพชร คาหาปะนะ ประธานกลุ่มสตรีเพื่อการส่งเสริมอาชีพบ้านโคกไคร และสมาชิกเป็นผู้รับมอบ ณ บ้านโคกไคร ต.มะลุ่ย อ.ทับปุด จ.พังงา เพื่อกลุ่มได้นำไปซื้อเครื่องกวนเครื่องแกง จำนวน 1 เครื่อง และบรรจุภัณฑ์

นางพวงเพชร คาหาปะนะ ประธานกลุ่มสตรีเพื่อการส่งเสริมอาชีพบ้านโคกไคร กล่าวว่า กลุ่มสตรีเพื่อการส่งเสริมอาชีพบ้านโคกไคร หรือ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านโคกไคร ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2543 จำนวนสมาชิก 50 คน เริ่มที่จะผลิต “กุ้งย่าง” เป็นผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่มเพราะเห็นว่าตลาดมีความต้องการ ราคาสูง ทั้งยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบในชุมชน ต่อมาได้มีการพัฒนากระบวนการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นสินค้า OTOP ระดับห้าดาวได้จัดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อว่า

ผลิตภัณฑ์กุ้งย่างตราทรัพย์สมุทร และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง เช่น การผลิตเครื่องแกง เครื่องแกงที่ผลิตด้วยกัน 3 อย่าง คือ เครื่องแกงพริก เครื่องแกงกะทิ และ เครื่องแกงส้ม จากเดิมผลิตเครื่องแกงด้วยวิธีตำด้วยมือ โดยใช้ครกหินผลิตเครื่องแกงได้ครั้งละ ประมาณ 30 – 60 กิโลกรัมไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า ต่อมาทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดพังงา ได้งบจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้งบสนับสนุนในการซื้อเครื่องกวนเครื่องแกง ทางกลุ่มสามารถผลิตได้ถึงครั้งละ 300 – 400 กิโลกรัม ต่อ ครั้ง ทำให้กลุ่มมีกำลังในการผลิตเพิ่มมากขึ้นเพียงกับความต้องการของลูกค้า สำหรับตลาด ทางกลุ่มส่งขายให้กับกลุ่มร้านค้าภายในหมู่บ้านและจังหวัดใกล้เคียงซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้กลุ่มสมาชิกเดือนละ 5,000 – 6,000 บาทต่อคน ซึ่งเป็นรายได้เสริมของกลุ่มฯ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันพุธ(12 เม.ย.)นี้ว่า รัฐสภาไต้หวันผ่านร่างกฎหมายห้ามการฆ่าแมวและสุนัขเพื่อการบริโภค การรับรองกฎหมายฉบับนี้มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันที่มีมากขึ้นจากสังคมที่เรียกร้องให้มีการปรับปรุงสวัสดิภาพสัตว์ หลังจากเกิดกรณีการทารุณกรรมสัตว์ให้เห็นอยู่เป็นระยะ

ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้การบริโภค จำหน่าย และครอบครองเนื้อสุนัขและแมว เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษผู้กระทำผิดเป็นโทษปรับเป็นเงินสูงถึง 250,000 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือราว 275,000 บาท โดยบทลงโทษจะเพิ่มหนักขึ้นต่อผู้ที่ลงมือฆ่าหรือทารุณทำร้ายสัตว์ ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ จำคุก 2 ปี และปรับเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือราว 2.2 ล้านบาท ซึ่งโทษจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าหากกระทำผิดซ้ำ

นางหวัง วี่ หมิน หมิง ส.ส.ไต้หวัน ผู้เสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ชี้ว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าไต้หวันเป็นสังคมที่มีการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์

ทั้งนี้ ไต้หวัน เหมือนอีกหลายชาติในเอเชียที่การบริโภคเนื้อสุนัขถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันมานาน และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีคนบริโภคเนื้อสุนัขน้อยลง แต่ยังคงมีรายงานข่าวให้เห็นเป็นระยะถึงการจับกุมร้านค้าที่ขายเนื้อสุนัข ซึ่งสร้างความวิตกให้แก่สังคมต่อการทารุณกรรมสัตว์ และได้มีการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ผู้กุมอำนาจรัฐขันน็อตกฎหมายคุ้มครองสัตว์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

เมื่อปีที่แล้ว กองทัพไต้หวันต้องออกมาแถลงขอโทษประชาชน หลังมีคลิปวิดีโอเผยให้เห็นทหาร 3 นาย ฆ่ารัดคอสุนัขตัวหนึ่งด้วยโซ่เหล็ก สร้างความโกรธเกรี้ยวให้แก่ชาวไต้หวันที่พากันออกมาบนประท้วงบนท้องถนนจำนวนมาก

วันที่ 12 เมษายน นส.สุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กล่าวถึง กรณีที่นายกประมงพื้นบ้าน จ.ระยองร้องเรียนให้ตรวจสอบนายทุนที่เข้ามาเพาะหอยนางรม โดยใช้วิธีผูกไม้ไผ่ติดรากต้นโกงกาง ว่า ได้สั่งการให้ สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่1 (ระยอง) สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 1 (ระยอง) เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ บริเวณคลองท่าครก ม.8 ต.เนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง พบว่า มีชาวบ้าน ในพื้นที่รวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยงหอยนางรมแบบวิถีชาวบ้าน ซึ่งมีการเลี้ยงกันมานานมากกว่า 40 ปี ประมาณ 30 ครัวเรือน โดยได้รับการสนับสนุนทุนหมุนเวียนจากทางหน่วยงานพัฒนาชุมชน ของกรมการพัฒนาชุมชน อ.แกลง จ.ระยอง

“ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว ได้รับอนุญาตให้เพาะเลี้ยงหอยจากกรมประมง ถูกต้อง และกำลังอยู่ในระหว่างยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ในลำน้ำกับกรมเจ้าท่า ทาง สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่1 ได้ประชาสัมพันธ์และทำความเข้ากับชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว ให้ถอนการผูกไผ่ที่ติดกับรากต้นโกงกางออกพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับต้นโกงกางได้ และห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกับต้นไม้ป่าชายเลน รวมถึงการกระทำอื่นๆ จะต้องเป็นไปตามกฏหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดแล้ว และหลังจากนี้จะร่วมหาแนวทางกับ ท้องถิ่น เพื่อดำเนินการบริหารจัดการให้เป็นไปตามข้อกฏหมายต่างๆ ต่อไป”อธิบดีทช. กล่าว

วันที่ 12 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีชาวบ้านในอำเภอหนองเสือ จ.ปทุมธานี ได้ร้องคัดค้านการปลูกบัวแดงภายในลำคลองชลประทาน เนื่องจากหวั่นว่าบัวที่ปลูกจะไปกีดขวางทางน้ำส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำทำเกษตรกรรมนั้น ล่าสุดนายอนุกูล สุริยสวัสดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสามวัง (อบต.) ต.หนองสามวัง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ได้นำลงพื้นที่บริเวณคลองชนประทานที่ 12 ต.หนองสามวัง ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกบัวแดงตามโครงการพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศของจังหวัดปทุมธานี ที่จัดสรรงบประมาณมาให้ท้องถิ่นเพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอหนองเสือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปทุมธานี

ด้านนายอนุกูล สุริยสวัสดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสามวังเปิดเผยว่า การปลูกบัวแดงในคลองชนประทานนั้นเป็นโครงการพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่จังหวัดปทุมธานี ได้จัดสรรงบประมาณมาให้เพื่อมาทำการพัฒนาอำเภอหนองเสือให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปทุมธานี ไม่ใช้งบประมาณของท้องถิ่นตามที่ผู้ร้องคัดค้านได้กล่าวอ้างเอาไว้

รายงานระบุว่า จากการปลูกบัวแดงในลำคลองชลประทานนั้นตนเองได้แจ้งต่อชาวบ้านไปแล้วว่าจะไม่ปลูกบัวแดงเต็มลำคลองแต่จะปลูกเป็นบางช่วงเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีผลกระทบของการกีดขวางทางน้ำอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีผลดีมากกว่าผลกระทบ ซึ่งผลดีที่เกษตรกรจะได้รับนั้นคือน้ำภายในลำคลองชลประทานจะไม่แห้งขอดเหมือนทุกๆ ปีในช่วงหน้าแล้งหลังจากที่ผ่านมาที่เกษตรกรต่างประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรม อีกทั้งเกษตรกรหรือชาวบ้านยังสามารถเก็บผลผลิตจากบัวแดงนำไปจำหน่ายแก่ประชาชนที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ได้อีก

ทั้งนี้ ตนเองเตรียมทำหนังสื่อต่อนายสุรชัย ขันอาสา ผวจ.ปทุมธานี ถึงเรื่องดังกล่าวเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะว่าส่วนใหญ่ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากต่างเห็นชอบกับโครงการนี้ ซึ่งมีเพียงชาวบ้านบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย โดยข้อเสนอพิจารณาในเรื่องดังกล่าวนี้หากว่าพื้นที่คลองชลประทานไหนไม่เห็นด้วยทางเราก็จะดำเนินการตัดออกไปแต่ตรงจุดไหนที่เห็นด้วยเราก็จะดำเนินการต่อไปเพราะเราต้องการพัฒนาพื้นที่อำเภอหนองเสือให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่อื่นๆ ต่อไป

ต้นคูณหรือต้นราชพฤกษ พร้อมใจกันออกดอกสีเหลืองอร่าม สร้างสีสันสวยงาม อยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 340 สุพรรณฯ-ชัยนาท เป็นระยะทางยาวกว่า 20 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณอำเภอศรีประจันต์ไปจนถึงอำเภอเดิมบางนางบวช นับว่าเป็นสีสันที่สวยงามต้อนรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชนที่กำลังจะเดินทางขึ้นเหนือโดยผ่านในเส้นทางนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์

โดยต้นคูณเหล่านี้ ปลูกไว้เพื่อสร้างความร่มรื่นให้กับ 2 ข้างทาง ของถนนเส้นนี้อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว และเมื่อถึงช่วงเดือนเมษายนต้นคูณจะพร้อมใจกันออกดอกสีเหลืองอร่าม ย้อยเป็นช่อระย้าเต็มต้น ซึ่งบางต้นมีแต่ดอกที่บานสะพรั่งแทบจะไม่มีใบให้เห็น จากนั้นก็จะเริ่มผลิใบช่วงเดือนพฤษภาคม จึงถือว่าเป็นพรรณไม้ที่อวดดอกประจำฤดูร้อนที่สวยงามแบบบ้านเราต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ได้ดีไม่น้อย

นายเศรษฐศักดิ์ พรหมมา ปลัดเทศบาลตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความสำเร็จที่ชาวบ้านจัดตั้งโฮมสเตย์ในตำบลบ้านแซว ติดกับแม่น้ำโขง และค่อยๆ พัฒนาจนปัจจุบันมีศูนย์ประสานงานเพื่อรองรับขวัญนักท่องเที่ยวพร้อมรักษาวิถีชีวิต

ทั้งนี้ มีการนำนั่งรถอีต๊อกพานักท่องเที่ยวชมหมู่บ้านศูนย์ประกอบอาหารพื้นบ้าน ศูนย์ผ้าทอ การสีข้าวด้วยมือ การทำถั่วดาวอินคา เกาะแม่น้ำโขงฝั่งไทยที่มีลานก้อนหินกลมเพื่อนวดฝ่าเท้าและพักผ่อนรับประทานอาหาร ฯลฯ ส่วนห้องพักตามบ้านต่างๆ แต่ละหลังมีน้ำดื่ม ผ้าเช็ด ผลไม้ ระบบอินเตอร์เน็ต หมายเลขโทรศัพท์สถานที่สำคัญ ห้องน้ำสะอาด อาหาร ฯลฯ รองรับเพราะตั้งเป้าพัฒนาให้ความสะดวกถึงระดับโรงแรมสามดาว

“ปัจจุบันชาวบ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกโฮมสเตย์ และพัฒนาบ้านเรือนของตัวเองให้มีห้องพักและมาตรฐานต่างๆ แล้ว จำนวน 21 หลัง หลังละตั้งแต่ 1-4 ห้องพัก แต่ละห้องรองรับผู้เข้าพักได้ตั้งแต่ 2-10 คน โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และสามารถรับประทานอาหารที่ชาวบ้านปรุงให้ตามสะดวก ขณะเดียวกันแต่ละหลังปลูกพืชปลอดสารเคมี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถไปเก็บเพื่อนำไปปรุงอาหารอีกด้วย” นายเศรษฐศักดิ์ กล่าว

นายเศรษฐศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวไปเยือนบ้านท่าขันทองอย่างต่อเนื่อง โดยเยือนช่วงฤดูหนาวและเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม โดยนิยมไปเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่ 1-3 คน ไปจนถึง 80 คน ทำให้ปีที่ผ่านมามีผู้ไปเยือนและพักแล้ว กว่า 3,000 คน และเรามุ่งมั่นจะพัฒนาต่อไปเพื่อรองรับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย และประเทศไทย รวมถึงสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้าน และหากมีความยั่งยืนก็จะทำให้คนรุ่นลูกหลานกลับไปทำงานที่หมู่บ้าน โดยไม่ต้องไปทำงานตามเมืองใหญ่ๆ ต่อไป

พาณิชย์มั่นใจสงครามในซีเรียยังไม่มีผลกระทบไทยในระยะสั้น พร้อมสั่งเจ้าหน้าที่ติดตามใกล้ชิด เผย ราคาน้ำมันปรับขึ้น อาจส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยได้ราคาดีขึ้น

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ในซีเรียว่า ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐโจมตีนฐานทัพอากาศเชย์รัตของซีเรีย เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2560 เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนในซีเรียนั้น กระทรวงพาณิชย์มองว่า การโจมตีซีเรียครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย แต่อาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องแบ่งกำลังทหาร และงบประมาณจากการต่อสู้ ISIS ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงคาดว่าสหรัฐไม่น่าจะดำเนินการในซีเรียต่อไปนานนัก นอกจากนี้ กฎหมายสหรัฐมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี “ประกาศสงคราม” หรือ “แทรกแซงทางทหาร” ต่อรัฐใดรัฐหนึ่ง ซึ่งเกิดสถานการณ์รุนแรงและเลวร้ายที่อาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐในอนาคต โดยปฏิบัติการทางทหารต้องเสร็จสิ้นภายใน 60 วัน และกองทัพสหรัฐมีเวลาไม่เกิน 30 วัน ในการถอนทหาร ดังนั้น หากสหรัฐจะทำสงครามกับซีเรียมากกว่าระยะเวลาดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน ซึ่งอาจจะใช้เวลานานในการพิจารณา

นางอภิรดี มองว่า ตัวแปรสำคัญในขณะนี้คือ tlc-bynum.com ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย เพราะรัสเซียมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลซีเรีย แต่ในเบื้องต้นรัสเซียแสดงความไม่พอใจกับปฏิบัติการของสหรัฐ โดยเห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เนื่องจากไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ก่อน ซึ่งรัสเซียได้เรียกร้องให้สหรัฐรอผลการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นการใช้อาวุธเคมีจริงหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ทราบว่ารัฐมตรีต่างประเทศสหรัฐและรัสเซีย มีกำหนดจะพบกัน ซึ่งเป็นการนัดหมายไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์ในซีเรีย ก็หวังว่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้ในเชิงสร้างสรรค์

สำหรับพัฒนาการล่าสุดที่สหรัฐส่งเรือรบบรรทุกเครื่องบินเข้าไปใกล้เกาหลีเหนือนั้น คงต้องขอดูก่อนว่า จะมีปฏิบัติการใดตามมาหรือไม่ ก่อนที่จะให้ข้อคิดเห็นต่อไป

ส่วนผลกระทบต่อไทยในชั้นแรกนี้ คงจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งผลของปฏิบัติการทำให้ราคาน้ำมันวันศุกร์ปรับเพิ่มขึ้นทุกตลาด คือ WTI + 1.04% เป็น 55.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล และ ทอง (Comex) + 0.32% เป็น 1,257.30 เหรียญสหรัฐ ต่อออนซ์ และคาดว่าจะยังมีแนวโน้มและทิศทางที่เพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน อาจจะส่งผลดีในแง่ว่า การส่งออกสินค้าของไทยที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันอาจจะได้ราคาดีเพิ่มขึ้น แต่ผลในเชิงลบอาจจะมีมากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่เกิดภาวะการสู้รบยืดเยื้อ เพราะความตึงเครียดอาจทำให้การค้าขายและการลงทุนโลกชะลอตัว สืบเนื่องจากการขาดความมีเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้า ซึ่งอาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าและโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การประมาณการตัวเลขส่งออกที่ 3.0-3.5% และอัตราเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ ที่กำหนดไว้ที่ 1.5-2.2% นั้น ใช้สมมติฐานว่า ราคาน้ำมันอยู่ระหว่าง 50-60 เหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในชั้นนี้ ยึงยังไม่น่ามีผลต่อการคาดการณ์ทั้งสองด้าน เพราะยังอยู่ในช่วงที่กระทรวงประมาณการไว้

ระหว่าง วันที่ 15-17 มีนาคม 2560 นับเป็นสัปดาห์ธุรกิจของคนในวงการเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะจัดงานแสดงสินค้าเกษตร 3 งาน ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ “งาน วิฟ เอเชีย (VIV Asia)” เป็นงานนิทรรศการระดับเอเชียที่วงการปศุสัตว์ทั่วโลกต่างรู้จักและให้ความสำคัญในการมาเยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้นทุกปี “งานฮอร์ติ เอเชีย 2017” (Horti ASIA 2017) จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพืชพรรณ ผัก ผลไม้ และพรรณไม้ ระดับนานาชาติ และ “งานอะกริเทคนิก้า เอเชีย” ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของโลก จัดโดยสมาคมเกษตรแห่งเยอรมนี ที่รวบรวมนวัตกรรมชั้นนำจากทวีปยุโรปและเอเชียมาจัดแสดงครั้งแรกในประเทศไทย ณ ไบเทค กรุงเทพฯ มียอดผู้เข้าชมงานทะลุ 8,168 คน จาก 76 ประเทศ ทั่วโลก