จุดเด่นของมะม่วงทั้ง 3 สายพันธุ์ที่เลือกปลูกมะม่วงมหาชนก

มีจุดเด่นที่ ปลูกและดูแลง่าย ให้ผลผลิตดก มีกลิ่นหอม รสชาติหวานอมเปรี้ยว เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศและตลาดโรงงานอบแห้ง
อาร์ทูอีทู จัดเป็นมะม่วงประเภทกินสุกที่มีขนาดผลใหญ่ มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 800 กรัม ถึง 1 กิโลกรัม เมื่อผลสุกสีของผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมชมพูเป็นสีเหลืองอมแดงสวยงามสะดุดตาต่อผู้บริโภค จัดเป็นมะม่วงที่มีเนื้อละเอียดเนียนและลักษณะเนื้อแข็งเหมือนมะละกอ ไม่มีเสี้ยน เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการมะม่วงที่ไม่มีรสหวานจัด ทำราคาดีกิโลกรัมละ 50 บาท
งาช้างแดง มีลักษณะทรงผลใหญ่ ยาว เปลือกหนา รสชาติหวานหอม เนื้อไม่เละกำลังพอดี ถูกปากสำหรับท่านที่ไม่ชอบกินมะม่วงที่หวานจัด ทำราคาได้ดีอีกเช่นกัน

เทคนิคการปลูกมะม่วงมหาชนก
เริ่มต้นการปลูกในช่วงแรกที่สวนจะมีการปรับปรุงบำรุงดิน มีการหมักดินก่อนปลูก แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากความหนักเบาในการให้ปุ๋ยแต่ละต้นไม่มีความสม่ำเสมอ จนได้มาพบกับวิธีการปลูกที่ง่ายและได้ผลผลิตดี คือตอนที่เริ่มต้นปลูกไม่ต้องเตรียมดินอะไรมากมาย ใช้แค่เพียงปุ๋ยอินทรีย์รองก้นหลุมละ 1 กำมือ เพื่อกระตุ้นรากในการปลูก ระยะห่างระหว่างต้น 5×5 เมตร หลังจากนั้น ก็นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูกได้เลย โดยขนาดความลึกและกว้างของหลุม ขุดแค่พอกลบต้นพันธุ์ได้ แต่จะมาเน้นให้ความสำคัญในขั้นตอนหลังจากปลูกแล้วมากกว่า

การบำรุงดูแล
ระบบน้ำ รดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีการนำเอาองค์ความรู้จากที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ภายในสวน ด้วยการติดตั้งระบบน้ำมินิสปริงเกลอร์ ตั้งเวลาเปิดปิด ช่วยประหยัดแรงงาน คนเดียวสามารถดูแลได้ทั่วถึง

ปุ๋ย หลังจากปลูกได้ประมาณ 3 อาทิตย์ เริ่มใส่ปุ๋ยรอบแรก อัตราการใส่เดือนละ 1 ครั้ง ปริมาณ 1 กิโลกรัมต่อต้น เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นค่อยปรับวิธีการใส่เหลือปีละ 3 ครั้ง หรือทุกๆ 3 เดือนใส่ปุ๋ย 1 ครั้ง โดยที่สวนตอนนี้เน้นปลูกแบบอินทรีย์แล้วได้ผลผลิตดีก็ยังคงทำอินทรีย์ไปก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ปลูกแบบอินทรีย์แล้วผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน ถึงจะค่อยเติมเคมีลงไป

สูตรน้ำหมักกำจัดแมลง ใช้วิธีกำจัดแบบธรรมชาติ คือการฉีดพ่นด้วยน้ำหมักสูตรที่ทำขึ้นมาเอง ส่วนผสมมีดังนี้ 1. ยาฉุน 2. ใบยูคาลิปตัส 3. ใบสะเดา 4. ผงพะโล้

วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้มาหมักรวมกันไว้ในถัง 200 ลิตร จากนั้นเทน้ำเปล่าผสมลงไปปริมาณแค่พอท่วมส่วนผสมที่ใส่ลงไป แล้วเทน้ำตาลทรายลงไปประมาณ 1 กิโลกรัม คนแล้วหมักทิ้งไว้เป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นนำออกมาฉีดพ่นกำจัดแมลงรบกวนในสวนมะม่วงได้

ผลผลิต สำหรับมะม่วงมหาชนกใช้เวลาปลูกประมาณ 2 ปีครึ่ง ให้ผลผลิตรอบแรก ในปริมาณ 1-2 ตันต่อไร่ต่อปี เพราะต้นยังไม่ใหญ่มาก และปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ได้มีการอัดปุ๋ยอัดยาเพื่อเพิ่มผลผลิต 2. อาร์ทูอีทูและงาช้างแดง จะให้ผลผลิตเฉลี่ยเท่าๆ กันคือ ประมาณ 500-600 กิโลกรัมต่อไร่

ต้นทุนการผลิต ถือว่าการปลูกมะม่วงของที่สวนค่อนข้างมีต้นทุนที่ต่ำมาก เพราะที่สวนเน้นปลูกแบบอินทรีย์ เพราะฉะนั้น จะช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยไปได้แล้วส่วนหนึ่ง จะลงทุนแค่เฉพาะตอนที่เริ่มต้นปลูกในช่วงแรกเท่านั้น คือมีค่าต้นพันธุ์และค่าติดตั้งระบบน้ำ ทำให้มีต้นทุนต่ำ กำไรเหลือ

รายได้ 1. จากมะม่วงมหาชนกปีละ 4-5 หมื่นบาท 2. จากสายพันธุ์อาร์ทูอีทูและงาช้างแดง รวมกันอีกประมาณ 25,000-30,000 บาท เมื่อคิดรายได้เฉลี่ยเป็นรายได้เมื่อรวมกับพืชอีกหลากหลายชนิดภายในสวนแล้วสามารถสร้างรายได้ประมาณ 25,000-35,000 บาทต่อเดือน

หาตลาดยังไง แนะนำสำหรับเกษตรกรมือใหม่ให้เริ่มต้นใช้ตลาดนำการผลิต ควรมองหาพืชพื้นฐานก่อน อย่าเพิ่งไปมองพืชตามกระแส ให้มองพืชที่ใกล้ตัวที่สุดว่าตอนนี้พืชตัวไหนตลาดไปได้ดี ตลาดอยู่ได้นาน เห็นมานานแล้วราคายังอยู่เท่าเดิม และที่สำคัญต้องเป็นสิ่งที่ทุกระดับสามารถกินได้ ไม่แบ่งแยกชนชั้นคนรวยหรือคนจน แต่ต้องเป็นอะไรที่ทุกคนสามารถมีกำลังจ่ายได้อย่างสบายใจ แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยขยับขยายทำพืชกระแสเพื่อสร้างตลาดให้หลากหลาย ยกตัวอย่างที่สวนที่เลือกปลูกมะม่วงมหาชนกก็เพราะว่าเป็นพืชที่มีตลาดรองรับอยู่แล้ว ไม่ต้องดิ้นหาตลาดเอง แล้วจึงค่อยขยับขยายทำตลาดที่ตนเองถนัด เช่น ตลาดออนไลน์ ที่ตอนนี้ที่สวนวางแผนปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทูและงาช้างแดง สำหรับวางขายในตลาดออนไลน์ โดยที่ไม่ต้องปลูกเยอะแต่สามารถทำราคาได้ดี

นำข้อได้เปรียบจากการเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่
ใช้เทคโนโลยีการผลิตช่วยประหยัดต้นทุน
เจ้าของบอกว่า ตนเองถือเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่จะเน้นการทำงานที่สะดวกสบาย รวดเร็ว เหนื่อยน้อยลง แต่ยังคงได้ผลผลิตคุณภาพและปริมาณที่มากขึ้น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีตามที่ได้เล่าเรียนมาประยุกต์ใช้ภายในสวน บวกกับการใช้ตลาดนำการผลิต จะไม่ทำการเกษตรแบบรุ่นเก่าที่ผลิตๆ ออกมาแล้วขายให้กับพ่อค้าคนกลางอย่างเดียว แต่จะใช้แนวคิดว่าไม่จำเป็นต้องผลิตเยอะแต่ของผลิตมาขายได้ราคา ได้คุณภาพที่ดีขึ้น ทำให้เราทำงานเท่าเดิมแต่ได้เงินมากขึ้น

“สำหรับผมอาชีพเกษตรถือเป็นอาชีพที่มีความยั่งยืนมากๆ เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าคนเราต้องกินทุกวัน อย่างน้อยถ้าปลูกอะไรได้เองก็ปลูกไปก่อน อย่างของผมเริ่มต้นทุนในการกินไม่ค่อยมี เพราะว่าทุกอย่างเรามีหมด ในแปลงของเรา เราจะเสียเงินซื้อสิ่งที่จำเป็น อะไรที่เราทำไม่ได้ ต้นทุนในเรื่องของการใช้ชีวิตก็ต่ำลง แต่ว่าความสุขของการใช้ชีวิตจะเพิ่มขึ้นเพราะเรามีอิสระ อาชีพเกษตรตอบโจทย์เรามาก การปลูกผลไม้ก็เหมือนเสือนอนกิน ยิ่งนานวันผลผลิตยิ่งเพิ่มขึ้น” คุณดรีม กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 093-778-5233 หรือติดต่อได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : Dream Land ฟาร์มสองพี่น้อง ชาวขอนแก่น พบวิธีเลี้ยงจิ้งหรีดแบบลดต้นทุนจากกากมอลล์แล้วเสริมคุณภาพด้วยวิตามินเร่งการเติบโตจิ้งหรีด ย่นเวลาการจับขาย ช่วยให้ได้เงินเร็วขึ้น มีรายได้เพิ่ม มีตลาดรับซื้อแน่นอนในราคาสูง มีรายได้เดือนละเกือบแสนบาท พร้อมมีไข่จิ้งหรีดคุณภาพส่งขายออนไลน์

คุณเอกลักษณ์ บัวระบัดทอง หรือ คุณกุ้ง มีบ้านพักอยู่เลขที่ 126 หมู่ที่ 1 ตำบลขามป้อม อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ผ่านอาชีพส่วนตัว ไม่ว่าจะเปิดร้านขายอาหาร อู่ซ่อมรถ ที่ล้วนแต่เจอคู่แข่งมากมายแต่ไม่ค่อยมีลูกค้า จึงมองหาอาชีพทางเลือก ด้วยการทดลองเลี้ยงจิ้งหรีดเพราะมองว่าใช้เวลาเลี้ยงสั้น มีรายได้เร็ว ไม่ยุ่งยาก ไม่เปลืองพื้นที่ ที่สำคัญตลาดจิ้งหรีดเพิ่งโตไม่มาก มีกลุ่มเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่มาก จึงทำให้มีรายได้ดี

จิ้งหรีดที่เลี้ยงเป็นพันธุ์ทองดำ ทองแดง เริ่มต้นทดลองเลี้ยงจำนวน 5-10 บ่อ ที่นครสวรรค์ ไปซื้อไข่พร้อมอุปกรณ์แล้วทางร้านแนะนำวิธีเลี้ยงเสร็จสรรพ โดยได้ศึกษาทางอินเตอร์เน็ตร่วมด้วย แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้วิธีบริหารจัดการต้นทุนอย่างระมัดระวัง รอบคอบ แต่ไปมุ่งหากำไรเพียงอย่างเดียว ฉะนั้น ในขวบปีแรกนักเลี้ยงจิ้งหรีดมือใหม่รายนี้จึงขาดทุนตลอด

จากประสบการณ์จึงทำให้คุณกุ้งกลับมาทบทวนวิธีเลี้ยงให้รอบคอบ ขณะเดียวกัน ได้ความรู้จากอาจารย์และกลุ่มผู้เลี้ยงจิ้งหรีดในโลกออนไลน์ จึงนำข้อมูลของแต่ละแหล่งมาประยุกต์ใช้กับฟาร์มตัวเองด้วยการลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพจิ้งหรีด จากนั้นจึงเริ่มมองเห็นกำไรเหลือ จึงตัดสินใจขยับขยายเพิ่มพื้นที่เลี้ยงอย่างมั่นคงมาที่ขอนแก่นบ้านเกิด

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในอดีตสอนให้คุณกุ้งเลี้ยงจิ้งหรีดอย่างเป็นระบบมากขึ้น นำแนวทางการลดต้นทุนด้วยวิธีต่างๆ มาใช้ ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มคุณภาพควบคู่ไปด้วยเพื่อสร้างจุดแข็งให้เป็นที่สนใจของตลาด และแรงจูงใจด้านราคาขาย สำหรับแนวทางต่างๆ ที่หนุ่มหมอแคนรายนี้วางไว้ ได้แก่

อุปกรณ์ใช้เลี้ยง
บ่อที่คุณกุ้งใช้เลี้ยงทำจากสมาร์ทบอร์ดขนาดกว้างยาวบ่อ 2.40 คูณ 1.20 เมตร สูง 90 เซนติเมตร เพราะเป็นวัสดุที่ทนทาน อยู่ได้นาน แล้วยังไม่สะสมความชื้นเหมือนซีเมนต์อันอาจทำให้สะสมโรค จากนั้นนำแผงไข่ (มือสอง) ราคาใบละ 1.50 บาท มาเรียงในบ่อ แล้วนำถาดอาหารมาใส่จำนวน 12 อัน ต่อบ่อ พร้อมติดตั้งท่อน้ำ 1 ชุดสำหรับให้จิ้งหรีดกิน

การเลี้ยง
นำไข่จิ้งหรีดมาใส่ในกล่องพลาสติกปิดให้อบเพื่อต้องการให้ไข่ฟักตัวได้ง่ายและรวดเร็ว จากนั้นย้ายไปใส่ในบ่อประมาณ 2-3 ขัน ต่อบ่อ โดยวางไข่บนขุยมะพร้าวเพื่อให้ฟักเป็นตัวในเวลาเพียง 1 วัน จึงย้ายตัวอ่อนออก ไปเลี้ยงต่อในถาดไข่ที่วางเรียงในบ่อ ส่วนไข่ที่ยังไม่ฟักจะทิ้ง เพราะต้องการให้ได้จิ้งหรีดที่มีขนาดเท่ากันในแต่ละรุ่น แล้วยังไม่ต้องยุ่งยากมาคัดขนาดภายหลัง อีกทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวใหญ่ไปทำร้ายตัวเล็กจนเกิดความเสียหายตามมา ใช้อาหารข้นผสมกับอาหารลดต้นทุน ติดตั้งท่อพีวีซี สำหรับให้น้ำ

ควรจะดูแลหมั่นทำความสะอาดบ่อและบริเวณโดยรอบโรงเรือนทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ให้สะอาด เนื่องจากโรคต่างๆ จะเกิดขึ้นจากการขาดความใส่ใจเรื่องความสะอาด เกิดการสะสมโรคต่างๆ ตามมา เพราะหากใส่ใจเรื่องความสะอาดอย่างดีแล้วจะช่วยทำให้จิ้งหรีดทุกตัวมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ขณะเดียวกัน ศัตรูทางธรรมชาติที่พบ ไม่ว่าจะเป็นนก จิ้งจก และจิ้งเหลน จะจัดการป้องกันด้วยการล้อมตาข่ายซาแรนให้มิดชิดโดยรอบโรงเรือน

“กากมอลล์” อาหารสร้างคุณภาพที่ให้โปรตีนสูง
แล้วช่วยลดต้นทุน
คุณกุ้ง บอกว่า แต่เดิมจะใช้อาหารข้นสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวซึ่งมีราคาสูงทำให้ประสบปัญหาขาดทุน ต่อมาพบวิธีลดต้นทุนด้วยการใช้กากมอลล์ผสมกับอาหารข้น ทั้งนี้ อาหารข้นจะใช้เลี้ยงเฉพาะจิ้งหรีดอ่อนเท่านั้น แต่หลังจาก 20 วันไปแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนเป็นอาหารแบบผสมตามอายุจิ้งหรีดทุก 1-2 วัน ตั้งแต่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 ไปจนถึงอัตราส่วน 1 ต่อ 6 ไปจนถึงการขายจิ้งหรีด ข้อดีของกากมอลล์เพราะมีโปรตีนสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนสำคัญทำให้จิ้งหรีดมีคุณภาพ มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น มีความสมบูรณ์เห็นได้ชัดเจน

“ตอนเริ่มแรกใช้อาหารข้นสำเร็จรูปเลี้ยงอย่างเดียว มีราคากระสอบละ 500 บาท ภายหลังที่ปรับมาใช้กากมอลล์ร่วมกับอาหารข้น จึงลดต้นทุนค่าอาหารจากกิโลกรัมละ 50 บาท (รวมค่าแรงและอื่นๆ) ลงเหลือประมาณกิโลกรัมละ 30 กว่าบาท”

ภายหลังประสบผลสำเร็จจากการใช้กากมอลล์ผสมอาหารข้นเลี้ยงจิ้งหรีดจนทำให้มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น มีความสมบูรณ์ แล้วเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับผู้เลี้ยงรายอื่น จึงตัดสินใจนำกากมอลล์มาขายด้วย

เติมความแข็งแรงด้วยวิตามิน
น้ำผสมวิตามินเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สร้างคุณภาพจิ้งหรีด คุณกุ้ง บอกว่า ลองนำวิตามินที่ให้วัวกินมา ทดลองผสมน้ำให้จิ้งหรีดกินบ้าง ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้จิ้งหรีดมีคุณภาพแข็งแรง ตัวโต สีสวย โดยนำวิตามิน (แบบน้ำ) ผสมกับน้ำใส่ในท่อพีวีซี แล้วสอดผ้าให้โผล่ออกมา (คล้ายกับไส้ตะเกียง) ผ้าจะดูดซับน้ำที่ผสมวิตามินไว้ให้ชุ่ม เพื่อให้จิ้งหรีดมาดูดน้ำจากผ้า ระยะเวลาการเติมน้ำถ้าในช่วงจิ้งหรีดเล็กจะต้องเติมน้ำทุก 2 สัปดาห์ แต่พอมีตัวโตขึ้นจะต้องเติมน้ำทุกวันเนื่องจากจิ้งหรีดโตกินน้ำเก่ง

วิธีนี้เป็นการช่วยทำให้จิ้งหรีดกินน้ำที่สะอาด (ต้องหมั่นเปลี่ยนผ้า) ปลอดภัย และได้ประโยชน์จากวิตามิน เนื่องจากพบว่าจิ้งหรีดที่กินน้ำผสมวิตามินจะเจริญเติบโตเร็วในเวลาสั้น ทั้งนี้ มีผู้เลี้ยงหลายรายมักให้น้ำจิ้งหรีดด้วยการใส่ในภาชนะวางในบ่อเลี้ยงทำให้จิ้งหรีดลงไปถ่ายมูลบ้าง หรือลงไปตายบ้าง สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการเน่าเหม็น สร้างปัญหาเรื่องโรคตามมา เป็นผลทำให้จิ้งหรีดตายเป็นจำนวนมาก

ขายไข่จิ้งหรีดทางออนไลน์
สำหรับการขยายพันธุ์จิ้งหรีดรุ่นต่อไปจะใช้วิธีเก็บไข่ที่อยู่ในถาดตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งต้องเก็บไข่ล่วงหน้าประมาณ 3 วันก่อนจะจับจิ้งหรีด และการใช้ประโยชน์จากไข่จิ้งหรีดแบ่งเป็น 2 ทาง คือไข่ส่วนหนึ่งนำไปขายให้ลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ ก่อนจับไข่จะเปิดรับออเดอร์ล่วงหน้าทางออนไลน์เช่นกัน กับอีกส่วนหนึ่งเป็นไข่ที่ไว้สำหรับใช้ขยายพันธุ์ในฟาร์ม อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรอบจะเก็บไข่ที่ขายและไว้ใช้งานรวมกันประมาณ 100 ขัน ขนาดขันที่ใช้ใส่ไข่จิ้งหรีดเป็นขันพลาสติกทั่วไปมีขนาดประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถตักไข่จิ้งหรีดได้ประมาณ 3 ขีด ขายขันละ 50 บาท

กากมอลล์และวิตามิน
ต่างเสริมสร้างคุณภาพจิ้งหรีด ให้ขายได้ราคาสูง
การนำกากมอลล์และวิตามิน มีส่วนสำคัญที่ไม่เพียงช่วยในเรื่องการลดต้นทุนลงได้อย่างมาก แต่ยังเสริมสร้างให้จิ้งหรีดของคุณกุ้งมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ช่วยย่นเวลาการเลี้ยงจากเดิม 45 วัน เหลือเพียง 35 วัน ก็สามารถจับขายได้เงินแล้ว อีกทั้งยังช่วยให้จิ้งหรีดมีขนาดตัวโตกว่าทั่วไป มีขนาดตัวเท่ากัน มีความสมบูรณ์ เป็นที่ชื่นชอบของตลาด แล้วเป็นจุดเด่นของฟาร์มแห่งนี้

มีรายได้เฉลี่ยเดือนละแสนบาท
ปัจจุบัน คุณกุ้งเลี้ยงจิ้งหรีดขายอยู่จำนวนกว่า 100 บ่อ ใช้ชื่อฟาร์มว่า “อานนท์ ฟาร์มจิ้งหรีด” ราคาขายส่งให้กับลูกค้าประจำที่มารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ทั้งนี้ วิธีขายต้องได้รับออเดอร์จากลูกค้าก่อน จึงจะมาเตรียมผลิต เพื่อต้องการให้ขายหมด ได้ราคาสูง แล้วเป็นราคาที่ดีกว่าการวิ่งขายทั่วไป (ถ้าเป็นราคาขายตามตลาดทั่วไปกิโลกรัมละประมาณ 70-80 บาท)

โดยวิธีขายจะจับมาต้มประมาณ 40 นาที แพ็กใส่ถุงขนาด 5 กิโลกรัม แล้วนำไปแช่ในตู้เพื่อรอการขนย้ายขึ้นรถให้ลูกค้า จากที่เคยส่งให้ลูกค้ารายนี้ในช่วงเริ่มต้นเพียง 50 กิโลกรัม แต่ตอนนี้ส่งให้รายเดิมเดือนละประมาณ 2 ตัน (จับขายเดือนละ 2 ครั้ง) มีรายได้ประมาณ 70,000-100,000 บาท ต่อเดือน โดยมีต้นทุนเฉลี่ยเดือนละประมาณ 50,000 บาท

นอกจากขายตัวจิ้งหรีดและไข่แล้ว ทางอานนท์ฟาร์มยังมีจำหน่ายสินค้าอื่นๆ ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินที่ใช้ผสมน้ำ ขายขวดละ 300 บาท หากซื้อจำนวน 4 ขวดขายในราคา 1,000 บาท อาหารลดต้นทุนหรือกากมอลล์ถุงขนาด 30 กิโลกรัมขายราคาถุงละ 160 บาท หากสั่งซื้อจำนวน 100 ถุงขึ้นไปขายราคาถุงละ 140 บาท รวมทั้งผ้าซับน้ำจิ้งหรีด 1 กิโลกรัมราคาขาย 250 บาท หากสั่งซื้อจำนวน 5 กิโลกรัมขึ้นไป ราคากิโลกรัมละ 200 บาท

คุณอิทธิพล กำลังมาก คนรุ่นใหม่ไฟแรง เรียนจบปริญญาโท ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร หันมายึดอาชีพเกษตรกร ที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เริ่มจากปลูกพืชตามกระแสตลาด ปลูกได้แต่ขายไม่เป็น ต้องพึ่งพ่อค้าคนกลางทำให้สูญเสียผลกำไร ธุรกิจเจ๊ง 3 รอบ ปรับเปลี่ยนแนวคิด ปลูกพืชผสมผสาน ลดความเสี่ยงพร้อมผันตัวรับซื้อสินค้าเกษตรส่งขายห้างใน กทม. ขายดีจนไม่พอขาย โกยรายได้ทะลุหลักล้าน

ปลูกพืชตามกระแสตลาด
ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต่ำ
“คุณหนึ่ง” หรือ คุณอิทธิพล กำลังมาก เกิดและเติบโตในครอบครัวเกษตรกรในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ครอบครัวปลูกถั่วลิสงเป็นหลัก และมีรายได้จากการรวบรวมถั่วลิสงจากเกษตรกรเครือข่าย ประมาณ 2-3 พันไร่ ต่อปี ป้อนโรงงานแปรรูป เพื่อส่งออกไปขายประเทศมาเลเซีย

หลังคุณหนึ่งเรียนจบปริญญาด้านบัญชี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ในปี 2548 ได้เข้าทำงานบริษัทเอกชน จนถึงปี 2558 คุณหนึ่งเบื่อชีวิตมนุษย์เงินเดือนจึงตัดสินใจลาออก กลับบ้านไปทำอาชีพเกษตรตามรอยพ่อแม่ โดยเริ่มต้นจากใช้เงินลงทุน 400,000 บาท ปลูกดาวเรือง 18 ไร่ ปรากฏว่าขาดทุนก้อนโต คุณหนึ่งกัดฟันสู้ไม่ถอย ใช้เงินหลักแสนลงทุนปลูกหัวไชเท้าก็ยังประสบปัญหาขาดทุนเช่นเดิม ครั้งที่ 3 คุณหนึ่งลงทุนปลูกผักชี ก็ขาดทุนอีกครั้ง สรุปในระยะเวลา 2 ปี หลังก้าวเข้าสู่ชีวิตเกษตรกรมือใหม่ ขาดทุนไปแล้วกว่าล้านบาท

“กลับมานั่งคิดว่า ทำไมผมถึงขาดทุนซ้ำซาก ก็ได้คำตอบว่า เพราะผมปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามกระแสตลาด ราคาสินค้าขึ้นลงตามหลักดีมานด์และซัพพลาย สินค้าเข้าตลาดมาก ก็ขายผลผลิตได้ราคาถูก ยกตัวอย่างเช่น การปลูกดาวเรือง ด้านตลาดต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง จึงได้ผลกำไรไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผมปลูกพืชได้ แต่ขายไม่เป็น แถมปลูกพืชตามกระแสตลาด ยิ่งทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงสูง และได้ผลตอบแทนต่ำ” คุณหนึ่ง กล่าว

ปลูกพืชผสมผสาน
กระจายความเสี่ยง
ภายหลังคุณหนึ่งได้ค้นพบจุดเสี่ยงที่ทำให้การลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ จึงปรับเปลี่ยนแนวคิดหันมาทำเกษตรผสมผสาน พร้อมผันตัวเป็นพ่อค้าคนกลางรวบรวมสินค้าเกษตรส่งขายห้างดัง จนประสบความสำเร็จกลายเป็นนักธุรกิจเกษตรที่มีรายได้หมุนเวียนหลักล้านต่อปี

คุณหนึ่ง วางแผนปลูกไม้ผลผสมผสาน บนเนื้อที่ 35 ไร่ ในอำเภอพบพระ โดยแบ่งปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทอง 15 ไร่ โดยจะสามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ในปี 2565 ที่เหลืออีก 20 ไร่ ใช้ปลูกต้นอะโวกาโด โดยตั้งเป้าหมายให้รายได้จากการขายทุเรียนและอะโวกาโดเป็นรายได้หลักสำหรับเลี้ยงดูครอบครัวในระยะยาว และนำพันธุ์กล้วยหอมทอง กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ มาปลูกแซมในสวนผลไม้ดังกล่าวด้วย เพื่อเป็นรายได้ระยะปานกลาง นอกจากนี้ ยังลงทุนปลูกพืชล้มลุกเป็นรายได้ระยะสั้นไปพร้อมกัน

ปลูกอะโวกาโดหลากสายพันธุ์
ให้มีผลผลิตป้อนตลาดทั้งปี
อะโวกาโด (avocado) เป็นผลไม้ที่มากคุณประโยชน์และดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานสดได้ มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประมาณ 8-20 เปอร์เซ็นต์ วิตามินสูง ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อะโวกาโด เป็นไม้ผลยอดนิยมที่ขายได้ราคาดี ปลูกดูแลง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาโรคแมลง ใช้สารเคมีน้อย ต้นอะโวกาโด อายุ 2-3 ปี ก็เก็บผลผลิตออกขายได้ ทั้งนี้ ต้นอะโวกาโดมักให้ผลผลิตต่อต้นเพิ่มมากขึ้น เมื่ออายุ 7-8 ปีขึ้นไป

ปัจจุบัน คุณหนึ่งปลูกอะโวกาโด 150 ต้น แบ่งเป็นสายพันธุ์พื้นเมือง 50 ต้น ที่เหลือปลูกอะโวกาโดคุณภาพดีหลากหลายสายพันธุ์ผสมผสานกันตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร เพราะอะโวกาโดแต่ละพันธุ์ มีช่วงการเก็บเกี่ยวผลไม่พร้อมกัน ทำให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ทั้งปี อะโวกาโดแต่ละสายพันธุ์ มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

อะโวกาโดพันธุ์พื้นเมือง มักให้ผลผลิตเข้าสู่ตลาดเป็นพันธุ์แรก เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม – พฤษภาคม ราคาขายส่งหน้าสวนสูงสุดอยู่ที่ กิโลกรัมละ 35 บาท ขายปลีกเฉลี่ย 70-80 บาท/กิโลกรัม

อะโวกาโดพันธุ์แฮสส์ (Hass) healthsecrets.net เป็นอะโวกาโดพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก มีไขมัน 20 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะผลรูปไข่ ผิวขรุขระมาก เมื่อแก่ผิวของผลมีสีเขียวเข้ม ผลสุกมีสีดำออกม่วง รสชาติดี เนื้อเหนียว ไม่มีเส้นใย สีของเนื้อมีสีเหลืองเข้ม เมล็ดมีขนาดเล็ก น้ำหนักผลตั้งแต่ 150-250 กรัม อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 9-10 เดือน มีผลผลิตออกขายช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ราคาขายส่งหน้าสวน เฉลี่ย 100-150 บาท/กิโลกรัม ขายปลีก 200-250 บาท/กิโลกรัม

อะโวกาโดพันธุ์บัคคาเนียร์ (Buccaneer) ลักษณะค่อนข้างกลมรีขนาดกลาง เก็บเกี่ยวประมาณเดือนสิงหาคม -ตุลาคม ราคาขายส่งหน้าสวน เฉลี่ย 50 บาท/กิโลกรัม ราคาขายไม่สูงมากแต่ให้ปริมาณผลผลิตโดยเฉลี่ยต่อต้นมากกว่าอะโวกาโดพันธุ์แฮสส์ โดยทั่วไปอะโวกาโดพันธุ์บัคคาเนียร์ จะให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่ออายุ 4 ปี เฉลี่ยต้นละ 50 กิโลกรัม ปีถัดไปจะให้ผลผลิตมากเท่าตัว ประมาณต้นละ 120-130 กิโลกรัม

อะโวกาโดพันธุ์ปากช่อง 28 (Parkchong 28) ลักษณะเด่น ลูกใหญ่ เนื้อหนา เมล็ดเล็ก เปลือกหนา สุกช้ากว่าพันธุ์อื่น เก็บผลผลิตช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม น้ำหนักผล 800 กรัม

เร่งพัฒนาคุณภาพอะโวกาโด
รักษาตลาด สู้สินค้าเวียดนาม
คุณหนึ่ง กล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้สภาพคล่องทางธุรกิจประสบปัญหา ส่งผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือน ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศปรับตัวลดลง ทำให้เกษตรกรขายอะโวกาโดลดลงกว่าเดิมเกือบ 50% แถมประสบปัญหาอะโวกาโดราคาถูกจากเวียดนามเข้าตีตลาดไทยอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ เวียดนามเคยส่งอะโวกาโดเข้ามาขายในไทย แต่คุณภาพไม่ดี จึงไม่เป็นที่นิยม ล่าสุดในปีนี้เกษตรกรเวียดนามประสบความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต และขายราคาถูกทำให้สินค้าขายดี โดยเฉพาะพันธุ์ A034 ปัจจุบัน เป็นพันธุ์อะโวคาโดที่ได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดในเวียดนาม

ลักษณะเด่นของอะโวกาโดพันธุ์ A034 คือ เนื้อสีเหลือง น้ำหนักผลเฉลี่ย 300-800 กรัม รสชาติอร่อย เนื้อเนียนหนึบ หอมมัน เข้มข้น มีกลิ่นหอม เปลือกบาง เมล็ดเล็ก เจริญเติบโตได้ดีทั้งในสภาพอากาศเย็นและอากาศร้อน ลำต้นไม่สูง ให้ผลดก หลังปลูกประมาณ 2–3 ปี ก็เริ่มให้ผลผลิตชุดแรก ทุกวันนี้อะโวกาโดพันธุ์ A034 กำลังเป็นที่นิยม ปลูกในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งประเทศไทย

เกษตรกรไทยบางรายเก็บเกี่ยวผลที่ยังไม่แก่ออกขาย ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลอะโวกาโดที่ไม่สามารถบ่มให้สุกและรับประทานได้ นับเป็นจุดอ่อนสำคัญของอะโวกาโดของไทย ดังนั้น เกษตรกรผู้ปลูกอะโวกาโดควรใช้หลักวิชาการ ยกระดับคุณภาพผลผลิตที่มีคุณค่า เป็นที่ยอมรับของผู้ซื้อ โดยเกษตรกรสามารถนับอายุผลหลังจากดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ ของช่อดอกจนถึงเก็บเกี่ยวเป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีความแม่นยำในการเก็บเกี่ยวผลอะโวกาโด โดยอายุเก็บเกี่ยวผลในการเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสถานที่ปลูกซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศและอุณหภูมิ แม้จะเป็นพันธุ์เดียวกันแต่หากปลูกในสภาพแวดล้อมต่างกัน ทำให้ผลแก่เร็วหรือช้ากว่ากันได้ 1-3 สัปดาห์

ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐยังสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกอะโวกาโดพันธุ์พบพระ 08 และพันธุ์พบพระ 14 ซึ่งพัฒนาสายพันธุ์มาจากอะโวกาโดพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งอะโวกาโดพันธุ์พบพระ มีลักษณะเด่นคือ ทนทานต่อโรคใบไหม้ ให้ผลผลิตสูง เนื้อคุณภาพดี เนื้อเหนียวแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำเหมือนพันธุ์พื้นเมืองทั่วๆ ไป

นอกจากคุณหนึ่งตั้งใจพัฒนาอะโวกาโดพบพระให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจเพื่อยกระดับราคา เพิ่มมูลค่าเป็นสินค้าชุมชนท้องถิ่นในอนาคตแล้ว คุณหนึ่งยังลงทุนสร้างโรงเรือนคัดบรรจุผัก ที่ตำบลตลุกกลางทุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดตาก เพื่อรวบรวมผลผลิตสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในท้องถิ่น ขนส่งโดยรถห้องเย็นของตัวเอง ขนผักจากจังหวัดตาก ส่งห้างสรรพสินค้าสัปดาห์ละ 2 รอบ นับว่าคุณหนึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการผันตัวสู่นักธุรกิจเต็มตัวได้อย่างน่าชื่นชม