จุดเปลี่ยนอาชีพต่อสำนึกรักบ้านเกิดตลอดระยะเวลาของการ

ทำงานที่บริษัทไทยซัมมิกฮาร์เนส นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นไปด้วยดีด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทำ เป็นที่ยอมรับของนายจ้าง และเป็นที่รักใคร่ของพี่ เพื่อน และน้องๆ ในบริษัท แม้การทำงานที่บริษัทจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ปัญหาเรื่องส่วนตัวเริ่มเกิดขึ้นด้วยสำนึกต่อผู้มีพระคุณที่ให้กำเนิดเริ่มเข้าสู่วัยชรา ไม่มีคนดูแล ประกอบกับไม่มีผู้เลี้ยงดูลูก ด้วยความสำนึกต่อผู้มีพระคุณและแผ่นดินเกิด จึงคิดที่จะกลับไปหางานทำที่บ้าน หาอาชีพที่จะต้องมีรายได้เพื่อนำมาจุนเจือครอบครัวหลังจากที่ต้องลาออกจากงานที่บริษัท

น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ที่บ้านเกิด

แนวคิดเริ่มแรกเมื่อเดินทางกลับบ้านเกิดคือ การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อหลวง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคุณลุงท่านหนึ่งที่เล่าให้ฟังและใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการดำรงอยู่และปฏิบัติตนอยู่บนเส้นทางสายกลาง อยู่บนความพอเพียง ซึ่งหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร

ซึ่งได้ฟังแล้วคิดว่าเราน่าจะทำได้ เพราะเราอยู่กับการทำการเกษตรมาตั้งแต่แรกเกิด

คุณละออง กับมะนาวที่ทำรายได้ดีในช่วงฤดูแล้ง

จึงได้เริ่มศึกษาหาความรู้ตามหนังสือบ้าง ทางอินเตอร์เน็ตบ้าง พร้อมได้เล่าให้ครอบครัวฟังว่าอยากทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะช่วยให้ครอบครัวอยู่ได้แบบยั่งยืน แต่ทุกคนในครอบครัวไม่เห็นด้วย เพราะต้องมีการปรับพื้นที่โดยการปรับพื้นที่นามาขุดสระน้ำและให้เป็นสวน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุน แต่ตนเองก็ไม่ละทิ้งแนวคิดทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลังจากลาออกจากงานที่บริษัท ก็เริ่มทำความฝันตนเองให้เป็นจริง เริ่มต้นด้วยการปลูกผักที่ตัวเองชอบกิน รวมถึงพืชผักสวนครัวต่างๆ ไปพร้อมกับการปลูกพลู ปลูกกล้วย และอื่นๆ ที่กินได้ เหลือกินก็นำไปขายให้ชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียง ขณะเดียวกัน ก็ได้เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ส่วนราชการจัดขึ้น ทำให้ได้รู้วิธีการและเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ๆ จึงมีแนวคิดที่จะขยายพื้นที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยทุกครั้งที่ไปเรียนและเข้ารับการฝึกอบรมจะมีคำถามจากคนรอบข้างตลอดว่าจะเรียนไปทำไม แค่ปลูกผักใครๆ ก็ทำได้

วันหนึ่ง คุณลุงเล่าให้ฟังว่า มีการเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการพระราชดำริฯ จำนวน 5 คน นับเป็นโอกาสอันดี จึงสมัครเข้าเป็นนักเรียนในโครงการพระราชดำริฯ หลักสูตรการดำรงชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงและองค์กรภาคี โครงการรณรงค์เพื่อน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสร้างภูมิคุ้มกันชุมชน ทำให้ได้ความรู้โดยมีหลักการสำคัญที่นำมาปรับใช้ในการทำการเกษตรคือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นขั้นตอนตามลำดับความจำเป็น ประหยัด การพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมความรู้ และเทคนิควิชาการสมัยใหม่ที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังมุ่งเน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ชุมชนสามารถวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของชุมชน สามารถวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความพร้อมของเกษตรกรได้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วมของเกษตรกร

การทำการเกษตรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ขณะเดียวกัน ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม และได้รับการคัดเลือกเป็นวิทยากรต้นแบบ โครงการเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) จังหวัดมหาสารคาม กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ความสำเร็จการทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

มีพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่เศษ เริ่มจากขุดสระน้ำในไร่นา 1 บ่อ แล้วปลูกพืชผัก ไม้ผล และอื่นๆ 2 ไร่ เมื่อมีรายได้จึงนำเงินมาขุดบ่อเพิ่มอีก 1 บ่อ ปัจจุบัน ขยายพื้นที่ปลูกออกเป็น 4 ไร่ 52 ตารางวา โดยปลูกพืชหลากหลายชนิด ดังนี้

กล้วย 120 กอ มี 20 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์กล้วยหอมขอนแก่น หอมไต้หวัน หอมทุเรียน กล้วยไข่กำแพงเพชร กล้วยนาก กล้วยหมูสีข้าวก่ำ กล้วยหมูสี กล้วยเขียวใหญ่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมมอญ กล้วยตีบ กล้วยเทพนม กล้วยหักมุก กล้วยน้ำว้า กล้วยเต่า กล้วยพะโล และกล้วยงาช้าง
ข่า 350 กอ มี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ข่าเหลือง ข่าใหญ่ และข่าแดง ขายหน่อ 5-7 หน่อ/10 บาท และขายพันธุ์ถุงละ 25 บาท ต้นขจร 60 ต้น
มะนาวพันธุ์แป้นพิจิตร 60 ต้น และพันธุ์ตาฮิติ 2 ต้น ไม้ผล มี มะม่วง ขนุน มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว และส้มโอ รวม 25 ต้น
พลู 200 หลัก ราคาขาย 100 ใบ/25-30 บาท มีรายได้ทุกวัน เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 3,000 บาท

ผลิตผักปลอดสารพิษ หลายชนิด เช่น คะน้า ผักสลัด หอม ฯลฯ เพาะผักสวนครัวไว้สำหรับแจกจ่ายผู้ที่มาเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอีกจำนวนหนึ่ง
เลี้ยงปลา 2 บ่อ มีปลาธรรมชาติ และปล่อยปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ และปลาหมอ เลี้ยงหมูหลุม 4 ตัว เลี้ยงเป็ดและเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมือง ประมาณ 50 ตัว และทำนา 8 ไร่
นวัตกรรมที่นำมาใช้ในไร่นา คือได้คิดค้นสกีต่อพ่วงกับรถไถเดินตาม ประโยชน์ คือลดต้นทุนการผลิตไม่ต้องจ้างรถปั่น ไร่ละ 250 บาท ลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยไร่ละ 40 บาท ประหยัดเวลาจากการใช้รถไถเดินตามทำได้ 4-5 ไร่/วัน ถ้านั่งสกีทำได้ 8-10 ไร่/วัน และยังสะอาดเรียบร้อยไม่มีวัชพืช และยังนำปุ๋ย OM การผลิตสมุนไพรไล่แมลงมาใช้ในฟาร์มด้วย

ผลจากการดำเนินงานทำให้มีผลิตผลการเกษตรประเภทพืชผัก ปลา และสัตว์ปีก ที่เป็นอาหารที่ปลอดภัยในครัวเรือนและผลผลิตในส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายในชุมชน ทำให้มีรายได้ 400-500 บาท/วัน สำหรับสัตว์และไม้ผลทำให้มีรายได้เดือนละ 12,000-13,000 บาท ทั้งนี้ ตลอดปีทั้งปีมีรายได้เฉลี่ยปีละ 220,000 บาท ส่งผลให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขและยั่งยืน

คุณละออง บอกว่า ทุกครั้งที่มีเงินรายได้จากการจำหน่ายผลิตผล จะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งเก็บออมไว้ อีกส่วนไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นเงินลงทุนในการทำการเกษตร และอีกส่วนจะพาครอบครัวไปศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเกษตรกรต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จในแต่ละด้าน รวมถึงทุกครั้งเมื่อมีการจัดฝึกอบรมเพื่อให้รู้ว่าการทำการเกษตรจะต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รับการถ่ายทอดแล้วก็นำเรื่องการคิดต้นทุนในการผลิตมาใช้ก่อนที่จะลงมือทำการผลิตพืชแต่ละชนิดก่อน

วิสัยทัศน์คือ “ยึดมั่นในปรัชญา, พัฒนาตามขั้นตอน, สอนให้พึ่งตนเอง” จากความสำเร็จในการทำเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อปี 2558 ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดมหาสารคาม ให้จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ ประจำตำบลขามเฒ่าพัฒนา

“แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน” เป็นคำกล่าวถึงความจริงใจที่เต็มเปี่ยมของ คุณสุริยา ขันแก้ว ชื่อเล่นที่เรียกกันว่า “อู๋” อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 137/1 หมู่ที่ 11 บ้านแม่ลานเหนือ ตำบลห้วยอ้อ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ 54150 โทร. 087-936-4687 หรือ e-mail : au0879364687@gmail.com หรือ Facebook : suriyakhunkaew การศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ภรรยา คุณหทัยรัตน์ ขันแก้ว มีลูกชายและลูกสาว รวม 2 คน

คุณสุริยา ขันแก้ว นับเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่หันหลังให้กับงานประจำบริษัทเอกชนที่มีรายได้เป็นเงินเดือน เดือนละเกือบแสนบาท มาทำเกษตร แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นกลับมาใช้ชีวิตถิ่นเดิมที่บ้านเกิดในชนบท เขาวางแผนชีวิตและครอบครัวไว้อย่างน่าสนใจ วางแผน วาดฝัน ออกแบบแปลงเกษตร การจัดการแปลง ศึกษาหาความรู้จนมั่นใจว่าการเกษตรและครอบครัว ลงมือทำจริงแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ก้าวกระโดด จุดเด่นการทำเกษตรของคุณสุริยาจึงอยู่ที่การวางแผนและผลิตพืชผลทางการเกษตรจากการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว เป็นแบบผสมผสานในแปลงนาเดียวกันสร้างมูลค่าเพิ่มของพื้นที่ การนำเทคโนโลยีการจ่ายน้ำแบบ เปิด-ปิด อัตโนมัติ มาใช้ในแปลง ทุ่นเวลาและแรงงาน

เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นพอสมควร แบ่งปันช่วยเหลือสังคม ชุมชน เปิดแปลงเกษตรให้เป็นศูนย์เรียนรู้ ถ่ายทอดแนวความคิดประสบการณ์ให้แก่เกษตรกรและเยาวชน นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านฉบับนี้ นำท่านผู้อ่านไปพบกับคุณสุริยากันครับ

เบื้องหลังจากงานราชการ สู่เอกชน ก่อนกลับบ้านเกิด

คุณสุริยา เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า “ผมเป็นคนจังหวัดแพร่ครับ หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผมเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนต่อที่โรงเรียนช่างฝีมือทหาร จบแล้วได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการทหาร ยศจ่าสิบตรี และต่อมาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบโท ลาออกไปทำงานบริษัทเอกชนของประเทศญี่ปุ่น มีหน้าที่ทำระบบเบรกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ บริษัทส่งตัวไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น 3 ปี กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าวิศวกร ทำหน้าที่เขียนโปรแกรมควบคุมระบบเบรกในรถยนต์ หรือระบบ ABS

ช่วงปี 2560 บริษัทเปลี่ยนฐานการผลิตกลับไปประเทศญี่ปุ่น ผมมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกร จะต้องไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ณ เวลานั้น ผมคิดๆๆ หาทางออก ว่า แล้วครอบครัวล่ะ ห่วงลูก ห่วงครอบครัว หรือจะไปทำงานที่ญี่ปุ่นเงินเดือนเกือบแสนบาทนะ หรือจะเปลี่ยนงานใหม่ หรือจะกลับบ้านเกิดที่จังหวัดแพร่ แล้วจะไปทำมาหากินอะไร?”

คุณสุริยา เล่าต่อว่า หลังจากตัดสินใจพาครอบครัวกลับไปตั้งหลักที่จังหวัดแพร่ ก็คิดวางแผนชีวิตตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะลูกที่ต้องย้ายโรงเรียนจากกรุงเทพฯ จะต้องส่งเสียให้ร่ำเรียนให้สูงที่สุดตามกำลังสติปัญญาของเขา ต้องลงทุนทำอะไรสักอย่าง เงินลงทุนก็พอมีเหลือจากเงินก้อนสุดท้ายที่บริษัทให้ เงินบำนาญจากราชการ แต่ก็ต้องเก็บออมไว้เป็นภูมิคุ้มกันให้ลูกได้เรียน แต่รายจ่ายในการดำรงชีวิต ต้องมีรายรับที่เพียงพอ คิดวางแผนทำอาชีพใหม่ คำตอบสุดท้าย คือ การเกษตร ผมคิดต่อไปอีกว่า แล้วจะต้องดำเนินการอะไร อย่างไร 1…2…3…4…เงินลงทุน ที่ดิน อีกทั้งความรู้ทางการเกษตร

คุณสุริยา บอกว่า ตนเองยังคงอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อรอขายบ้าน นำเงินมาลงทุน ช่วงเวลานั้นกระแสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกลับมาแพร่หลายอีกครั้ง ตนเองก็ฉุกคิดได้ว่าจะดำเนินรอยตาม แต่ก็ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ “6 มกราคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของผม ผมคิดว่าจะหาของขวัญอะไรให้กับตนเอง คิดได้ว่า จะต้องไปเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต ผมเดินทางไปที่มูลนิธิชัยพัฒนา จังหวัดปทุมธานี พบผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการเกษตร ซึ่งท่านก็ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่แก่ผมเป็นอย่างดี ท่านพาไปดูแปลงเกษตรสาธิต เป็นเกษตรผสมผสาน เนื้อที่ 1 งาน ทำเกษตรก็เป็นคลังอาหารได้ เหลือก็ขายมีรายรับ จึงจุดประกายความคิดขึ้นมาทันที” คุณสุริยา กล่าว

คุณสุริยา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านผู้อำนวยการยังได้แนะนำการเริ่มต้นทำการเกษตรอยู่ 2 เรื่องหลัก คือ ดิน กับ น้ำ

ดิน ท่านแนะนำให้ตรวจวิเคราะห์สภาพดินก่อน แล้วปรับสภาพดินตามผลการตรวจสอบไปตามนั้น ให้เลี้ยงไส้เดือนแล้วนำมูลไส้เดือนมาเป็นปุ๋ยช่วยปรับสภาพดินและเพิ่มธาตุอาหารในดิน

น้ำ ท่านก็แนะนำให้คิดหาวิธีนำน้ำมาใช้ในแปลงเกษตรให้ได้ตลอดทั้งปี “ผมไม่ได้ไปมือเปล่า แต่ได้นำแผนผังระบบน้ำที่ผมออกแบบไว้ นำติดตัวไปด้วย เพื่อขอความเห็น ขอคำแนะนำ ซึ่งท่านก็เห็นดีเห็นงามด้วย และท่านยังแนะนำให้รวมกลุ่มกันทำเกษตร อย่าทำคนเดียว มันเหนื่อย” เมื่อได้รับคำอธิบายและคำแนะนำเช่นนั้น จึงเพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้กับคุณสุริยา

“2 เรื่องนี้ ดินกับน้ำในการทำเกษตร คือของขวัญวันเกิดของผมครับ”

คุณสุริยา กลับมาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบและการบริหารน้ำเพื่อการเกษตร จากสื่อออนไลน์

ยัง…ยัง ไม่พอ คุณสุริยาไปเข้ารับการฝึกอบรมการเลี้ยงไส้เดือนที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อต่อยอดเป็นองค์ความรู้ โดยเขายอมเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม หลังการฝึกอบรมได้วัสดุอุปกรณ์การเพาะเลี้ยงไส้เดือนกับตัวไส้เดือนพันธุ์แอฟริกัน หรือ AF มา 2 กะละมังพลาสติก นำกลับบ้านเกิด

หยิบยก 2 เรื่อง ดิน กับ น้ำ

แปลงแนวคิดสู่การทำแผนงาน

คุณสุริยา กล่าวว่า ได้ออกแบบ วางผังทำแปลงเกษตรที่บ้านเกิดจังหวัดแพร่ แล้วนำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษากับญาติพี่น้อง ก็ไม่ค่อยจะมีใครเห็นด้วย ได้รับคำกล่าวว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ทำเกษตรมา ไม่เห็นมีใครร่ำรวยมีเงินมีทอง มันเหนื่อยนะ แต่ขณะนั้น แม่ยายปลูกผัก ท่านบอกว่า ปลูกผักขายได้ปีละหลายหมื่นบาท ก็ยังมีรายรับพอเลี้ยงชีพได้อย่างสบาย ได้ข้อคิดจากแม่ยาย และถือเป็นต้นแบบคำแนะนำให้แก่ตน จึงมุ่งมั่น ออกแบบแบ่งพื้นที่ ซึ่งมีอยู่ 1 ไร่ กับที่ซื้อเพิ่มมาอีก 1 ไร่ รวมเป็น 2 ไร่ก่อน จัดผังอย่างไร ปลูกอะไรให้มีผลผลิตเป็นรายรับรายวัน รายสัปดาห์ และรายปี

พื้นที่ตรงไหนจะปลูกผัก ทำนาข้าว ขุดสระน้ำและบ่อปลา กันพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำโรงเรือนเลี้ยงไส้เดือน ศาลาพักผ่อนไว้ชมวิวทิวทัศน์ คือจะต้องใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การจัดการดิน ที่เป็นพื้นที่นาก็ต้องปรับปรุงโดยจะใช้มูลไส้เดือนตามที่ได้อบรมมาเพื่อลดต้นทุนการผลิต

การวางระบบน้ำ จะใช้สปริงเกลอร์ให้น้ำทั้งแปลง โดยจะสูบน้ำจากสระน้ำที่จะขุดขึ้นมาใช้

พืชผักที่จะนำมาปลูก คำนวณปริมาณและชนิดใดที่ต้องกินและขายได้ดีในช่วงใด ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า ผักสลัด ผักชี คือปลูกทุกอย่างที่กินได้ เหลือก็ขาย

ปลา คำนวณปริมาณและประเภทของปลาที่จะนำมาเลี้ยงในบ่อน้ำและในนาข้าว

การตลาด วางแผนไว้ว่าเหลือจากกินในครอบครัวแล้ว จะขายที่ตลาดในชุมชนก่อน แล้วค่อยขยายไปตลาดนอกชุมชน เพราะในชุมชนมีร้านอาหารดังๆ ที่ต้องการวัตถุดิบประเภทผักเป็นจำนวนมาก

คำนวณต้นทุนการผลิต รายรับ-รายจ่าย = เงินออม – รายรับหลัก จะมาจากการขายผลิตผลทางการเกษตร รายรับจากการจัดการสถานที่ ค่าวิทยากร ขายมูลไส้เดือน เมล็ดพันธุ์ผัก ปลา

– รายจ่าย ค่าบริหารจัดการแปลงเกษตรที่ต้องเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่นำเงินทุนเดิมออกมาใช้ เหลือก็เป็นรายจ่ายประจำวันของครอบครัว และเป็นเงินออมทรัพย์

ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ด้วยแล้ว โดยทำแผนสำรองไว้ หากแผนหลักไม่ประสบผลสำเร็จ จากนั้น ลงมือทำทันที แปลงแผนงาน สู่การปฏิบัติทำจริง

คุณสุริยา ได้ให้รายละเอียดว่า เมื่อวางแผนที่จะทำแปลงเกษตรเสร็จแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติ อันดับแรกถมที่นาให้เป็นแปลงปลูกผักและแปลงสาธิต ขุดบ่อเลี้ยงปลา และนำน้ำมาใช้ในแปลงเกษตร พร้อมจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะใช้มาดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปทำทีละเรื่อง

เริ่มปรับสภาพดิน เพราะพื้นที่เดิมเป็นนาข้าวที่ไม่ใช่พื้นที่ราบเสียทีดียว ซึ่งเป็นลักษณะทางภูมิประเทศโดยทั่วไปของภาคเหนือตอนบน จึงต้องปรับสภาพก่อนเพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีอินทรียวัตถุ ธาตุอาหาร น้ำ อากาศที่เพียงพอและเหมาะสมที่จะทำให้พืชผักเจริญเติบโต โดยใช้มูลไส้เดือนเป็นพระเอก ตามด้วยปุ๋ยหมัก ในการเสริมธาตุอาหารและให้เกิดจุลินทรีย์ในดิน โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ จากนั้นวางระบบน้ำด้วย ท่อ PVC เป็นระยะๆ ติดตั้งหัวสปริงเกลอร์

เป็นการปลูกผักแบบหมุนเวียนบนพื้นที่เดียวกัน ซึ่งป้องกันโรคและแมลงได้กับเหตุผลที่เลือกปลูกผักชนิดดังกล่าว เพราะตลาดในชุมชนต้องการและเป็นรายรับรายวัน

ขุดสระน้ำ นำน้ำมาใช้ในแปลงเกษตรและเลี้ยงปลาดุก ปลานิล สระน้ำนี้เป็นตัวช่วยทำให้ดินชุ่มชื้นได้มาก ใช้เป็นที่พักน้ำปลูกผักกระเฉดเพื่อลดสารพิษ เมื่อจะนำน้ำมาใช้ น้ำนี่ช่วยลดต้นทุนในการเกษตรได้มาก แล้วยังเป็นที่พักผ่อนได้ด้วย รอบสระน้ำปลูกกล้วย ต้นแค ผักหวานป่า มะม่วง มะพร้าว มะยงชิด ส้มโอ ทุเรียน เป็นรายรับรายสัปดาห์และรายปี

เพาะเลี้ยงไส้เดือน เพื่อใช้มูล ขาย ฝึกอบรม

คุณสุริยา บอกว่า สร้างโรงเรือนเพาะเลี้ยงไส้เดือน ขยายจำนวนจากที่ได้มาจากการอบรม จำนวน 2 กะละมังพลาสติก ได้เป็น 30 กะละมังพลาสติก แบ่งปันให้เพื่อนเกษตรกรนำไปเลี้ยงสร้างอาชีพ “ก็มีบางครั้งที่ทางเทศบาลขอใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม สาธิตการเลี้ยงไส้เดือน ผมก็จะเป็นวิทยากรให้และยังมีรายรับจากการขายตัวไส้เดือนบวกชุดอุปกรณ์ ชุดละ 270 บาท ขายมูลไส้เดือน บรรจุถุง ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคา 30 บาท น้ำมูลไส้เดือน ขวด 500 ซีซี ขวดละ 20 บาท”

เกษตรผสมผสาน คือทางออกความยั่งยืนในชีวิต

เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming) ที่คุณสุริยาทำอยู่นี้เป็นการจัดการการเกษตรภายใต้การเกื้อกูลกันตามธรรมชาติที่ก่อเกิดประโยชน์แก่กันและกัน การอยู่ร่วมกันระหว่างพืชกับสัตว์และสิ่งแวดล้อม ในทรรศนะของคุณสุริยา แม้รูปแบบนี้จะไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มุ่งสู่การค้าเป็นหลักไปสู่เกษตรไทย ยุค 4.0 ก็ตาม แต่เป้าหมายจากระบบคิดของคุณสุริยามีความชัดเจนที่จะนำพาครอบครัวให้มีชีวิตที่มั่นคงได้ สร้างคลังอาหารให้แก่ครอบครัวและชุมชน โดยมีขีดความสามารถที่จะพัฒนาไปสู่เกษตรธรรมชาติเชิงการค้าด้วยรูปแบบของกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชน

กิจกรรมที่น่าศึกษาในแปลงเกษตร เป็นโมเดลที่นำไปใช้ได้

คุณสุริยา ได้สร้างรูปแบบหรือโมเดลแปลงเกษตรตามที่เกษตรกรทั่วไปมักจะปลูกข้าวเป็นพืชเชิงเดี่ยว แต่คุณสุริยาทำแบบผสมผสานและสรุปผลความแตกต่างของรายรับว่า แนวคิดเดิม ใช้พื้นที่ 2 งาน (200 ตารางวา) โดยปลูกข้าวอย่างเดียว มีรายรับ 4,000 บาท ทำอย่างไร จึงจะใช้พื้นที่เท่ากัน แต่มีรายรับมากกว่า 4,000 บาท และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เกษตรกรอื่นๆ เห็นว่า “แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน” จากที่เคยปลูกข้าวได้เงิน 4,000 บาท เปลี่ยนวิธีคิดนิดเดียว มีรายรับ 8,550 บาท โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก

เขาแนะนำการปลูกพืชแต่ละแปลง

แปลงที่ 1 เป็นแปลงปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว VIPSTARVEGAS.COM โดยใช้ข้าวเจ้าสายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในเนื้อที่ 50 ตารางวา โดยทำนาแบบดั้งเดิม คือใช้คนปลูกและไม่ใช้สารเคมีใดๆ จะได้ข้าวเปลือก 100 กิโลกรัม ราคาขาย กิโลกรัมละ 10 บาท ได้เงิน 1,000 บาท

แปลงที่ 2 ปลูกข้าวเจ้าขาวดอกมะลิ 105 เนื้อที่ 50 ตารางวา เหมือนแปลงที่ 1 แต่เลี้ยงปลาดุกในนาข้าว 100 ตัว จะมีรายรับจากการขายข้าวเปลือกและขายปลาดุก 2,050 บาท ผลดีสืบเนื่องก็คือ ต้นข้าวไม่มีแมลงรบกวน และปลาก็เติบโตดี โดยไม่ต้องลงทุนซื้ออาหารปลา ขายข้าว 1,000 บาท บวกขายปลาดุก 1,050 บาท รวมรับ 2,050 บาท

แปลงที่ 3 ปลูกผักบุ้งจีน เนื้อที่ 50 ตารางวา ขายได้เงิน 4,000 บาท แปลงที่ 4 ปลูกเผือกหอม เนื้อที่ 50 ตารางวา ขายได้เงิน 1,500 บาท รวมรายรับ 8,550 บาท ขณะที่ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว ในเนื้อที่ 200 ตารางวา จะมีรายรับเพียง 4,000 บาท ทั้งหมดใช้เวลา 1 ฤดูกาล ของข้าวคือ 4 เดือน

เทคโนโลยีระบบน้ำอัตโนมัติในแปลงเกษตร

คุณสุริยา ได้นำเทคโนโลยีระบบจ่ายน้ำอัตโนมัติ (Automatic Watering System) มาใช้ในแปลงเกษตร โดยได้เปรียบเทียบระบบการให้น้ำในแปลงเกษตรระบบเดิมกับระบบที่คุณสุริยาคิดค้นสร้างขึ้นมาใช้ ว่าระบบนี้ส่งผลให้เกิดการประหยัดเวลา เงินทุน แรงงาน

ระบบเดิม ใช้สายยางเดินรดน้ำ ในพื้นที่ 1 งาน (เช้าและเย็น)

– ใช้เวลา 2 ชั่วโมง/วัน หรือคิดเป็น 91 วัน/ปี

– ค่าแรง วันละ 300 บาท คิดเป็นรายรับที่เสียไป

– 27,300 บาท/ปี

ระบบจ่ายน้ำอัตโนมัติ (Automatic Watering System) ใช้สปริงเกลอร์ (sprinkler) แทนสายยาง

– ประหยัดเวลาได้ 2 ชั่วโมง/วัน

– สามารถตั้งเวลา เปิด-ปิดน้ำได้ตามต้องการ แม้ตนเองไม่อยู่ในแปลงเกษตรหรือไม่ได้อยู่บ้าน

– ลงทุนครั้งเดียว เพียง 15,000 บาท แต่สามารถใช้งานได้นานหลายปี

มาดูการติดตั้งและระบบการจ่ายน้ำของ Automatic Watering System ที่ผ่านหัวจ่ายน้ำด้วยสปริงเกลอร์

ถ่ายทอดความคิด ชวนกันรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

คุณสุริยา ได้บอกว่า ตนเองได้เห็นภาพของเกษตรกรรอบข้างต่างคนต่างปลูกผัก บางคนปลูกแล้วไม่มีแหล่งขายผัก บางคนก็ขายไม่ได้ เพราะผักไม่มีคุณภาพ เมื่อย้อนมามองตัวเอง ถ้ายังทำอยู่อย่างนี้ คือปลูกคนเดียว ต้องหาตลาดด้วย มันเหนื่อย! “ผมไม่คิดจะปลูกผักและขายแข่งกับเกษตรกรรายอื่น แต่ถ้าชักชวนกันมารวมกลุ่มแล้วบริหารจัดการให้ดี แบ่งปันผลประโยชน์ที่ทุกคนพอใจ น่าจะเป็นการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปอีกขั้นหนึ่ง”

เมื่อคิดได้ดังนี้ คุณสุริยา จึงออกไปถ่ายทอดความคิด ชักชวนเกษตรกรผู้ปลูกผัก ว่าถ้ารวมกลุ่มกันจะก่อเกิดผลดีกว่าในเรื่องผลผลิตผักมีปริมาณมากพอ พอที่จะป้อนเข้าสู่ตลาด ได้ราคาดีกว่าต่างคนต่างขาย การพบปะแลกเปลี่ยนพูดคุยกันดีกว่าต่างคนต่างอยู่ ได้เสวนากัน อาจก่อเกิดความคิดดีๆ ทุกคนได้บริหารจัดการกลุ่มร่วมกัน การส่งเสริมทั้งทางวิชาการ งบประมาณจากหน่วยงานภายนอก ก็จะได้รับการพิจารณาได้ง่ายขึ้น

ในที่สุด เห็นพ้องต้องกัน จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนเกษตรธรรมชาติบ้านแม่ลานเหนือ ปัจจุบัน มีสมาชิกกลุ่ม 58 คน และคุณสุริยาทำหน้าที่เป็นประธาน