ชันโรงบ้าน เป็นชันโรงในโรงเทียมที่เกิดตามอาคารบ้านเรือน

เครื่องใช้ไม้สอย ในภาชนะเครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่ทิ้งไว้ในร่ม สภาพเป็นโพรง เพราะเป็นที่อยู่อาศัยกันแดดกันฝนได้ เช่น ชันโรงหลังลาย ชันโรงขนเงิน ชันโรงรุ่งอรุณ

ชันโรง เป็นสัตว์สังคม แยกออกเป็น 3 วรรณะ ได้แก่

นางพญาชันโรง เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว มีขนาดใหญ่ ลำตัวยาว มีหน้าที่ในการวางไข่และควบคุมการทำงานของชันโรงงานภายในรังทั้งหมด

ชันโรงงาน มีขนาดเล็ก อกและท้องสีเหลืองกว่านางพญา มีหน้าที่ตั้งแต่การทำความสะอาดรัง สร้างกลุ่มไข่ ซ่อมแซมรัง เป็นพี่เลี้ยงช่วงนางพญาวางไข่ ป้องกันรัง ตลอดจนการออกหาอาหาร ได้แก่ น้ำหวาน เกสรและยางไม้

ชันโรงตัวผู้ มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับชันโรงงาน มีตาและท้องสีน้ำตาลเข้ม ชอบจับกลุ่มอยู่บริเวณหน้ารังที่กำลังจะมีนางพญาใหม่ออกเรือน มีหน้าที่ผสมพันธุ์กับนางพญาพรหมจรรย์ที่จะออกเรือน

ประโยชน์ของการเลี้ยงชันโรง เป็นการอนุรักษ์แมลงที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยผสมเกสรพืชทางการเกษตร โดยเฉพาะพืชที่ผสมเกสรติดยาก เช่น ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ มะพร้าว แตงกวา ฟักทอง เมล่อน ทานตะวัน สตรอเบอรี่ ช่วยให้อัตราการติดผลเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 80-90 การติดเมล็ดดีขึ้นกว่าการผสมเกสรตามธรรมชาติ เมล็ดพันธุ์มีความสมบูรณ์ ผลผลิตไม่มีรูปร่างบิดเบี้ยว ได้น้ำผึ้งชันโรงที่มีส่วนประกอบหลักคือ น้ำผึ้ง อาจมีชันผึ้งละลายปนอยู่ สีค่อนข้างดำหรือเข้ม มีความเป็นกรดค่อนข้างสูงจึงมีรสเปรี้ยว มีคุณสมบัติเป็นสารยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้เป็นสารปฏิชีวนะรักษาโรคบางโรคที่เกิดขึ้นในร่างกายของมนุษย์ มีราคาสูง เป็นที่ต้องการของคนรักสุขภาพ

ได้ชันผึ้ง ที่มีคุณสมบัติหลักคือ เป็นสารป้องกันและกำจัดโรคของมนุษย์ เป็นสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือโรคผิวหนัง รวมถึงโรคในช่องปาก กล่องเสียง และลำไส้ใหญ่ อีกทั้งได้รับการพัฒนาให้เป็นเครื่องสำอาง น้ำหอม โลชั่น ครีมและสบู่ ผลิตภัณฑ์มีราคาสูง สามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้แบบยกรัง ราคาประมาณ 1,500-2,000 บาท ต่อรัง บริการให้เช่ารังชันโรงนำไปวางในสวน เพื่อให้ชันโรงช่วยผสมเกสรในสวนของตนเอง ปัจจุบันราคาให้เช่า 30-50 บาท ต่อรัง ช่วยเป็นงานอดิเรกแก่ผู้เลี้ยง เป็นการคลายเครียดอีกทางหนึ่ง

การเริ่มต้นเลี้ยงชันโรง เริ่มจากเลือกกล่องเลี้ยงชันโรง ต้องเป็นกล่องที่หาง่าย ราคาถูก ใช้ประโยชน์ได้ดี สะดวกในการปฏิบัติงาน รังจะต้องควบคุมอุณหภูมิได้คงที่ คงทนต่อสภาพแวดล้อมและอากาศได้ดี ชันโรงแต่ละชนิดมีความต้องการขนาดของรังแตกต่างกัน จำเป็นต้องให้มีความเหมาะสมของชันโรงแต่ละชนิด รังจะต้องประกอบและแยกขยายได้ง่าย สามารถเปิดรังสังเกตพฤติกรรมของชันโรงได้ง่ายและสะดวก พันธุ์ของชันโรงต้องมีคุณลักษณะที่สามารถนำมาเลี้ยง ได้แก่ เป็นชนิดที่สามารถปรับตัวและทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ด้วย ไม่ดุร้ายและไม่รบกวน มีความกระตือรืนล้น ขยายพันธุ์ได้ง่าย นางพญามีประสิทธิภาพในการวางไข่ได้ปริมาณมาก ทนต่อสภาพแวดล้อมเข้ากับที่อยู่ใหม่ได้ ขนาดของรังชันโรงต้องไม่ใหญ่เกินไป และสามารถแยกขยายได้ง่าย สะดวก เลือกสายพันธุ์ที่ทนทานต่อศัตรูได้ดี

ชันโรง สามารถแยกขยายได้ประมาณปีละ 2 ครั้ง พิจารณาจากความหนาแน่นของประชากรชันโรง รวมถึงอาหารที่สะสมไว้ในรัง การแยกขยายรังจะต้องสำรวจดูนางพญาหรือหลอดนางพญาชันโรงให้สัมพันธ์กับกลุ่มหลอดไข่และหลอดดักแด้ เพื่อให้หลอดนางพญาออกมาเป็นนางพญาพรหมจรรย์ และพร้อมสำหรับการผสมพันธุ์กับชันโรงตัวผู้ จึงจะประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์ชันโรง

ขั้นตอนการแยกรัง สำหรับผู้เริ่มเลี้ยงใหม่ มีขั้นตอนดังนี้
ทำความสะอาดรังแยกหรือรังใหม่ เตรียมรังพ่อแม่พันธุ์ การล่อให้ชันโรงออกมาจากรังก่อนเพื่อจะได้ไม่รบกวนขณะทำงาน เปิดรังสำรวจปริมาณไข่ ดักแด้ และตัวเต็มวัย ให้มีปริมาณสมดุลพอสมควรก่อนแยกรัง ที่สำคัญต้องมีไข่นางพญา คัดแยกมาวางที่ด้านหลังของรังที่เตรียมไว้ ตัดแยกกลุ่มอาหารวางไว้ด้านหน้าของรังที่ทางเข้า-ออกของชันโรง แยกกลุ่มไข่จากรังพ่อพันธุ์ ประมาณ 200 ฟอง วางไว้ใกล้ไข่นางพญา แล้วปิดด้วยพลาสติกใส นำไขหรือขี้ชันโรงจากรังเดิมมาปิดไว้ที่ทางเข้า-ออก เพื่อล่อให้ตัวเต็มวัยออกไปเก็บเกสรและน้ำหวานมาเข้าไว้ในรังเพาะขยาย ปิดทางเข้าด้วยไขชันโรง จากนั้นจึงย้ายรังชันโรงออกไปวางห่างกันจากจุดเดิม ประมาณ 300 เมตร

ข้อดีของการเลี้ยงชันโรง ได้แก่ ไม่มีพฤติกรรมการทิ้งรัง ไม่เลือกตอมดอกไม้ที่ชอบ ไม่ดุร้ายหรือไม่ต่อย รัศมีการบินหากินไม่เกิน 300 เมตร มีสัดส่วนในการเก็บเกสร ร้อยละ 80 และน้ำต้อย ร้อยละ 20 สามารถเลี้ยงแบบอยู่กับที่หรือเคลื่อนย้ายได้ ทนต่อสภาพการปิดรังได้นานนับ 10 วัน เพื่อการเคลื่อนย้ายรังไปหาอาหาร การเลี้ยงแต่ละรังมีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่ถ้าเป็นรังที่เลือดชิด หรือเกิดจากการไม่คัดเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ จะเลี้ยงอยู่ได้ 1-2 ปี มีพฤติกรรมการเก็บยางไม้ น้ำผึ้งที่ได้จากชันโรงมีคุณสมบัติทางยา

ชันโรง เป็นแมลงผสมเกสรที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในภาคการเกษตรที่เน้นการลดการใช้สารเคมี ได้ประโยชน์จากผลผลิตและผลพลอยได้ ช่วยให้เกิดความหลากหลายทางธรรมชาติ อีกทั้งเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน เกษตรกรหันมาปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยจากสารเคมี ฯลฯ การเลี้ยงชันโรงในพื้นที่ จึงเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผลผลิตของตนเอง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปริวรรต ปันจะ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร ด้านแมลงเศรษฐกิจ เชียงใหม่ 082-629-7867

เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับพันธมิตร Food Factors ในเครือบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ขอเชิญผู้ประกอบการ SME และผู้สนใจด้านนวัตกรรมอาหาร เข้าร่วมกิจกรรม Pre-Conference Events: Food Innopolis International Symposium (FIIS) 2019 ซึ่งเป็นกิจกรรมก่อนงานงานประชุมนานาชาติด้านนวัตกรรมการผลิตและความยั่งยืนของอาหารโลก ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 9 – 10 พ.ย. 62 ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ 9 พ.ย. (09.00 – 18.30 น.) งาน HACKABEER “The First Beer Waste Hackathon in Thailand”

จุดประกายความคิดร่วมค้นหาแนวทางแก้ปัญหาของเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเบียร์ ที่ห้อง X04 A-B ชั้น 10 อาคาร KX Knowledge Xchange (https://forms.gle/Lw77H3VevoRMPUEY6) 10 พ.ย. (09.00 – 16.00 น.) งาน TASTE (PADTHAI #3 Demo Day) เส้นทางสู่ธุรกิจนวัตกรรมอาหารขยายสู่ตลาดโลก ที่ The Society by MCFIVA ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์ (https://forms.gle/o3wbhebiPRpbSJEWA) และที่เดียวกันช่วงค่ำ 10 พ.ย. (17.00 – 21.00 น.) งาน FI FoodTech Battle Ground “Pitching-Networking-Matchmaking” ชมการพิชชิ่งของสตาร์ทอัพ (https://forms.gle/1QZw1bDTRFzHX4pp9) ผู้สนใจลงทะเบียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละงานได้ตามลิงค์ข้างต้น หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์งาน FIIS2019

บริษัท ครีเดนซ์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ กลุ่มวังขนาย แนะนำ น้ำตาลคาราเมล ผลิตจากอ้อยที่คัดสรรเป็นพิเศษด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัย สะอาด บริสุทธิ์ ถูกหลักอนามัย ในขนาดที่พอเหมาะ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการบริโภค ทั้งยังสร้างความหวาน และเสริมความหอมกรุ่นให้กับอาหารและเครื่องดื่มให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น บรรจุถุงซิปล็อค ขนาด 500 กรัม สะดวกในการใช้งานและการเก็บรักษา มีจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป โปรโมชั่นสุดคุ้ม!!! ปกติราคา 38 บาท พิเศษในราคา 32 บาท เท่านั้น ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2562 ที่ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกสาขา

หวนเวลาสู่อดีต สัมผัสความสง่างามอาณาจักรยุโรปยุคเก่า มหานครขุนเขาแห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กับ “จ๊อบ – นิธิ สมุทรโคจร” ขอพาดูโอ้หน้ามนอย่าง “โก – โกสินทร์ ราชกรม” เดินทางจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่ใจกลางเมืองสวิตเซอร์แลนด์ ปฏิบัติภารกิจสูงเสียดฟ้า พิชิตความหนาวสุดขีดแห่งยอดเขา Titlis

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ปลายทางสุดคลาสสิกของธรรมชาติ พานั่งรถไฟฟันเฟืองขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาและและผืนน้ำสีครามของทะเลสาบ Lugano ที่ยอดเขา Generoso ได้แบบ 360 องศา พร้อมลองลิ้มชิมรสเมนูอาหารระดับ Michelin Star บนห้องอาหารสุดหรูภายใน Stone flower ก่อนจะไปเดินเล่นชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศเมืองจำลอง Swissminiatur Park ที่รวมสถาปัตยกรรมไอคอนกว่า 120 แบบเอาไว้ที่นี่ จากนั้นนั่งรถไฟสาย Gotthard Panorama Express แล่นสู่ใจกลางเมืองสวิตเซอร์แลนด์ เดินชิลๆ บนสะพานไม้ที่เก่าแก่มีอายุกว่า 670 ปี แลนด์มาร์คสุดฮิตของเมือง Lucerne ก่อนจะเพิ่มความตื่นเต้นขึ้นอีกนิด ด้วยการนั่งกระเช้าที่หมุนได้ 360 องศา พิชิตภูเขาหิมะที่สูงเฉียดฟ้า ท้าทายตัวเองที่ยอดเขา Titlis หนึ่งในแลนด์มาร์กยอดฮิตที่พลาดไม่ได้

สัมผัสประสบการณ์สุดตราตรึง พร้อมเติมเต็มความฝันในการเดินทางด้วยกัน ในรายการ เที่ยวให้สุด สมุดโคจร : Grand train tour of Switzerland EP.5 วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 21.30 น. เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ PPTV HD ช่อง 36 หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ที่

องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านการกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพฯ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ และที่ผ่านมาองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ให้เป็นตลาดสำหรับเกษตรกรจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ โดยดำเนินการจัดจำหน่ายทั้งปลีกและส่งในประเทศและต่างประเทศ

นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวว่า “อ.ต.ก. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และได้ดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลในการปฏิรูปและพัฒนาทางด้านภาคการเกษตร โดยเล็งเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรแบบปลอดภัย ทั้งยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค จึงได้เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ให้เป็นตลาดสำหรับเกษตรกรจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเป็นทั้งศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกร ที่จัดจำหน่ายโดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร และดำเนินการจัดจำหน่ายทั้งปลีกและส่งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ฯ นี้ อ.ต.ก. มีแผนงานดำเนินการพัฒนาเพื่อขยายโอกาสทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ฯ โดยให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ อ.ต.ก. จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ อ.ต.ก. หรือ “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์ฯ และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกร องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ทั้งยังเป็นแหล่งกลางเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นำผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือน และสินค้าอื่นๆ มาจัดจำหน่ายแลกเปลี่ยนให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นการเชื่อมโยงทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวัน (ข้างธนาคารกรุงไทย)

ทั้งนี้ “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ได้แบ่งโซนจัดจำหน่ายออกเป็น 2 โซน เพื่อความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (Sale of Organic Product) และการจำหน่ายสินค้าปลอดภัย (Sale of Food Safety) ซึ่งภายในจะจำหน่ายสินค้าออร์แกนิก, สินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย รวมทั้งสินค้าเกษตรอินทรีย์ ที่คัดสรรได้มาตรฐานจากเกษตรกรกว่า 50 ราย อาทิ พืชผักผลไม้อินทรีย์ตามฤดูกาลปราศจากสารเคมีปนเปื้อน ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ไข่ไก่ออร์แกนิก สินค้าแปรรูปจากกระบวนการธรรมชาติ รวมถึงของขึ้นชื่อระดับ Best of Ortorkor อย่าง เห็ดแครง อ.ต.ก. ซึ่งสินค้าในตลาดจะสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดี ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึง กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วย ที่ต้องการสินค้าออร์แกนิกคุณภาพสูงและสินค้าเฉพาะที่ไม่มีสารเคมี 100% ที่ตรงกับโจทย์ของตลาดเกษตรอินทรีย์ฯ ที่มีความโดดเด่นด้านปัจจัยคุณภาพและความปลอดภัยในระดับสูง นายกมลวิศว์ กล่าวปิดท้าย

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มอบรางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมดีเด่น 60 ปี วช. แก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ผู้ผลิตผลงานที่มีศักยภาพ สร้างคุณูประการและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม การพัฒนาชุมชนและพื้นที่ การพัฒนาเศรษฐกิจ/อุตสาหกรรม และสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ ในงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ครบรอบ 60 ปี วันที่ 25 ตุลาคม 2562 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชั้น 2 อาคาร วช 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. เป็นหน่วยงานหลักในการให้ทุนการวิจัยของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าด้านการวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการนำผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบ 60 ปี จึงได้คัดเลือกผลงานวิจัยและนวัตกรรม เข้ารับรางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมดีเด่น 60 ปี วช. จำนวน 12 ผลงาน ใน 3 ด้าน โดยมีผลงานที่ได้รับรางวัล ดังนี้

ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ด้านการพัฒนาสังคม จำนวน 4 ผลงาน ได้แก่ 1) ผลงานเรื่อง “ชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียม: ผลิตเอง ใช้เอง เพิ่มคุณค่าจากยางพาราสำหรับการดูแลผู้ป่วย ที่มีทวารเทียม” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ และคณะ 2) ผลงานเรื่อง “ซีลค์ฮีล: แผ่นปิดกระตุ้นการหายของบาดแผลจากโปรตีนกาวไหม” ของศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ และคณะ 3) ผลงานเรื่อง “บลิกซ์พ็อพ สนามจินตนาการ: Blixpop Imaginative Playground” ของนางสาวณัชชา โรจน์วิโรจน์ และ 4) ผลงานเรื่อง “การศึกษาพัฒนาพรมมิเพื่อใช้เป็นสมุนไพรบำรุงความจำ” ของรองศาสตราจารย์ ดร.กรกนก อิงคนินันท์ และคณะ

ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ด้านการพัฒนาชุมชนและพื้นที่ จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ 1) ผลงานเรื่อง “เครื่องปลูกมันสำปะหลังชุมชน” ของนายโมเสส ขุริลัง 2) ผลงานเรื่อง “เครื่องอบแห้งถังหมุนแบบเคลื่อนย้ายได้ สำหรับผลผลิตทางการเกษตร” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรมาส เลาหวณิช และคณะ และ 3) ผลงานเรื่อง “การออกแบบเครื่องทอผ้าแบบยกดอกพิเศษด้วยเครื่องแจ๊คการ์ด (JACQUARD) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ อริยะเครือ

ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม จำนวน 5 ผลงาน ได้แก่ 1) ผลงานเรื่อง “มันสำปะหลัง “ห้วยบง 60”” ของรองศาสตราจารย์ ดร.วิจารณ์ วิชชุกิจ และคณะ 2) ผลงานเรื่อง “เอทีเอส-2: พันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมเพื่อฝักสดและอุตสาหกรรมแปรรูป” ของ ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ 3) ผลงานเรื่อง “เครื่องตรวจความผิดปกติของนม ยู.เอช.ที. หรือผลิตภัณฑ์อาหารเหลวบรรจุกล่องแบบไม่ทำลาย” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุวรรณ หอมหวล และคณะ 4) ผลงานเรื่อง “ลูกบอลดับเพลิง ELIDE FIRE( EXTINGUISHING BALL” ของนายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ และคณะ และ 5) ผลงานเรื่อง “โครงการบูรณาการเทคโนโลยีชีวภาพในการสร้างพันธุ์ข้าว เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่าสูง: ข้าวไรซ์เบอร์รี่” ของศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร และคณะ

ผลงานที่ได้รับรางวัลในแต่ละด้าน จะได้รับประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติคุณ โล่เกียรติคุณ เงินรางวัล ผลงานละ 10,000 บาท และสิทธิ์ในการรับการสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาต่อยอดผลงาน ซึ่งผลงานวิจัยและนวัตกรรม ทั้ง 12 ผลงาน ล้วนเกิดมาจากความทุ่มเทของคณะนักวิจัย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ จนทำให้ผลงานวิจัยตอบโจทย์ความต้องการของสังคมรวมทั้งสร้างผลกระทบ เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปในทิศทางที่ดี ดังที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ครบรอบ 60 ปี ภายใต้หัวข้อ “60 ปี วช.พัฒนาไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ระหว่างวันที่ 25 – 26 ตุลาคม 2562 พร้อมจัดแสดงผลงานวิจัยในรอบ 60 ปี ที่ผ่านมา และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัย

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการดำเนินงานที่สำคัญของ วช. ตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และเพื่อสร้างความเข้าใจต่อภารกิจใหม่ของ วช. ในฐานะหน่วยงานให้ทุนวิจัยหลักของประเทศภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ครบรอบ 60 ปี ภายใต้แนวคิด “60 ปี วช. พัฒนาไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม”

ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” และ“พระบิดาแห่งการวิจัยไทย” นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

นิทรรศการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ครบรอบ 60 ปี การเสวนาทางวิชาการ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์
ซึ่งเป็นผลผลิตจากงานวิจัยในราคาย่อมเยาและยังมีการนำปูม้าสด ๆ ผลผลิตจากธนาคารปูม้า และอาหารทะเลต่าง ๆ มาร่วมจำหน่าย นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรม สาธิต ถ่ายทอดความรู้จากงานวิจัย ในหัวข้อ “เทคนิคการบินโดรนแปรอักษร” และหัวข้ออื่น ๆ ที่น่าสนใจ ณ ชั้น 1 อาคาร วช. 4 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ