ชัยภูมิ เปิดตัว ‘ทุเรียนโอโซน’ ชูเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นปลูกสูง

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2561 สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยภูมิ โดย นายดำรงฤทธิ์ หลอดคำ เกษตรจังหวัดชัยภูมิ จัดงานเปิดตัวทุเรียนโอโซน ที่อำเภอเทพสถิต ที่สวนทุเรียนเทพยินดี บ้านเทพนา หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพ จังหวัดชัยภูมิ หวังกระตุ้นยอดขายและกระตุ้นให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูกและควบคุมคุณภาพผลไม้ขึ้นชื่อของอำเภอ นั่นคือ ทุเรียนเทพสถิต ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาช็อป ชิม แชะ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้มีความยั่งยืน โดยมี นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานเปิดงาน

งานทุเรียนโอโซน อำเภอเทพสถิต จัดเป็นปีแรก ภายใต้สโลแกน “หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว เที่ยวสวนทุเรียนโอโซน” ถึงแม้จะจัดค่อนข้างช้า แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักทุเรียนโอโซน ได้กว้างขวางขึ้น เนื่องจากทุเรียนโอโซนมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ทั้งรสชาติ หวาน กรอบ อร่อย และช่วงเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ซึ่งทุเรียนที่นี่ส่วนมากปลูกบนภูเขา สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 800 กว่าเมตร ผลผลิตจะออกสู่ตลาดหลังทุเรียนของภาคตะวันออก

“พอของเขาหมด ของเราจะเริ่มออกสู่ตลาดพอดี ประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ไปจนถึงเดือนตุลาคม ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี จึงตั้งชื่อว่า ทุเรียนโอโซน นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ นอกจากจะได้สัมผัสบรรยากาศสดชื่น ชมความสวยสดงดงามของทุ่งดอกกระเจียว ผาสุดแผ่นดิน สวนหินล้านปี ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าหินงามแล้ว ยังสามารถแวะเที่ยวชม ชิม ช็อป ทุเรียนในสวนของเกษตรกรได้อีกด้วย และถือโอกาสซื้อกลับเป็นของฝาก” นายดำรงฤทธิ์ กล่าว

ด้าน นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีเกษตรกรที่อำเภอเทพสถิต ปลูกทุเรียน 100 กว่าราย พื้นที่ 300 กว่าไร่ ในจำนวนนี้ให้ผลผลิตแล้วกว่า 100 ไร่ ผลผลิตกว่า 200 ตัน/ปี หรือประมาณ 7 หมื่นลูก เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน มิถุนายน-สิงหาคม ปีละกว่า 2.5 แสนคน ถือว่าผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จังหวัดจึงจัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรในพื้นที่ทั้งรายเก่าและรายใหม่หันมาปลุกทุเรียนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันได้เปิดเวทีให้เกษตรกรที่มาร่วมงานกว่า 200 คน ในวันนี้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์การปลูกทุเรียนซึ่งกันและกัน

ตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด

คำพังเพยที่โบราณว่าไว้นั้นใช้ได้ทีเดียว แถมยังได้ความรู้และประสบการณ์จากผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่อีกมากมาย โดยปกติแล้วคนเฒ่าคนแก่จะมีอาการปวดเมื่อย ปวดแข้ง ปวดขา หน้ามืดตามัว

ก่อนอื่นจะนึกถึงยาหม่องทั่วไปตามท้องตลาด ไม่ว่ายี่ห้อไหนๆ ก็ตามก็จะเป็นยาหม่องชนิดเดียวกัน สรรพคุณเบื้องต้นเหมือนกันแทบทั้งสิ้น

ด้วยอาการต่างๆ ที่กล่าวมา ส่วนมากจะเกิดกับคนสูงอายุ การสนิทกับคนเฒ่าคนแก่มันดีอย่างนี้นี่เอง

อาการปวดล้าตามแขนขาก็เกิดกับวัยอย่างเราๆ ท่านๆ ได้เช่นกัน

จึงมีโอกาสได้ใช้น้ำมันเอ็นยืด ซึ่งมีลักษณะเหมือนยาหม่องจากท่านผู้เฒ่าด้วย แต่ทำจากสมุนไพรหญ้าเอ็นยืด แรกๆ ก็ไม่เคยรู้จักสมุนไพรดังกล่าว มารู้ก็ต่อเมื่อเพื่อนเอามาฝาก จึงรู้ว่าสรรพคุณน้ำมันล้ำเลิศจริงๆ หากจะบอกว่ามันน่าอัศจรรย์ก็ดูจะเกินไป ก็ต่อเมื่อได้ใช้จริงๆ นั่นแหล่ะว่ามันใช่ ได้ศึกษาข้อมูลและการอ้างอิงที่ถูกต้องจึงรู้ที่มาที่ไปของหญ้าเอ็นยืดตามภาษาเรียกท้องถิ่น ส่วนกรุงเทพฯ เรียกว่า ผักกาดน้ำ

หาได้ไม่ยากเลย จะพบเห็นได้ทั่วทุกภาค โดยจะขึ้นตามทุ่งหญ้า พื้นที่โล่งแจ้งที่มีความชุ่มชื้น ถ้าไม่อยากไปเสาะแสวงหาตามป่าตามทุ่งหญ้าก็สามารถนำเมล็ดแก่ไปปลูกเองได้เลยยิ่งดี

สรรพคุณของหญ้าเอ็นยืด รู้แล้วจะทึ่ง

มันมากเกินจะกล่าวอ้าง มาดูกันคร่าวๆ แล้วนำไปปฏิบัติใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพรด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ดังนี้

– ลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ

– เส้นเอ็นยึด อักเสบ

– ปวดต้นคอ

– ปวดบ่าไหล่

นี่เป็นเพียงอาการคร่าวๆ ที่น้ำมันนวดเอ็นยืดช่วยบรรเทาได้ดีทีเดียว

ประโยชน์ทางยาของหญ้าเอ็นยืดยังมีการนำส่วนต่างๆ ของหญ้าเอ็นยืดมาปรุงเป็นสมุนไพรรักษาและบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองอีกหลายอย่าง เช่น

– รากนำมาต้มแก้กระษัย

– เมล็ดทำให้ตาสว่าง ทั้งต้นช่วยรักษาตาแดง ตาเป็นต้อ

– เมล็ดแก้ไอ แก้หวัด หลอดลมอักเสบ

– ต้นและใบต้มกับพลูคาว แก้ความดันโลหิตสูง

นี่คือสรรพคุณและประโยชน์เพียงส่วนหนึ่งของหญ้าเอ็นยืด

หลังจากทดลองใช้ด้วยตัวเองแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันดีจริงๆ ซึ่งโดยปกติแล้วโดยส่วนตัวมักจะปวดเข่า ปวดน่อง ขา ไหล่ แทบจะทั้งตัวเลยก็ว่าได้ ไม่เชื่อขอท้าให้ลอง

ส่วนจะจริงหรือไม่อย่างไรนั้น ลองค่อยๆ ศึกษาด้วยตัวเองนะครับ สำหรับสมุนไพรที่ชื่อว่า “หญ้าเอ็นยืด” มัลเบอร์รี่ หรือ หม่อน ผลไม้หนึ่งในตระกูลเบอร์รี่ ปลูกง่าย แปรรูปเป็นผลิตภัณ์เพื่อสุขภาพสร้างมูลค่าได้หลากหลาย สามารถปลูกได้กับทุกสภาพพื้นที่ มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกัน หากปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน แดดจัด ผลจะดก โตเร็ว มีข้อเสียคือ ผลจะนิ่ม ถ้าปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นผลหม่อนจะออกไม่ดกมาก ข้อดีคือ ผลจะมีความหวาน กรอบ หากจะปลูกเชิงการค้าแนะให้เลือกพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเย็นและมีแดดส่องถึง

คุณนันทวัน โตอินทร์ หรือ ครูไก่ เจ้าของสวนแม่หม่อน ตั้งอยู่ เลขที่ 201 หมู่ที่ 5 ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เผยเทคนิคการปลูกมัลเบอรร์รี่ แบบซุ้มอุโมงค์ ว่าเริ่มทำเต็มรูปแบบ เมื่อปี 2557 ปลูกทั้งหมด 13 ไร่ แบ่งปลูก 2 พันธุ์ แปลงแรก จำนวน 8 ไร่ ปลูกพันธุ์เชียงใหม่ 60 อีก 5 ไร่ แบ่งปลูกพันธุ์ดำออสตุรกีเป็นพันธุ์ของต่างประเทศ เพื่อสร้างความหลากหลาย ในส่วนของพันธุ์ดำออสตุรกี ตอนนี้ยังผลิตไม่พอขาย

ข้อดีของพันธุ์เชียงใหม่ 60 เหมาะกับทุกสภาพพื้นที่ทั่วประเทศ เพียงแต่มีข้อดี ข้อด้อย ต่างกัน ถ้าปลูกที่อำเภอวังน้ำเขียวเป็นพื้นที่อากาศเย็น เพราะฉะนั้นผลจะหวาน กรอบ ลูกแข็ง โดยธรรมชาติ

ปลูกมัลเบอร์รี่แบบอุโมงค์ ดูแลจัดการง่าย ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ที่สวนแม่หม่อน ใช้วิธีการปลูกแบบแบ่งโซน มีการจัดกิ่งให้โน้มเข้าหากันคล้ายอุโมงค์ เพื่อง่ายต่อการดูแลเก็บเกี่ยวผลผลิต และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม เก็บผลสดถ่ายรูปได้ตลอดทั้งปี วิธีการไม่ยาก แบ่งพื้นที่เป็น 4 โซน ถ้าปลูกที่บ้าน ให้ปลูกแค่ 4 ต้น สมมุติว่า ที่สวนมี 400 ต้น ให้แบ่งปลูกเป็นโซน โซนละ 100 ต้น

100 ต้นแรก ให้ตัดแต่งกิ่งและยอด เอาใบออก แล้วจับกางออกให้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง แล้วนับตั้งแต่วันตัดแต่งกิ่ง 50 วัน จะเริ่มเก็บลูกได้ ระยะเวลาในการเก็บลูก 20 วัน ถึง 1 เดือน ลูกจะหมด เพราะฉะนั้น 100 ต้นแรก แต่ง วันที่ 1 ของเดือนมกราคม เว้นไว้ 1 เดือน วันที่ 1 ของเดือนกุมภาพันธ์ มาแต่งอีกโซน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 4 โซน พอครบก็จะกลับมาโซนที่ 1 ใหม่ 1 ต้น 1 ปี จะตัดได้ 3 ครั้ง ด้วยวิธีนี้มัลเบอร์รี่ที่นี่จึงไม่ขาดลูกเลยตลอดทั้งปี

ระยะห่างระหว่างแถว 4×4 เมตร ต้นโตดี ให้ผลผลิตดก

ระยะห่างที่เหมาะสมคือ 4×4 เมตร เพื่อให้กิ่งแผ่รับแสงแดดได้เต็มที่ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทำงานสะดวก เก็บผลง่ายเวลาเดินเก็บไม่ต้องก้มให้ปวดหลัง” ครูไก่ บอก ระบบน้ำ เนื่องจากอำเภอวังน้ำเขียว เป็นอำเภอที่มีหมอกหนา น้ำค้างเยอะ ที่สวนจึงใช้สปริงเกลอร์สูง รดจากด้านบนลงมา ตั้งแต่ตี 5 ข้อดีคือ ชุ่มชื้น ล้างใบป้องกันโรคได้ดี แต่ข้อเสียของสปริงเกลอร์คือ เปลืองน้ำ หญ้าขึ้นเยอะ

เจ้าของบอกว่า ให้นับตั้งแต่วันที่เก็บลูกรุ่นแรกหมด พักไว้แล้วใส่ปุ๋ยคอก รดน้ำ พักทิ้งไว้ให้ต้นเก็บอาหารอย่างน้อย 2 เดือน แล้วตัดใหม่ ปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ตามสูตรของวิศวกรรมแม่โจ้ ลงสม่ำเสมอ เยอะไม่เป็นไร จะเป็นมูลอะไรก็ได้ ที่นี่จะใช้มูลวัว เพราะโดยแวดล้อมเกษตรกรเลี้ยงวัวเยอะ ถ้าที่อื่นมีฟาร์มหมูหรือฟาร์มไก่ ก็ใช้ได้เช่นกัน

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากสัปดาห์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กรมอนามัยพบว่าแม่ส่วนหนึ่งน้ำนมไม่เพียงพอ แนะสร้างเสริมโภชนาการ กินผักช่วยเพิ่มน้ำนม ซึ่งหัวใจสำคัญของคุณแม่หลังคลอด ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หากกินอาหารมื้อหลักได้น้อย ควรเพิ่มมื้อว่างที่มีประโยชน์ เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอ เพิ่มโปรตีน ไอโอดีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม โฟเลท เพราะหญิงให้นมบุตรต้องการพลังงานมากกว่าคนปกติ 500 กิโลแคลอรี แม่กินอาหารครบทุกหมู่ สุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่เครียด น้ำนมก็จะมีเพียงพอสำหรับลูกน้อย

“โดยเฉพาะควรเลือกอาหารเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม ซึ่งมีผัก 5 ชนิดเป็นอาหารประเภทหลัก ได้แก่ 1. หัวปลีมี ธาตุเหล็ก แคลเซียมฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี ได้แก่ แกงเลียง ยำหัวปลี ทอดมันหัวปลี ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด ต้มหัวปลีจิ้มกับน้ำพริก 2.ขิงอุดมด้วยแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี ช่วยขับเหงื่อขับลม ไล่ความเย็น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร ซึ่งแม่หลังคลอดยังมีน้ำคาวปลาอยู่ การกินขิงช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ได้แก่ มันต้มขิง ปลาผัดขิง ยำปลาทูใส่ขิง 3. ใบกระเพรา

มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม บำรุงธาตุ เพิ่มน้ำนม ได้แก่ ผัดกระเพราหมู ไก่ ปลา ต้มจืดใบกระเพราหมูสับ 4. ฟักทอง อุดมไปด้วยวิตามินเอ ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน ได้แก่ แกงเลียง ฟักทองนึ่ง ฟักทองผัดไข่ แกงบวดฟักทอง และ 5. กุ้ยช่าย ทั้งต้นและใบช่วยบำรุงน้ำนม ได้แก่ กินแนมกับผัดไทย กุ้ยช่ายทอด ผัดกุ้ยช่ายตับ นอกจากนี้ ยังมีใบแมงลัก ตำลึง พริกไทย กานพลู มะละกอ พุทรา ช่วยสร้างน้ำนมได้ดี” พญ.อัมพร กล่าว

รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า นมแม่ ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับลูก มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นมแม่ในระยะ 1-7 วันแรก จะมียอดน้ำนมที่เรียกว่า หัวน้ำนม หรือโคลอสตรัม ถือเป็นยอดอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน อีกทั้งเป็นช่วงที่น้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันสูงสุด เด็กควรได้กินหัวน้ำนมเพราะเปรียบเสมือนได้รับวัคซีนหยดแรกของชีวิต เพราะเด็กแรกเกิดจะยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองได้ ทารกที่ได้กินนมแม่จึงมีภูมิต้านทานในการต่อต้านเชื้อโรค และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืดหูอักเสบเป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่าทารกที่กินนมแม่มีการพัฒนาความสามารถทางสมองดีกว่าทารกที่ไม่กินนมแม่

มีช่องว่างแห่งการงานที่เราแทรกตัวลงไปได้ถ้ามีใจรักต้นไม้และสิ่งแวดล้อม นี่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้…

เริ่มจากการมีต้นไม้ใหญ่ในเมือง คุณว่าดีไหม บางคนอาจจะตอบว่าไม่ดี เพราะกลัวต้นไม้ล้ม กลัวต้นไม้โค่น มีต้นไม้ข้างบ้านต้องโค่นทิ้ง…นี่เป็นทัศนะเชิงลบต่อต้นไม้

บางคนว่าดี เป็นกระแสโลกที่ต้องมีต้นไม้ในเมืองใหญ่ มีการเพิ่มต้นไม้ในชุมชนจนบางแห่งกลายเป็นป่าในเมือง ซึ่งมันดีมากทีเดียว “ต้นไม้เป็นบุคลิกของเมือง”

มีคำกล่าวว่า ต้นไม้เป็นบุคลิกของเมือง และเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่ประโยชน์เหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อคนกลัวและไม่วางใจต้นไม้ใหญ่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่กลัวได้ เช่น เรื่องกิ่งที่หักลงมา หรือโค่นล้มเมื่อมีลมฝน

ถนนบางสายที่มีต้นไม้ใหญ่และถูกเสนอให้ตัดเพื่อความปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคัดค้าน เพราะเห็นว่ามันสวยดี มันมีมานาน เป็นประวัติศาสตร์ชุมชน ถกเถียงกันมาหลายสิบปี ในเมืองเชียงใหม่ เช่น ถนนต้นยางสารภี ที่มีต้นยางใหญ่สองขอบทางขนานไปกับถนน

ดังนั้น การมีต้นไม้ใหญ่ต้องมีการจัดการที่ดี ให้ผู้คนรู้สึกเป็นมิตรกับต้นไม้ ผู้คนในชุมชนต้องไว้วางใจต้นไม้ แล้วจะทำอย่างไร ที่มากกว่าคัดค้าน…คำตอบอยู่ตรงนี้ รุกขกร เป็นอาชีพหนึ่งที่ช่วยเรื่องนี้ได้

เมื่อเดือนที่แล้ว ฉันไปดูไปฟังเรื่องการจัดการต้นไม้ใหญ่ในเมืองมา เขาจัดกันที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการจริง เพื่อการดูแลต้นไม้ใหญ่ในหน่วยงานต่างๆ เพื่อภูมิทัศน์เมืองเชียงใหม่

“อย่างที่สามารถประกอบเป็นอาชีพได้เลย” น้องคนหนึ่งบอก เป็นอาชีพหนึ่งที่เพิ่งรู้จัก วิชาชีพ “รุกขกร”

รุกขกร ไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้ เคยได้ยินแต่คำว่า รุกขเทวดา หมายถึงเทวดาหรือผีผู้ดูแลต้นไม้ ดังนั้น รุกขกรก็มีความหมายว่า ผู้ดูแลต้นไม้อย่างเป็นผู้รู้และมืออาชีพ – ผู้เขียนเข้าใจดังนั้น

คนแบบไหนที่จะเป็นรุกขกรได้ เผื่อผู้อ่านเทคโนโลยีชาวบ้านสนใจอยากเป็น มีโอกาสสมัครเข้ารับการอบรมในโอกาสต่อไป

คุณสมบัติมีอยู่ทั้งหมด 7 อย่าง อันดับแรก รักและสนใจธรรมชาติ พรรณไม้ และสภาพแวดล้อม แน่ละถ้าไม่รักไม่สนใจก็ผ่านเรื่องอาชีพนี้ไปไม่ได้เลย สอง การทำงานบนต้นไม้ต้องไม่กลัวความสูง สาม ร่างกายแข็งแรง สี่ มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัยสูง ห้า มีความรู้พื้นฐานด้านพืช หก มีศิลปะ และสุดท้ายมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการ

เมื่อได้คุณสมบัติแล้วก็ไปฝึกอบรมกันเลยค่ะ เป็นงานอบรมเชิงปฏิบัติการจริงๆ ฉันไปอบรมกับเขาด้วยทั้งที่รู้ว่าอยู่บนต้นไม้ไม่ไหวแล้ว ปีนป่ายไม่ไหว แต่เหตุเพราะว่าที่บ้านมีต้นไม้ใหญ่อยู่จำนวนมาก และสนใจว่าจะทำอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วกิ่งไม้ที่บ้านหักลงมาบ่อย มีต้นแก่มากๆ ที่อยากดูแลไว้นานๆ และนำมาบอกต่อคนอื่นๆ เผื่อเขาไม่ต้องตัดต้นไม้ทิ้งเมื่อพบว่า มันกำลังเจ็บป่วย

มีการอบรมห้าวัน แบบทฤษฎีและลงปฏิบัติจริงๆ กันเลย วันแรก คุณธราดล ทันด่วน หรือ ครูต้อ เป็นผู้บรรยาย ว่าด้วยเรื่องต้นไม้ในเมือง

ครูต้อ บอกว่า การเก็บต้นไม้ไว้จะได้เงิน (นี่เป็นทัศนะเชิงบวกทันที) ได้เงินเพราะอะไร ครูต้ออธิบายต่อว่า เมืองที่มีต้นไม้นักท่องเที่ยวจะมาพักนานๆ ในเมือง โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นดอย เพราะในเมืองมีที่ร่มรื่น มีต้นไม้สวยงามให้พวกเขาได้ถ่ายรูป ในโลกทุนนิยมต้องทำให้ต้นไม้มีคุณค่า

การดูแลต้นไม้ในเมืองไม่ใช่ดูภาพรวมแต่ต้องดูเฉพาะด้าน ถ้าทึบเกินไปก็ต้องแต่งให้โปร่ง ครูเอาวิดีโอแบบก่อนแต่งกับหลังแต่งให้ดู มีต้นไม้ริมทะเล เป็นต้นไม้ใหญ่บังทิวทัศน์ของเกาะ เจ้าของจะเอาออก แต่เมื่อรุกขกรไปถึงเขาใช้วิธีตกแต่งให้โปร่งขึ้น ต้นไม้ก็ยังอยู่ ใครๆ ก็ไปกินอาหารที่โต๊ะใต้ต้นไม้ และในขณะเดียวกันคนอยู่บนตึกก็มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่ต้องการด้วย มีอีกหลายแห่งที่เก็บต้นไม้ไว้แล้วเพิ่มคุณค่าอาคาร ด้วยการจัดแต่งรูปทรงต้นไม้ให้ดี และดูแลสุขภาพของต้นไม้ด้วย เช่น ดูแลรูปทรง ตกแต่งกิ่ง บางกิ่งตัดไม่ให้แตก บางกิ่งตัดให้แตก เป็นเรื่องของศิลปะและความรู้

นอกจากนั้นต้องรักษา form เอาไว้ ต้นไม้แต่ละชนิดจะมีรูปทรงของเขา แต่งสวยแต่ผิดฟอร์มก็ดูไม่ดี (คงต้องกลับไปดูที่บ้านต้นไหนผิดทรงบ้าง เท่าที่พอนึกออก ลั่นทมหน้าบ้านรูปทรงดีมาก ฉำฉาตรงทางเข้าก็ทรงดี ส่วนกระท้อนเสียทรงไปแล้วเพราะการตัดของพี่สาว ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ และคนตัดต้นไม้ไม่รู้ เพราะเท่าที่มีประสบการณ์ คนตัดต้นไม้ที่เราจ้างมามักจะตัดไปเรื่อย เช่น ตัดกิ่งให้แตกแต่ตาย เพราะตัดกิ่งแล้วเน่า น้ำขัง ไม่ได้ตัดให้แฉลบหรือตัดไม่ให้แตก แต่ตัดกิ่งทิ้งเอาไว้ไม่ตัดให้หมดก็จะเกิดกิ่งตายแห้ง และนั่นแหละจะตกลงมาเกิดอันตรายได้ หรือการแต่งกิ่งจากกิ่งล่างไป ซึ่งที่ถูกต้องตัดจากข้างบนหรือเรือนยอด ตัดกิ่งบนเพื่อให้แสงผ่านเข้ามาและแตกพุ่มออกข้าง ถ้าตัดจากกิ่งล่างต้นไม้จะชะลูดขึ้นสูงโต้ลมอาจจะหักโค่นได้

อีกเรื่องที่น่าสนใจยิ่งสำหรับเรา คือการทำให้ต้นไม้ออกดอกพร้อมกันแบบบานสะพรั่ง เช่น พวกดอกไม้ที่สวยอยู่ตามถนน ต้องตัดกิ่งให้เท่ากัน คือปลายกิ่งจะเหลือเท่ากัน ตัดหนักก็ได้ ตัดในช่วงที่ผลัดใบเต็มที่ แต่ถ้าผลัดใบแตกยอดแล้วห้ามตัดมันจะไม่ออกดอก ดังนั้น ต้องดูจังหวะที่ผลัดใบเต็มที่ แต่ยังไม่แตกยอดถ้าออกชุดใหม่แล้วห้ามตัด

เรื่องราวที่น่ารู้อีกหลายอย่างว่าด้วยต้นไม้ที่เราไม่รู้ เช่น การเอาต้นไม้ต่างถิ่นมาปลูก หลังจากฟังครูพูดแล้ว ทำให้คิดได้ว่า เป็นเรื่องไม่ควรท้าทายเพราะต้นไม้ไม่ได้ชอบไม่ควรพยายาม

นี่แค่ครึ่งวันแรกก็ได้รู้มากมาย ตอนเที่ยงออกมานั่งกินข้าวโรงอาหารคณะเภสัชศาสตร์ แล้วแหงนดูต้นไม้ คุยกับน้องที่เข้าอบรมด้วยกันว่า น้องเห็นไหมว่าต้นไม้ที่เรานั่งอยู่ใกล้ๆ นี้มีความเสี่ยง มีกิ่งแห้งที่ต้องเอาลง และมีกิ่งล่างสุดที่พร้อมจะฉีกขาดลงได้ “จริง จริง” เขาบอก สองหนุ่มนี้เป็นพนักงานสวนของโรงแรมแห่งหนึ่ง โรงแรมส่งมาอบรม

กินข้าวเสร็จเดินกลับเข้าห้องประชุมอีกครั้งในช่วงบ่าย จะเรียนรู้เรื่องเครื่องมือและการปฏิบัติจริง

“น้องว่าต้นนั้นเรือนยอดของมันบางลงไป ครูว่าถ้าบางลงน่าจะป่วย”

น้องพยักหน้าเห็นด้วย

ผู้เข้าอบรมมีทั้งหมด 22 นอกจากฉันแล้วมีผู้หญิงอีกคน เธอบอกว่า เธออบรมจนครบหลักสูตร เธอโหนเชือกตัดแต่งกิ่งไปกับครูได้ เธอเรียนเพื่อจะบอกให้คนอื่นทำได้ เพราะการทำงานของรุกขกรต้องทำเป็นทีม คนที่อยู่ข้างล่างก็สำคัญ ผ่านวันแรก อบรมอีกสี่วัน มาดูว่าช่องทางอาชีพของรุกขกร โอกาสในวิชาชีพรุกขกรรม แน่นอนมีโอกาสสูง ในกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีงานต่างๆ ดังนี้

มีงานดูแลรักษาต้นไม้ในเขตเมือง

งานจัดการต้นไม้ในสนาม

ทำฟาร์มต้นไม้

งานอนุรักษ์ต้นไม้ในโครงการก่อสร้าง

“ถ้าคุณเป็นนักปฏิบัติตัวจริงคุณจะมีพื้นที่ยืน” ครูต้อพูดประโยคนี้

นี่เป็นทางเลือกอาชีพหนึ่งที่ยังมีช่องว่างสำหรับผู้แข็งแรง นักวิจัย มศว ชูผลศึกษาทางคลินิก กิน ‘ขมิ้นชัน’ ลดเสี่ยงเบาหวาน
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ผศ.พญ.สมลักษณ์ จึงสมาน อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวในงานเสวนา “สารสกัดขมิ้นชันในผู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคเบาหวาน” ภายในงานสัมมนา “มหัศจรรย์สมุนไพรขมิ้นชัน” ซึ่งจัดโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ว่า สารสกัดจากขมิ้นชันช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้

ซึ่งจากการทดลองทางคลินิกในคนที่ยังไม่ป่วยโรคเบาหวาน แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็น คือ มีค่าน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ จำนวน 240 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินยาหลอก และกลุ่มที่ได้รับแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน ซึ่งจะรับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ขนาดรวม 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 9 เดือน ควบคู่กับควบคุมไลฟ์สไตล์ คือ การควบคุมอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงต้องการเกิดโรค เช่น อาหารรสหวาน ลดน้ำตาล ลดการกินแป้ง และมีการออกกำลังกาย