ชาวบ้านสามโก้ อ่างทอง รวมตัวผลิตมะม่วงแปลงใหญ่เน้นคุณภาพ

ส่งขายต่างประเทศ สิ่งที่กังวลในขณะนี้คือ สภาพการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ เพราะถือเป็นจุดเปลี่ยนของอาชีพเกษตรกรรมที่สำคัญ ดังนั้น จึงเร่งเก็บข้อมูลสภาพทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน เพื่อนำมาสรุปจัดเป็นแผนรองรับ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ อีกทั้งยังเป็นแนวทางเพื่อให้เกษตรกรไปจัดเตรียมพื้นที่ เตรียมน้ำ และปุ๋ย ให้สอดคล้องกับสภาพที่เปลี่ยนแปลง

“อ่างทอง เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ราบลุ่ม มีสภาพเป็นดินเหนียวอันอุดมไปด้วยธาตุอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส จึงทำให้ไม้ผลของจังหวัดนี้ล้วนแต่มีคุณภาพ แต่อย่างไรก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องน้ำท่วมขัง ด้วยเหตุนี้การบริหารจัดการเรื่องน้ำจึงมีความสำคัญมาก ฉะนั้น การทำเกษตรกรรม ในยุค 4.0 ควรจะปฏิบัติการเชิงรุกมากกว่าตั้งรับ เพื่อป้องกันมิให้กระทบกับรายได้และความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรทุกคน” เกษตรอำเภอสามโก้ กล่าว

ในอดีตผู้คนอาจจะรู้จัก ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ ลูกชายของ “อาภัสรา หงสกุล” นางงามจักรวาลคนแรกของเมืองไทย กับอดีตสามี “ม.ร.ว. เกียรติคุณ กิติยากร” ในภาพลักษณ์บุคคลที่อยู่ในสังคมไฮโซ แต่หลายปีมานี้ เจ้าตัวซึ่งเคยบวชพระสายวัดป่ามาหลายพรรษา ตัดสินใจมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว

นอกจากนี้ ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ ยังเป็นคุณพ่อที่มีหนุ่มน้อย ด.ช. กัสสป วัย 6 ขวบ อยู่เคียงข้าง พร้อมด้วยภรรยาสุดสวย “กิ๊บ-บุรีรัตน์ พรมดาว” ที่อายุอ่อนกว่าเกือบ 20 ปี โดยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่สวน “Roong Organic” แถวปากช่อง มีเนื้อที่กว้างขวางถึง 45 ไร่ และปลูกผลหมากรากไม้หลากหลายชนิด

ซึ่งตอนนี้เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว โดยเฉพาะมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ที่เป็นอินทรีย์ ใช้ชื่อแบรนด์ “Roong Organic” สวนนี้เป็นสมาชิกของโครงการสามพรานโมเดลด้วย และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ คุณกิ๊บจะไปทำหน้าที่ขายมะละกอที่ตลาดสุขใจ ซึ่งมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนตลอด

ชี้ทำเกษตรอินทรีย์ไม่ยาก
หม่อมโจ้ แจกแจงให้ฟังว่า ผลไม้หลักๆ ที่ออกปริมาณเยอะเลยคือ มะละกอฮอลแลนด์ ประมาณ 30% นอกนั้นก็มีกล้วย มีมะม่วง กล้วย 3 ชนิด มีกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า อีกแปลงเป็นกล้วยผสมหลายอย่าง ส่วนมะม่วงมี มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง รวมทั้งมีส้มและมะนาวนิดหน่อย

หนุ่มใหญ่วัย 49 ปี ผู้นี้ เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการสละชีวิตสุขสบายในเมืองกรุงมาเป็นชาวสวนว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ช่วงนั้น ไม่ได้ทำงานกับบริษัทที่กรุงเทพฯ และต้องการงานใหม่ เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรกับที่ดินแถวปากช่องที่ซื้อไว้ 10 กว่าปีแล้ว

ซึ่งไม่ใช่ที่ดินมรดก ตอนซื้อราคาไม่เท่าไร เป็นไร่มันสำปะหลัง จากตัวอำเภอปากช่องไปทางลำตะคอง เลยถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร ทางเข้าลึกพอสมควร แต่ก่อนไม่ได้คิดมาทำการเกษตร ซื้อไว้เพราะคิดว่าพออายุเยอะแล้วก็อยากอยู่เงียบๆ ไว้ไปปฏิบัติธรรม

ประจวบกับตอนนั้นเกิดเหตุน้ำท่วม และคิดว่าเมื่อมีความจำเป็นจะทำอย่างไร ให้อยู่ได้ด้วยการพึ่งตัวเอง โดยเน้นในเรื่องอาหารที่เรากิน เราอิ่ม และเน้นที่เราชอบ พอเริ่มมาทำมาศึกษาก็คิดปลูกผลไม้ที่ชอบรับประทานก่อน

สาเหตุที่เริ่มจากมะละกอเป็นอย่างแรก เพราะปลูกไม่นานก็มีผลขายได้แล้ว ถ้าเป็นมะม่วงใช้เวลา 3 ปี ไม้ใหญ่ๆ จะใช้เวลานาน เลยเอามะละกอที่สามารถทำรายได้ให้ก่อน ใช้เวลาไม่กี่เดือน ประมาณ 8 เดือน ถ้าตอนมาจากต้นอีก 2 เดือน ก็ออกแล้ว ดังนั้น จึงเริ่มจากผลไม้ที่ออกลูกเร็วก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเงินเข้า

เจ้าของสวนรุ่งออร์แกนิกเล่าถึงที่มาที่ไปของการมาทำสวนเกษตรอินทรีย์ว่า เดิมนั้นวางแผนจะปลูกมะละกอ พอดีเพื่อน คือ คุณอรุษ นวราช เจ้าของโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องเกษตรอินทรีย์ ซึ่งครั้งนั้นเน้นเฉพาะผัก จึงได้เข้าร่วมด้วย พร้อมนำความรู้เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้กับผลไม้

หม่อมโจ้ แจกแจงถึงขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์ว่า ตอนแรกก่อนจะทำจริง เหมือนว่ายาก เพราะเวลาไปอ่านหนังสือไปศึกษาหาความรู้ มีการกำหนดต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีอะไรบ้าง

พอไปทำจริงๆ ไม่ได้ยากอย่างนั้น แต่ต้องเข้าใจ ต้องรู้จักพืชว่าโดยธรรมชาติชอบอยู่อย่างไร เกษตรกรแค่ทำสิ่งแวดล้อมให้ระบบนิเวศเป็นแบบที่พืชผลไม้ชอบและมีความสุขตรงนั้น แล้วจะให้ผลผลิตออกมา คือไม่ได้บังคับให้ออกนอกฤดู แค่เลี้ยงให้อยู่ดีมีความสุขเหมือนคน ทำให้แฮปปี้

แนะต้องเลือกพันธุ์ที่ดี
กับคำถามที่ ดูแลและบำรุงอย่างไร เพื่อให้มะละกอออกผลผลิตดี มีคุณภาพ หม่อมโจ้ แจกแจงว่า แทบจะไม่เป็นห่วงเรื่องแบบนั้นเลย คือจริงๆ แล้ว เน้นในการสร้างระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและมีความสมบูรณ์ทางด้านจุลินทรีย์และดิน อย่างแรก พันธุ์ที่นำมาปลูกสำคัญ อย่างที่สวนเรื่องแมลงไม่ค่อยได้ใช้อะไร ก็มีจุลินทรีย์ที่ใช้เพื่อควบคุมศัตรูพืช

“เอาเข้าจริงๆ ถึงมีแมลงมา แต่ก็ไม่เป็นอะไร เป็นโรคนิดๆ หน่อยๆ เหมือนกับคน นึกถึงตัวเรา ถ้าแข็งแรงพอไปโรงพยาบาลไปเจอโรคก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเราอ่อนแอไปโรงพยาบาลก็อาจจะเป็นโรคได้”

หม่อมโจ้ อธิบายถึงการทำปุ๋ยอินทรีย์แบบง่ายๆ ที่ไม่ใช่ปุ๋ยพืชสดว่า เนื่องจากพื้นที่แถวนั้นมีต้นกระถินที่ขึ้นเองทั่วไปหมด จึงตัดแล้วนำมากองไว้ ไม่นานจะมีด้วงเข้ามาอยู่และขี้ออกมา เป็นปุ๋ยขี้ด้วงที่เกิดจากกองกระถินก็ใช้ปุ๋ยขี้ด้วงนั้นไปใส่เป็นปุ๋ยให้ที่ต้นมะละกอ ซึ่งหากมีไนโตรเจนสูง เมื่อไปวัดค่า จะรู้ว่าขาดอะไร ถ้าจะเพิ่มความหวานก็ใช้ขี้เถ้ามาโรย

หม่อมโจ้ บอกว่า การทำเกษตรอินทรีย์ในเบื้องต้น ขอให้มองในเชิงเคมี แต่นำวัตถุอินทรีย์มาใช้มาทดแทนเคมี เหมือนกับที่ว่า จะใช้ปุ๋ยเคมีต้องใส่เท่านั้นเท่านี้ พอมาทำจริงก็ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งไม่ได้ใส่มากมายอะไร

อย่างที่เจ้าของสวน “Roong Organic” บอกไว้ว่า พันธุ์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งกว่าหม่อมโจ้จะได้มะละกอฮอลแลนด์พันธุ์ดีๆ อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องเสียเวลาไปเป็นปี เพราะก่อนหน้านี้ เขานำมะละกอจากฟาร์มมาเพาะ 2,000 กว่าต้น แต่รสชาติไม่ดี เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม่ค่อยแข็งแรง และติดโรคระบาดง่าย

เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมโจ้จึงตระเวนเสาะหาพันธุ์ที่ดี ด้วยการตระเวนชิมมะละกอตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งได้เจอรสชาติที่ถูกใจ จากนั้นซื้อแล้วเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูก ซึ่งแม้จะเสียเวลาไปเป็นปี แต่เจ้าตัวยืนยันว่าคุ้มกับการที่ได้มะละกอฮอลแลนด์รสชาติดี มีความหวานกลมกล่อม

ช่วงที่มะละกอออกลูกนั้น หม่อมโจ้ระบุว่า ถ้าลูกไหนเบี้ยวไม่สวย ออกมาเหมือนลูกมะม่วง จะเด็ดทิ้งเลย เพื่อให้ต้นไปเลี้ยงลูกอื่นๆ ที่สมบูรณ์ โดยไม่ได้กำหนดว่าต้นหนึ่งจะเหลือไว้กี่ลูก ส่วนใหญ่ต้นหนึ่งมี 10-15 ลูก

ผลผลิตไม่พอขาย ต้องปลูกเพิ่ม
“ผมว่าคุ้มกับการที่ไปทำครั้งแรก 2,500 ต้น แล้วไม่ได้ผลดี แต่ถ้าไม่มีทุนสำรองก็แย่เหมือนกัน โชคดีที่ตอนนี้ได้พันธุ์มีสชาติมีความพิเศษ มีความกลอมกล่อมกลมกลืน ซึ่งพอเป็นอินทรีย์ทำให้พืชสามารถดูดสารต่างๆ ได้ดี เหมือนคนเราลองคิดดู เปรียบเทียบการที่เด็กดื่มนมจากนมแม่ กับการไปกินแคลเซียมที่เป็นเม็ดๆ มันดูดซึมไม่ได้ดีนัก ร่างกายคนเราไม่ได้สร้างให้มาดูดซึมสารล้วนๆ แบบนั้น ต้องดูดซึมสารที่เชื่อมกับสิ่งที่เป็นออร์แกนิก พืชก็เหมือนกัน”

มะละกอ แบรนด์ “Roong Organic” ลูกใหญ่สุด มีน้ำหนักประมาณกิโลกว่า ซึ่งเวลาไปขายปลีกที่ตลาดสุขใจ ขายกิโลกรัมละ 50 บาท อย่างไรก็ตาม ลูกค้ามักจะชอบมะละกอลูกเล็กมากกว่า

สำหรับผลผลิตจากสวน หม่อมโจ้ให้ข้อมูลว่า ถ้าเทียบกับความต้องการของตลาดแล้ว จำนวนมะละกอฮอลแลนด์ที่ปลูกยังไม่พอขาย ปกติจะส่งที่โรงแรมสามพรานฯ และขายในตลาดสุขใจทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และจะมีส่งเข้าท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงที่ห้างเซ็นทรัลด้วย และยังมีลูกค้าเจ้าอื่นๆ ที่ต้องการอีกเยอะ

แต่สวนมีผลผลิตไม่เยอะพอที่จะขาย ตอนนี้ปลูกมะละกอยังไม่ถึง 10 ไร่ ดังนั้น ปีหน้าจะปลูกเพิ่มอีก 5 ไร่ นอกจากนี้ ผลไม้อื่นๆ ที่เขาปลูกคงทยอยให้ผลผลิตตามมาในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็น กล้วย มะนาว หรือส้ม

ส่วนเรื่องการลงทุนที่ว่าจะได้ทุนคืนเมื่อไรนั้น หม่อมโจ้ฉายภาพให้เห็นว่า ถ้ามองในแง่ธุรกิจการลงทุนบางอย่าง เช่น บ้าน หรือระบบแปลง ในส่วนค่าใช้จ่ายค่าอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ท่อ ปั๊มน้ำ หรือการขุดบ่อน้ำ บางอย่างต้องใช้เวลานานกว่าจะคืนทุน คิดว่า 2 ปีแรกเป็นการวางฐาน และ 2 ปี ในระยะที่สอง จะสามารถคืนในส่วนนั้น และพออยู่ได้ จากนั้นถึงจะมาคืนในส่วนอื่นๆ

เมื่อถามว่า เหนื่อยไหมกับการทำเกษตรอินทรีย์ 4 ปีกว่า หม่อมโจ้ ทวนคำถามที่ว่า เหนื่อยไหม แล้วต่อท้ายว่า

“มันเป็นอะไรที่ท้าทายและมีความคืบหน้าตั้งแต่เริ่มทำ เนื่องจากที่ดินของเราไม่เรียบไปปรับมันด้วยมือ ผมว่ามันสนุกสำหรับผม และโอเค เราทำเป็นทีมอยู่ในไร่ ทำในลักษณะกำไรเราแบ่งเท่าๆ กัน ทั้งเจ้าของครอบครัวผม และครอบครัวคนที่ทำงานที่ช่วยกันทำ แต่ผมเป็นเจ้าของที่และมีเงินลงทุนเป็นส่วนของผม ก็หักมาคืน แต่ในส่วนกำไร การบริหารทุกคนได้เท่ากัน ผมทำอย่างนี้แต่ละคนก็มีส่วนอย่างคนหนึ่งเป็นผู้จัดการในส่วนของภาคสนาม คุณกิ๊บก็เป็นส่วนของการตลาด ผมเองทำในส่วนของการวิจัย การออกแบบหรือวิธีการจัดการ”

“ในแง่หนึ่ง บางอย่างก็เหนื่อยแบบที่เราไม่คาดคิด คือตอนนี้คนมันน้อย บัญชีเราก็ขาดแคลน บางทีไม่มีใคร ผมก็ต้องขับรถเอง มา กทม. มาส่งมะละกอ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่จะไปบ่นอะไร เมื่อมีคนจะซื้อของ ต่อให้ไปอาทิตย์ละ 5 วัน เพื่อไปส่งของก็ต้องไป เพราะผลผลิตจะทิ้งมันก็ไม่ได้ ในอนาคตอาจมีคนมาทำหน้าที่ขับรถแทน แต่ตอนนี้เนื่องจากการขยายมันไม่ทันกัน คือตอนนี้ขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย เพราะทุกคนมีหน้าที่ และใช้เต็มกำลังของทุกคน”

ยืนยันยึดอาชีพเกษตรกรรมเต็มร้อย
ส่วนแผนการอนาคต หม่อมโจ้ บอกว่า ตรงนี้มองว่าเป็นรายได้ เป็นชีวิตในรูปแบบที่เป็นอิสระของตัวเอง ในแง่หนึ่ง บางอย่างก็เหนื่อยแบบที่ไม่คาดคิด คือตอนนี้คนน้อย คนทำบัญชีก็ขาดแคลน บางครั้งต้องขับรถส่งมะละกอด้วยตัวเอง แต่ถ้าอีกหน่อยอะไรๆ ลงตัวก็จะดี ถือเป็นรูปแบบชีวิตที่อิสระ อยากทำเวลาไหนก็ทำ จริงๆ แล้วเน้นการเก็บและการส่ง

“ทั้งหมดนี้เป็นฐานชีวิตของลูกผม และลูกของครอบครัวที่ช่วยกันทำงานอยู่ที่สวน ต่อไปไม่จำเป็นต้องสมัครหรือไปรับงานที่ไหน อยากทำแบบนี้ก็อยู่ได้”

ฟังมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังสงสัยอีกว่า หม่อมโจ้ยึดอาชีพเกษตรกรรมเต็มตัวแน่หรือ โดยเฉพาะเมื่อยามต้องกรอกแบบฟอร์มเกี่ยวกับอาชีพที่ทำในปัจจุบัน

ประเด็นนี้ หม่อมโจ้ อธิบายชัดเจนว่า “โดยหลักของผม อาชีพผมเป็นเกษตรกร ตรงอื่นผมไม่ได้มีเงินเดือนอะไร แค่เป็นหุ้นส่วน เกี่ยวกับเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าทำที่ไทย ไม่ได้มีตำแหน่งในการบริหาร ทำหน้าที่เป็นประธานบริษัท มีเพื่อนๆ ร่วมกันทำหลายคน เขามีอะไรให้ช่วยก็ช่วย ไม่ได้ทำงานตรงนั้น แต่เรื่องเกษตรอันนี้เป็นชีวิตของเรา”

ทั้งหมดนี้ คงเห็นกันแล้วว่า ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร เป็นเกษตรกรอินทรีย์ 100% ซึ่งเป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชม เพราะทำแบบครบวงจรทั้งปลูกเองและขายเอง ใครที่เคยเจอ ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร ตอนใช้ชีวิตเป็นไฮโซอยู่ในเมืองหลวง อาจจะยังไม่คุ้นชินกับภาพลักษณ์ใหม่ของเขาในฐานะชาวสวน ซึ่งแม้จะไม่ได้มีชีวิตหรูหราเหมือนในอดีต แต่สีหน้าก็ฉายแววแห่งความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพราะมีแฟนสาวและลูกชายตัวน้อยเป็นกำลังใจสำคัญ

มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพืชสมุนไพรไทยชื่อแปลกที่มีประโยชน์และสรรพคุณที่หลากหลาย มะม่วงหาวมะนาวโห่ จัดเป็นผลไม้ประเภทรับประทานผลสุก มีรสชาติเปรี้ยวเฉพาะตัว ผลสุกสีแดงขนาดเล็ก เป็นแหล่งสำคัญของธาตุเหล็ก วิตามินซี และยังมีปริมาณ เพคติน ซึ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ในปริมาณสูง (Pal et al,19751) พบว่าผลของพืชสกุล Carissa caradas

มีสารกลุ่มฟินอลิกปริมาณมาก โดยสารประกอบฟินอลิกได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ สารฆ่าเชื้อ และสารต่อต้านมะเร็ง มะนาวโห่จะอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน เป็นสารสีม่วงแดงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามินซีหลายพันเท่า ซึ่งมีประโยชน์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ลดโอกาสเป็นโรคมะเร็ง ช่วยเสริมให้ร่างกายต้านเชื้อโรค สมานแผล ส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง

ขั้นตอนการปลูกแบบไม่ยุ่งยาก ปลูกแบบเดียวกับมะนาว ขุดหลุมลึก ประมาณ 50 เซนติเมตร ระยะห่าง 3 x 3 เมตร ทำไมต้องขุดห่างขนาดนั้น ต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่เป็นทรงพุ่มใหญ่ มีหนาม เมื่อต้นโตออกผลผลิต เราต้องเก็บเพราะฉะนั้นถ้าปลูกถี่ และปล่อยให้ต้นสูงมากจะเก็บลำบาก ต้องหมั่นที่จะตัดแต่งกิ่งเพื่อให้สวยและแตกยอด 2.นำดิน แกลบดำ ไบโอชาร์คลุกใส่ที่ก้นหลุม หลังจากนั้นลงต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือถ้าอยากปลูกมะม่วงหาวมะนาวโห่นอกฤดูคุณปุ๊แนะนำให้ใส่ไบโอชาร์ ไบโอชาร์จะเปรียบเสมือนผงชูรสของพืช ไม่ใช่ปุ๋ยแต่คือสารปรับปรุงดิน คือสิ่งที่จะทำให้พืชเจริญเติบโตได้เร็ว และอยู่กับเราได้นานกว่าการใส่ปุ๋ย คือไบโอชาใส่แล้วต้นไม้อยู่กับเราได้เกือบ10ปี แต่ถ้าใส่ปุ๋ยอยู่ได้ 1-2 ปี ก็หมดแล้วต้องเพิ่ม แต่ไบโอชาร์ใส่ทีเดียวจบ

ฤดูที่เหมาะในการปลูกคือฤดูฝน ไม่ต้องรดน้ำมาก ถ้าปลูกหน้าแล้งมีปัญหาเรื่องน้ำจะทำอย่างไร ต้องปลูกหน้าฝนให้น้ำลงหาต้น ให้ต้นเก็บน้ำ หลังจากนั้นต้นจะค่อยๆ โต พอช่วงหน้าร้อนให้สังเกตุว่าต้นโต หรือไม่โต ถ้าไม่โตให้พิจารณาว่าต้องใส่ปุ๋ยคอกไหม ถ้าไม่ใส่เรื่องของการแตกยอดจะลำบากหน่อย

ฤดูที่เหมาะในการปลูกคือฤดูฝน ไม่ต้องรดน้ำมาก ถ้าปลูกหน้าแล้งมีปัญหาเรื่องน้ำจะทำอย่างไร ต้องปลูกหน้าฝนให้น้ำลงหาต้น ให้ต้นเก็บน้ำ หลังจากนั้นต้นจะค่อยๆ โต พอช่วงหน้าร้อนให้สังเกตุว่าต้นโต หรือไม่โต ถ้าไม่โตให้พิจารณาว่าต้องใส่ปุ๋ยคอกไหม ถ้าไม่ใส่เรื่องของการแตกยอดจะลำบากหน่อย

ระยะเวลาในการปลูก ถ้าเป็นเบี้ยเล็กใช้ระยะเวลา3ปี ถึงจะโตมีลูก แต่ถ้าในกรณีที่ใส่ใบโอชาเข้าไปผลผลิตจะออกเร็ว 2 ปีกว่าก็ให้ลูกแล้ว

การดูแลรักษา

“ต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นต้นไม้ที่ไม่ชอบความแฉะถ้าแฉะแล้วตาย ให้รดน้ำแบบวันเว้นวัน หรือชื้นหน่อยก็ได้ แต่อย่าเปียกจนทำให้รากเปื่อยไม่งั้นจะดูแลยาก ส่วนเรื่องแมลงจริงๆ มีปัญหาคือเรื่องหนอน หนอนอย่างเดียวเท่านั้น หนอนที่เป็นปัญหาคือหนอนผีเสื้อ หนอนตัวใหญ่ๆ หนอนจะมาทำร้ายต้นมะม่วงหาว กินใบซะเรียบ” แต่ที่สวนคุณปุ๊ไม่ได้กำจัดหนอนด้วยยาฆ่าแมลง หรือวิธีที่พิสดารอะไร แต่ใช้วิธีการไปจับออก เพราะว่าอยากทำเป็นเกษตรอินทรีย์ อีกอย่างสรรพคุณของมะม่วงหาวมะนาวโห่มีเยอะ เพราะฉะนั้นการเอาสารเคมีเข้าไปใส่ไม่ใช่เรื่องดี

ในอดีต เกษตรกรในพื้นที่บ้านคลองมิตรสัมพันธ์ หมู่ที่ 15 ตำบลหนองหว้า อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว ประกอบอาชีพเพาะปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ฝ้าย และมันสำปะหลัง เป็นรายได้หลักเลี้ยงดูครอบครัว แต่เนื่องจากเจอปัญหาต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง จากปุ๋ยเคมี สารเคมี และเมล็ดพันธุ์ รวมทั้งประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ทั้งฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง น้ำท่วม และเจอปัญหาโรคแมลงศัตรูพืชระบาด ทำให้มีผลผลิตต่อไร่ต่ำและปัญหาราคาผลผลิตไม่แน่นอน ขายผลผลิตไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

รวมกลุ่มกันปลูกมะม่วง ในปี พ.ศ. 2539 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีโครงการปรับโครงสร้างระบบการผลิตทางการเกษตร (คปร.) ชาวบ้านจึงปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด จากการประกอบอาชีพพืชไร่เป็นพืชสวน (มะม่วง ยางพารา และปาล์มน้ำมัน) โดยการแลกเปลี่ยนแนวคิดในทุกเวทีของชุมชน สำหรับเกษตรกรที่หันมาปลูกมะม่วง เดิมทีพวกเขาต่างคนต่างปลูก ต่างคนต่างขาย จึงเกิดแนวคิดรวมตัวกัน ในชื่อ “กลุ่มผู้ผลิตมะม่วงนอกฤดูบ้านคลองมิตรสัมพันธ์” เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการขายผลผลิตกับพ่อค้า แต่การรวมกลุ่มกันยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร

ต่อมาแกนนำกลุ่ม ภายใต้การนำของ นายสมพงศ์ เกื้อกูล นายเข็มชาติ ศรีสุวอ นายธนกฤต รานอก และ ผู้ใหญ่เทพ มุ่งแก้วกลาง ได้ยื่นขอจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ชื่อว่า “วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงนอกฤดูบ้านคลองมิตรสัมพันธ์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและจัดการพื้นที่ปลูกมะม่วง 657 ไร่ ให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน GAP เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการปรับปรุงคุณภาพ รวมทั้งพัฒนากลุ่มผู้ผลิตมะม่วงให้มีความเข้มแข็ง

ปัจจุบัน วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงนอกฤดูบ้านคลองมิตรสัมพันธ์ สามารถผลิตมะม่วงดีมีคุณภาพ และจำหน่ายผลผลิตได้หมด มีทุนสำรองหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ รวมทั้งมีระบบการตลาดที่แน่นอน มีผู้สั่งซื้อที่ชัดเจน กลุ่มวิสาหกิจฯ แห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตมะม่วงคุณภาพประจำตำบลหนองหว้า ที่ได้รับมาตรฐาน GAP ส่งออกตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย พร้อมกับส่งขายในประเทศ รวมทั้งเป็นจุดเรียนรู้และดูงานร่วมกันของเกษตรกรที่สนใจอาชีพปลูกมะม่วง

สถานการณ์ผลิตในปัจจุบัน

ผู้ใหญ่เทพ มุ่งแก้วกลาง ประธานกลุ่มวิสาหกิจบ้านคลองมิตรสัมพันธ์ อาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 143 หมู่ที่ 15 บ้านคลองมิตรสัมพันธ์ ตำบลหนองหว้า อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว โทรศัพท์ (087) 811-5885, (090) 245-2968

ผู้ใหญ่เทพ กล่าวว่า ปัจจุบันสมาชิกกลุ่มฯ ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ 4 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงฟ้าลั่น เป็นหลัก แต่ปีนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะอากาศแปรปรวนทำให้ผลผลิตลดลง และมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น แถมเผชิญปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาวะขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปลูก “แก้วขมิ้น” แซมในสวนมะม่วง

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผู้ใหญ่เทพ เริ่มหันมาปลูกมะม่วงแก้วขมิ้น หลังจากทราบข่าวว่า มะม่วงพันธุ์นี้ให้ผลดกมาก เขาจึงตัดสินใจปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นเป็นไม้ผลทางเลือกตัวใหม่ของครอบครัว แต่ระยะนั้น มะม่วงแก้วขมิ้น ยังไม่มีกิ่งพันธุ์ออกมาจำหน่ายเหมือนกับมะม่วงพันธุ์อื่นๆ เพราะเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ประเทศกัมพูชาไม่อนุญาตให้นำต้นพันธุ์ออกมาจำหน่ายนอกประเทศ

ช่วงดังกล่าวมีเอกชนรายหนึ่งในตำบลกลางดง ไปซื้อเมล็ดมะม่วงแก้วขมิ้นจากโรงงานคว้านมะม่วง และนำเมล็ดมะม่วงมาเพาะขยายพันธุ์ให้แก่เกษตรกรที่สนใจ ผู้ใหญ่เทพตัดสินใจซื้อพันธุ์มะม่วงแก้วขมิ้นมาปลูกแซมในสวนมะม่วงเดิม

การปลูกดูแล

สวนแห่งนี้ใช้หลักการปลูกและดูแลมะม่วงแก้วขมิ้นเหมือนกับมะม่วงพันธุ์ไทยโดยทั่วไป โดยนำต้นพันธุ์มาปลูกสลับระหว่างต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ กับมะม่วงฟ้าลั่น ปลูกในระยะห่างประมาณ 2 วา ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะต้นมะม่วงแก้วขมิ้นเจริญเติบโตดีไม่แพ้มะม่วงพันธุ์ไทย

ผู้ใหญ่เทพ บอกว่า โดยธรรมชาติแล้ว มะม่วงเป็นพืชที่หากินอยู่บนหน้าดิน ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมปลูกให้ลึกมากนัก แค่ใช้จอบขุดหลุมปลูกเท่ากับความสูงของถุงดำก็เพียงพอแล้ว เพราะต้นมะม่วงหากินอยู่บนหน้าดินเป็นหลัก สมัยก่อน ผู้ใหญ่เทพเคยทดลองขุดปลูกมะม่วง เหมือนกับปลูกข้าวโพด ปรากฏว่าต้นมะม่วงโตไวเช่นกัน

ระยะ 1-3 ปีแรกของการปลูก ต้นมะม่วงแก้วขมิ้นเติบโตดีไม่แพ้มะม่วงพันธุ์ไทย ผู้ใหญ่เทพบอกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ดูแลแปลงปลูกมะม่วงด้วย สำหรับต้นมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในปีแรก จำเป็นต้องดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำอย่างเหมาะสม หลังหมดฤดูฝนประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ต้องให้น้ำเพื่อป้องกันต้นมะม่วงขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ต้นมะม่วงตายได้

เมื่อถามถึงการใส่ปุ๋ยบำรุง ก็ได้รับคำตอบว่า ใช้สูตรปุ๋ยบำรุงต้นเช่นเดียวกับมะม่วงพันธุ์ไทย ผู้ใหญ่เทพให้ข้อสังเกตว่า มะม่วงแก้วขมิ้นชอบปุ๋ยคอกมากกว่าปุ๋ยเคมี โดยเล่าให้ฟังว่า เขาทดลองขุดดินเลนจากสระมาใส่ในแปลงปลูกมะม่วงแก้วขมิ้น พบว่า มะม่วงแก้วขมิ้นเติบโตได้ดี แสดงว่ามะม่วงพันธุ์นี้ชอบดินที่มีปุ๋ยอินทรีย์เยอะ

มะม่วงแก้วขมิ้นนอกฤดูให้ผลดกมาก

ทุกวันนี้ต้นมะม่วงแก้วขมิ้นของผู้ใหญ่เทพมีอายุครบ 4 ปีแล้ว มีลำต้นขนาดท่อนขา พร้อมให้ผลผลิตอย่างเต็มที่ ผู้ใหญ่เทพวางแผนผลิตมะม่วงแก้วขมิ้นนอกฤดู ปีละ 2 รุ่น เช่นเดียวกับมะม่วงพันธุ์ไทย โดยตั้งใจให้มีผลผลิตทยอยเข้าตลาดในช่วงเดือนกันยายนและปลายเดือนตุลาคม

หลังจาก ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น ผลิดอกออกผลแล้ว ในระยะแรก ผลมะม่วงจะเติบโตช้ามากเมื่อเทียบกับมะม่วงพันธุ์ไทจนใกล้อายุเก็บเกี่ยวหรือแก่ จึงค่อยขยายผลใหญ่ขึ้นตามลำดับ เมื่อถามถึงความดกของมะม่วงแก้วขมิ้นเปรียบเทียบกับมะม่วงน้ำดอกไม้ ผู้ใหญ่เทพ บอกว่า “ผลผลิตแตกต่างมาก เหมือน ‘ฟ้ากับดิน’ กันเลยทีเดียว”

“ผมวางแผนปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงพันธุ์ไทย พบว่า แก้วขมิ้นให้ผลดกมากกว่ามะม่วงน้ำดอกไม้เกือบครึ่งต่อครึ่งทีเดียว แก้วขมิ้นให้ผลดกมากๆ จนกิ่งหัก เพราะแบกรับน้ำหนักไม่ไหว โดยทั่วไปมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ เมื่อติดผลดก มักจะสลัดผลทิ้ง เก็บผลเอาไว้แค่เลี้ยงไหว แต่ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น หลังจากติดดอกออกผลเป็นจำนวนมากแล้ว จะไม่สลัดผลทิ้งเหมือนกับมะม่วงพันธุ์ไทย เหตุผลเพราะว่ามะม่วงแก้วขมิ้นมีขั้วที่เหนียวมาก และทนแล้งได้ดี ช่วงที่มีผลผลิต แม้ไม่ให้น้ำ ต้นมะม่วงยังไม่สลัดลูกทิ้งเลย นับเป็นจุดเด่นสำคัญของมะม่วงแก้วขมิ้น” ผู้ใหญ่เทพ กล่าว

หลังจากหมดฤดูมะม่วงในเดือนเมษายน สมัครยูฟ่าเบท ผู้ใหญ่เทพจะตัดแต่งกิ่งให้โปร่งก่อนจึงให้ปุ๋ยทางใบเพื่อดึงใบอ่อน โดยให้ต้นมะม่วงเร่งผลิตใบอ่อนให้พร้อมกันทั้งแปลง เมื่อใบชุดใหม่เข้าสู่ระยะใบเพสลาดก็เตรียมพร้อมราดสารแพคโคลบิวทราโซล 10% WP เพื่อชักนำการออกดอกในมะม่วง สำหรับมะม่วง ลำต้นสูงไม่เกิน 2.5 เมตร อายุ 5-7 ปี ราดสารในอัตรา 10 กรัม ต่อเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 1 เมตร

อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราการราดสารจะพิจารณาจากอายุต้น ความหนาแน่นของใบและความสูงของต้นเป็นหลัก ยิ่งลำต้นสูงมาก ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณการใช้สารเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อส่งเสริมการสร้างตาดอก ควรบำรุงตาดอกก่อนเปิดตาดอก โดยให้ปุ๋ยทางดิน หลังราดสารประมาณ 7 วัน ต้นมะม่วงจะสะสมอาหาร ชักนำสร้างตาดอกขึ้นภายใน 45-60 วัน

ช่วงที่ต้นมะม่วงแก้วขมิ้นติดดอกออกผล พบว่า บางช่อติดผล 10 กว่าลูก ก่อนห่อผล ควรตัดแต่งผล โดยปลิดผลที่ไม่สมบูรณ์ออกสัก 5 ผล เพื่อให้ลูกที่เหลือมีขนาดผลโตตามที่ตลาดต้องการ ผู้ใหญ่เทพใช้วิธีนับวันเก็บเกี่ยว ประมาณ 120 วัน หลังดึงดอก เมื่อถึงกำหนด จะสุ่มเปิดถุงห่อผลมะม่วงเป็นระยะ มะม่วงที่ห่อ ผลดิบจะมีผิวอมเหลืองหน่อยๆ ก็เก็บออกขายได้เลย

ผู้ใหญ่เทพ ทดลองเก็บแก้วขมิ้นผลสุกแก่จัด 90% ขึ้นไป มาชิม ก็รู้สึกประทับใจ เพราะแก้วขมิ้นผลสุกมีรสชาติหวานหอมอร่อยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบรสชาติกับมะม่วงแก้วตระกูลเดียวกัน ผู้ใหญ่เทพ บอกว่า แก้วขมิ้นผลสุก มีรสหวานกว่ามะม่วงแก้วของไทย และสีของเนื้อแก้วขมิ้นผลสุก สวยกว่ามะม่วงน้ำดอกไม้เสียอีก เชื่อว่าหากใครได้มีโอกาสชิมจะต้องติดใจในรสชาติความอร่อยของมะม่วงแก้วขมิ้นผลสุกอย่างแน่นอน

ผู้ใหญ่เทพ มั่นใจว่า ในวันนี้ เขาตัดสินใจไม่ผิดที่ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นเป็นไม้ผลทางเลือกตัวใหม่ในสวนแห่งนี้ เพราะมะม่วงแก้วขมิ้น เป็นไม้ผลที่มีโอกาสทางการตลาดสูง สามารถจำหน่ายได้ทั้งผลดิบและผลสุก แถมได้ผลดกจำนวนมาก หากสามารถตั้งราคาขายได้เท่ากับมะม่วงพันธุ์ไทย เขาก็พอใจแล้ว หากใครมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้ใหญ่เทพได้ตามที่อยู่และเบอร์โทร.ข้างต้น ผู้ใหญ่เทพ มุ่งแก้วกลาง ยินดีแบ่งปันข้อมูลให้กับเกษตรกรผู้สนใจทุกราย