ชาวบ้าน ‘ลำปาง’ เตือนซื้อข้าวสารรถเร่ หลอกขายไปทั่วคุณภาพ

นางวิรัช อินทะญาติ นายสมพงษ์ กิตติวงษ์ บ้านเลขที่ 318/5 หมู่ที่ 6 บ้านหนองบัว ตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ถูกมิจฉาชีพมาหลอกขายข้าวสารคุณภาพต่ำที่บ้าน โดยขับรถยนต์กระบะโตโยต้า สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน พิษณุโลก เป็นชาย 2 คน ขับรถตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เร่ขายข้าวสารกระสอบละ 1,000 บาท ขนาดกระสอบละ 40 กิโลกรัม โดยคนขายข้าวสารนำรถมาจอดที่หน้าบ้านบอกว่า นำข้าวสารมาส่งที่ร้านเหลือ 2 กระสอบ ไม่อยากเอาไปคืนเสนอขายให้กระสอบละ 1,000 บาท

โดยที่กระสอบเขียนเป็นข้าวสารตราส้มหวาน เป็นข้าวสารคุณภาพดี หุงขึ้นหม้อ และนุ่ม จึงได้ต่อรองราคา กระสอบละ 900 บาท ซื้อไว้สองกระสอบราคา 1,800 บาท จากนั้นนำข้าวไปหุง ปรากฏว่าข้าวแข็งมากจนรับประทานไม่ได้ พอนำกระสอบข้าวไปชั่งดูมีเพียง กระสอบละ 30 กิโลกรัม เท่านั้น จึงรู้ว่าถูกหลอกแน่นอน เพราะข้าวที่ซื้อมาหุงแล้วแข็ง ไม่นุ่มเหมือนที่โฆษณาซึ่งน่าจะเป็นข้าวคุณภาพต่ำ จึงได้แจ้งไปยังสถานีวิทยุท้องถิ่น ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รู้ก่อนที่จะถูกหลอกขายข้าวสารคุณภาพต่ำดังกล่าว

ปัจจุบัน ยังมีผู้พบเห็นรถยนต์คันดังกล่าวตระเวนขายข้าวสารในเขต อำเภอเมืองลำปาง และ อำเภอเถิน ตนยังไม่ได้ไปแจ้งความกับตำรวจ เนื่องจากว่าเป็นเงินเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามอยากขอเตือนประชาชน หากพบรถยนต์คันดังกล่าวขับเข้ามาในหมู่บ้าน เร่ขายข้าวสาร อย่าซื้อเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกหลอกขายข้าวสารคุณภาพไม่ดี มีชาวบ้านซื้อไว้หลายราย เนื่องจากเห็นว่ามีราคาถูกคิดว่าข้าวมีคุณภาพดี ไม่คิดว่าจะถูกหลอก เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ หากจำเป็นให้แจ้งความตำรวจไว้ เพื่อที่จะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เตรียมชมชิมช้อปทุเรียนมังคุดคุณภาพดีในงานเทศกาลบริโภคผลไม้คุณภาพจังหวัดจันทบุรี ปี60 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม นี้ ที่ห้างแมคโคร สาขาลาดพร้าว

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า สหกรณ์สำนักงานจังหวัดจันทบุรี ร่วมกับ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด(มหาชน) จัดงานเทศกาลบริโภคผลไม้คุณภาพจันทบุรี ขึ้น ระหว่าวันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2560 ณ แม็คโคร สาขาลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ภายในงานจะมีการจัดกิจกรรม “โชว์ ชิม ช้อปผลไม้คุณภาพ” และการคัดสรรผลไม้ นานาชนิดจากจังหวัดจันทบุรีมาจำหน่าย ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ลองกอง และยังมีตัวแทนจากสหกรณ์ต่าง ๆ นำสินค้าเด่นของจังหวัดจันทบุรีมาร่วมจำหน่ายในงานนี้ด้วย

ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฏ จำกัด จำหน่ายมังคุดเกรดพรีเมี่ยมบรรจุกล่อง, สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด จำหน่ายทุเรียนเชื่อมและทุเรียนทอด, กลุ่มแปรรูปทอเสื่อกกจันทบูรณ์ จำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูป จากเสื่อกก, กลุ่มผู้ผลิตมังคุดคุณภาพตำบลฉมัน จำหน่ายมังคุดกวน หมี่กรอบน้ำมังคุดและถ่านมังคุด, กลุ่มอาหารพื้นเมืองจันทบุรี จำหน่ายแกงหมูชะมวง ก๋วยเตี๋ยวผัดปูเส้นจันท์, กลุ่มอาชีพสหกรณ์บ้านเขาบายศรี จำหน่ายทุเรียนทอด ท๊อฟฟี่ทุเรียน และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคลองน้ำเค็มทันใจ จำหน่ายมินิแคร็กเกอร์ เมี่ยงคำชีทหน้าทุเรียน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาประสิทธิภาพของการบริหารจัดการผลไม้ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าทางการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ด้วยการมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร กลุ่มผู้ผลิตผลไม้คุณภาพ กลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์ และกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการร่วมกันผลิตสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค รวมทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาสมาชิกผู้ผลิตสินค้าเกษตรด้วย เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้สินค้าได้มาตรฐาน นำมาซึ่งการประกอบอาชีพเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์ได้อย่างยั่งยืน

การจัดงาน “เทศกาลบริโภคผลไม้คุณภาพจังหวัดจันทบุรี ปี 2560” ภายใต้โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อพัฒนาช่องทางการตลาดผลไม้คุณภาพ ปี 2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ชุมชน สังคมและเศรษฐกิจ มีความเข้มแข็งและช่วยสร้างรายได้ อีกทั้งช่วยพัฒนาและเพิ่มช่องทางการค้า เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ในการดำเนินธุรกิจรวบรวมและจำหน่ายผลไม้ของสหกรณ์ชาวสวนผลไม้ได้อย่างเป็นระบบ นำมาซึ่งการเชื่อมโยงเครือข่ายสหกรณ์ พันธมิตรทางธุรกิจ ระหว่างคู่ค้ากับผู้บริโภค ทั้งยังช่วยสร้างกำลังใจให้แก่ขบวนการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะสมาชิกผู้ผลิตผลไม้คุณภาพ สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรีในการพัฒนาอาชีพและผลผลิตให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของผู้บริโภคต่อไป

เพราะมีเยาวชนส่วนหนึ่งในประเทศที่ยังไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม เนื่องจากโรงเรียนขาดแคลนทุนทรัพย์ในการสร้างหรือปรับปรุงอาคารเรียน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างสำคัญอย่างห้องน้ำ ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ “มูลนิธิเอสซีจี” องค์กรสาธารณกุศลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นที่เด็กและเยาวชน จึงได้ดำเนิน “โครงการค่ายอาสา โดยมูลนิธิเอสซีจี” ร่วมกับ “ชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจี” มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ด้วยความตั้งใจที่จะปลูกฝังให้พนักงานเอสซีจีได้มีจิตอาสา ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านต่างๆ รวมถึงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคมจนกลายเป็น DNA ของชาวเอสซีจีทุกคน โดยเสียสละวันหยุดพักผ่อนประจำปีเพื่อเป็นอาสาสมัครร่วมเดินทางกับมูลนิธิเอสซีจีไปก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนอาคารเรียน ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี และการสนับสนุนวัสดุก่อสร้างจากบริษัทในเครือเอสซีจี

เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ได้มีสถานที่เรียนรู้ที่พอเพียงมากยิ่งขึ้น ในปี 2560 มูลนิธิฯ จึงได้ออกค่ายอาสาก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 37 ณ โรงเรียนวัดตาขัน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลางที่เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษา มีจำนวนนักเรียนชายหญิงรวม 158 คน แต่กลับมีอาคารเรียนเพียง 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นอาคารไม้ 2 ชั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรม ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวที่สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ของคนในชุมชน จึงไม่เพียงพอต่อการจัดกิจกรรมและการจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กๆ มูลนิธิเอสซีจีและชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจี จึงได้ร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ มุ่งหวังให้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียนและพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษา ทั้งยังสร้างห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ พร้อมอ่างล้างมือด้านนอกเพื่อสุขอนามัยที่ดี รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,000,000 บาท เพื่อมอบให้แก่น้องๆ และชาวชุมชนโรงเรียนวัดตาขันด้วย

ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “เพราะเยาวชนคือกำลังสำคัญของชาติ ดังนั้นหากจะพัฒนาชาติให้ก้าวหน้า ย่อมต้องพัฒนาคนด้วยการศึกษาเป็นอันดับแรก มูลนิธิเอสซีจีจึงร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีสร้างอาคารเรียนให้กับเด็กๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา เราได้ส่งมอบอาคารเรียนให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไปแล้ว 36 หลัง และห้องน้ำ 9 หลัง การส่งมอบอาคารเรียนเพิ่มเติมอีก 1 หลัง และห้องน้ำอีก 1 หลังในวันนี้ จึงเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนไทยอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ผมในฐานะตัวแทนของมูลนิธิเอสซีจีหวังว่าจะได้เห็นเด็ก ๆ ทุกคนที่โรงเรียนวัดตาขัน มีความสุขที่ได้เล่าเรียนในอาคารเรียนหลังใหม่นี้ และอยากเห็นเด็กๆ ที่นี่ เติบโตเป็น ‘คนเก่งและดี’ ของประเทศในวันข้างหน้าต่อไป”

สำหรับอาคารเรียนหลังที่ 37 นี้ มูลนิธิเอสซีจี ได้ทำการปรับปรุงแบบก่อสร้างใหม่ โดยนำนวัตกรรมต่างๆ ของบริษัทในเครือเอสซีจีมาประยุกต์ในการออกแบบ เช่น การติดตั้งเสาเหล็กและโครงสร้างอาคารด้วยวิธี Nut & Bolt และขยายพื้นที่บริเวณระเบียงและทางเดินรอบอาคารเรียน รวมพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร เพื่อความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างและเพิ่มพื้นที่การใช้งานของนักเรียน รวมไปถึงการเพิ่มทางลาดชัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน Universal Design หรือหลักการออกแบบสำหรับทุกคน และครอบคลุมการใช้สอยที่หลากหลาย โดยอาคารเรียนดังกล่าวเป็นอาคารชั้นเดียวขนาด 15 x 43.20 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน ขนาดห้องละ 69 ตารางเมตร อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากธุรกิจในเครือเอสซีจีในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน เช่น การอบรมความรู้ในการบริหารจัดการธนาคารขยะแบบครบวงจร สนามเด็กเล่นจาก SCG Chemicals และการทำกิจกรรมต่างๆ กับชุมชน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีร่วมกัน อาคารเรียนดังกล่าวจึงถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของเยาวชนและเป็นอาคารที่รวมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

จากพื้นดินอันรกร้างว่างเปล่า ได้ถูกสรรค์สร้างเป็นอาคารเรียนหลังงามด้วยพลังแห่งจิตอาสา แม้สภาพอากาศที่ร้อนจัดในตอนกลางวัน และฝนฟ้าที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อสร้าง แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อของคนค่ายอาสาฯ งานทุกอย่างจึงสำเร็จไปได้ด้วยดี ด้วยความเสียสละอุทิศทุกหยาดเหงื่อ เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเด็กๆ และทุกคนในชุมชนวัดตาขัน

มิกซ์ – ธนพงศ์ เสนาชัย วิศวกรโยธา จากแผนก System & Solution Business เอสซีจี ซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คนหนุ่มหัวใจอาสา อดีตนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี พูดถึงความรู้สึกที่มาร่วม ออกค่ายว่า “ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผู้ได้รับโอกาส เป็นนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี ครั้งนี้เมื่อมีโอกาส ผมก็อยากส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่น้องๆ ในถิ่นทุรกันดาร จึงไม่ลังเลที่จะมาร่วมออกค่ายในครั้งนี้ แม้เป็นกำลังเล็กๆ แต่ก็เต็มใจ เพราะการทำงานในค่ายถือเป็นการรวมพลังชาวเอสซีจีทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ที่ต่างมาร่วมแรงแข็งขันทุ่มเททำงานเพื่อให้เด็กๆ ได้มีอาคารเรียนหลังใหม่ ผมเห็นว่าทุกคนมีความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะก่อสร้างอาคารเรียนให้สำเร็จ เราไม่ใช่เพียงแต่สร้างอาคาร แต่เรากำลังสร้างรอยยิ้ม สร้างมิตรภาพและความสุขให้กับเด็กๆ และทุกคนในชุมชน”

ด้าน ซีล – กมลชนก แซ่น้า พนักงานจิตอาสา จากหน่วยงาน SCG Precast Concrete Business กล่าวเสริมว่า “รู้สึกภูมิใจมากเมื่อได้เห็นผลงานของพวกเราตอนที่อาคารสร้างเสร็จแล้ว ปลื้มใจมากที่ได้เห็นน้องๆ มีความสุขกับอาคารเรียนหลังใหม่ที่พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจสร้างขึ้นมา เชื่อว่าอาคารเรียนหลังนี้จะยืนยงคงอยู่เพื่อสร้างเด็กและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้อีกต่อไป”

ในการมอบอาคารเรียนและห้องน้ำนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดครุภัณฑ์ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียน และร่วมกับเอสซีจี เคมิคอลส์ มอบสนามเด็กเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีทางด้านร่างกาย รวมทั้งบริษัทนวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) จำกัด มอบธนาคารขยะให้แก่โรงเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอีกด้วย

ส่วน เด็กหญิงหทัยจอมขวัญ ตั่นปิน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดตาขัน เป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวขอบคุณว่า “พวกหนูขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีมากๆ ค่ะ ที่พี่ๆ จิตอาสาทุกคนเสียสละแรงกายแรงใจรวมถึงวันหยุดพักผ่อน มาร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนและห้องน้ำให้กับโรงเรียนของหนู บางช่วงพี่ๆ ต้องเจอกับแดดร้อน หรือต้องอยู่ท่ามกลางสายฝน หนูประทับใจมากและเห็นพี่ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีในความมานะ อดทน พวกหนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เป็นนักเรียนที่ดีของคุณครู เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และเรียนรู้ในอาคารหลังงามที่พี่ๆ มอบให้ ให้คุ้มค่ากับพลังความเสียสละของพี่ๆ ชาวค่ายทุกคนค่ะ”

การให้โอกาสทางการศึกษา คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน มูลนิธิเอสซีจี จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารเรียนแห่งนี้จะเป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กๆ ให้มีโอกาสได้พัฒนาเป็นเยาวชนที่รักการเรียนรู้ และเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศชาติในอนาคตต่อไป

บริษัท ไบโอบอร์น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนา เกิดจากการรวมกลุ่มของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านเภสัชศาสตร์ ได้ฤกษ์เปิดตัวนวัตกรรมจากธรรมชาติ แผ่นซับสิว AcneQอย่างเป็นทางการ การันตีด้วยรางวัลเหรียญทองจากการประกวด “Economic and Scientific Innovation” ในงาน INTARG 2016 ณ ประเทศโปแลนด์ เพื่อรุกตลาดสุขภาพและความงาม ในเทรนด์ของโลกนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี
ที่อิงกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองรับการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) กลไกหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท ไบโอบอร์น จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิถีการเรียนรู้ การทำงาน สังคม การค้า การสื่อสาร และการรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาประเทศจากการค้นพบวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะนวัตกรรมนาโนด้านเภสัชศาสตร์ ที่เข้ามามีบทบาทในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมดั้งเดิมของคนไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ต้องเลือกว่าเราจะเป็นเพียงแค่ผู้บริโภค หรือจะเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัท ไบโอบอร์น จำกัด เกิดขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ และความงามรองรับการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) กลไกหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความมุ่งมั่นของไบโอบอร์น ในการค้นคว้าวิจัย โดยร่วมมือกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยด้านเภสัชศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเลือกใช้วัสดุที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรชีวภาพที่หาได้ง่ายในประเทศไทย และหากนำมาแปรรูปอย่างถูกต้องด้วยฝีมือและสมองของนักวิจัยไทย จะทำให้เกิดนวัตกรรมและนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ นับว่าส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

ผลงานวิจัยด้านเภสัชศาสตร์ต่อจากนี้โลกต้องตะลึง! ในเรื่องของสิว ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องจิ๋ว ๆ แต่ในโลกของนวัตกรรม การรักษาสิวมีการพัฒนาไปไกลจากการพัฒนาด้านเภสัชศาสตร์ จากการคิดค้นนวัตกรรมแผ่นซับสิว AcneQ ทำจากยางธรรมชาติโปรตีนต่ำ ที่สามารถดูดซับหนอง หรือของเหลวจากสิวได้ดี มีส่วนผสมของสารสกัดเปลือกมังคุดที่ทำให้อยู่ในรูปของอนุภาคนาโน (Nano-encapsulation) ช่วยเพิ่มความคงตัว และทำให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น และสารสกัดจากเปลือกมังคุด Nano-encapsulation จะออกฤทธิ์แบบ sustained release ที่ค่อย ๆ ปลดปล่อยสารสำคัญออกมา จึงทำให้ออกฤทธิ์อย่างสม่ำเสมอและยาวนานถึง 8 ชั่วโมง มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งก่อให้เกิดสิวจึงแตกต่างจากผลิตภัณฑ์แผ่นซับสิวตัวอื่นที่เป็นเพียงแผ่นปิดป้องกันสิ่งสกปรกเท่านั้น โดยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมาจากธรรมชาติ ทั้งยางและสารสกัดจากเปลือกมังคุด จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย

แผ่นซับสิว AcneQ ผ่านการรับรองการวิจัยทางคลินิก โดยทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแผ่นซับสิวทั่วไปที่ทำจากสารไฮโดรคอลลอยด์ พบว่า สิวอักเสบที่ได้รับการรักษาด้วยแผ่นซับสิว AcneQ ช่วยให้ขนาดของสิวลดลงมากกว่าการใช้แผ่นซับสิวที่ทำจากสารไฮโดรคอลลอยด์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่าช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากสิว และการอักเสบได้ดีกว่าด้วยคุณสมบัติ 4 ประการ คือ ปกป้อง ดูดซับ ฟื้นฟู และลดการอักเสบ โดยตลอดการศึกษา และทดสอบจากอาสาสมัครมีความพึงพอใจไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ

ขณะนี้แผ่นซับสิว AcneQ พร้อมวางจำหน่ายแล้วที่ Siam Paragon, Emporium, The Mall ทุกสาขา และที่ EVEANDBOY ทั้ง 5 สาขา ได้แก่ สาขา SIAM SQUARE ONE ชั้นLG, สาขา Mega Bangna ชั้น 1, สาขาอาคาร BB Building ถนนอโศก ชั้น 1, สาขาสยามสแควร์ซอย 1 และสาขา Zpell ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ชั้น 1 รวมทั้ง Foodland ทุกสาขา ในราคาจำหน่าย 139 บาท

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ(กฟก.)ครั้งที่ 2/2560 สั่งการให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบและยืนยันข้อมูลหนี้สินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้สิน 510,000 รายเป็นข้อมูลปัจจุบันหรือไม่ เพราะบางคนอาจเสียชีวิตแล้วหรืออาจจ่ายหนี้หมด โดยจะเริ่มดำเนินการสัปดาห์หน้า และให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมปีนี้

ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบและยืนยันข้อมูลหนี้สินเกษตรกร ได้แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองหนี้ระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และคณะกรรมการกลั่นกรองหนี้ในระดับอำเภอที่มีนายอำเภอเป็นประธาน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะชี้แจงผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ที่กระทรวงมหาดไทยสัปดาห์หน้า

สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิได้รับพิจารณาแก้ไขปัญหาหนี้ tenchino.co.th ประกอบด้วย 1.เป็นเกษตรกรรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกฟก. 2.เป็นหนี้เพื่อการเกษตรเท่านั้น 3.เป็นหนี้กู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นิติบุคคลอื่นที่คณะกรรมการกำหนด และสถาบันเกษตรกร 4.เป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือมีบุคคลค้ำประกัน

5.เป็นหนี้ทีมีสถานะผิดนัดชำระหนี้ขึ้นไป โดยจัดลำดับความเร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือ คือ หนี้ถูกฟ้องล้มละลาย หนี้ถูกบังคับคดี หรือประกาศขายทอดตลาด หนี้ถูกดำเนินคดี หนี้ผิดชำระหนี้ และ 6.ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ เกษตรกรที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1 – 5 ที่สมควรให้ความช่วยเหลือเป็นลำดับแรก คือ ผู้ทุพพลภาพ เจ็บป่วย หรือ มีปัญหาสุขภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หรือเป็นผู้มีรายได้น้อยกว่า 100,000 บาทต่อปี หรือเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานในวัยแรงงานดูแล ขณะที่หนี้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่ใช้บุคคลค้ำประกันและหลักทรัพย์ค้ำประกันกว่า 2.5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการจัดการหนี้พิจารณาเป็นรายกรณี

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 1 กรกฏาคม 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้ สำหรับทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบนและประเทศไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งเกิดขึ้นในระยะนี้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน สุโขทัย

อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง

บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู สกลนคร มุกดาหาร ชัยภูมิ และขอนแก่น

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่

บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง

บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่

ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร

สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม.

ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต

อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม.

ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.