ช่วยให้ผมของคุณหายร่วงและส่วนที่ร่วงออกไปก็กลับงอกงาม

ขึ้นมาใหม่อีกครั้งและจะไม่ร่วงอีก โดยการนำเปลือกส้มเขียวหวาน จากส้มเขียวหวานประมาณ 4-5 ลูก นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำของเปลือกส้มเขียวหวาน จากนั้นนำน้ำที่ได้จากเปลือกส้มเขียวหวานมาทาตรงบริเวณหนังศีรษะที่มีผมร่วงบ่อย หรือบริเวณหนังศีรษะล้านควรทาทิ้งไว้ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรทาน้ำคั้นเปลือกส้มเขียวหวานตรงบริเวณที่ผมร่วงและศีรษะล้านประจำทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน

ผลที่ได้ก็คือ บริเวณหนังศีรษะล้านและมีผมร่วงบ่อยนั้นจะหยุดร่วงและมีผมใหม่ขึ้นมา ขิง เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยบำรุงเส้นผมและป้องกันผมร่วง ช่วยทำให้รากผมแข็งแรงไม่แพ้เปลือกส้มเขียวหวาน โดยนำขิงแก่ 1 แง่ง มาสับหรือตำให้ละเอียด นำผ้าขาวบางมาห่อขิงที่ตำละเอียดไว้แล้วนำไปนึ่งประมาณ 5 นาที หรืออบในเตาไมโครเวฟสัก 2 นาที พอให้น้ำมันหอมระเหยและตัวยาที่อยู่ในขิงออกมา จากนั้นนำผ้าขาวบางที่ห่อขิงอยู่ออกมารอให้อุ่นก่อน แล้วนำมาคลึงบริเวณที่ผมร่วงหรือศีรษะล้าน ใช้เวลาในการคลึงประมาณ 20 นาที จากนั้นสระผมด้วยน้ำสะอาด ควรทำแบบนี้ทุกวันติดต่อกัน 1-2 สัปดาห์

ผลที่ได้คือ ผมของคุณจะหยุดร่วงและมีผมใหม่ขึ้นมาบริเวณหนังศีรษะที่ผมร่วง ถ้าจะให้ได้ผลเป็นที่แน่นอนและดีขึ้นเรื่อยๆ คุณควรทำติดต่อกันประมาณ 4 สัปดาห์ จากนั้นให้ลดเหลือสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แค่นี้ผมของคุณก็จะหยุดร่วง เส้นผมมีสุขภาพดี รากผมแข็งแรง และศีรษะไม่ล้าน

สมุนไพรป้องกันรังแค ทำให้ผมดกดำ เป็นที่รู้กันดีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้วว่า มะกรูด ช่วยในการรักษารังแคกวนใจ สรรพคุณในการรักษารังแคบนหนังศีรษะของมะกรูดนั้นเป็นเลิศ แถมคุณยังได้ผมที่นุ่มสลวย เงางามเป็นของแถมอีกด้วย ง่ายมากกับสูตรนี้ เพียงแค่คุณนำมะกรูดที่แก่จัดมา 1 ผล จัดการผ่ามันออกมาเป็นสองซีก จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมะกรูด นำน้ำมะกรูดที่ได้มาทาให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผมที่สระสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ติดต่อกัน 1 เดือน

ผลที่ได้คือ รังแคบนหนังศีรษะของคุณจะลดลงและหายไป ผมของคุณจะดกดำเงางามและนุ่มสลวย และถ้าไม่อยากให้รังแคกลับมากวนใจอีก คุณควรหมักผมด้วยน้ำมะกรูด สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หลังสระผม แค่นี้รังแคก็จะไม่กลับมากวนใจคุณอีกต่อไป

ว่านหางจระเข้ ก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยให้คุณมีผมที่ดกดำเงางาม หนังศีรษะชุ่มชื้น ลดปัญหารังแค เพียงแค่นำใบว่านหางจระเข้มา 2-3 กาบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก แต่นำเนื้อวุ้นที่มีทั้งเมือกสีเหลืองและสีขาวใส มาสับหรือปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปชโลมให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผม โดยการใช้ปลายนิ้วมือขยี้และนวดเบาๆ ให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผม จากนั้นหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที โดยใช้ผ้าขนหนูโพกคลุมให้ทั่วศีรษะ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมใหม่อีกครั้ง ควรทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน

ผลที่ได้คือ เส้นผมของคุณจะดกดำเงางามและหนานุ่ม ลดปัญหารังแคกวนใจ หนังศีรษะชุ่มชื้น หากจะทำให้ผมสวยดกดำเงางามแบบนี้ตลอดไป ควรหมักผมด้วยว่านหางจระเข้สัปดาห์ละครั้งผมของคุณจะมีสุขภาพดีตลอดไป

บวบอ่อน

สามารถแก้ปัญหาอาการคันจากการมีรังแคได้ง่ายมาก โดยการนำบวบอ่อน 1-2 ลูก มาปอกเปลือกออก เอาแต่เนื้อของบวบ หั่นบวบเป็นท่อนๆ แล้วนำมาปั่นให้ละเอียดนำบวบปั่นจนละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำนำไปทาให้ทั่วศีรษะบริเวณที่มีอาการคันรังแค หมักทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์

ผลที่ได้คือ อาการคันที่เกิดจากรังแคพร้อมทั้งรังแคจะหายไป หากอยากหายจากอาการคันรังแคให้ ไม่กลับมาคันใหม่อีก ควรทำแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง ปัญหาคันที่เกิดจากรังแคจะไม่กลับมากวนใจคุณอีก

สมุนไพรแก้ปัญหาชันนะตุ

ชันนะตุ ถือเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อราหนังศีรษะจนเป็นตุ่มแผลพุพอง มีน้ำเหลืองไหลเป็นที่รังเกียจของบุคคลอื่น และทำให้เสียสุขภาพจิตสำหรับคนที่เป็น เพราะไม่สามารถที่จะออกไปพบปะผู้คนได้ แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก น้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ มีสมุนไพรที่สามารถช่วยรักษาโรคชันนะตุบนหนังศีรษะของคุณได้ นั่นคือ มะคำดีควาย น้ำมันมะพร้าว และขมิ้นชัน

มะคำดีควาย

ประคำดีควาย เป็นพืชสมุนไพรประเภทไม้ยืนต้น มีลักษณะกลม ซึ่งมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคชันนะตุได้เป็นอย่างดี โดยนำผลมะคำดีควายไปทุบให้แตก นำไปแช่น้ำประมาณ 5-10 นาที จากนั้นนำมาสระผมทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า จะช่วยรักษาโรคชันนะตุได้

มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยรักษาโรคชันนะตุบนหนังศีรษะของเด็กเล็กได้ โดยให้สระผมเด็กด้วยสบู่ทุกเช้า จากนั้นนำน้ำมะพร้าวมาทาตรงบริเวณที่เป็นชันนะตุทุกเช้าและเย็น น้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ชันนะตุละลายและหลุดลอกออกมาและทำให้หายจากการเป็นชันนะตุได้

ขมิ้นชัน

มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยในการรักษาโรคชันนะตุได้เป็นอย่างดี โดยนำหัวขมิ้นชัน 1-2 หัว มาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำไปตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุทุกวัน วันละ 2 ครั้ง คือ ในตอนเช้าและตอนเย็นหลังสระผม แล้วจะช่วยให้รักษาโรคชันนะตุได้ หรือนำขมิ้นชัน 1 หัว เนื้อมะพร้าวแก่ 1 ชิ้นเล็ก ใบมะลิ 1 กำมือ นำทุกอย่างมาตำรวมกันให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาตรงบริเวณที่เป็นชันนะตุทุกวัน วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและเย็นหลังสระผมด้วยสบู่ จะช่วยรักษาโรคชันนะตุให้หายไปได้

สมุนไพรแก้ปัญหาผมมัน

มะละกอ

นอกจากจะเป็นผลไม้ที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว มะละกอยังช่วยแก้ปัญหาเส้นผมจากภายนอกได้อีก โดยการนำมะละกอสุกมาปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สัก 1 ถ้วยตวง จากนั้นนำไปปั่นผสมกับน้ำ 1 ถ้วย ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมะละกอ นำมะละกอมาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผมที่สระสะอาดแล้ว จากนั้นหมักทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ไม่ต้องสระผมอีก ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน

ผลที่ได้คือ ผมของคุณจะหายมันเยิ้ม เส้นผมนุ่มสลวยเงางาม หากไม่ต้องการให้ผมกลับมามันเยิ้มอีก คุณควรทำแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกันไปเรื่อยๆ จะช่วยลดปัญหาผมมันได้แน่นอน

สมุนไพรรักษาเหา

ใบน้อยหน่า

เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการกำจัดเหามาตั้งแต่โบร่ำโบราณถึงปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถใช้ได้ผลนักแล โดยนำใบน้อยหน่า 5-10 ใบ มาสับหรือตำให้ละเอียดแล้วผสมน้ำเล็กน้อย คั้นให้น้ำจากใบน้อยหน่าออกมา จากนั้นใช้ทั้งกากและน้ำของใบน้อยหน่าทาให้ทั่วผมและหนังศีรษะ เอาผ้าขนหนูมาโพกให้ทั่วศีรษะ หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ระวังอย่าให้น้ำใบน้อยหน่าเข้าตา เพราะจะทำให้แสบตา จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดและสระผมใหม่อีกครั้ง แล้วใช้หวีสางเอาไข่เหาและตัวเหาออก ควรทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันจนกว่าไข่เหาและเหาจะหมดไป

ผลที่ได้คือ อาการคันศีรษะจากเหาจะหายไป ไข่เหาและตัวเหาลดลงและหมดไปในที่สุดและไม่กลับมาเป็นอีก หากรักษาความสะอาดของเส้นผมและไม่อยู่ใกล้คนที่เป็นเหา มะกรูด สามารถกำจัดและฆ่าเหาได้ โดยนำมะกรูดที่แก่จัดผลใหญ่หนึ่งผลนำไปเผาไฟหรือย่างให้สุก จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจึงค่อยผ่าครึ่งแล้วคั้นเอาแต่น้ำมะกรูด นำน้ำมะกรูดมาทาให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ จากนั้นใช้หวีซี่เล็กหรือหวีเสนียดมาสางเส้นผม ไข่เหาและตัวเหาจะหลุด ติดหวีออกมา ทำแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกัน 3-4 สัปดาห์

ผลที่ได้คือ เหาและไข่เหาถูกกำจัดออกไปจนหมดและไม่เกิดอาการคันศีรษะเพราะเหาอีก

ใบสะเดา

เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยกำจัดเหาได้ โดยนำใบสะเดาแก่ 3 กำมือ มาตำหรือปั่นให้ละเอียด จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อย ขยำให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วศีรษะ หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมมาอีกครั้งทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์

ผลที่ได้คือ เหาและไข่เหาถูกกำจัดจนหมดไป เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการกำจัดเหาได้เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักถึงสรรพคุณในการกำจัดเหา เหมือนใบน้อยหน่าก็ตาม แต่มะตูมนั้นก็สามารถกำจัดเหาได้ชะงัดนัก โดยนำผลมะตูมสุก 1 ผล มาผ่าซีก จากนั้นเอายางจากผลมะตูมมาทาให้ทั่วศีรษะ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ผลที่ได้คือ เหาจะตายหมดเพราะฤทธิ์ของยางมะตูมการทำการเกษตร หลายคนอยากหลบลี้หนีออกไปทำอาชีพอื่น แต่ก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่รักในการทำการเกษตร เพราะตระหนักถึงคุณค่า และความยั่งยืนของการดำรงชีวิต แม้ว่าจะรับจ้างอยู่ในบริษัทที่มั่นคงและมีรายได้ที่น่าพอใจก็ตาม ด้วยความรักและอุปนิสัยที่ใฝ่เรียนรู้ ได้สร้างความมั่นใจ ความก้าวหน้า และความสุขที่ยั่งยืน ได้เปลี่ยนกิจกรรมจากพื้นที่ปลูกข้าว เป็นสวนผลไม้ที่สร้างผลผลิตที่ดีด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการปลูกข้าวอย่างน่าชื่นชม

คุณสายันต์ โฉมเชิด อาสาสมัครเกษตร วัย 52 ปี บ้านเลขที่ 25 หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาทเล่าให้ทราบว่า หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว ได้ออกไปหางานทำในกรุงเทพฯ เป็นช่างบริษัทรถบรรทุกยี่ห้อดัง มีรายได้เป็นที่พอใจ แต่เมื่อมองดูความมั่นคงแล้วมองไม่เห็น เพราะตระหนักดีว่าสักวันหนึ่งต้องชราภาพและต้องออกจากงานที่ทำ จึงตัดสินใจกลับสู่บ้านเกิดทำการเกษตรในพื้นที่ของบิดา-มารดา ในพื้นที่ทำนา 28 ไร่ 2 งาน และจะได้ดูแลท่านทั้ง 2 คน รวมถึงคุณอาที่เริ่มชราภาพอีกด้วย

แต่เมื่อลงมือทำในช่วงแรกต้องพบกับปัญหา ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ต้องใช้ปุ๋ยเคมี พบปัญหาโรคแมลงศัตรูพืชระบาดเป็นระยะๆ ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย แต่โชคดีที่ได้เข้าเรียนรู้ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอหันคา ตามกระบวนการโรงเรียนเกษตรกร เป็นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ส่งผลให้เห็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการทำการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยจากสารพิษและได้มาตรฐานอย่างยั่งยืน สำหรับการแก้ปัญหา เช่น พื้นที่เดิมเป็นพื้นที่นา สภาพดินเหนียวขาดความอุดมสมบูรณ์ จึงปรับปรุงผิวดินตั้งแต่การทำนา ด้วยการหมักฟาง งดการเผาตอซังและฟางข้าวเป็นระยะเวลา 10 ปี และการใช้น้ำส้มควันไม้ สารสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช

คุณสายันต์ เปิดเผยว่า ประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก โดยพื้นที่มีลักษณะเป็นดินเหนียวที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งพื้นที่มีลักษณะเป็นที่ดอน ความสามารถกักเก็บน้ำของดินจึงต่ำ ทำให้ผลผลิตข้าวไม่ดีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ลดลงเรื่อย ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ในขณะที่ข้าวมีราคาลดลง ทำให้รายได้ที่ได้รับในครัวเรือนไม่เพียงพอในการยังชีพ

ประกอบกับใน ปี 2547 พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้ขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ทางการเกษตร ดังนั้น ใน ปี 2557 จึงมีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาเป็นการทำสวนผลไม้แบบยกร่อง เพื่อการระบายน้ำที่ดี เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยมีท้องร่องขนาด 1.5 เมตร ลึกขนาด 1.5 เมตร เพื่อนำดินมาถมเป็นคันร่อง กว้าง 4.0-4.5 เมตร เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และลดปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน จากการทำนาข้าวเป็นสวนแทน เนื่องจากเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย โดยปลูกพืชแซมเพื่อสร้างรายได้เสริมช่วงรอผลผลิตจากไม้ผล

เพื่อเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยสภาพดินที่เป็นดินเหนียวขาดความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงบำรุงดินให้มีความร่วนซุยเหมาะแก่การปลูกไม้ผล โดยการใช้แกลบดิบโรยทั่วแปลง จากนั้นตามด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพ ครั้งละ 20 ลิตร ต่อไร่ จำนวน 2 ครั้ง แล้วจึงพรวนดินและปลูกปอเทืองควบคู่กันไป ให้ออกดอกแล้วจึงตัดต้นปอเทืองก่อนการพรวนดิน จำนวน 2 ครั้ง เมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์แล้ว จึงปลูกไม้ผล โดยไม้ผลหลักที่เลือกปลูกคือมะม่วง เพราะพิจารณาแล้วว่าพื้นที่บริเวณข้างเคียงมีการปลูกมะม่วงซึ่งให้ผลผลิตที่ดีกว่าไม้ผลชนิดอื่นๆ และมีองค์ความรู้ที่จะสามารถปลูกได้ โดยจัดหาคัดเลือกพันธุ์มะม่วงตามความต้องการของตลาดและมีการบริหารจัดการมะม่วงแต่ละพันธุ์ไม่แตกต่างกัน เพื่อลดต้นทุนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในการบริหารจัดการมะม่วง โดยเริ่มแรกมีการปลูกมะม่วง จำนวน 300 ต้น แบ่งเป็นพันธุ์ต่างๆ ดังนี้ น้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 90-100 ต้น น้ำดอกไม้เบอร์ 4 จำนวน 90-100 ต้น และน้ำดอกไม้ขาวนิยม จำนวน 90-100 ต้น

เพื่อหารายได้เสริมก่อนที่มะม่วงจะให้ผลผลิตและมีรายได้ จึงปลูกพืชแซม คือ ฝรั่งพันธุ์กิมจู ซึ่งเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตได้เร็ว คือประมาณ 6-7 เดือน ก็สามารถให้ผลผลิต มัลเบอรี่ ปลูกได้ประมาณ 100 ต้น โดยขายเป็นผลสด และพืชผักชนิดต่างๆ เพื่อเป็นพืชแซมเสริมรายได้ เช่น มะระ จำนวน 2 งาน เนื่องจากมะระเป็นพืชที่ชอบแสงแดด จึงทำเป็นซุ้มคลุมมะม่วงที่ยังมีขนาดเล็ก และเพื่อไม่ให้พื้นที่ว่างจึงมีการปลูกผักขึ้นฉ่าย ซึ่งเป็นผักที่ชอบแสงแดดน้อยไว้ด้านล่าง เพื่อให้มะระช่วยบังแสงแดดไว้ บวบ จำนวน 1 แปลง ขนาดเนื้อที่ประมาณ 40 เมตร มะละกอ จำนวน 50 ต้น และพืชผักอื่นๆ เช่น มะนาว พริก แฟง น้ำเต้า บัวสาย บัวแดง ซึ่งปลูกในร่องสวน ผักตำลึง ผักบุ้ง แตงไทยลาย ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง

การบริหารจัดการสวนการบริหารจัดการสวน เน้นการบริหารจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน โดยใช้ธรรมชาติมากกว่า เช่น การเผาถ่านในสวนและการใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อให้ควันไล่แมลง จึงช่วยป้องกันแมลงตัวแม่ไม่ให้ไปวางไข่ การปรับปรุงบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์โดยใช้ปอเทืองปลูกสลับไปเรื่อยๆ และปลูกหญ้าแฝกบริเวณร่องน้ำเพื่อป้องกันดินพังและตัดหญ้าแฝกบางส่วนเพื่อนำไปใช้ห่มดิน ส่วนน้ำหมักและปุ๋ยหมักผลิตเอง โดยใช้กับปุ๋ยเคมีควบคู่กันไป ตามค่าวิเคราะห์ดินที่ได้วิเคราะห์ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำยาที่ได้รับมาจากทางราชการ โรคและแมลงส่วนมากพบจำพวกเพลี้ยไฟ ซึ่งสามารถป้องกันและกำจัดโดยใช้น้ำส้มควันไม้ สมุนไพรและสารชีวภัณฑ์ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ผลที่ได้รับ พบว่า ต้นทุนการผลิตต่ำ โดยในปีแรกเป็นงบลงทุนจะมีค่าใช้จ่ายมาก คือประมาณ 35,000 บาท ในพื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะแก่การปลูกไม้ผลและค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้

ต้นมะม่วง ต้นละ 35 บาท x 300 ต้น เป็นเงิน 45,000 บาท

– ต้นฝรั่ง ต้นละ 12 บาท x 1,000 ต้น เป็นเงิน 12,000 บาท

– ต้นมัลเบอรี่ เป็นท่อนพันธุ์ 100 บาท

– ผักต่างๆ อีกเล็กน้อย

– พันธุ์ปลาในร่องสวน เป็นปลาตะเพียน จำนวน ประมาณ 10,000 ตัว โดยได้รับจากสำนักงานประมงอำเภอหันคา

ในปีต่อมาจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน จึงมีต้นทุนที่ต่ำ โดยใช้ปัจจัยที่มีในพื้นที่นั้นมาใช้ในการผลิตปุ๋ย สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช แต่อย่างไรก็ตามไม้ผลยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้ธาตุอาหารหลักเพื่อการเจริญเติบโต จึงมีต้นทุนด้านปุ๋ยเคมีเล็กน้อยในแต่ละปี คือเฉลี่ยปีละ 2 กระสอบ เป็นเงิน 3,200 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานนั้น ยังใช้แรงงานในครัวเรือน ซึ่งสามารถทำได้ทัน จึงเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตลง

การบริหารจัดการด้านการตลาด

การวางแผนการตลาด เน้นการจำหน่ายเอง โดยมองตลาดที่สามารถขายได้โดยตรง เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่ราคาถูกและได้รับสินค้าที่ปลอดภัย เนื่องจากไม่ใช้สารวัตถุอันตรายในการผลิต โดยส่วนใหญ่จะนำผลิตผลไปจำหน่ายตลาดหันคา แต่อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากมีผลผลิตในปริมาณที่มากขึ้นจะต้องมองหาตลาดที่อื่น ซึ่งมีเครือญาติได้ติดต่อไว้ให้แล้ว การจำหน่ายเองโดยตรงมีข้อดีคือ ทำให้มีรายได้ดีกว่าการฝากขาย อีกทั้งสินค้าที่นำมาขายมีความปลอดภัยมากกว่าการผ่านพ่อค้าคนกลางที่มักพบสารปนเปื้อนเป็นส่วนใหญ่ โดยการปนเปื้อนเหล่านี้มาจากการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวของผู้ประกอบการ ไม่ใช่เป็นการปนเปื้อนจากสวนของเกษตรกร เช่น ฝรั่ง ส่วนมากเกษตรกรจะใช้การห่อป้องกันแมลงศัตรูพืช แต่เมื่อไปสุ่มตรวจในตลาด ทำไมพบปัญหาสารปนเปื้อน

จากการมองหาตลาดด้วยตัวเองพบว่า มีรายได้ดีและทำงานสนุก ช่วงแรกของการจำหน่ายผักมีรายได้ประมาณเดือนละ 30,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 เดือน หลังจากนั้นจะมีรายได้ที่ลดลงมาบ้างเล็กน้อย จากการจำหน่ายผักที่ทยอยออกมา ไข่ไก่ ซึ่งใช้วิธีการเลี้ยงแบบปล่อยให้ไก่ออกหากินตามธรรมชาติ ปลาตะเพียนในร่องน้ำ และกบในบ่อปูนซีเมนต์ จำนวน 4 บ่อ ประมาณ 20,000 ตัว น้ำหนักประมาณ 4 ตัว ต่อกิโลกรัม ซึ่งจำหน่ายกิโลกรัมละ 40 บาท แต่ถ้าจำหน่ายแบบปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท ซึ่งน้ำในบ่อที่เลี้ยงกบจะนำไปใช้ในสวนมะม่วงและมะม่วงที่เริ่มทยอยให้ผลผลิตออกสู่ผู้บริโภค จำหน่ายควบคู่กับผลผลิตอื่นๆ ตลอดทั้งปีมากน้อยตามฤดูกาลและสภาพแวดล้อม แม้จะไม่ได้มากเช่นการใช้สารเคมีหรือวัตถุอันตรายในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช แต่ผลผลิตที่ออกมานั้นมากด้วยคุณค่าความรู้สึกที่ดีที่มีต่อผู้บริโภคว่า “มอบสิ่งที่ดีปลอดภัยต่อสุขภาพ”

คุณชัด ขำเอี่ยม เกษตรอำเภอหันคา กล่าวว่า การบริหารจัดการตามแบบของ คุณสายันต์ โฉมเชิด น่าสนใจ จึงขอให้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งในบริเวณสวนให้เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเรื่องการพัฒนาที่ดิน โดยขณะนี้ได้มีการดำเนินการปรับภูมิทัศน์ให้มีความเหมาะสม ซึ่งภายในศูนย์จะประกอบด้วย การขุดสระ การสร้างโรงสีและสร้างศาลาเพื่อให้เกษตรกรหรือบุคคลภายนอกที่สนใจสามารถเข้ามาอบรมและศึกษาเรียนรู้แบบครบวงจร ทั้งการปรับปรุงดิน การบริหารจัดการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน การเพิ่มมูลค่าผลผลิต การขยายพันธุ์ไม้ผลเพื่อการจำหน่ายเสริมสร้างรายได้นอกเหนือจากการขายผลผลิตไม้ผล และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขนาดตามมาตรฐาน และลดสินค้าล้นตลาดในช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตมีปริมาณมาก ซึ่งการแปรรูปหลักๆ จะมีการแปรรูปมะม่วงดอง กล้วยฉาบ และกล้วยกวน

กรมส่งเสริมการเกษตร ประกาศเจตนารมณ์ ลด แยก ขยะ ลดกล่องโฟม ใช้ถุงผ้า จัดอบรมเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรลดและการคัดแยกขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธี พร้อมประกาศเจตนารมณ์ ลด คัดแยกขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติด หูหิ้ว และกล่องโฟมบรรจุอาหาร

วันนี้ (28 มี.ค. 62) นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวในการอบรมความรู้การลดและคัดแยกขยะมูลฝอย ภายใต้โครงการรณรงค์ตามแผนปฏิบัติการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยของกรมส่งเสริมการเกษตร ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ว่า “การรณรงค์ตามแผนปฏิบัติการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยของกรมส่งเสริมการเกษตร นอกจากมีการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ให้ตระหนักถึงปัญหาสำคัญ ยังมีกิจกรรมมอบกล่องนมที่ใช้แล้ว ให้กับบริษัท อำพลฟูดส์ จำกัด โดยกล่องนมจำนวน 2,500 กล่อง สามารถ สร้างโต๊ะ-เก้าอี้ ได้ 1 ตัว

รวมทั้งกำชับให้มีการนำเศษวัสดุทางการเกษตรเหลือใช้ เช่น เศษใบไม้ เศษกิ่งไม้ นำไปเป็นปุ๋ยเพื่อใช้สำหรับการบำรุงรักษาต้นไม้บริเวณสถานที่ของกรม รวมทั้งมีกิจกรรมให้เจ้าหน้าที่ที่สามารถลด คัดแยกขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติก หูหิ้ว และกล่องโฟมบรรจุอาหาร ถ่ายรูป พร้อมติด #doae ทำความดีด้วยหัวใจลดภัยสิ่งแวดล้อม ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ นำหลักฐานมารับถุงผ้าฟรี เพื่อเป็นการรณรงค์และกระตุ้นการใช้ถุงผ้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย นอกจากนี้ ยังย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนใส่ใจถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเจ้าหน้าที่เกษตร ที่จะต้องถ่ายทอดความรู้ไปถึงเกษตรกร ให้ตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนและเราจะช่วยกันระยะยาวต่อไป

นายสำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ขอความร่วมมือจากข้าราชการเจ้าหน้าที่ ให้ตระหนักถึงการใช้พลาสติกและภาชนะที่ทำจากโฟม พร้อมจัดบริการ ยืม-คืน ถุงผ้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้ใส่ของแทนการใช้ถุงหิ้วพลาสติกตามบริเวณจุดต่างๆ ภายในอาคาร เมื่อใช้บริการเสร็จแล้วสามารถนำกลับมาแขวนคืนยังจุดเดิมเพื่อให้บริการกับบุคคลอื่นที่ต้องการใช้ต่อไป ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะขยายการปฏิบัติลงไปสู่หน่วยงานภูมิภาค ให้ร่วมรณรงค์ตามแนวปฏิบัติของส่วนกลาง พร้อมเชิญชวนกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของภายในตลาดนัดกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ร่วมกันใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และปรับเปลี่ยนภาชนะจากโฟมเป็นวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป

นางสาวศิริพร บุญชู อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ผ้าไหมไทยเป็นสินค้าที่มีความสวยงามและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยคุณลักษณะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งความนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ทำให้ในปัจจุบันมีร้านจำหน่ายผ้าไหมเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางร้านมีการจำหน่ายทั้งผ้าที่ผลิตจากเส้นไหมแท้ และผ้าที่ผลิตจากเส้นใยอื่นๆ เช่น ฝ้าย หรือ ใยสังเคราะห์ นอกจากนี้บางร้านยังไม่มีป้ายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าชนิดนั้นๆ ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผ้าไหมหรือผลิตภัณฑ์ไหม อาจเกิดความสับสนไม่มั่นใจในการซื้อสินค้า

ดังนั้น กรมหม่อนไหมจึงจัดทำโครงการรับรองร้านค้าจำหน่ายผ้าไหมที่ได้มาตรฐาน (Certified Thai Silk Shop) ขึ้น เพื่อให้การรับรองมาตรฐานร้านค้าจำหน่ายผ้าไหม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ้าไหม อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านค้าที่ผ่านการรับรองจากกรมหม่อนไหมด้วย

ร้านค้าที่ผ่านการตรวจรับรองร้านค้าจำหน่ายผ้าไหมที่ได้มาตรฐานของกรมหม่อนไหมนั้น จะต้องเป็นร้านที่มีการจัดพื้นที่สำหรับจำหน่ายผ้าไหม ซึ่งจะต้องเป็นผ้าไหมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น มาตรฐานผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน มาตรฐานผ้าไหมสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) หรือมาตรฐาน สิ่งทออินทรีย์ (GOT) เป็นต้น นอกจากนี้ จะต้องมีการจัดทำป้ายแสดงรายละเอียด ราคาผ้าไหม และจัดทำบัญชีแสดงรายการผ้าไหมที่จำหน่ายด้วย

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันมีร้านค้าที่ผ่านการรับรองร้านค้าจำหน่ายผ้าไหมไทยที่ได้มาตรฐาน จำนวน 65 ร้าน ทั่วประเทศ ซึ่งกรมหม่อนไหมได้มอบใบรับรอง และป้ายแสดงการรับรองให้แก่ร้านค้าที่ผ่านการตรวจรับรองนำไปติดแสดงไว้ที่ร้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดย ผู้สนใจซื้อผ้าไหมสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านจำหน่ายผ้าไหมไทยและผลิตภัณฑ์ไหมไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ได้ที่เว็บไซต์ของกรมหม่อนไหม www.qsds.go.th และสำหรับร้านค้าที่สนใจขอรับการตรวจรับรอง สามารถติดต่อได้ที่กรมหม่อนไหม เบอร์โทรศัพท์ (02) 558-7924-6 หรือติดต่อศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้ง 21 ศูนย์

ลีกัล ซี ฟู้ดส์ ร้านอาหารแบรนด์หรูชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เลือกบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นผู้ผลิตอาหารซีฟู้ด (OEM) เกรดพรีเมี่ยม คุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากล ปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ ส่งมอบแก่ผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์จากกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม