ดอก เป็นดอกเดี่ยว หรือช่อ 2-3 ดอก ออกตามซอกใบ กลีบดอก

ร่วงง่าย ดอกบานตอนเช้า สายหน่อยก็ร่วง ความกว้างของดอกประมาณ 6 เซนติเมตร กลีบดอก มี 6-7 กลีบ เกสรตัวผู้จำนวนมาก ดอกกลางมีขนาดใหญ่กว่าจะบานก่อน ประมาณสัปดาห์ดอกข้าง (ซ้าย-ขวา) จึงจะบานหรือหลุดร่วงไป ส่วนมากจะติดเป็นผลเพียงดอกกลางดอกเดียว เป็นฝรั่งที่ติดดอกติดผลมากพันธุ์หนึ่ง

ผล จัดเป็นฝรั่งทรงแป้น ผลไม่เรียบ มีสันพูนูนรอบผล 3 หรือ 4 พู ผลคล้ายๆ กับฝรั่งสุ่ยมี่และเจินจู ระหว่างที่ผลยังอ่อนเมื่อมองในบางมุมจะเห็นผลเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมได้ อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 4-5 เดือน ผลแก่ผิวเริ่มเป็นสีเขียวอ่อนหรือใช้นิ้วบีบกดลง ถ้านิ่มก็เก็บได้ ผลมีขนาดปานกลาง น้ำหนักต่อผล ประมาณ 500-700 กรัม เนื้อหนามากมีสีขาว เนื้อในส่วนกลางหรือไส้ในเป็นสีชมพูเข้ม หรือสีแดงเรื่อๆ ฝรั่งมีเนื้อที่สวย ซึ่งฝรั่งไร้เมล็ดส่วนมากมักมีเนื้อขาวแข็ง รสชาติไม่ค่อยอร่อย ติดเปรี้ยว รสชาติไม่ดี แต่ฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดงไต้หวันมีเนื้อกรุบกรอบและฉ่ำน้ำ เนื้อจึงนุ่มอ่อนกัดเคี้ยวง่าย จัดเป็นฝรั่งที่รับประทานได้อร่อยมาก รสชาติหวานมาก หวานกว่าฝรั่งทุกชนิดก็ว่าได้ เรียกว่ารสชาติที่ยังไม่มีฝรั่งพันธุ์ไหนในประเทศไทยมาเทียบได้ในขณะนี้ ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัว

ความหอมของมันมีบางท่านได้เปรียบว่า มีกลิ่นหอมคล้ายกับกลิ่นของสตรอเบอรี่ ลุงเล็ก (คุณเสน่ห์ สมสถิตย์) ผู้คลุกคลีอยู่กับผลไม้หลายชนิด ยังต้องออกปากชมว่า เป็นฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดง มีรสชาติดีเยี่ยมมากๆ ยังไม่มีฝรั่งพันธุ์ไหนมาเทียบได้ เนื้อมีความหวานมาก ประมาณ 10 องศาบริกซ์ เป็นฝรั่งที่มีรสหวานมากสายพันธุ์หนึ่ง การเก็บควรเก็บผลที่แก่จัดจริงๆ จะได้รสชาติที่ดี ขั้วผลยาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร และค่อนข้างใหญ่

การเก็บผล ให้ใช้กรรไกรตัดขั้ว ไม่ควรเด็ดหรือดึงด้วยมือ เพราะจะทำให้เปลือกกิ่งฉีกขาด เนื่องจากฝรั่งส่วนใหญ่มีขั้วที่เหนียว ฝรั่งที่เด็ดผลด้วยมือผลจะหลุดจากขั้ว จะทำให้ผลที่เก็บไม่สวย เพราะไม่มีขั้ว (เก็บเพื่อขาย)

เมล็ด ไม่ใช่ฝรั่งไร้เมล็ดเสียทีเดียว ไม่ถึงกับไม่มีเมล็ดตามชื่อ แต่เมล็ดมีจำนวนน้อย ผลหนึ่งมีเมล็ดติดมาประมาณ 5-10 เมล็ด จำนวนเมล็ดก็ไม่ถึงกับสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานเมล็ด เมล็ดมีขนาดใหญ่ มีส่วนเนื้อเยอะกว่าฝรั่งทั่วไป

การบำรุงและการดูแลรักษา เช่น การให้ปุ๋ย การป้องกันกำจัดโรคแมลงและการตัดแต่งกิ่งไม่ต่างไปจากฝรั่งทั่วไป ศัตรูที่พบรบกวนมากมี เพลี้ยแป้ง และราดำ การห่อผล ห่อด้วยกระดาษหรือถุงขาว เมื่อลองใช้ถุงคาร์บอนหรือถุงดำห่อจะให้ผลมีผิวสีเหลืองนวลผิวสวยงามอีกแบบ

ช่วงที่ให้รสชาติดี ผลฝรั่งแก่อยู่ระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม (ที่ไต้หวัน) ในไต้หวันฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ที่มาของสายพันธุ์ ไม่ทราบข้อมูลความเป็นมาเกี่ยวกับการพัฒนาสายพันธุ์ว่า มาจากการผสมพันธุ์ระหว่างฝรั่งสายพันธุ์อะไร หน่วยงานไหนพัฒนาขึ้นมา แต่ที่ไต้หวันมีจำหน่ายที่สวนจำหน่ายกิ่งพันธุ์ไม้ผลฮั่นเหมียว (Han Miao Fruit Tree Seedling Garden) จึงคาดว่าสวนแห่งนี้น่าจะทราบการพัฒนาฝรั่งสายพันธุ์นี้ขึ้นมา สวนจำหน่ายกิ่งพันธุ์ไม้ผลฮั่นเหมียว อยู่ที่เมืองเหยี่ยนเฉา จังหวัดเกาสง ไต้หวัน เป็นสวนที่จำหน่ายกิ่งพันธุ์ไม้เก่าแก่มาก จำหน่ายต้นกล้า ต้นพันธุ์ไม้ผลหลายชนิด ทั้งไม้ผลจากต่างประเทศและไม้ผลไต้หวันมานาน และอีกแห่งหนึ่งที่มีจำหน่ายกิ่งพันธุ์ฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดงคือ สวนตงหลิน (DongLin Gardening Center) ไต้หวันซื้อขายทางเว็บไซต์

ฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดง กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในขณะนี้ จึงมีผู้สั่งกิ่งพันธุ์เข้ามาหลายราย ราคากิ่งพันธุ์ยังสูงมาก ราคาซื้อขายทางเว็บไซต์ 4,500 บาท ราคาที่ตลาดต้นไม้จังหวัดเชียงใหม่ ขายต้นละ 3,500 บาท บางรายบอกว่าเป็นฝรั่งนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่ป้ายชื่อเป็นภาษาจีน ชื่อเดียวกันกับไต้หวัน การขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง รากงอกช้ามาก 2-3 เดือน หรือไม่งอกราก การทาบกิ่งด้วยการแขวนตุ้มเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ประมาณเดือนเศษสามารถตัดกิ่งได้

ผู้ที่ต้องการจะได้ฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดงไว้ปลูก คงต้องรอสักระยะให้ราคากิ่งพันธุ์ถูกลงเหมือนกับผลไม้ใหม่ทั่วไปที่ราคายังแพงในช่วงแรก ให้รออีกหน่อย ไม่แน่ว่าในอนาคตฝรั่งไร้เมล็ดไส้แดง (เช่าซือหงเป่าสือป้าล่า) คงเข้ามายึดครองสวนฝรั่งแทนฝรั่งกิมจูก็เป็นได้

“น้ำ คือชีวิต” น้ำ เป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเกษตร ปีไหนน้ำดี เพาะปลูกพืชได้มาก ขายได้ราคาดี เศรษฐกิจก็เฟื่องฟูไปด้วย หากปีไหนเผชิญวิกฤตภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเกษตร ปีนั้นเศรษฐกิจก็ฝืดเคืองตามไปด้วย

ปี 2563 เอลนิโญกลับมาเยือนเมืองไทยอีกรอบ ส่อเค้าภัยแล้งปีนี้อาจลากยาวไปถึงกลางปี หลายคนห่วงกังวลว่า ปีนี้น้ำน้อย แล้งแบบนี้ จะปลูกอะไรดี บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ตราศรแดง ผู้นำอันดับ 1 ด้านเมล็ดพันธุ์ผัก ได้นำเสนอไอเดีย “ปลูกพืชน้ำน้อย 7 ชนิด” เป็นทางเลือกใหม่สู้วิกฤตภัยแล้งในปีนี้ เพราะข้อดีของพืชกลุ่มนี้คือ ใช้น้ำน้อย อายุเก็บเกี่ยวสั้น แถมขายได้ราคาอีกต่างหาก

ระบบน้ำสำหรับพืชน้ำน้อย

เมื่อน้ำมีน้อย ก็จำเป็นต้องใช้สอยอย่างประหยัด ศรแดง แนะนำ 2 ทางเลือก ในการลงทุนทำระบบน้ำ ได้แก่

1. ระบบมินิสปริงเกลอร์ เหมาะสำหรับปลูกพืชสวน ไม้ดอก และแปลงผัก แรงดันน้ำ ประมาณ 10-20 เมตร อัตราการไหลของหัวปล่อยน้ำ 20-300 ลิตร ต่อชั่วโมง ระบบนี้ใช้แรงดันน้ำ “ปานกลาง” และมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยกว่าระบบสปริงเกลอร์

2. ระบบน้ำหยด เหมาะสำหรับพืชผักล้มลุก เช่น แตงกวา แฟง ฯลฯ แรงดันน้ำ ประมาณ 5-10 เมตร อัตราการไหลของหัวปล่อยน้ำ 2-8 ลิตร ต่อชั่วโมง ระบบนี้ใช้แรงดันน้ำ “ค่อนข้างต่ำ” มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยที่สุด เรียกว่า ระบบน้ำหยดเหมาะสำหรับปลูกพืชน้ำน้อยมากที่สุด โดยทั่วไป พื้นที่ 1 ไร่ มีต้นทุนในการวางระบบน้ำหยด ประมาณ 3,250 บาท

ระบบน้ำหยด เป็นการให้น้ำอย่างช้าๆ ลงไปในดินจากท่อพลาสติกที่มีลิ้นกั้น “โดยหยดน้ำน้อย แต่พืชได้มาก” ข้อดีของระบบน้ำหยด คือใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพถึง 90% ลดความเครียดที่จะทำให้เกิดโรคพืช ลดการกัดกร่อนของหน้าดิน ลดการชะล้างของปุ๋ย ที่สำคัญคือ ลดการจ้างแรงงาน ปัญหาที่พบของระบบน้ำหยดคือ ต้นทุนเริ่มแรกสูง ต้องมีการบำรุงรักษา ต้องใช้น้ำที่มีคุณภาพสูงและต้องมีทักษะในการใช้งาน

ศรแดง แนะนำเทคนิคการวางผังแปลงและติดตั้งระบบน้ำหยด (ให้น้ำโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงเล็กน้อย) เริ่มจากเตรียมแปลงโดยการยกแปลง (ยาว 15-20 เมตร) เตรียมโครงสร้างหลัก (สูง 1-2 เมตร) สำหรับถังเก็บน้ำ ติดตั้งหัวจ่ายและติดตั้งกรอง ต่อท่อหลัก วางสายน้ำหยดและล็อกสายน้ำหยด

เมื่อมีการใช้งานระบบน้ำหยด ในดินที่มีความหนาแน่นมาก (ประเภทดินเหนียว) อุ้มน้ำได้ดี ใช้เวลาให้น้ำนานกว่าและความถี่ในการให้น้ำน้อยกว่า สำหรับดินที่มีความหนาแน่นน้อย (ประเภทดินทราย) อุ้มน้ำได้ไม่ดีนัก ใช้เวลาให้น้ำน้อยกว่า แต่ความถี่ในการให้น้ำมากกว่า ควรวางสายน้ำหยดไว้ใกล้ๆ แถวที่ปลูกพืช หากปลูกพืชตระกูลแตงหรือผักลูก สายน้ำหยดไม่ควรยาวเกิน 50 เมตร เพราะน้ำต้นสายถึงปลายสายจะไม่เท่ากัน ควรหงายรูน้ำหยดขึ้น เพื่อป้องกันตะกอนค้างสาย ทำให้รูหยดตัน ควรทำความสะอาดตัวกรองและตรวจสอบการไหลและการหยดของน้ำ อย่างน้อย 1ครั้ง ต่อสัปดาห์ ตรวจแรงดันปลายสาย (8-15 PSI) และล้างภายในสายน้ำหยด อย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อเดือน

เตรียมแปลงดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

ศรแดง แนะนำให้เกษตรกรที่สนใจปลูกพืชน้ำน้อยเตรียมดิน โดยใช้วิธีการไถดะและไถพรวน (2-3 ครั้ง) เตรียมแปลงโดยการยกแปลงผสมปุ๋ยรองพื้นและปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่ม ยกระบบแปลงให้พอเหมาะ ย่อยดินก้อนให้มีขนาดเล็กลงหรือนำออกจากแปลง เพื่อป้องกันการกักเก็บลมร้อน หากเตรียมดินดี การคลุมแปลงจะสามารถอยู่ได้นานต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ฤดูกาลปลูก

นอกจากนี้ ศรแดง ยังแนะนำให้คลุมแปลงด้วยหญ้าหรือฟางข้าวและรดน้ำให้พอมีความชื้น ก่อนเจาะหลุมปลูกต้นกล้า วิธีนี้จะช่วยให้ดินมีความเย็นในฤดูร้อน รักษาความชื้นในดิน ป้องกันความเสียหายที่เกิดจากฝน ลดการสูญเสียปุ๋ย ลดวัชพืช ปรับปรุงโครงสร้างดิน ลดการอัดแน่นของดิน ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของพืช ทำให้ผลผลิตไม่สัมผัสกับพื้นดิน ปัญหาที่อาจพบได้คือ ในที่ที่มีความชื้นสูง หากฟางใกล้โคนต้นมากไป อาจทำให้เกิดโรคเน่าได้ อาจเป็นที่สนใจของสัตว์ศัตรูพืช เช่น หมู และไก่ เสี่ยงต่อการเกิดโรคและนำแมลงพาหะ

การวางพลาสติกคลุมแปลง ศรแดง แนะนำให้เกษตรกรหงายด้านสีเงินขึ้นด้านบน ขึงแผ่นพลาสติกให้ตึง โดยแนบกับแปลงมากที่สุด ยึดพลาสติกโดยตอกไม้ไผ่หรือเหล็กตัวยูคว่ำ วัดระยะห่าง ก่อนเจาะหลุมเพื่อให้พร้อมย้ายปลูกในวันถัดไป วางฟางรอบๆ หลุมปลูก เพื่อไม่ให้ความร้อนผ่านพืชโดยตรง ข้อดีของการวางพลาสติกคลุมแปลงคือ ป้องกันความเสียหายจากปัญหาฝนตกชุก ลดการอัดแน่นของดิน ช่วยรักษาความชื้นในดิน ลดการขังของน้ำ ลดการชะล้างของปุ๋ย ลดการกัดเซาะดิน สามารถใช้งานปลูกพืชได้ 3 ฤดูกาล แต่ข้อด้อยคือ ลงทุนสูงในครั้งแรก อาจพบปัญหาของเชื้อราหรือแบคทีเรียอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว

7 พืชน้ำน้อย ทางเลือกใหม่ สู้ภัยแล้ง

โครงการ “ศรแดงพืชน้ำน้อย ทางเลือกใหม่ ในช่วงภัยแล้ง” ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชน้ำน้อย จำนวน 7 ชนิดได้แก่

ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์สวีทไวโอเล็ท และ ข้าวโพดหวาน พันธุ์จัมโบ้สวีท เคลือบเมล็ดด้วยสารเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้มีรากฝอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นข้าวโพดหาอาหาร หาน้ำ ได้ดีกว่าพันธุ์การค้าอื่นๆ อัตราการใช้น้ำ 438 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 64-68 วัน ขาย 16,000-17,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 13,200 บาท
ฟักทอง พันธุ์ข้าวตอก 573 และพันธุ์ประกายเพชร อัตราการใช้น้ำ 616 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 75-90 วัน ขาย 24,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 22,460 บาท
ถั่วฝักยาว พันธุ์ลำน้ำชี และพันธุ์ลำน้ำพอง อัตราการใช้น้ำ 458 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 55-60 วัน ขาย 60,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 54,950 บาท
แฟง พันธุ์สะพายเพชร อัตราการใช้น้ำ 551 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 60-65 วัน ขาย 40,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 36,300 บาท
แตงกวา พันธุ์ธันเดอร์กรีน อัตราการใช้น้ำ 660 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 30-32 วัน ขาย 39,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 34,450 บาท
ผักบุ้ง พันธุ์ยอดไผ่ 9 อัตราการใช้น้ำ 300 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 21 วัน ขาย 43,200 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 36,400 บาท
พริกขี้หนู พันธุ์เพชรมงกุฎ เป็นสายพันธุ์พริกที่พัฒนาให้มีความทนแล้งโดยเฉพาะ ผลผลิตได้คุณภาพดีแม้อยู่ในสภาพอากาศแล้ง ที่สำคัญใช้น้ำน้อย แค่ 758 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ อายุพืช 150 วัน ขาย 105,000 บาท ต่อไร่ กำไรสุทธิ ไร่ละ 62,150 บาท

ไม่ต้องห่วงว่า ปลูกแล้วจะขายที่ไหน เพราะศรแดงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาด้านตลาดตลอดเวลา ทุกวันนี้ ศรแดง มีเครือข่ายการค้ากับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายพืชผักทั้ง 7 ชนิด อยู่แล้ว พร้อมประสานการขายผลผลิตให้แก่เกษตรกรทุกรายที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ศรแดงยังมีเครือข่ายพันธมิตร 3 กลุ่ม อยู่ในเฟซบุ๊ก ได้แก่ กลุ่มปลูกแตง มะระ บวบ ศรแดงกลุ่มปลูกข้าวโพดศรแดง และกลุ่มปลูกพริกศรแดง ซึ่งเป็นศูนย์รวมพ่อค้าแม่ค้าผู้รับซื้อผลผลิต ใช้เป็นเวทีถกปัญหาเรื่องการเพาะปลูกและการตลาด เกษตรกรสามารถนำผลผลิตตัวเองไปโพสต์ขายในเครือข่ายพันธมิตรเหล่านี้ได้โดยตรง หรือมีปัญหาเรื่องการปลูก ก็สามารถขอคำปรึกษาจากเครือข่ายเหล่านี้ได้เช่นกัน

ปัจจุบัน ศรแดง มีพนักงานภาคสนามอยู่ทั่วประเทศ ที่พร้อมให้ความรู้ด้านการปลูกและการตลาดสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ได้ หากใครสนใจเข้าร่วมปลูกพืชน้ำน้อยกับศรแดง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด โทร. 02-831-7777 เฟซบุ๊กเพจ

วันเวลาล่วงเลยไป “ไวเหมือนโหก” ดั่งสำนวน หรือคำพูดที่หลายคนนิยมนำมากล่าวถึง เปรียบเปรยวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จากการชักชวนของ คุณขจรศักดิ์ เบ็ญชัย อาชีพทนายความ และอดีต ส. อบจ. สกลนคร เขตอำเภอวานรนิวาส แต่เขาหลงใหลชื่นชอบการทำเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพราะคุณขจรศักดิ์บอกว่า อยู่ในเมืองมานาน เห็นความศิวิไลซ์ในเมืองมามาก แต่เมื่อมีโอกาสก็จะออกมาอยู่ป่าเขาลำเนาไพร อยู่กับธรรมะและธรรมชาติ มีความสบายใจ เป็นเหตุผลที่ทนายความยกขึ้นมากล่าวอ้าง และชวนไปชม ดูเกษตรกรหลายคนที่ประสบผลสำเร็จ และก็ล้มเหลว

วันนี้จึงได้เดินทางมาที่ “สวนเกษตรทอง” บ้านโนนสวาท ตำบลหนองสนม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ที่ทำเป็นเกษตรแปลงใหญ่ แต่ผสมผสาน พืชและสัตว์เลี้ยง บนพื้นที่ 511 ไร่

ขับรถออกจากตัวเมืองสกลนคร มุ่งหน้าไปตามถนนสาย สกลนคร-อุดรธานี ผ่านอำเภอพรรณนานิคม มองสองข้างทาง แต่เดิมจะพบกับความเขียวขจีของท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยนาปรังและการปลูกพืชฤดูแล้งของชาวบ้าน ที่ได้น้ำจากเขื่อนชลประทานน้ำอูน ที่ปล่อยน้ำให้เกษตรกรในพื้นที่ 3 อำเภอ ที่ได้รับคือ อำเภอพังโคน อำเภอพรรณนานิคม และอำเภอเมือง แต่วันนี้วันที่น้ำในเขื่อนน้อยลง ส่งผลกระทบถึงภาคเกษตรที่เคยอุดมสมบูรณ์ กลับแห้งเหี่ยวซบเซาลง

แสงแดดระยิบยับในยามสาย กลุ่มเด็กเล็ก 3-4 คน พูดจาเอะอะเสียงดัง กำลังค้นหาอะไรสักอย่างข้างต้นไม้ริมทาง ตะโกนเสียงดังโหวกเหวกบอกเพื่อนให้มองเป้าหมาย ใช้จักรยานเป็นพาหนะคนละคัน บางคนซ้อนกับเพื่อน ขับขี่ตามหลังซ้อนกันมาตามคันคูคลองส่งน้ำ สายตาสอดส่ายหาเป้าหมาย “กะปอม” ที่คอห้อยอาวุธประจำกายของแต่ละคน “หนังสะติ๊ก” เป็นอาวุธร้ายประจำกายที่นำออกมาล่า “กะปอม” สัตว์ป่าธรรมชาติเพื่อนำมาเป็นอาหาร เมนูเด็ด เรียกว่า “ก้อยกะปอม”

จากสี่แยกพังโคน มุ่งหน้าไปตามถนนสายอำเภอพังโคน-จังหวัดบึงกาฬ ขับรถจากพังโคนมาอีกราว 15 กิโลเมตรมาถึงบ้านโนนอุดม เห็นป้ายบอกทางขวามือ ไปเส้นทางบ้านตาดโนน แล้วเลี้ยวขวาทางแยกหน้า สถานีตำรวจภูธรศรีวิชัย เป็นถนนลาดยาง ราว 8 กิโลเมตร ถึงบ้านโนนสวาท แล้วเลี้ยวซ้ายในแยกหมู่บ้าน เข้าไป “สวนเกษตรทอง” อีก 1 กิโลเมตร

ทางเข้าสวนจะพบกับแปลงมะนาว กว่า 200 ต้น เรียงรายใช้วงบ่อชีเมนต์เป็นฐานปลูก กำลังให้ผลผลิต

ทักทายกับ คุณอานนท์ คูสกุลธรรม หรือ “เสี่ยทอง” เจ้าของสวน “เกษตรทอง” เล่าว่า ปีนี้ มีการชื้อพื้นที่เพิ่ม จากเดิม 300 ไร่เศษ ผ่านไปเพียง 4 ปี ซื้อที่เพิ่มอีก เป็น 511ไร่ และปรับปรุงแปลง มีการปลูกมะละกอแซมในสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันด้วย นอกจากนั้น ยังปลูกขนุนเพิ่มขึ้นมาอีก จำนวน 5,000 ต้น ขณะนี้อายุอยู่ที่ 1 เดือน

เสี่ยทอง บอกว่า สำหรับขนุนนั้น สมัครเล่น UFABET ได้รับออเดอร์มาจากพ่อค้าประเทศจีน ให้ปลูกขนุน ซึ่งตนมองว่าลู่ทางขนุนน่าจะไปได้ดี เป็นการปลูกครั้งแรก และปลูกแซมกับมะละกอ ซึ่งแต่เดิมมะละกอที่เก็บผลผลิตได้ มีจำนวน 300 ไร่ และลงแซมพืชต่างๆ จนเต็มกว่า 400 ไร่แล้วขณะนี้ เป็นการปลูกสลับต่อช่วงเพื่อให้ผลผลิตออกมาต่อเนื่อง

ขนุนที่นำมาปลูก เป็นพันธุ์ “ทองประเสริฐ” โดยทางพ่อค้าจีนตกลงว่าจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมด ตามราคาท้องตลาดทั่วไป ซึ่งคาดว่าอีก 4 ปีข้างหน้า ขนุนจะออกสู่ตลาด

ในด้านการดูแลในพื้นที่ ได้จ้างนักวิชาการเกษตรมาคอยแนะนำดูแลเรื่องของโรค ตลอดจนการบำรุงรักษาดูแลให้เป็นไปตามหลักวิชาการ

จากปัญหาที่ภาวะแล้งมาเยือนเร็วปีนี้ ผลผลิตลดลงมาก โดยเฉพาะมะละกอที่ปลูก ครั้งแรกส่งประเทศเพื่อนบ้าน (สปป.ลาว) ตันละ 2,200 บาท แต่เนื่องจากประสบปัญหาแล้ง จึงต้องลดลง เดิมจะเก็บผลผลิตออกจำหน่ายได้วันละ 3-4 ตัน แต่ช่วงนี้จะได้วันละ 1 ตัน หรือตันครึ่งเท่านั้น

ปัญหาหนึ่งของการทำเกษตรคือ เรื่องน้ำ แม้ในสวนของตนจะมีบ่อน้ำ จำนวน 3 บ่อ รวมแล้วประมาณ 20 ไร่ น้ำก็ยังขาดแคลน ใช้น้ำอย่างประหยัดและมีคุณค่าประโยชน์สูงสุด และปัจจุบันน้ำมีปริมาณลดลงมาก หากฝนไม่ตกsiหรือทิ้งระยะเวลาห่างออกไปจะต้องมีปัญหาแน่นอน

สิ่งที่อยากได้ขณะนี้คือ บ่อบาดาลเพิ่ม เพราะจะได้แก้ปัญหาเรื่องน้ำได้อย่างพอเพียง

เสี่ยทอง บอกว่า ขณะนี้ได้หันกลับมาฟื้นฟู มะนาวที่ปลูกไว้ จำนวน 200 วงบ่อ ที่ให้ผลผลิตแล้ว บางส่วนอากาศแห้ง ถูกไฟเผาไปเกือบทั้งสวน และได้เตรียมพื้นที่ปลูกเพิ่มอีก 200 วงบ่อ ทดแทนจากที่ถูกไฟใหม้ไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าไม่นานมะนาวก็จะกลับมาอีก

ในส่วนของมะนาวนั้น เมื่อก่อนลงแปลงปลูก และประสบปัญหาเรื่องราคา มะนาวล้นตลาด นำมาแจกแลกแถมฟรี ไม่มีใครอยากได้ ประเภท ขายไข่ไก่ 1 แผง แถมมะนาว 1 กิโลกรัม ลูกค้ายังไม่อยากรับ

แต่วันนี้ ราคามะนาวน่าจะพอไปได้ จึงได้หันกลับมาลงมะนาวไว้อีก เพิ่มจำนวน 200 วงบ่อ

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำเป็นเกษตรแปลงใหญ่ แต่เป็นแบบผสมผสาน ไม่ใช่เชิงเดี่ยว จนวันนี้จะมีพืชที่เป็นหลัก มะละกอ (ฮอลแลนด์) ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ขนุน กล้วย มะนาว และอื่นๆ