ดังนั้น ทฤษฎีก็คือการเขียนแบบวิชาการเพื่อให้ผู้สนใจได้รับ

ทราบเพียงแค่เบื้องต้นเท่านั้น หากต้องการจะศึกษาให้ลึกลงไปอีก แฟนๆ ต้องเสาะแสวงหาเอาเอง ถือว่าสิ่งนั้นเป็นข้อมูลที่เจาะลึกลงไปอีก หากจะยิ่งลงลึกลงไปจะยิ่งสุดยอดมากยิ่งขึ้น ผมจึงจะเขียนย้ำทุกครั้งที่มีโอกาส หากมีตัวอย่างในวันนี้ที่สามารถเห็นได้จริงพร้อมที่จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเองด้วยแล้ว ขอความกรุณาเถอะครับแฟนๆ ยอมสละเวลาเพื่อมาเรียนรู้เสียก่อน จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอย่างมาก

ขอเรียนย้ำกับแฟนๆ ที่ได้นำ ชะอมไม้เค็ด 2009 ไปปลูก หรือแฟนๆ คนใหม่ที่กำลังสนใจที่จะนำไปปลูกบ้าง ทุกข้อเขียนทุกเรื่องราวต่อไปนี้เป็นการนำเสนอจากคอลัมน์นี้เท่านั้น เนื่องจากเป็นคำถามของแฟนๆ ที่ต้องการให้ผมแนะนำ ดังนั้น หากแฟนๆ ท่านใดคิดเป็นอย่างอื่นย่อมได้เสมอ เพราะเรื่องราวด้านการเกษตรกรรมนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จแบบกาแฟสำเร็จรูป 3 in 1 ที่เพียงแค่แกะจากซองใส่แก้ว เทน้ำร้อนลงไปใช้ช้อนคนก็เรียบร้อยเตรียมยกดื่มได้เลย

เพราะทุกคำถามที่แฟนๆ ถามกันไปล้วนทำให้ผมได้รับทราบอย่างกว้างขว้างมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากบางท่านที่ได้นำชะอมไม้เค็ด 2009 ไปปลูกกันแล้ว เมื่อมีสิ่งดีๆ ที่สามารถเกิดขึ้นแบบที่ดีกว่าที่ผมเคยรับทราบมาก่อน ผมจึงได้รับสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้นมากไปอีก เหมือนกับที่เราทั้งหลายรับทราบกันอยู่แล้วว่าการเรียนรู้นั้นย่อมไม่มีที่สิ้นสุด เห็นจะจริงอย่างที่สุดของที่สุด สำหรับกับเรื่องราวของ ชะอมไม้เค็ด 2009 ที่จะมีสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นเนื่องจากแฟนๆ หลากหลายภูมิภาคนำไปปลูก และพบเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผมมีเรื่องชะอมไม้เค็ด 2009 มานำเสนอชนิดไม่เคยจางหายไปจากคอลัมน์นี้ ขอบคุณอย่างมหาศาลจริงๆ ครับ

เหมือนเช่นคำถามปักษ์นี้ แฟนๆ ที่ส่งเสียงไปหาผมหรือสอบถามทางเฟซบุ๊กกันเยอะมากถึงเรื่องราวการตัดต้นชะอม หลังจากที่ได้ลงมือปลูกลงไปแล้วว่ามีวิธีการเช่นใดบ้าง และจะเริ่มตัดต้นชะอมตั้งแต่เมื่อไหร่ให้ต้นชะอมสามารถแตกเป็นพุ่มสวยงามพร้อมให้ยอดที่โต กรุณาให้รายละเอียดด้วย เนื่องจากมักจะเห็นเรื่องราวเช่นนี้ทางเฟซบุ๊กที่ผมโพสต์ลงบ่อยๆ เพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นเป็นประจำ

ต่อไปนี้คือคำตอบนะครับ หลังจากที่แฟนๆ ได้สั่งกิ่งตอนของชะอมไม้เค็ด 2009 จากทีมงานของผมไปทางไปรษณีย์นั้น กิ่งตอนจะมีความยาว ประมาณ 26 เซนติเมตร หรือหากไปรับที่สวนกิ่งตอนจะมีความยาว ประมาณ 36 เซนติเมตร (ดูภาพที่ 1) ต่อมาเมื่อแฟนๆ ได้นำกิ่งตอนนั้นลงปลูกตามขั้นตอนและวิธีที่ผมได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าขุดหลุมให้ลึก เมื่อเวลาที่แฟนๆ ลงมือปลูกกิ่งชะอมไม้เค็ด 2009 เพราะจะทำให้คุณชะอมอึดอัดนะครับ

หลังจากนั้นเมื่อได้ดูแลคุณชะอม แบบว่ากินอิ่มนอนหลับ 1 เดือน ต่อมาคุณชะอมจะเติบโตพร้อมมียอดให้แฟนๆ ได้เล็มบ้างแล้ว จนถึงเวลาประมาณ 2 เดือน ต้นชะอมจะเริ่มมีความสูงพร้อมมีการแตกกิ่งออกเป็นพุ่มเล็กน้อย กรุณาขอให้แฟนๆ เริ่มตัดแต่งต้นชะอมดังนี้นะครับ ให้ตัดจากต้นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ คือจากความสูงที่ออกมาจากต้นที่เป็นต้นพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นความสูง 26 หรือ 36 เซนติเมตร ก็ตาม เมื่อแฟนๆ ได้ลงมือปลูกไปแล้ว ให้ตัดต้นชะอมให้มีความสูงจากต้นกิ่งพันธุ์ที่แฟนๆ ได้ลงมือปลูกไปแล้ว ประมาณ 20 เซนติเมตร (ดูจากภาพที่ 2 และภาพที่ 3)

หลังจากนั้นเมื่อแฟนๆ ดูแลอย่างเยี่ยม ให้ปุ๋ย ให้น้ำ สม่ำเสมอ ในระหว่างนี้ก็สามารถเล็มเก็บยอดชะอมไปบ้างแต่ไม่มากนัก จนมาถึงประมาณเดือนที่ 4 หลังที่ลงปลูก ต้นชะอมจะมีความสูงเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้ตัดต้นไปแล้ว ให้แฟนๆ ลงมือตัดต้นชะอมเป็นครั้งที่ 2 เพื่อให้มีความสูงจากต้นชะอมสูงไปพร้อมแตกออกทั้งด้านข้างและยอด อีก 20 เซนติเมตร หรือวัดจากเดิมสูงขึ้นไป ประมาณ 40 เซนติเมตร (ภาพที่ 4 และภาพที่ 5) ถือว่าเป็นการตัดครั้งสุดท้าย

ที่เขียนนำเสนอคือเป็นขั้นตอนและวิธีการตัดต้นชะอมที่จะสามารถให้เกิดเป็นพุ่มและได้ยอดอย่างสวยงาม หลังจากนั้นจะปล่อยให้ต้นชะอมออกยอดหรือต้นจะโตขึ้นได้ตามที่เราต้องการ ว่าสมควรจะอยู่ระดับที่เราสะดวกต่อการยืนตัดยอดได้ชนิดที่ว่าไม่น่าเบื่อ คือสรุปได้ว่าสมควรอยู่ระหว่าง 80-90 เซนติเมตร จะสะดวกที่สุด ไม่ว่าคนที่จะมาเก็บยอดจะมีความสูงเท่าใด

แต่สำหรับแฟนๆ ที่นำไปปลูกรูปแบบรั้วกินได้นั้น ต้องให้ต้นชะอมมีความสูงเพิ่มขึ้นไปอีกตามที่เราต้องการ เพื่อว่าจะดูสวยงามเป็นพุ่มหนาแน่นเท่ากันไปตลอดแนว แต่ไม่ควรปล่อยให้สูงมากจนเกินไปจะทำให้เก็บยอดชะอมไม่สะดวก ความสูงที่เกิดขึ้นขอให้อยู่ที่ความต้องการของตัวเราเอง เพียงแค่ไม่ปล่อยให้สูงจนเกินไป หรือแบบว่าเมื่อจะเก็บยอดต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บหรือใช้ไม้สอยเก็บเท่านี้เป็นพอนะครับ

ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้ทุกปัญหา อยู่ที่เราต้องการหรือไม่เท่านั้นครับแฟนๆ หรือหากว่าแฟนๆ ต้องการไปศึกษาให้เห็นจริง สัมผัสจริง ด้วยตัวเองก่อนการตัดสินใจทุกเรื่องราวของ ชะอมไม้เค็ด 2009 เรียนเชิญได้เลย กรุณาติดต่อ คุณสุพล แสงทอง โทร. (084) 558-8639 นัดหมายไปก่อนเพื่อความสะดวกทุกเรื่องราวที่แฟนๆ ต้องการ สะดวกมากครับเพราะประจำอยู่ที่นั่นพร้อมมีแปลงชะอมไม้เค็ด 2009 ทั้งปลูกไว้หน้าและหลังบ้านพักอาศัย พร้อมสามารถติดต่อเรื่องกิ่งพันธุ์ชะอมไม้เค็ด 2009 ของแท้ หากแฟนๆ ต้องการ ยินดีต้อนรับแฟนๆ ทุกท่านครับ ขอย้ำไร้ค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

สุดท้าย เวลานั้นเดินไปข้างหน้าเสมอ เราจำเป็นอย่างมากที่ต้องพยายามควบคุมให้มีค่ากับชีวิตเราให้ได้มากที่สุด อย่าพยายามให้เวลานั้นมาควบคุมชีวิตเรา พร้อมฝึกใจให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะนี่คือข้อแรกที่สามารถทำให้จิตใจเราแข็งแกร่ง มีความกล้าคิด กล้าสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ พร้อมกล้าที่จะลงมือกระทำกับทุกสิ่งที่ต้องการด้วยตัวของตัวเองแบบเชื่อมั่นว่าต้องสำเร็จ ให้คิดเสมอว่าทุกช่วงจังหวะการก้าวเดินของช่วงชีวิตในทุกวันนั้นล้วนมีความสำคัญที่ยิ่งใหญ่กับเราเท่ากันทั้งสิ้น

แฟนๆ ครับ เพราะครูคนแรกของเราก็คือหัวใจของเรานั่นเอง อย่าลืม ต้องพยายามเติมกำลังใจให้ตัวเองเต็มพิกัดไว้เสมอตลอดเวลา อย่าให้กำลังพร่องหรือขาดหายไป เพื่อที่หัวใจของเราจะได้พร้อมสั่งการให้ออกก้าวเดินไปได้กับชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขทุกเส้นทาง เพราะวันนี้ที่หายใจอยู่คือวันสุดท้ายของอดีตและอนาคตของเรา ขอบคุณ สวัสดี

สุพรรณบุรีได้ชื่อว่าเป็นเมืองของชาวนา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของไทย ซึ่งเกษตรกรตัวจริงที่ประสบความสำเร็จอีกหนึ่งคนก็อยู่ที่นี่ “น้าละเอียด แดงแตง” วัย 65 ปี เกษตรกรแห่งบ้านศาลาขาว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เริ่มอาชีพชาวนาตั้งแต่ต้นตะกูล จากรุ่นปู่ย่าตายาย มาถึงพ่อแม่ จนถึงรุ่นของน้าละเอียด ดังนั้น ประสบการณ์การทำนาจึงมากกว่า 50 ปี

บนผืนนาแปลงใหญ่ที่สืบทอดการทำนามาจากบรรพบุรุษกว่า 60 ไร่ น้าละเอียดให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการทำนา ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่เพาะข้าว การกำจัดวัชพืชและป้องกันแมลง และการเลือกใช้ปุ๋ยบำรุงดินให้เหมาะกับความต้องการของข้าว บวกกับการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ จากรุ่นลูก จึงมีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่นรถอเนกประสงค์มาใช้ทำนา ทั้งหว่านข้าว ใส่ปุ๋ย รวมถึงควบคุมหญ้าและแมลง ปรับปรุงและพัฒนาการทำนาดั้งเดิม จนได้ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ ไร่ละ 1 ตัน!

น้าละเอียดเผย 3 เทคนิคการทำนาให้ได้ผลผลิตดี เริ่มตั้งแต่ การเตรียมดิน การคัดเลือกพันธุ์ข้าว และการบำรุงดิน ซึ่งทุกขั้นตอนต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ

1.การเตรียมดิน น้าละเอียดบอกว่าก่อนปลูกข้าวทุกครั้งการเตรียมดินมีความสำคัญมาก หากปลูกข้าวโดยไม่บำรุงดินเสียเลย ข้าวจะไม่งามดั่งใจ ถ้าเตรียมดินดี ผลผลิตก็จะดีตาม โดยขั้นตอนการบำรุงดินของเกษตรกรวัยเก๋าเริ่มจากการเอาน้ำลงแปลงปลูกเพื่อให้ดินชุ่มชื้น แล้วใช้รถปั่นดิน (หรือที่เรียกว่า ขลุกดิน) เพื่อให้ดินละเอียด พร้อมทั้งฝังกลบวัชพืชด้วย นอกจากนี้ น้าละเอียดจะใส่ปุ๋ยหมักที่ทำเอง โดยใช้ขี้วัวผสมกับแกลบที่ได้จากการสีข้าวผสมลงไปในดินด้วย จะช่วยให้สภาพดินในแปลงมีธาตุอาหารสมบูรณ์พร้อมที่จะทำการเพาะปลูก หลังจากขลุกดินแล้ว จะใช้รถเทือกตีดินให้ดินเรียบเสมอกัน ชักร่องเพื่อระบายน้ำออก (ตีเส้นในร่อง) แล้วหว่านเมล็ดข้าวได้

2. การเลือกพันธุ์ข้าวก็สำคัญ เนื่องจากตำบลศาลาขาวอยู่ในเขตชลประทานมีน้ำใช้ตลอดปี น้าละเอียดจึงใส่ใจเรื่องการเลือกพันธุ์ข้าวเป็นพิเศษ โดยหนึ่งปีจะทำนาทั้งหมด 3 รอบ คือ ทำนาปี 1 รอบ ระยะปลูก 120 วัน ใช้พันธุ์ข้าวพื้นบ้านซึ่งมีน้ำหนักดีและทนต่อสภาพอากาศ เพราะการทำนาปีต้องอาศัยน้ำฝน ทำให้การเลือกเม็ดพันธุ์ต้องเป็นพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศ

ส่วนการทำนาปรังอีก 2 รอบ น้าละเอียดเลือกใช้พันธุ์ข้าว กข. ซึ่งให้ผลผลิตมากและใช้ระยะเวลาในการปลูกเพียง 90 วัน และไม่ต้องห่วงว่าข้าวจะขาดน้ำเนื่องจากที่นาได้รับน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ตลอดทั้งปี

3. การบำรุงดิน เพราะทำนามาหลายรุ่นทำให้ธาตุอาหารในดินลดลง ไม่ได้พักดิน ดังนั้น น้าละเอียดจึงใส่ใจเรื่องการบำรุงดินโดยการเพิ่มธาตุอาหารให้ดินด้วยการใส่ปุ๋ยตรากระต่าย น้าละเอียดบอกว่า การเลือกปุ๋ย ต้องเลือกจากคุณภาพ

“สิ่งสำคัญคือการเลือกปุ๋ยที่มีคุณภาพ ผมไม่เคยเปลี่ยนใจจากปุ๋ยตรากระต่ายเลย ใช้มาเป็นสิบๆ ปี เพราะคุณภาพดี ข้าวได้น้ำหนัก ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผมแนะนำให้ลูกๆ และเพื่อนเกษตรกรใช้ด้วย เพราะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้นจริง” น้าละเอียดยืนยัน พร้อมแชร์เทคนิคการใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตจะเลือกใส่ปุ๋ยตามช่วงอายุของข้าว ดังนี้

เมื่อข้าวอายุได้ 25-30 วัน น้าละเอียดจะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 โดยใช้ประมาณ 20-25 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อบำรุงต้นข้าวให้แข็งแรง

• เมื่อข้าวอายุ 45-50 วัน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 ในปริมาณ 20-25 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อได้ข้าวเต็มเม็ด เต็มรวง

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาใส่ปุ๋ยก็สำคัญ น้าละเอียดแนะนำว่า ในช่วงหน้าฝนที่อากาศมีความชื้น จะใส่ปุ๋ยช่วงสายๆ หรือบ่ายของวัน เพื่อให้แดดไล่ความชื้นออกไปให้หมดก่อน เพราะถ้าใส่ปุ๋ยตอนต้นข้าวมีความชื้นอาจทำให้เกิดโรคได้

ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม ป้องกันและกำจัดวัชพืช-แมลง
นอกจากการเตรียมดินที่ดีแล้ว การป้องกันและกำจัดวัชพืช-แมลงก็สำคัญมากสำหรับเกษตรกร น้าละเอียดให้ความสำคัญกับการป้องกันและกำจัดวัชพืชโดยการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมนั่นก็คือ การดูนกเพื่อดูว่าพื้นที่ไหนมีแมลง โดยสังเกตจากชนิดของนกที่มาลงนา เช่น ถ้าเห็นนกนางแอ่นบินลงนาบ่อยๆ แสดงว่าช่วงนั้นมีเพลี้ยกระโดดลง แต่ถ้าเป็นนกกระยางลงนาบ่อยๆ แสดงว่าในนามีหนอนมาก ซึ่งการเป็นคนสังเกตแบบนี้ทำให้น้าละเอียดแก้ปัญหาได้ทันท่วงที โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วย เช่น นำรถอเนกประสงค์เข้าช่วยฉีดสารควบคุม หรือใช้เครื่องตัดหญ้าแบบมือตัดหญ้าที่ขึ้นรกและสูงตามคันนา เพราะนั่นคือที่อยู่ของหนอนและแมลง

นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำวิธีควบคุมวัชพืชในนาข้าว โดยหลังจากใช้ยาคุมหญ้าในนาข้าวแล้ว 2 วันต่อมา ต้องปล่อยน้ำลงนาทันที ซึ่งต้องทำให้ตรงเวลา เพื่อให้หญ้าที่ขึ้นมาเจอน้ำก็จะตาย แต่ถ้าปล่อยน้ำช้า หญ้าจะโตทันข้าว และมาแย่งสารอาหาร ข้าวก็จะให้ผลผลิตน้อย

น้าละเอียดเผยหัวใจของการปลูกข้าว ก็คือ ‘ความซื่อสัตย์’ ต่อผืนดินและท้องนา คือให้ความจริงใจต่อข้าว ต่อผืนนา เมื่อถึงเวลาต้องทำทันที ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทอดทิ้งนา รวมถึงการใส่ปุ๋ย การปล่อยน้ำเข้านา เฝ้านา ดูว่าเวลาไหนต้องปล่อยน้ำเข้านา อีกทั้งซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วย ต้องช่างสังเกต และเอาใจใส่นา

“ช่วงที่ปล่อยน้ำลงนาเพื่อกำจัดหญ้า ผมจะไม่ไปไหนเลย ใครมาชวนไปไหนก็จะไม่ไป ต้องรอใส่น้ำลงนาก่อน ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง นี่คือความซื่อสัตย์ต่อข้าว ต่อนา ที่ผมทำมาตลอด” น้าละเอียด ย้ำภารกิจสำคัญ

ใช้เครื่องจักรช่วยทำนา ประหยัดเวลา-ลดต้นทุน
วิธีการทำนาที่สืบทอดจากคนรุ่นพ่อแม่ คือความอดทน ความขยัน ความซื่อสัตย์ เมื่อบวกรวมกับแนวคิดการจัดการพื้นที่ทั้งหมดกว่า 60 ไร่ในปัจจุบันของน้าละเอียดที่เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ จากคำแนะนำของลูกๆ โดยการนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยทำนา นั่นก็คือรถอเนกประสงค์ ที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ช่วยหว่านข้าว ใส่ปุ๋ย รวมถึงเข้าพื้นที่ฉีดสารควบคุมหญ้าและแมลง นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาเพิ่มรายได้จากการรับจ้างในไร่ในนาของเพื่อนบ้านได้อีกด้วย

เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดจึงเปิดใจและลงทุนนำรถอเนกประสงค์เข้ามาช่วยทำนา ก็ได้คำตอบว่า ได้รับคำแนะนำจากลูกๆ ให้ใช้รถเอนกประสงค์มาปรับใช้กับการเกษตรของครอบครัว ซึ่งเมื่อเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา ได้ทดลองใช้จริงก็พบว่ารถอเนกประสงค์ช่วยให้ประหยัดเวลา ช่วยลดต้นทุนเรื่องแรงงานได้
น้าละเอียดเป็นตัวอย่างของเกษตรกรรุ่นเก๋าที่ความคิดไม่เคยเก่า พร้อมปรับตัวรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ยังคงรักษามาตรฐานการทำนาแบบดั้งเดิมไว้ได้ครบถ้วน ส่งต่อความอดทน ความขยัน ความซื่อสัตย์ จากบรรพบุรุษ มาสู่เกษตรกรรุ่นลูกได้อย่างไร้ที่ติ

ตั้งแต่เริ่มมีการปลดล็อกไม้หวงห้าม ทำให้ช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ มีเกษตรกรหลายท่านหันมาให้ความสนใจในการที่จะเริ่มต้นปลูกไม้ป่าไว้ในพื้นที่ตามกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บางคนปลูกเพื่อให้เกิดระบบนิเวศ บางคนปลูกไว้สร้างรายได้ในอนาคต เพราะไม้ป่าเหล่านี้มีมูลค่าที่สูง ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีประโยชน์ที่พ่วงมาจากการปลูกไม้ป่าที่หลายท่านนึกไม่ถึงคือการคำนวณคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปแลกซื้อขายสร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ทิ้งสักต้น

คุณปรีชา หงอกสิมมา หรือ พี่แขก เกษตรกรนักคิดนักพัฒนา เจ้าของ วนพรรณ ออร์แกนิค การ์เด้น บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านกง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ผู้น้อมนำเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาใช้ในกิจการงานเกษตรได้เป็นอย่างดี และยังเป็นแบบอย่างสร้างแนวคิดให้กับเกษตรกรได้อีกหลายๆ ท่าน

พี่แขก เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำเกษตรว่า ตนเรียนจบสาขาวิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น จากนั้นได้ประกอบอาชีพเป็นนักฝึกอบรมโครงการส่วนพระองค์ มูลนิธิชัยพัฒนา โดยทำหน้าที่เป็นวิทยากรฝึกอบรมให้เกษตรกรที่สนใจแนวพระราชดำริ ได้เข้าใจหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อแก้ปัญหาการเกษตร รวมถึงด้านการพัฒนา ดิน น้ำ ป่า และการส่งเสริมอาชีพ การแปรรูปสินค้าเกษตรต่างๆ ให้กับทุกคนที่สนใจได้มาเรียนรู้เป็นระยะเวลานานกว่า 8 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อกลับมาทำเกษตรในพื้นที่ของตนเองที่บ้านเกิด บนพื้นที่ 15 ไร่

เริ่มต้นด้วยการปรับปรุงแปลง พลิกผืนนาเดิมเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ มีการจัดการน้ำ ขุดบ่อ วางผังออกแบบพื้นที่ในการจัดการพื้นที่แต่ละส่วน ดังนี้

พื้นที่ปลูกป่า
พื้นที่ปลูกสมุนไพร
พื้นที่ผลิตอาหาร
พื้นที่ปลูกผักผลไม้
พื้นที่ปลูกข้าว
พื้นที่สำหรับการจัดการอื่นๆ
จากนั้นเริ่มเก็บรายละเอียดของการทำแปลง อย่างเช่น ตรงไหนจะปลูกต้นไม้ ก็ลงไม้ป่าไว้ก่อน ตรงไหนจะปลูกสมุนไพร ก็ต้องปรับปรุงดิน และดูแลจัดการแผนการผลิตไว้ก่อน ว่าจะปลูกสมุนไพรชนิดใด หมุนเวียนกันเท่าไร เป็นต้น

ส่วนเรื่องของการสร้างรายได้ จากสวนผสมผสานที่ทำช่วงแรกของที่สวนผลิตข้าวไว้บริโภคเอง ส่วนพืชผักส่วนอื่นๆ จะมีทั้งส่วนปลูกไว้กินเองและปลูกไว้ขาย เริ่มทำการตลาดในท้องถิ่นก่อนอันดับแรก เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักได้มีการขยายตลาดต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนำไปขายในตัวจังหวัด เข้าไปร่วมกับตลาดกรีนมาร์เก็ตของขอนแก่นบ้าง จากนั้นค่อยขยับทำพรีออเดอร์รวบรวมผลผลิตของตัวเองและเครือข่ายเข้าไปส่งของลูกค้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาหา เมื่อผ่านไประยะหนึ่งต้นไม้เริ่มโต สมุนไพรมีเยอะขึ้น ได้มีการปรับเปลี่ยนจากการขายผักสดเป็นการแปรรูปสินค้า พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง สบู่ แชมพู โดยสินค้าทุกตัวได้รับมาตรฐาน อย. มาตรฐานคลีนโปรดักส์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งในส่วนที่ผลิตขายในแบรนด์ของตนเองและในส่วนของการรับจ้างผลิตด้วย รวมๆ รายได้แล้วอยู่ที่ประมาณหลักแสนบาทต่อเดือน นี่คือ ส่วนหนึ่งของรายได้ที่เกิดจากผลของการรู้จักการวางแผนที่ดี แล้วมาดูกันต่อว่ารายได้และประโยชน์อีกส่วนหนึ่งที่ลงทุนปลูกไม้ป่าไว้จะได้อะไรบ้าง

ประโยชน์ของการปลูกไม้ป่า
สร้างระบบนิเวศ ออมเงินแทนธนาคาร
เจ้าของบอกว่า เริ่มต้นปลูกไม้ป่ามาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ปลูกตั้งแต่ยังไม่มีการปลดล็อกไม้หวงห้าม โดยมีหลักการและแนวคิดสืบเนื่องมาจากเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โดยเอาต้นไม้มาเป็นตัวนำเพื่อสร้างระบบนิเวศให้มีความสมดุลและยั่งยืน ฉะนั้น สิ่งที่จะดึงความยั่งยืนของระบบนิเวศได้คือ ป่าไม้ จึงใช้ป่าไม้นำก่อน พอเอาป่าไม้นำ ผลพลอยได้จากการสร้างป่าก็เกิดขึ้น ทั้งเห็ด ทั้งฟืน จุลินทรีย์ และปุ๋ย และสุดท้ายแล้วไม้ป่าเหล่านี้เป็นหลักทรัพย์สามารถมาค้ำประกันได้ จึงมองว่าต้นไม้ปลูกครั้งเดียวแล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ตลอด

ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงชั่วลูกชั่วหลานถ้าไม่ตัดก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆ “ตอนปลูก ซื้อกล้าไม้ราคาต้นละ 10 บาท ผ่านไป 10-20 ปี ราคาขึ้นเป็นหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ก็เหมือนกับการออมเงิน เงินมีการเติบโตไปเรื่อยๆ ในขณะที่เราแบ่งพื้นที่ของเราปลูกไม้พวกนี้ไว้เยอะๆ แล้วเราก็ใช้พื้นที่อื่นๆ มาบริหารจัดการวนเกษตร หาปลูกพืชสร้างกิจกรรมอะไรก็ได้ที่มีรายได้ทุกวัน และในขณะที่เราทำกิจกรรมไปเรื่อย ต้นไม้ที่เราปลูกข้างๆ มันก็เติบโตไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับสร้างเงินบำนาญให้เราในอนาคต ซึ่งรวมๆ ที่สวนปลูกไม้ป่ารวมๆ แล้ว กว่า 50 ชนิด ประมาณ 500 กว่าต้น หลักๆ จะเป็นยางนา ตะเคียน ไม้สัก ประดู่ พะยูง พะยอม ก้ามปู ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้พวง ไม้ตะแบง” เป็นต้น

การซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ประโยชน์ทางอ้อมของการปลูกป่า
ประโยชน์อีกข้อของการปลูกป่าที่นอกเหนือจากการสร้างระบบนิเวศให้มีความสมดุลอย่างยั่งยืนแล้ว หลายคนยังไม่ทราบเรื่องของการซื้อขายคาร์บอนเครดิต แล้วการซื้อขายคาร์บอนคืออะไร พี่แขก อธิบายว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเปรียบเสมือนผลพลอยได้ของการปลูกป่า คือสามารถสร้างรายได้จากคาร์บอนได้โดยที่ไม่ต้องเสียต้นไม้สักต้น ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ทางชุมชน ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นผู้พัฒนาโครงการร่วมกับ ธ.ก.ส. มีการสำรวจทำฐานข้อมูลเพื่อที่จะซื้อขายในระบบสมัครใจ โดยมีกระบวนการตรวจวัดดังนี้

วัดแปลงระบุพิกัดแปลง
ระบุพิกัดต้นไม้
ระบุชนิดและขนาดความโตของต้นไม้
จากนั้นคำนวณออกมาเป็นค่าคาร์บอน โดยจะมีสูตรคำนวณคาร์บอนอยู่ 3 สูตร ซึ่งทางเราจะเลือกใช้สูตรที่ถนัดสามารถจัดการได้ เมื่อคำนวณปริมาณคาร์บอนออกมาได้แล้ว จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้ให้กรรมการตรวจรับรอง เมื่อผ่านการรับรองข้อมูลตรงนี้ จะเป็นข้อมูลที่นำไปซื้อขายได้

รูปแบบการขาย ขายเป็นตันคาร์บอน ราคาตลาดโลกอยู่ที่ ตันละ 200-500 บาท โดยการทำสัญญาซื้อขายกันปกติทั่วไปจะทำสัญญาซื้อขายเป็นระยะเวลา 10-20 ปี โดยมีเงื่อนไขว่า ระหว่างที่อยู่ในระยะสัญญา ผู้ขายจะไม่สามารถตัดต้นไม้ได้ แต่หลังจากที่หมดสัญญาแล้วเจ้าของสามารถตัดขาย หรือทำประโยชน์อย่างอื่นต่อไปได้ ถือเป็นประโยชน์ทางอ้อมสำหรับคนที่ชอบปลูกป่า

แต่หากจะนับเอาผลตอบแทนทางเศรษฐกิจการขายคาร์บอนยังไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย แต่จุดประสงค์ของชุมชนคือ อยากทำเป็นโมเดลสำหรับคนที่จะทำตรงนี้ต่อ “โครงการนี้ยังมีคนทำน้อย เมื่อมีคนทำน้อย ค่าใช้จ่ายก็จะสูงมาก เพราะคอร์สค่าตรวจแต่ละครั้งจะสูงมาก แต่ถ้ามีชุมชนทั้งประเทศทำ หน่วยงานรับรองเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายจะถูกลงๆ เพราะมีคนทำเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงยอมเป็นชุมชนแรกที่ทำเรื่องนี้เพื่อให้สำเร็จก่อน ถ้าเราสำเร็จมันมีคนทำเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะถูกลงตามจำนวน วันนี้ยังไม่คุ้ม เราทำเพื่อส่งเสริมคนปลูกต้นไม้ได้มีรายได้จากการปลูกต้นไม้โดยที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ แต่ในอนาคตทำแล้วคุ้มค่าแน่นอน”

การปลูกดูแลไม้ป่าเบื้องต้น
พี่แขก บอกว่า การปลูกดูแลไม้ป่าเป็นอะไรที่ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ว่าต้องดูแลให้รอดแล้งในช่วงปีแรกก่อน เนื่องจากสภาพฝน ฟ้า อากาศ เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ฉะนั้น การปลูกไม้ป่าในปีแรกต้องทำให้ต้นไม้รอดตายก่อน พอรอดตายปีที่ 2 ก็ให้ดูแลตามลักษณะการเจริญเติบโต มีการตัดหญ้า ควบคุมวัชพืช และปล่อยให้ต้นไม้โตตามธรรมชาติ ถ้าผ่านแล้งในปีแรกไปได้ ก็จะง่ายในปีที่ 2-3 เมื่อเข้าปีที่ 4-5 แทบไม่ต้องดูอะไรเลย ปล่อยตามธรรมชาติ จากนั้นเลือกใช้ประโยชน์ของไม้แต่ละชนิดได้แล้ว โดยไม้แต่ละชนิดมีการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน

ไม้โตเร็ว ที่น่าสนใจคือไม้ตระกูลอะเคเซีย เช่น กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินลูกผสม ระยะการปลูก 3-5 ปี นำไปทำงานก่อสร้าง หรือทำเฟอร์นิเจอร์

ไม้โตช้า เช่น สัก พะยูง ประดู่ ตะเคียนทอง อายุรอบตัดฟัน 15 ปีขึ้นไป ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานแต่เป็นไม้ที่มีมูลค่าสูง เป็นที่ต้องการของตลาด การสร้างรายได้จากไม้ป่า
ทั้งปัจจุบันและอนาคต
“การสร้างรายได้จากสวนป่าของผมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน สมัคร Holiday Palace คือส่วนของการสร้างรายได้ในปัจจุบันคือ การทำถ่านหุงต้ม ถ่านดูดกลิ่น ถ่านบำรุงดิน รวมถึงการนำส่วนผสมจากพืชบางตัวมาทำเครื่องสำอาง ทำเป็นยา ส่วนการสร้างรายได้ในอนาคต คือ อุตสาหกรรมการแปรรูปไม้ โรงเลื่อยชุมชน แม้กระทั่งโรงไฟฟ้าชีวมวล แต่ต้องมีเทคโนโลยีที่ควบคุมมลพิษเป็นอย่างดี ซึ่งผมมองว่าถ้าต่อไปชุมชนมีต้นไม้เยอะขึ้น พลังงานจากชีวมวลก็จะดีขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการใช้วัสดุจากไม้ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยมีการนำเข้าไม้จากต่างประเทศเยอะมาก อาทิ นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา มาดากัสการ์ และลาว เป็นต้น

พูดง่ายๆ ว่า ไม้ที่ใช้ในวงการก่อสร้างของประเทศไทยเป็นไม้นำเข้าเกือบทั้งหมด เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าในประเทศไทยมีไม้เยอะขึ้น ก็ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมไม้มากขึ้น ทำเป็นชาร์โคล ชาร์โคลสามารถนำไปทำประโยชน์ได้อีกหลายอย่างทั้งเป็นวัสดุปรับปรุงดิน หรือนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องกรองน้ำ กรองอากาศ เหล่านี้ล้วนใช้ประโยชน์จากถ่านชาร์โคลทั้งหมด

รวมทั้งการทำพลังงานทางเลือกจากชีวมวลก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ว่าต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ และกฎหมายบางอย่างก็ยังไม่ได้เอื้อสิ่งอำนวยเหล่านี้เท่าที่ควร ซึ่งก็ต้องผลักดันกันต่อไป” พี่แขก กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดการทำเกษตรทฤษฎีใหม่หรือการปลูกไม้ป่าสร้างรายได้เพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร สวัสดีท่านผู้อ่านที่รักและคิดถึงทุกท่านครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับในช่วงเวลานี้ บางท่านอาจยังทำงานอยู่ที่เดิม บางท่านอาจเปลี่ยนงานใหม่ และอาจมีบางท่านที่ออกจากงานด้วยเหตุผลที่ผู้บริหารแจ้งมา ไม่ว่าจะอย่างไรเราทุกคนก็ต้องกินต้องใช้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ อย่าลืม สวมหน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่างเอาไว้

อาชีพเกษตร เป็นหนึ่งอาชีพที่สำคัญในการเป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงผู้คนพลเมือง เป็นต้นๆ ของห่วงโซ่อาหารที่ใช้ในการบริโภคของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ ไปจนถึงกระบวนการแปรรูปต่างๆ เกษตรกรคือกำลังสำคัญ ไม่ว่าจะเหตุการณ์ปกติหรือผิดปกติใด แต่เมื่อใดที่เกษตรกรเดือดร้อน ก็จะส่งผลไปถึงผู้บริโภคไม่มากก็น้อย ปัญหาหลักที่เกษตรกรต้องเจอก็คือ แล้ง น้ำท่วม แมลงศัตรูพืชลง