ด้านนายจำลอง พลโคกก่อง อายุ 63 ปี ชาวบ้านโคกก่อง หมู่ 7

อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า โครงการ 9101 ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมเป็นโครงการที่ดี หากเจ้าหน้าที่มองผลประโยชน์และดำเนินการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง เช่น การแจกจ่ายพันธุ์กบให้กับชาวบ้านหากนำกบที่มีคุณภาพมาให้ก็จะเป็นประโยชน์ แต่กลับเป็นการนำกบอายุไม่น่าเกิน 6 เดือนมาให้ และบอกว่าเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปกติก็เพาะพันธุ์ลูกกบ เลี้ยงกุ้ง และเลี้ยงปลาขายอยู่แล้ว จึงรู้ดีว่าไม่ใช่พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ อีกทั้งยังนำกบที่ไม่สมบูรณ์มาให้จนมีแผลและตายไปแล้วจำนวนมาก เท่ากับเป็นการนำภาระมาให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น เป็นโครงการเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มกับเงิน 5,000 บาท จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการช่วยเหลือ

วันนี้ (9 มกราคม 2561) นายกฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายวีระยุทธ สุขอ้น หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ เข้าร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์มติชน ในเครือบริษัท มติชน จำกัด มหาชน เนื่องในโอกาสครอบ 41 ปีของการจัดตั้ง หนังสือพิมพ์มติชน โดยมีคณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์มติชนร่วมให้การต้อนรับ ณ สำนักพิมพ์มติชน
เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

ตามที่ กศน.อำเภอสามชุก ได้รับนโยบาย ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน. ปีงบประมาณ 2560 ในเรื่องของ กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินการสำรวจความต้องการการเรียนรู้แก่ประชาชนและวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่ง กศน.ตำบลหนองสะเดา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสามชุก มี นายวิชา ทองโสภา เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง และเป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองสะเดา

นายวิชา ทองโสภา เป็นเกษตรกรที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต จนมีความรู้ความสามารถและเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้ง นายวิชา ทองโสภา เป็นผู้ที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา และเป็นผู้ที่ปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านในพื้นที่ละแวกนั้น ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง

ตลอดช่วงชีวิตของ นายวิชา ทองโสภา ดำรงชีพโดยการทำนา ขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำสวน ปลูกผักสวนครัวแบบดั้งเดิม จนได้เข้ารับการอบรม “เกษตรผสมผสาน ตามแนวพระราชดำริ” ในปี พ.ศ. 2546 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ของ นายวิชา ทองโสภา เนื่องจากการเข้ารับการอบรม “เกษตรผสมผสาน ตามแนวพระราชดำริ” ในครั้งนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงได้นำความรู้ที่ได้มาประยุกต์กับความเชี่ยวชาญ ด้านเกษตรกรแบบดั้งเดิมจนกลายเป็นต้นแบบการทำเกษตรแบบผสมผสานและเกษตรอินทรีย์ และเป็นบุคคลตัวอย่างของการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ดังนั้น กศน.ตำบลหนองสะเดา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสามชุก จึงได้เชิญ นายวิชา ทองโสภา เป็นวิทยากรอบรมให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ในเรื่อง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบาย ยุทธศาสตร์ และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน. ปีงบประมาณ 2560 อาทิ การขยายผลเกษตรธรรมชาติสู่โรงเรียน อบรมให้ความรู้การทำน้ำหมักชีวภาพ การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน สารไล่แมลงเพลี้ยกระโดดจากลูกลำโพง และการปลูกพืชสมุนไพร เป็นต้น

ผลการดำเนินการจัดกิจกรรม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่ตั้งไว้ เนื่องจาก นายวิชา ทองโสภา สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี สามารถอธิบายด้วยภาษาการสื่อสารที่เข้าใจได้ง่าย ถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างครบถ้วน ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงและเห็นผลจริง

ด้วยเหตุนี้ทำให้ นายวิชา ทองโสภา ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับในความรู้ความสามารถในเรื่องของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงยิ่งขึ้น ได้รับรางวัล เกียรติบัตร จากหน่วยงานราชการต่างๆ อีกทั้งยังมีคนมาศึกษาดูงานเรื่องการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่บ้านของ นายวิชา ทองโสภา เป็นประจำ ทำให้ชื่อเสียงของนายวิชา ทองโสภา เป็นที่รู้จักและยอมรับมากยิ่งขึ้น

กศน.อำเภอสามชุก จึงได้ส่ง นายวิชา ทองโสภา เข้ารับการเสนอเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาเพื่อประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นครู “ภูมิปัญญาไทย” รุ่นที่ 8 เพื่อเป็นเกียรติและขวัญกำลังใจในการทำงานของนายวิชา ทองโสภา ที่มีให้แก่ชุมชน และได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน ของ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงทำให้ นายวิชา ทองโสภา ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 8 ซึ่งจากรางวัลดังกล่าว เป็นเครื่องการันตีได้ว่า นายวิชา ทองโสภา เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง เป็นที่ยอมรับแก่ชุมชนและสังคม และเป็นบุคคลที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาใช้ในการดำเนินชีวิตและสร้างคุณประโยชน์แก่ประชาชนสืบต่อไป

จังหวัดบึงกาฬ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ เหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ และองค์การหน่วยงานราชการ – เอกชน พร้อมใจกันเตรียมจัด “งานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬ 2561” ซึ่งเป็นงานยางพาราเอ็กซ์โปครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในอีสาน จัดอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีนี้ เป็นครั้งที่ 6 จัดระหว่างวันที่ 17 – 23 มกราคม 2561 ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ ภายใต้แนวคิด “ศาสตร์พระราชารุ่งเรือง เมืองศูนย์กลางยางพารา เกษตรอินทรีย์ก้าวหน้า เปิดประตูการค้าอินโดจีน”

เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดแถลงข่าว ณ ห้อง Meeting Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับเกียรติจาก นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นายนิพนธ์ คนขยัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ นายเฉิน หู้เซิง Chief Representor of Thailand Representative Office National Engineering Research Center for Rubber and Tire นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยมีคณะผู้บริหาร บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นำโดย นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการ แขกผู้มีเกียรติและผู้แทนองค์กรหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการจัดงานและสื่อมวลชนหลายแขนงเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

การจัดงานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬในปีนี้เป็นการยกระดับการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นมหกรรมที่มีความสำคัญในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง แสดงให้เห็นความก้าวหน้าในด้านการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว การศึกษา และการประกอบอาชีพด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย และเป็นการตอกย้ำว่า จังหวัดบึงกาฬเป็นเมืองศูนย์กลางยางพาราของภาคอีสานที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และพร้อมที่ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางยางพาราระดับอาเซียนในอนาคต

นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ริเริ่มการจัดงานและสนับสนุนงานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬ กล่าวว่า ยางพาราถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ปลูกยางพารากว่า 1 ล้านไร่ ถือเป็นปริมาณที่มากพอสมควร ปัญหาราคายางตกต่ำ ทำให้รัฐบาลต้องหันมาส่งเสริมเรื่องแปรรูปยางพาราเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยาง เช่น การผลิตหมอนยางพารา ที่ช่วยสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่เกษตรกร

การจัดงานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬในปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะเป็น “ โครงการประชารัฐ” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชนที่เป็นรูปธรรมและสามารถจับต้องได้ การจัดงานวันยางพาราบึงกาฬในปีนี้ เป็นการเปิดรับศักราชใหม่ของประเทศไทย ในเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา สนองนโยบายยุทธศาสตร์ 4.0 ของรัฐบาล

ด้านนายนิพนธ์ คนขยัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า หากไม่มีการจัดงานวันยางพาราบึงกาฬขึ้น เกษตรกรชาวบึงกาฬคงไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการแปรรูปหรือสร้างมูลค่าจากผลิตภัณฑ์ยางพารา นอกจากนั้น การสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดการแปรรูปยางพาราประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน

จังหวัดบึงกาฬมุ่งพัฒนายุทธศาสตร์การเเปรรูปเพิ่มมูลค่ายางพารา โดยได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาล 192 ล้านบาท สำหรับตั้งโรงงานเเปรรูปยางพารา 6 โรงงาน ซึ่งเป็นโรงงานของประชาชน มีอาจารย์ณพรัตน์ วิชิตชลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง จากสถาบันวิจัยยางพารา อาจารย์ระพีพรรณ แดงตันกี เเละนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เเละ สถาบันการศึกษาต่างๆ ร่วมเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้เรื่องการแปรรูปยางพาราในทุกวิถีทาง

นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เผยว่า จังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ทำการเกษตร 1.7 ล้านไร่ ยางพารา นับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดบึงกาฬ ขณะนี้มีพื้นที่ปลูกยางที่ขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน 905,000 ไร่ การจัดงานวันยางพาราบึงกาฬ จึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับพี่น้องชาวสวนยาง และมีส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับศักยภาพจังหวัดบึงกาฬ ไปสู่ “ สินค้าเกษตรก้าวหน้า เพื่อพี่น้องประชาชน ”

ในปี 2562 จะมีการจัดสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาว เพราะฉะนั้นการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศไทย กับลาว เวียดนาม และประเทศจีนตอนใต้ จะง่ายขึ้น โดยทางจังหวัดพยายามยกระดับและพัฒนาให้จังหวัดบึงกาฬเป็นศูนย์กลางยางพารา และก่อให้เกิดอุตสาหกรรมด้านยางพารา

นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬไม่ได้เป็นเพียงงานสนุกสนานหรือพบปะพูดคุยเท่านั้น แต่เรียกได้เป็นงานระดับประเทศและระดับนานาชาติ ทั้งเป็นช่องทางขยายโอกาสและพัฒนายกระดับรายได้ของพี่น้องเกษตรกรสวนยางทั้งในบึงกาฬ จังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านให้ดีขึ้น และเชื่อว่า ด้วยความร่วมมือของพี่น้องประชาชน หน่วยราชการและเอกชน จะทำให้งานวันยางพาราและกาชาดจังหวัดบึงกาฬสามารถพัฒนาและยกระดับขึ้นได้อย่างแน่นอน

งานวันยางพาราบึงกาฬในปีนี้ จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ประกอบด้วย “โซนบึงกาฬเทิดพระเกียรติ” โชว์ความอลังการตระการตาของสวนประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ “ โซนยางพารา 4.0 ” จัดแสดงนิทรรศการ “ยางสร้างสุข” และนวัตกรรมยางพาราจากหน่วยงานระดับประเทศ อาทิ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

“โซนสุดยอดนวัตกรรมยางพารา” โชว์ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ “ถนนเรืองแสง” จากยางพารา เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนวัตกรรม “มีดกรีดยางนกเงือก” ฝีมือคนไทย ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำยาง ยืดอายุการกรีดยางได้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ ยังมีภาพคอลลาจ “บึงกาฬ” บนเฟรมขนาดยักษ์ โดย นักรบ มูลมานัส ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้เพื่อชาวบึงกาฬโดยเฉพาะอีกด้วย

“ โซนบึงกาฬเมืองก้าวหน้า ” เปิดโอกาสให้ชาวบึงกาฬได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และถ่ายภาพกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ, “โซนอบรมอาชีพ” จัดฝึกอบรมการทำอาหารจานเด็ดกว่า 12 หลักสูตร โดยเชฟชื่อดัง อาทิ เชฟจารึก ศรีอรุณ อาจารย์ประจำหลักสูตรอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ศูนย์ปฏิบัติการอาหารนานาชาติ ม.ราชภัฏสวนดุสิต อ.พะเยาว์ กฤษแก้ว กูรูขนมหวานชั้นแนวหน้าของไทย ฯลฯ

โซนนิทรรศการ “สู่ฟ้าเสวยสวรรค์” สวนนงนุชพัทยา จัดแสดงตัวอย่างงานศิลปกรรมการสร้างพระเมรุมาศ และนำเสนอ 19 ความมหัศจรรย์ของพระเมรุมาศองค์ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ โดยเชิญอาจารย์ ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคุณสมชาย บุญประเสริฐ ช่างปูนปั้นสดเมืองเพชรบุรี ผู้ควบคุมงานปั้นประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ งานพระเมรุมาศรัชกาลที่ 9 มาเสวนาพิเศษ “สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ มหัศจรรย์งานศิลป์พระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9” รวมทั้งยังมีส่วนของการจัดแสดงดอกดารารัตน์จากใบยางพาราของ จ.บึงกาฬ อีกด้วย

ในปีนี้ เปิดโซนลานเด็กเล่น @บึงกาฬ career-evolution.net ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่องเล่าธรณีวิทยาจากภูสิงห์ ภูทอก สู่ภูถ้ำพระ กิจกรรมสกัดหินออกจากกระดูกไดโนเสาร์ และกิจกรรมระบายสีหินทับกระดาษไดโนเสาร์ โดย กรมทรัพยากรธรณี เป็นต้น ส่วนการแข่งขันนอกจากการแข่งขันกรีดยางพาราชิงแชมป์ประเทศไทย ที่จะได้รางวัลสูงสุดในประเทศแล้ว ยังมีการแข่งขันลับมีดกรีดยาง กองเชียร์ยางพารา และ เป็นปีแรกที่จัดแข่งขันการกรีดยางด้วยนวัตกรรมมีดกรีดยางนกเงือกชิงเงินรางวัลนับแสนบาทอีกด้วย

ภายในงานยังจัดประกวด “ไทยแลนด์ลูกทุ่งคอนเทสต์ 2018” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมรางวัลเงินสดรวมกว่า 500,000 บาทจัดเต็มพื้นที่บนเวทีใหญ่ยักษ์ พร้อมแสง สี เสียง เต็มรูปแบบ โดยได้รับเกียรติจากครูเพลงผู้ทรงคุณวุฒิด้านดนตรีและการแสดงประกอบเพลง ได้แก่ ครูสลา คุณวุฒิ, ครูเทียม ชุติเดช ทองอยู่, ครูเรืองยศ พิมพ์ทอง และครูแดน บุรีรัมย์ มาเป็นคณะกรรมการตัดสินครั้งนี้

นอกจากนี้ยังมีโซนยนตรกรรมและนวัตกรรมนานาชาติ โซนสินค้าประชารัฐและสินค้านานาชาติ โซนกาชาดจังหวัดบึงกาฬ เวทีเสวนาปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงโซนต่างๆอีกมากมาย

พลาดไม่ได้ กับคอนเสิร์ตลูกทุ่ง และคณะหมอลำสุดฮอตของปี 2561 ปิดท้ายด้วยการทำบุญลุ้นรางวัลใหญ่กับสลากกาชาดรางวัลมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท วันที่ 9 ม.ค. รายงานข่าวว่าเกิดเหตุคนร้ายเข้าไปขโมยถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม ที่วางอยู่ภายในโรงเชือดไก่ข้างบ้านเลขที่ 86/3 ม.2 ต.บ่อแดง อ.สทิงพระ จ.สงขลา หาย 1 ถัง ส่วนหัวแก๊ส และสายต่อพ่วง รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ยังอยู่ครบ

สอบถาม นางแดง คณะทอง อายุ 60 ปี เจ้าของบ้าน และเจ้าของโรงเชือด บอกว่า เมื่อเวลา 01.00 น. ได้ยินเสียงคนขับรถจักรยานยนต์มาจอด แต่ไม่ได้เอะใจ ต่อมาเมื่อเวลา 03.00 น. ตื่นขึ้นมาปรากฏว่าถังแก๊สที่เอาไว้สำหรับต้มน้ำร้อนลวกไก่หายไปแล้ว เหลือแต่สายกับหัวแก๊ส ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ถูกคนร้ายขโมยถังแก๊ส

คาดว่า คนร้ายเอาแก๊สไปขายให้กับคนรับซื้อทั้งชาวบ้านและร้านต่างๆ เนื่องจากได้ราคาค่อนข้างดี โดยถังแก๊สสภาพทั่วๆไปราคาถังละประมาณ 500-1,000 บาท ส่วนถังสภาพใหม่มีราคาเกือบถังละ 2,000 บาท

รายงานข่าวแจ้งว่าตามบ้านเรือนของชาวบ้าน และตามร้านอาหารต่างๆในพื้นที่ อ.สทิงพระ ถูกก่อเหตุมาแล้วหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ คนร้ายจึงยังคงลอยนวล และตระเวนก่อเหตุอยู่เป็นระยะ

เมื่อวันที่ 9 มกราคม จากกรณีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีทำการทดลองสกัดโปรตีนจากจิ้งหรีดทำเครื่องดื่มเสริมกล้ามเนื้อ พบมีคุณภาพเทียบเท่าเวย์โปรตีน ทำให้เกษตรกร ชาวนา ผู้เลี้ยงจิ้งหรีด มียอดสั่งจองสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ตามกระแสความต้องการบริโภค
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางจิตตรา แต้มพุดซา ผู้ใหญ่บ้านระงม หมู่ที่ 4 ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ว่าในพื้นที่มีกลุ่มเลี้ยงจิ้งหรีด คุ้มบ้านประสานมิตร โดยใช้บ้านพักอาศัยเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงจิ้งหรีด จึงเดินทางเข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 129 บ้านระงม หมู่ 4 ต.โคกสูง พบนายสมคิด หรือสิทธิ์ สวดโคกสูง อายุ 52 ปี และครอบครัว กำลังทำความสะอาดโรงเลี้ยงจิ้งหรีดและบ่อเพาะไข่ตัวอ่อน

นายสมคิด เปิดเผยว่า เดิมเป็นชาวนา ต่อมาประสบอุบัติเหตุ ทำให้ตาขวาไม่สามารถมองเห็นได้ปกติ รวมทั้งการทำนาประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากแทบหมดสิ้นทางดำเนินชีวิต ต่อมาได้รับคำแนะนำจากญาติให้ลองเปลี่ยนมาเพาะเลี้ยงจิ้งหรีด ตนและภรรยาเห็นเป็นหนทางสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษาดูงานฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดที่ จ.พิจิตร พบธุรกิจเลี้ยงจิ้งหรีดน่าจะเป็นงานที่ตนและครอบครัวสามารถทำได้ ที่สำคัญใช้ทุนไม่มากนัก จากนั้นศึกษาหาความรู้จากสื่ออินเตอร์เน็ตพร้อมสอบถามข้อมูลจากกลุ่มผู้เลี้ยง ก่อนเริ่มต้นเพาะเลี้ยง 1 กล่อง แบบลองผิดลองถูก ครูพักลักจำ ทำให้มีรายได้พอจ่ายค่าอาหารเลี้ยง บางครั้งขาดทุน เนื่องจากจิ้งหรีดตายโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีขนาดเล็กไม่ตรงตามความต้องการของตลาดจนเกือบท้อ แต่กัดฟันสู้ เพราะภรรยาและครอบครัวให้กำลังใจมาตลอด

ต่อมานางจิตตรา ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 เสนอขอทุน 70,000 บาทจากโครงการประชารัฐ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงใช้พื้นที่ว่างเปล่าข้างบ้านพักสร้างโรงเรือนชั่วคราวเพิ่ม เพื่อให้มีจิ้งหรีดส่งขายตามยอดสั่งซื้อ แต่อุปสรรคสำคัญ คือ สภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้จิ้งหรีดไม่เจริญเติบโต และหนาวตาย จึงต้องติดหลอดไฟให้ความร้อน ปัจจุบันสามารถผลิตจิ้งหรีดส่งขายหมุนเวียนให้ตลาดในท้องถิ่น ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท โดยใช้เวลาเลี้ยงตั้งแต่เริ่มเป็นตัวอ่อนจนถึงโตเต็มวัย เฉลี่ย 40-45 วัน มีรายได้หักค่าอาหารและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เหลือประมาณ 30.000-50,000 บาท
“จุดเด่นจิ้งหรีด ตัวใหญ่ ไม่มีกลิ่น มีความสะอาด เนื่องจากให้อาหารไก่แรกเกิด และเปลี่ยนให้ฟักทองเป็นอาหารในขณะมีอายุ 40 วัน ที่สำคัญไม่มีรีดไข่ ทำให้แต่ละตัวมีไข่เยอะแน่น เป็นที่นิยมของลูกค้า ล่าสุด หลังมีข่าวจิ้งหรีดเป็นแหล่งอาหารโปรตีน ทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างเนืองแน่น ลูกค้ามาขอซื้อถึงโรงเลี้ยงแบบไม่อั้น มีเท่าไรขอเหมาซื้อ” นายสมคิด กล่าว