ด้านผู้สื่อข่าวรายงานที่ประจำการอยู่จังหวัดเชียงรายพบขบวน

รถทีมท่อสูบน้ำสิงห์อาสา เคลื่อนรถผ่านหน้า อบต. โป่งผา ประมาณ 4-6 คันเทศกาลพริกประจำปี ของมณฑลหูหนาน เริ่มขึ้นแล้ววันนี้! ประเดิมด้วยชัยชนะของ Tang Shuaihui เด็กชายชาวจีนทำสถิติกินพริกทาบาสโก 50 เม็ด ภายใน 68 วินาที ภายใต้อากาศร้อนระอุ หอบเหรียญทองหนัก 24 กะรัต 3 กรัม กลับบ้าน ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขัน 10 คน ที่ได้รับพริกทาบาสโก 50 เม็ด เท่ากัน และนั่งอยู่ในสระน้ำที่เต็มไปด้วยพริกกว่า 3 ตัน

“ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขากินมันเข้าไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้น แค่ไม่กี่วินาทีหลังพิธีกรบนเวทีพูดจบด้วยซ้ำ” Sun Minying เจ้าหน้าที่ภายในสวนสนุก Tanhe Ancient City ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกล่าว
พริกทาบาสโก (Tabasco) ได้รับการจัดอันดับความเผ็ด อยู่ในช่วง 30,000-50,000 SHU (Scoville Heat Scale: มาตรวัดความเผ็ดของพริก) เป็นพริกที่เผ็ดน้อยกว่าพริกจาลาปิโน (Jalapeno) แต่เผ็ดกว่าพริกฮาบานิโร (Habanero)

ทั้งนี้ เทียบกับพริกที่คนไทยรู้จักดีอย่าง พริกจินดาสด มีค่าความเผ็ดที่ประมาณ 28,000-40,000 SHU หรือ พริกขี้หนูสด 19,000-28,000 SHU และพริกชี้ฟ้าสด 7,500-16,500 SHU

ทั้งนี้ การแข่งขันกินพริกในเทศกาลประจำปีในมณฑลหูหนานนี้ จะจัดขึ้นทุกวันถึงปลายเดือนสิงหาคมนายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กล่าวว่า วันที่ 16 ก.ค.นี้ จะปรับคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ใหม่ เนื่องจากภาพรวมการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้มากกว่า 11% จึงมั่นใจว่าภาพรวมการส่งออกทั้งปี น่าจะขยายตัวได้มากกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 8%

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิด ได้แก่ ปัญหาสงครามการค้า สถานการณ์ราคาน้ำมัน ตลาดหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถาบันผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่เปิดตัวโครงการ Passport to Global Challenge : PGC เพื่อยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการเข้าสู่กระบวนการค้าระหว่างประเทศตามมาตรฐานสากลภายใต้บริบทการค้าใหม่ หรือ New Economy โดยจะรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมแข่งขันประกวดแนวคิดแผนกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ

พร้อมอบรมเสริมสร้างความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 1,250 ราย ใน 5 ภูมิภาค ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจและต่อยอดให้เกิดผล เป็นรูปธรรม

นายพรวิช ศิลาอ่อน ผอ.สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้า ยุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึง รายละเอียด เกี่ยวกับโครงการ PGC by NEA ว่า “สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ จัดโครงการดังกล่าวขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในรูปแบบการแข่งขันท้าทาย ประกวดแนวคิดแผนกลยุทธ์และ การเตรียมพร้อมธุรกิจสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศ

โดยให้จัดทำแผนธุรกิจเป็นกิจกรรมกระตุ้นความสนใจและสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ด้านการค้าระหว่างประเทศและ ให้คำปรึกษาเชิงลึก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งส่วนกลางและ ภูมิภาคมีศักยภาพและสู่การค้าระหว่างประเทศได้อย่างเป็นมาตรฐานสากล

ผู้ประกอบการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันพัฒนา ผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทรศัพท์ (02) 507-7999 “วิศวกร ปิโตรเลียม-นักธรณีวิทยา” ขาดแคลน หลังเปิดประมูลปิโตรเลียมชะงักกว่า 10 ปี ราคาน้ำมันดิ่งยาว เร่ง ก. พลังงาน เปิดประมูลรอบใหม่ต่อจากแหล่ง บงกช-เอราวัณ ชี้นิสิตจบใหม่ ไม่เชื่อมั่นนโยบายรัฐ แห่ทำงานต่างประเทศ

นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มีแนวโน้มว่าบุคลากรด้านวิศวกรปิโตรเลียม และนักธรณีวิทยา รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านปิโตรเคมี และธรณีวิทยาจะขาดแคลน หรือหาได้ยากขึ้น เพราะแม้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเปิดประมูลแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย G1/61 หรือแหล่งเอราวัณ และ G2/61 หรือแหล่งบงกช ซึ่งจะได้ตัวผู้ชนะการประมูลภายในเดือน ธ.ค. 2561 และมีแผนจะเปิดประมูลปิโตรเลียมแหล่งอื่นๆ รอบใหม่ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาการเปิดประมูลปิโตรเลียมล่าช้ามาก หลังชะงักมาตั้งแต่ ปี 2550 หรือกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้บุคลากรด้านวิศวกรปิโตรเคมี และธรณีวิทยา ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมบางส่วนหันไปทำงานในต่างประเทศ หรือทำงานในธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นแทน

ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำลงต่อเนื่อง จากเดิมที่ราคาอยู่ในระดับมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล พบว่า ในปัจจุบันภาวะราคาอยู่ที่ 70-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจปิโตรเลียมขาดทุนอย่างหนัก กระทบคนทำงานในธุรกิจสำรวจและผลิตที่ต่างเคลื่อนย้ายการทำงานไปสู่ธุรกิจอื่นแทนทั้งในและต่างประเทศ

ประมูลรอบใหม่ส่อขาดวิศวกร

นอกจากนี้ กรณีดังกล่าว ยังส่งผลกระทบถึงแรงงานส่วนสนับสนุนบนแท่นผลิต (platform) และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกหลากหลายด้าน อย่างผู้รับขุดเจาะหลุมผลิตซึ่งต้องขนย้ายเครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปยังพื้นที่อื่น ที่มีความต้องการใช้ เช่น ประเทศเมียนมา เวียดนาม กรมเชื้อเพลิงฯ จึงมองว่ากระทรวงพลังงานต้องแสดงความชัดเจนว่าจะมีการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่หรือไม่ และเมื่อใด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุน รวมถึงวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ และคนทำงานที่เกี่ยวข้องในธุรกิจสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดด้วย มิฉะนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเลียมจะประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมากขึ้นอีก

“เมื่อพ้นช่วงหลังจากประมูลเพื่อต่ออายุแหล่งบงกช และเอราวัณแล้วเสร็จ ในช่วงต้นปี’62 หากไม่เปิดประมูลรอบใหม่ คนทำงานในธุรกิจสำรวจจะหันไปสู่ธุรกิจอื่นมากขึ้น ในเมื่อคนไหลออกแล้วไม่มีมาเติม ปัญหาขาดแคลนจะเกิดขึ้นแน่”

บริษัทต่างชาติให้เงินดีกว่า

แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เปิดเผยว่า อีกเหตุผลที่ทำให้ในประเทศไทยขาดแคลนวิศวกรปิโตรเลียม และนักธรณีวิทยา เป็นเพราะบุคลากรที่สำเร็จการศึกษา 2 สาขาวิชาชีพนี้ บางส่วนเลือกทำงานในบริษัทต่างชาติ ส่วนหนึ่งมาจากอัตราผลตอบแทนที่ได้รับดีกว่า อย่างตำแหน่งวิศวกรปิโตรเลียมไม่มีประสบการณ์ จะได้รับค่าตอบแทน 28,000-30,000 บาท/เดือน กรณีเป็นลูกจ้างบริษัทที่เป็น service contractor เช่น บจ.ชลัมเบอร์เจอร์ หรือฮัลลิเบอร์ตัน อัตราค่าจ้าง 30,000-35,000 บาท/เดือน เนื่องจากบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ส่วนใหญ่รับพนักงานทั้งไทยและต่างชาติ อย่าง บจ.เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต มีพนักงานประจำ รวมกับผู้รับเหมา (contractor) เป็นคนไทย 93.68%, ต่างชาติ 6.32% เช่นเดียวกับ บจ.ชลัมเบอร์เจอร์ บจ.ฮัลลิเบอร์ตัน เป็นต้น ขณะที่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (TTEP) มีพนักงานคนไทย 98.53% ต่างชาติ 1.47%

ในส่วนของการผลิตบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม แม้ปัจจุบันสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนสาขาเกี่ยวกับวิศวกรรมปิโตรเลียม และธรณีวิทยา จะมีทั้งสายสามัญและสายอาชีพ แต่หลักสูตรที่เปิดการเรียนการสอนมีค่อนข้างจำกัด โดยระดับอาชีวศึกษาที่เปิดสอนมี วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เปิดสอนระดับ ปวส. สาขาเทคโนโลยีปิโตรเลียม และสาขาเทคโนโลยีหลุมเจาะปิโตรเลียม ระดับปริญญาตรี มีสาขาเทคโนโลยีปิโตรเลียม ม.เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย, สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสาขาวิศวกรรมปิโตรเลียมและเทคโนโลยีธรณี ม.เทคโนโลยีสุรนารี

ส่วน ด้านธรณีวิทยา ได้แก่ สาขาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สาขาเทคโนโลยีธรณี ม.ขอนแก่น, สาขาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ม.เกษตรศาสตร์, สาขาวิศวกรรมธรณี ม.เทคโนโลยีสุรนารี และสาขาธรณีศาสตร์ ม.มหิดล

เด็กจบใหม่ แห่ทำงาน ตปท.

ด้าน รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นิสิตหลักสูตรวิศวกรรมปิโตรเลียม บางส่วนจะได้ทุนจากบริษัทเอกชน อาทิ บจ.เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต และ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. โดยให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนกับนิสิตทุกคน พร้อมทั้งรับเข้าทำงานหลังเรียนจบ อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บวกกับราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่งลง ภาคเอกชนได้ลดการสนับสนุนโดยให้ทุนการศึกษาลดลงด้วย

“หลักสูตรนี้ ถือเป็นหลักสูตรท็อปของคณะ โอกาสในการทำงานไม่ได้มีแค่เฉพาะในเมืองไทย แต่ยังสามารถไปทำงานต่างประเทศได้ เด็กจึงเลือกไปหางานทำต่างประเทศมากกว่า เพราะเงินเดือน สวัสดิการดีกว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ นิสิตที่เรียนจบหลักสูตรนี้กว่า 50% เลือกไปทำงานต่างประเทศ” รศ.ดร. สุพจน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งสร้างงาน-สร้างอาชีพแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ว่างงานทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้สูงอายุในวัยเกษียณ โดยคาดปี 2564 ผู้สูงอายุในประเทศทะลุ 13 ล้านคน หรือ 20% ของประชากรทั้งประเทศ เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องการพัฒนาและส่งเสริมให้มีอาชีพ มีรายได้

ผู้สูงอายุมีคุณลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่น คือ ใจเย็น รอบคอบ เอาใจใส่ต่องานที่ทำ ละเมียดละไม มีความอดทน และมีประสบการณ์ ทำให้งานที่ต้องใช้ทักษะด้านการบริการ “บาริสต้า” (Barista) ที่ประจำอยู่ร้านกาแฟ เป็นอาชีพหนึ่งที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองหลังวัยเกษียณ ทั้งนี้ บาริสต้า คือ ผู้ให้บริการกาแฟหรืออาหารเบาๆ แก่ลูกค้าที่อยู่ในร้านกาแฟ ต้องมีความรู้และเทคนิคในการควบคุมเครื่องชงกาแฟและเครื่องบดเมล็ดกาแฟ มีความใจเย็น และต้องมีเทคนิคการให้บริการกาแฟคุณภาพเยี่ยม ทั้งรสชาติและการตกแต่ง ดังนั้น บาริสต้า จึงเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่องทั้งด้านเทคนิค มนุษยสัมพันธ์ ความรู้ความสามารถทั้งศาสตร์และศิลป์ด้านกาแฟ และเป็นที่ยอมรับสำหรับคอกาแฟและผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ

ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะพัฒนาศักยภาพเพื่อปั้นให้เป็น “บาริสต้ามืออาชีพ” และผลักดันให้เข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ทั้งการเป็นเจ้าของกิจการเอง หรือเป็นลูกจ้างในร้านกาแฟ โดยสามารถ ทำเป็นอาชีพเสริมหรืองานไม่ประจำ (Freelance)

สุราษฎร์ธานี – นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ฯ กล่าวภายหลังร่วมทำพิธีเปิด “สุราษฎร์ธานี รับเบอร์ ช็อป” สาขา 1 ที่ปั๊ม ปตท. ริมถนนสาย 41 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าเรือ อำเภอบ้านนาเดิม กับ นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล ผอ.การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สุราษฎร์ธานี ว่า ภายในร้านมีสินค้าหลายชนิด เช่น หมอนหนุน หมอนรองนั่ง หมอนรองคอ รองเท้า และที่นอน จากกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ต่างๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ฯ และภาคใต้

ด้าน นายสุขทัศน์ กล่าวว่า ปีนี้ได้ตั้งเป้าเปิดร้านให้ครบ 4 สาขา พร้อมส่งเสริมการขายด้วยแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนมือถือผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดของร้านสนองนโยบายไทยแลนต์ 4.0 เกิดการกระตุ้นการใช้สินค้ายางพารา ก้าวข้ามการเป็นเพียงแค่เกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นการขายได้เพิ่มจากเดิม ร้อยละ 50 อย่างเช่นสหกรณ์ทรัพย์ทวีขายหมอนยางพาราได้ 3 ล้านบาทต่อปี เมื่อเปิดร้านสุราษฎร์ธานี รับเบอร์ ช็อป เชื่อว่าจะเพิ่มยอดการขายได้กว่า 1.5 ล้านบาท ต่อปี

นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2561) เติบโตประมาณ 3-5% ขณะที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมเติบโตประมาณ 10-20% สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย บวกกับกำลังซื้อของผู้บริโภคระดับกลาง-บน และรายได้ต่อหัวของประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 6,591 เหรียญสหรัฐ ต่อคน ขณะเดียวกันพบว่ามูลค่าการลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มว่าตลาดพรีเมียมจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวน ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น จึงประเมินว่าจะทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมจะขยายตัวได้ถึง 30% หากรายได้ต่อหัวของประชากรไทยเพิ่มเป็นปีละ 10,000 เหรียญสหรัฐ ต่อคน กรณีนี้คล้ายกับภาพการขยายตัวของชนชั้นกลางชาวสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้ต่อหัวของประชากรอยู่ที่ประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐ ต่อคน ซึ่งทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมขยายตัวไปด้วย

“ปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีมูลค่าตลาดรวม 55,000 ล้านบาท หากประเมินในภาพรวม ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มขยายตัวขึ้นเช่นกัน โดยในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเติบโตได้อย่างน้อย 3-5% จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ การพัฒนาสินค้านวัตกรรม และการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาใช้วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค” นายรัชตะ กล่าว

นายรัชตะ กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเปิดตัวสินค้าใหม่อีกประมาณ 7 สินค้า รวม 30 รุ่น โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่าผลการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านๆ มา ซึ่งเติบโตเฉลี่ยปีละ 11.1% ส่วนแผนระยะยาวตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ผลิตภัณฑ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องครัว ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาด และตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ตู้เย็นขึ้นเป็น 1 ใน 3 (ท็อป 3) ของตลาด จากปัจจุบันที่อีเลคโทรลักซ์เป็นผู้นำเครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องดูดฝุ่นและเตาไมโครเวฟอยู่แล้ว

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ) สาระสำคัญของร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ มี 2 ประการ ประการแรก คือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร

สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละสิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้าง ให้แก่ 1. บุคคลธรรมดา ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร รวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ทั้งนี้ ในปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ 2 .บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้

นายณัฐพร กล่าวว่า สาระสำคัญประการที่สอง คือ บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 1. มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนด ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป 2. มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 และ 3. ไม่มีการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากรายจ่ายในการจ้างงานตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรอีก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

ผศ.ดร. สาน วิไล อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) เปิดเผยถึงงานวิจัย “การปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่” ว่า ตนและคณะ ผู้ร่วมวิจัยอีก 4 คน ได้แก่ ผศ.ดร. จุฑาพร แสงประจักษ์, นางสาวจุฑารัตน์ จามกระโทก, นายวรพจน์ รักสังข์ และ นายสุวัฒน์ พรมมา ดำเนินการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ ได้รับทุนสนับสนุนโครงการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์จากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) และศูนย์ความเป็นเลิศทางนวัตกรรมไหม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ผศ.ดร. สาน กล่าวต่อว่า การวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน กับไหมพันธุ์ต่างประเทศ ได้แก่ พันธุ์หัวฝาย (H) และพันธุ์โชวะ (E) ปรับปรุง โดยเลี้ยงทดสอบและผลิตไข่ไหมให้เกษตรกรเลี้ยงเพื่อเป็นการทดสอบ ในพื้นที่ อำเภอยางสี สุราช จังหวัดมหาสารคาม ผลการทดสอบเลี้ยงไหมกับกลุ่มเกษตรกรพบว่าได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ เกษตรกรที่ทดสอบเลี้ยงพึงพอใจมากต่อการเลี้ยงไหม เพราะมีจุดเด่นที่แตกต่างกว่าพันธุ์ที่เคยเลี้ยง คือปริมาณเส้นไหมที่ได้รับให้ผลผลิตสูง แข็งแรง เลี้ยงง่าย จึงเป็นพันธุ์ไหมที่มีความเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงต่อไป

สำหรับการปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์หัวฝาย (H) และพันธุ์คอตั้ง (K) กับไหมสายพันธุ์ต่างประเทศ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ KS1, KS3, KS5 และพันธุ์โชวะปรับปรุง (E หรือ S)

จากการศึกษาทำให้ได้ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างใช้ไหมพันธุ์หัวฝายเป็นแม่ ซึ่งหนอนไหมมีลักษณะแต้มลายบนลำตัวเป็นแบบปกติ รังไหมมีลักษณะหัวป้านท้ายแหลม รังสีเหลือง ผสมพันธุ์กับพันธุ์โชวะปรับปรุงเพศผู้ หนอนไหมมีลักษณะขาวปลอดและเลี้ยงง่าย รังไหมกลมรีสีขาว ผลปรากฏได้หนอนไหมลูกผสมพันธุ์ H x E ลำตัวมีลักษณะแต้มลายเป็นแบบปกติ รังไหมมีลักษณะกลมรีสีเหลือง และมีขนาดของรังสม่ำเสมอ ให้ชื่อไหมพันธุ์ใหม่ว่า “เหลือง มมส”
ดังนั้น ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ มีความเหมาะสมที่จะนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง เนื่องจากแข็งแรง เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตสูง และรังมีคุณภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับไหมพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงทั่วไปแล้ว รังไหม 1 รัง ได้เส้นไหมยาวประมาณ 700-800 เมตร จึงเป็นพันธุ์ไหมที่เหมาะส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงไหมเชิงอุตสาหกรรมได้โดยเฉพาะในเขต จังหวัดมหาสารคาม

นายพิเชษฐ พิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง บริษัท Shanghai Win Chain Supply Management co.,Ltd หรือ บริษัท Win Chain ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการจัดหาสินค้าให้กับธุรกิจอาหารสดของอาลีบาบากรุ๊ป ประเทศจีน กับสหกรณ์ผู้ผลิตทุเรียน 3 แห่ง ในภาคตะวันออก ประกอบด้วย สหกรณ์นิคมวังไทร จำกัด จ.ระยอง สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด จ.จันทบุรี และสหกรณ์การเกษตรเขาสมิง จำกัด จ.ตราด ว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้

สืบเนื่องจากที่ บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป ของจีนสนใจและต้องการจะสั่งซื้อทุเรียนของไทยไปจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ Tmall.com ในเครืออาลีบาบา กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงประสานความร่วมมือให้ตัวแทนของ บริษัท Shanghai Win Chain Supply Management co.,Ltd ประชุมหารือกับตัวแทนของสหกรณ์ในภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมา และจากการหารือร่วมกันครั้งนั้น ตัวแทนบริษัทได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำธุรกิจซื้อขายทุเรียนกับสหกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง