ต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ในปีการผลิต 2562/63

สำหรับชาวนาผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 862,176 ครัวเรือนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลประกาศประกันราคาข้าว 5 ประเภท ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมปลูกพืชตระกูลถั่ว เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชระยะสั้นโดยจะแจกเมล็ดพันธุ์ฟรี การส่งเสริมให้เลี้ยงโคขุน โดยจะมีวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกรกู้ไปลงทุน และรัฐบาลจัดงบประมาณชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และจะเร่งดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรที่ประสบภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การบรรเทาค่าครองชีพให้กับเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง และการบรรเทาความเสียหายจากอิทธิพลพายุโพดุล เป็นต้น

การจัดโครงการ “สร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร” ในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีเกษตรกรจะทราบและรับรู้นโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรที่รัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกร ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายและมาตราการต่าง ๆ ของรัฐบาล กลไกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นสถาบันเกษตรกรที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน รวมถึงการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของรัฐบาลไปยังเกษตรกรที่เป็นสมาชิก เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อร่วมกันยกระดับภาคการเกษตรให้มี ความเข้มแข็ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ก้าวพ้นจากความยากจน

สำหรับโครงการ “การสร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร” กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้จัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้นโยบายในด้านการเกษตรของรัฐบาล ที่มุ่งแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผ่านสถาบันเกษตรกร โอกาสนี้ ผู้แทนกรมการค้าภายในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรและผู้แทนการยางแห่งประเทศไทย ได้ร่วมชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อน มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้กับผู้แทนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรอีกด้วย

ยังสร้างความประหลาดใจให้กับเกษตรกรและผู้ที่สนใจในอาชีพเกษตรกรรม สำหรับการทำการเกษตรของเกษตรกรนอกกรอบ อย่างลุงไสว ศรียา ผู้ที่มีเทคนิคการทำการเกษตรแบบภูมิปัญญาชาวบ้านที่เห็นแล้วต้องอึ้ง ไม่ว่าจะเป็นปลูกพริกกลับหัว ทำให้ได้ผลผลิตเร็วและปริมาณมาก ปลูกต้นไม้ 1 ต้น แต่ได้ผลผลิต 15 อย่าง การนำหินถ่วงบวบให้ผลยาว หรือแม้แต่การเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ผลด้วยการจับใส่ขวดแก้ว

ไม่หมดเพียงเท่านี้ครับ ล่าสุด ลุงไสว โชว์ผลงานต้นพีวีซีที่สูงชะลูด ซึ่งหลายคนก็เกิดความสงสัยว่า ลุงไสวแห่งสวนศรียา แกบ้าจนถึงขั้นปลูกท่อพีวีซีเลยเชียวหรือ

แต่เมื่อได้รับการไขข้อข้องใจจากลุงไสวจนกระจ่าง ก็ต้องยกนิ้วให้ในความคิดสุดโต่งของแกจริงๆครับ

ลุงไสวเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเคยไปดูงานที่ไร่อ้อย แล้วเห็นว่าต้องปลูกกันเป็นร้อยเป็นพันไร่ถึงจะทำเงินได้ แต่การปลูกเยอะก็ต้องลงทุนเยอะ ลุงไสวเลยเกิดไอเดียว่า งั้นก็ปลูกน้อยต้น แต่ให้ได้ลำอ้อยที่ยาวไปเลยน่าจะดี เลยคิดนำท่อพีวีซีมาสวมครอบลำอ้อยที่เพิ่งแตกหน่อ เมื่อหน่ออ้อยมองเห็นแสงสว่างที่ปลายท่อ ก็จะรีบโตพุ่งขึ้นหาแสงสว่าง พอลำอ้อยโตพ้นปลายท่อ ก็เสริมความยาวท่อขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนได้ลำอ้อยที่มีความยาวมากกว่าปกติ 5-6 เมตร กลายเป็น “ต้นอ้อย พีวีซี” แสนแปลกตา

ที่สำคัญลุงไสวยังการันตีอีกว่า น้ำอ้อยที่ได้ หวานอร่อยมากๆ อีกด้วย เพราะการครอบด้วยท่อพีวีซีแบบนี้ทำให้ไม่มีแมลงศัตรูพืชหรือโรคภัยมาเบียดเบียนได้นั่นเอง สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ,สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) BEDO ,มหาวิทยาลัยนเรศวร และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ร่วมจัดงานแถลงข่าว “วิจัยปลดล็อคส่งออกมะม่วงไปอเมริกา” ความภูมิใจของนักวิจัยไทยกับการต่อสู้อย่างยาวนานกว่า 12 ปี ในการแก้ปัญหาเพื่อปลดล็อคการส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสดสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา ในวันพุธที่ 11 กันยายน 2562 ณ ห้องวิภาวดี C โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 สหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้นำเข้าผลไม้สด (Fresh Fruit) ของไทย 6 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลำไย มังคุด ลิ้นจี่ เงาะ และสับปะรด โดยจะต้องได้รับการฉายรังสีก่อนส่งออกไปยังสหรัฐฯ นับเป็นการเปิดตลาดผลไม้ไทยที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประเทศชาติ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองแม้เป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทย สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศ โดยมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นสายพันธุ์ที่มีความต้องการของตลาดสูง

เนื่องจากมีลักษณะเด่น คือ เมื่อผลสุก ผิวของเปลือกมีสีเหลืองนวลถึงเหลืองทอง เนื้อสีเหลืองมีกลิ่นหอม จึงเป็นที่ต้องการของตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่เริ่มส่งออกในปี พ.ศ. 2551 การส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง หลังฉายรังสีและส่งออกไปถึงปลายทางที่สหรัฐอเมริกา ได้ประสบปัญหาด้านคุณภาพ และพบปัญหาการเกิดเส้นดำบริเวณผิวเปลือก และเกิดเนื้อสีน้ำตาล ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณส่วนแก้มของผล ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งออกผลมะม่วงสดไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาได้จนถึงปัจจุบัน

จากปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็นโจทย์วิจัยที่ท้าทายและรอคำตอบจากนักวิจัยไทยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เกิดเป็นโครงการ “การศึกษาวิจัยมะม่วงให้ได้คุณภาพ มาตรฐานส่งออก” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพหลังการฉายรังสีแกมมา และการลดความเสียหายของมะม่วงฉายรีงสีแกมมา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ,สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) BEDO ,มหาวิทยาลัยนเรศวร และ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ และงานวิจัยประสบผลสำเร็จในปี พ.ศ. 2562 การส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสามารถส่งออกสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาได้อย่างเต็มภาคภูมิ และ ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา

การแถลงข่าว“วิจัยปลดล็อคส่งออกมะม่วงไปสหรัฐอเมริกา” ที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นการสร้างความเข้าใจ และ องค์ความรู้เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเพื่อต่อยอดให้กับกลุ่มธุรกิจและผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดการค้าผลไม้สดของไทยสู่สหรัฐอเมริกา และ ตลาดต่างประเทศอื่นๆต่อไป

กรมส่งเสริมสหกรณ์ชูความสำเร็จแก้ปัญหาตกเขียวกาแฟอาราบิก้า หนุนชาวเขามูเซอรวมกลุ่มตั้งสหกรณ์ ผลิตกาแฟคุณภาพภายใต้แบรนด์ “ปางม่วง โค-อ๊อฟ ค๊อฟฟี่” รับรางวัลเลิศรัฐสาขาพัฒนาการบริการจากสำนักงานก.พ.ร.ปี 2562

กรมส่งเสริมสหกรณ์ชูความสำเร็จแก้ไขปัญหาตกเขียวกาแฟให้ชาวเขาเผ่ามูเซอในจังหวัดลำปาง รวมกลุ่มตั้งสหกรณ์ผลิตกาแฟคุณภาพ พร้อมแปรรูปเป็นกาแฟคั่วสดและบดผงจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “ปางม่วง โค-อ๊อฟ ค๊อฟฟี่” สร้างรายได้ สู่ชุมชน ส่งผลให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น จนได้รับคัดเลือกเป็นหน่วยงานที่พัฒนาการบริการดีเด่นจากสำนักงาน ก.พ.ร. ขึ้นเวทีรับโล่รางวัลจากรองนายกรัฐมนตรี

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ.2562 สาขาบริการภาครัฐ ประเภทรางวัลพัฒนาการบริการ ระดับดี จากผลงาน “อาราบิก้าตกเขียว สู่แบรนด์ ปางม่วง โค-อ๊อฟ ค๊อฟฟี่” ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้คัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผลงาน ที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ และได้เข้ารับโล่รางวัลจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 กันยายน 2562 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี

ซึ่งการได้รับรางวัลครั้งนี้ถือเป็นการเชิดชูเกียรติ เป็นขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์ของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดลำปาง ที่ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือชาวเขาเผ่ามูเซอที่อาศัยอยู่ บ้านปางม่วง อำเภอเมืองปาน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ประสบปัญหาด้านการประกอบอาชีพ เนื่องจากรายได้หลักมาจากการขายผลผลิตกาแฟพันธุ์อาราบิก้าแบบผลสดและกาแฟกะลาให้แก่พ่อค้าคนกลางในท้องถิ่น ลักษณะตกเขียว เกษตรกรต้องกู้เงินหรือนำปัจจัยการผลิตจากพ่อค้าไปลงทุน เมื่อกาแฟสุกและเก็บเกี่ยวได้ จึงนำมาขายให้พ่อค้าเพื่อชำระหนี้ ทำให้เกษตรกรไม่มีโอกาสต่อรองเรื่องราคา รายได้จึงไม่เพียงพอใช้จ่ายในครัวเรือนและมีหนี้สินพอกพูน ทำให้ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้

ต่อมาในปี 2557 กรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสำนักงานสหกรณ์จังหวัดลำปาง ได้รับมอบภารกิจให้เข้าไปดูแลชุมชนพื้นที่ราบสูงบ้านปางม่วง ต่อจากสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง จึงได้วางกรอบการพัฒนาโดยนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้ในการพัฒนาชาวมูเซอบ้านปางม่วงอย่างเป็นลำดับขั้นตอน สร้างพื้นฐานให้คนในชุมชนได้มีพอกินพอใช้ และใช้หลักการระเบิดจากข้างใน เตรียมชุมชนให้พร้อมก่อนจะออกไปติดต่อสัมพันธ์กับภายนอก จึงได้เริ่มแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการพึ่งพาตนเอง

ช่วยเหลือกันในชุมชน และใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ และจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรปางม่วง จำกัด เพื่อเป็นองค์กรหลักของชุมชน ดูแลเรื่องอาชีพ ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าผลผลิตกาแฟอาราบิก้าซึ่งเป็นรายได้หลักของชาวบ้าน พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการเรื่องการปลูกกาแฟเพื่อให้ได้มาตรฐาน GAP สนับสนุนทั้งเรื่องอุปกรณ์ เครื่องมือการแปรรูปกาแฟ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต และสนับสนุนเงินทุนให้ชาวบ้านนำไปปรับปรุงสวนกาแฟเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และสหกรณ์ได้มีเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมผลผลิตจากสมาชิก

ปัจจุบันชุมชนบ้านปางม่วง มีพื้นที่ปลูกกาแฟ 560 ไร่ ผลผลิต 300 ตันต่อปี เป็นกาแฟที่มีคุณภาพ มีกลิ่นหอม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกสูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 เมตร มีอุณหภูมิเย็นตลอดทั้งปี ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากชาวบ้านปางม่วงรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ สามารถลดต้นทุนการผลิตกาแฟให้กับสมาชิกและช่วยแก้ไขปัญหาการกู้หนี้นอกระบบเพื่อนำมาลงทุนประกอบอาชีพ ขณะเดียวกันผลผลิตกาแฟขายได้ราคาสูงขึ้น จากเดิมที่เคยขายกาแฟผลสดให้พ่อค้ากิโลกรัมละ 15 บาท

ปัจจุบันสหกรณ์เป็นผู้รวบรวมผลผลิตจากสมาชิกมาแปรรูปเป็นกาแฟคั่วเม็ดบรรจุถุง ภายใต้ตรา “ปางม่วง โค-อ๊อฟ ค๊อฟฟี่” ส่งขายให้ร้านกาแฟสดและบดเป็นผงจำหน่ายให้ผู้บริโภคนำไปชงดื่ม สามารถเพิ่มมูลค่ากาแฟได้สูงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท และสร้างตราสินค้าท้องถิ่นของชุมชนจนเป็นที่ยอมรับ ชุมชนบ้านปางม่วงนับเป็นตัวอย่างความสำเร็จจของการใช้วิธีการสหกรณ์เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการประกอบอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคนในชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ได้มีโอกาสพัฒนาอาชีพให้มีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์มีนโยบายให้หน่วยงานระดับภูมิภาคใช้กลไกสหกรณ์เข้าไปช่วยเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแต่ละพื้นที่ ให้มีความอยู่ดีกินดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของประเทศต่อไป

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “การสร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร ” และปาฐกถาพิเศษ “ภาพรวมนโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาล ” ณ อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้นำสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจด้านยางพารา ปาล์มน้ำมัน โคนมและโคเนื้อ เกือบ 2,000 คน เข้าร่วมรับฟังเพื่อสร้างการรับรู้นโยบายต้านการเกษตรส่งผ่านสถาบันเกษตรกร โดยมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมชี้แจงนโยบายด้านการเกษตรภายใต้การกิจของหน่วยงานที่กำกับดูแลด้วย

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตร อาทิ การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกรในสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย และข้าวโพดโดยผ่านเครื่องมือและมาตรการที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ จัดให้มีระบบการประกันภัยสินค้า การพัฒนาระบบตลาดที่เชื่อมโยงผลการผลิตของเกษตรกรถึงผู้ประกอบการแปรรูปและผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือในการขยายและเข้าถึงตลาดในรูปแบบต่าง ๆ

การอำนวยความสะดวดทางการค้า และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรที่มีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เหมาะสมการพัฒนาองค์กรเกษตรกรและเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยเพิ่มทักษะการประกอบการและพัฒนาความเชื่อมโยงของกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ในทุกระดับ โดยเฉพาะด้านการตลาด การค้าออนไลน์ ระบบบัญชี เพื่อขยายฐานการผลิตและฐานการตลาดของสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งมีความสามารถในการแข่งขัน การส่งเสริม การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร

การดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน แหล่งเงินทุน โครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ การส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าเป็นพืชเศรษฐกิจ การส่งเสริมการทำปศุสัตว์ให้เกษตรกรมีรายไต้เพิ่มขึ้น และการพื้นฟูและสนับสนุนอาชีพการทำประมงให้เกิดความยั่งยืนบนพื้นฐานของการรักษาทรัพยากรทางการประมงและทรัพยากรทางทะเลให้มีความสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับนโยบายการพัฒนาภาคดการเกษตรดังกล่าว รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ไต้แก่ การประกันรายได้เกษตรกรในสินค้าเกษตรที่สำคัญคือ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว ในส่วนของยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การพัฒนาระบบการตลาดสินค้าเกษตร การลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ มุ่งเป้าผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรเป้าหมาย 5 รายการได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้ มาตรการการสนับสนุนตันทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกขวนปี ในปีการผลิต 2562/63 สำหรับชาวนาผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 862,176 ครัวเรือนทั่วประทศ ซึ่งรัฐบาลประกาศประกันราคาข้าว 5 ประเภท ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ นอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมปลูกพืชตระกูลถั่ว เพื่อส่งเสริมการปลูกพืช ระยะสั้นโดยจะแจกเมล็ดพันธ์ฟรี การส่งเสริมให้เลี้ยงโคขุน โดยจะมีวงเงินสินชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกรกู้ไปลงทุน และรัฐบาลจัดงบประมาณชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และจะเร่งดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรที่ประสบภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การบรรเทาค่าครองชีพให้กับเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง และการบรรเทาความเสียหายจากอิทธิพลพายุโพดล เป็นตัน

“การจัดโครงการ “สร้างการรับรู้นโยบายค้นการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร ” ในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสตีที่เกษตรกรจะทราบและรับรู้นโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรที่รัฐบาลไต้เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกร ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายและมาตราการต่าง ๆ ของรัฐบาล กลไกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นสถาบันเกษตรกรที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน รวมถึงการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของรัฐบาลไปยังเกษตรกรที่เป็นสมาชิก เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อร่วมกันยกระดับภาคการเกษตรให้มีความเข้มแข็ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรดรให้ก้าวพันจากความยากจน ” นายเฉลิมชัย กล่าว

กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดแคมเปญ ลุย 3 ปฏิบัติกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง โรคพืชร้ายที่สามารถทำลายต้นมันสำปะหลังได้ จัดรณรงค์ชวนเกษตรกรรู้จักและช่วยกันทำลายโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันความเสียหาย โดยเฉพาะ 47 จังหวัดที่มีพื้นที่การปลูกมันสำปะหลัง

นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า หลังจากได้รับการยืนยันจากกรมวิชาการเกษตรที่ได้ตรวจสอบและยืนยันว่าประเทศไทยพบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังและประกาศใน International Plant Protection Convention ว่าพบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังที่จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ โดยคาดว่าการระบาดมีสาเหตุจากท่อนพันธุ์ที่ปะปนมากับผลผลิตที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และแพร่ระบาดโดยการเพิ่มปริมาณของแมลงพาหะ ได้แก่ แมลงหวี่ขาวยาสูบ โดยได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร ดำเนินการกำจัด

สำหรับโรคใบด่างมันสำปะหลัง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Cassava mosaic virusเป็นโรคที่มีความสำคัญเนื่องจากหากระบาดรุนแรงอาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เกษตรกรไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ ส่งผลกระทบกับรายได้ระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังได้

กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้มีมาตรการเพื่อเฝ้าระวังการระบาด เช่น การสำรวจพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ การสร้างการรับรู้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรโดยผ่านการฝึกอบรม สัมมนา และการถ่ายทอดความรู้ผ่านระบบส่งเสริมการเกษตร ตลอดจนการจัดทำสื่อต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรตื่นตัวตระหนักรู้ถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และส่งเสริมให้สำรวจติดตามการระบาดในแปลงปลูกของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้กรมส่งเสริมการเกษตรยังได้รณรงค์ให้รู้จักโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 47 จังหวัด เน้นหนักในพื้นที่ระบาด จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นครราชสีมา สระแก้ว สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จะเน้นให้เกษตรกร รู้จักวิธีการทำลายที่ถูกต้อง พื้นที่เฝ้าระวังจำนวน 36 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง เลย สกลนคร สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี สำหรับพื้นที่เฝ้าระวังจะเน้นให้เกษตรกรรู้จักโรค และรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกระตุ้นให้เกษตรกรหมั่นสำรวจแปลง

สำหรับ 3 ปฏิบัติกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้ ปฏิบัติที่ 1 หมั่นสำรวจแปลงเสมอ โดยสำรวจทุกต้น อย่างต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์ เป็นอย่างน้อย เพื่อค้นหาต้นที่เป็นโรค วิธีสังเกต ยอดที่แตกใหม่ ของต้นมันสำปะหลัง ใบจะหงิกงอ เสียรูปทรง ด่าง

ปฏิบัติที่ 2 กำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค โดยการถอน ตัดเป็นท่อน ใส่ถุงดำ มัดปากถุงให้สนิท และนำไปตากแดดจนต้นตาย แต่กรณีเป็นทั้งแปลง ให้ถอน ขุดหลุม พ่นสารกำจัดวัชพืช และฝังกลบนอกจากกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคแล้ว ยังจำเป็นต้องกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ แมลงพาหะนำโรค โดยพ่นสารเคมี ตามคำแนะนำ

ปฏิบัติที่ 3 การคัดเลือกท่อนพันธุ์สะอาด โดยเกษตรกรควรทราบแหล่งที่มาของท่อนพันธุ์ หลีกเลี่ยงการซื้อท่อนพันธุ์ผ่านออนไลน์ หากเป็นท่อนพันธุ์ที่แตกยอดอ่อนแล้วให้สังเกตยอดอ่อนแตกจากตา ใบจะไม่หงิกงอ เสียรูป

ยี่หุบเป็นไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยจัดอยู่ในประเภทไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมคล้ายคลึงกับจำปีและมณฑา ออกดอกให้ผู้ปลูกได้ตลอดทั้งปี ในบริเวณรอบบ้านหากได้ต้นยี่หุบไปปลูก จะช่วยสร้างความสวยงามให้กับสวนหย่อมหน้าบ้านได้เป็นอย่างมาก

รวมถึงกลิ่นของยี่หุบก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หอมหวลชวนให้หลง

ดอกยี่หุบนี้จะมีกลิ่นหอมมากในชช่วงเย็น พลบค่ำไปจนถึงช่วงเช้ามืด แม้ดอกจะออกได้ตลอดทั้งปี แต่ดอกยี่หุบหากบานแล้วจะหุบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงได้รับฉายาว่า “ยี่หุบ” ยี่หุบเป็นไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมสามารถนำไปปลูกประดับทำให้ผู้ปลูกรู้สึกสบายตาพร้อมกับสบายใจไปกับกลิ่นอันหอมของไม้ดอกชนิดนี้ได้

ยี่หุบมีชื่อทางวิทยาสาสตร์ว่า Magnolia coco (Lour.) DC จัดอยู่ในวงศ์ MAGNOLIACEAE ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ จำปี จำปา

มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น ยี่หุบหนู , ยี่หุบน้อย (เชียงใหม่) ยี่หุบถูกจัดให้เป็นไม้พุ่มเตี้ยหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-4 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาลปนสีเทา แตกกิ่งเป็นพุ่มแหลม ก้านปลายกิ่งสีเขียวเข้ม

ใบของต้นยี่หุบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว รูปร่างคล้ายกับใบหอก ส่วนปลายใบแหลมเป็นรูปลิ่ม ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 6-8 เซนติเมตร ยางประมาณ 10-15 เซนติเมตร

ดอกยี่หุบจะออกเป็นช่อสั้นๆ ช่อละประมาณ 5-8 ดอก โดยดอกที่ออกนั้นจะออกตามซอกใบใกล้กับบริเวณปลายกิ่ง ก้านดอกยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกยี่หุบมีสีขาวนวลหรือในบางครั้งเป็นสีเหลืองอ่อนนวล กลีบดอกยี่หุบนั้นใน 1 ดอกมีประมาณ 6-12 กลีบ แต่ละกลีบยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ลักษณะดอกเป็นรูปกลมรี กลีบดอกหนาอวบน้ำ เมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร

ยี่หุบออกผลเป็นกลุ่มมีลักษณะกลมรี ขนาดความกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร ผิวของผลยี่หุบขรุขระ เปลือกแข็งหนา เมื่อแก่ผลจะแตกออก โดยภายในมีเมล็ดสีแดงสด

ยี่หุบสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง สำหรับต้นยี่หุบนี้ไม่ชอบที่มีแสงแดดมากนัก ชอบแต่เพียงแสงแดดรำไร สามารถอยู่ในพื้นที่แฉะได้ การปลูกต้นยี่หุบนี้สามารถนำเมล็ดมาเพาะกับดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ได้

หากต้องการปลูกยี่หุบภายในกระถางไม่ควรตั้งกระถางไว้กลางแดดแต่ให้โดดแดดเพียงรำไรเท่านั้น เนื่องจากใบของยี่หุบจะไหม้และดอกที่ออกจะบานไม่สมบูรณ์ ควรปลูกไว้ใต้ต้นไม้อื่นหรือที่มีร่มเงา

ด้วยข้อดีของยี่หุบที่สามารถออกดอกให้ชมได้ตลอดปี จึงสมควรที่ไม้ชนิดนี้ จะเป็น 1 ในสมาชิกของพรรณไม้น่าปลูกสมัยก่อนเมื่อผู้เขียนยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ หากจะซื้อต้นไม้ทั้งไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดับ ต้องไปที่สวนบวกหาด ติดกับคูเมืองแถวถนนอารักษ์ ตรงข้ามโรงพยาบาลสวนปรุง (รักษาคนไข้จิตเวช) และงานไม้ดอกไม้ประดับของจังหวัดเชียงใหม่ก็จะจัดขึ้นที่นี่ (ปัจจุบันงานไม้ดอกก็ยังจัดที่นี่) แต่ตลาดไม้ดอกไม้ประดับและอุปกรณ์การเกษตรได้ย้ายไปขายที่อื่น

วันนี้มีโอกาสไปที่ตลาดคำเที่ยง หลังห้างเทสโก้ โลตัส ถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง ใกล้กับสี่แยกข่วงสิงห์ มาแล้วก็ค้นพบว่าที่นี่เป็นตลาดไม้ดอกไม้ประดับ และอุปกรณ์การจัดสวน ปลูกสร้างสวนที่ใหญ่มาก คนเชียงใหม่จะรู้จักกันในชื่อของ “กาดคำเตี่ยง” หรือ ตลาดคำเที่ยง นั่นเอง

ที่นี่เป็นตลาดของคนรักต้นไม้ เพราะที่นี่จะมีไม้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับ ไม้น้ำ ไม้ล้มลุก ไม้ที่ปลูกเพื่อรับประทาน ไม้ผล หญ้า พืชตระกูลกระบองเพชร และไม้ล้อม เรียกว่าแทบทุกชนิดหาซื้อได้ในตลาดนี้ แล้วที่นี่ยังมีอุปกรณ์เกี่ยวกับ การจัดแต่งสวน ตกแต่งบ้าน หรือแม้แต่ ร้านขายสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลาสวยงาม และร้านขายอุปกรณ์การเกษตร สถานที่กว้างขวาง ที่จอดรถสะดวกสบาย อยู่ใกล้ตัวเมืองมากที่สุด

ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมต้นไม้หลากหลายประเภท อุปกรณ์การเกษตร และสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นเหมือนตลาดต้นไม้จตุจักรแห่งเชียงใหม่นี้ก็ว่าได้

สำหรับคนที่อยู่เชียงใหม่ โซนภาคเหนือ หรือใครที่มาเที่ยวเชียงใหม่แล้วสนใจอยากได้ต้นไม้ ดอกไม้ หรืออุปกรณ์การเกษตรต่างๆ ก็ลองแวะมาดูกันได้เลย ที่นี่เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้า ไปจนถึง 6 โมงเย็นกันเลย ว่าแล้วก็ตามไปดูกันดีกว่าว่าที่ตลาดคำเที่ยงนี้มีร้านไม้ดอกไม้ประดับ ไม้กระถางต่างๆ สีสันสดใสน่ารักมาก ที่ตั้งอยู่ถนนเชียงใหม่-ลำปาง ตำบลป่าตัน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (บริเวณทางเข้าห้างเทสโก้ โลตัส สาขาตลาดคำเที่ยง)