ต้นรวงผึ้ง จัดอยู่ในกลุ่มต้นไม้ขนาดเล็ก สูง 6-8 เมตร แตกกิ่งก้าน

จำนวนมาก แต่ละกิ่งก้านแข็งแรง มีเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกสีน้ำตาลปนขาว ใบเป็นชนิดใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรูปรี แกมขอบขนาน มีส่วนกว้างไม่เกิน 3 เซนติเมตร แต่ความยาวใบสมบูรณ์ ยาวถึง 10 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสังเกตจะมองเห็นว่าเบี้ยว มีเส้นใบออกจากโคนใบ ใบสีเขียวแก่ แต่ใต้ใบเป็นสีอ่อน และเป็นเกล็ดเล็กๆ รวมทั้งก้านใบมีขน

ช่อดอกมีสีเหลืองเข้ม เหมือนทองเหลืองใหม่ๆ ออกช่อเป็นกระจุกแน่นตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ส่วนของกลีบเลี้ยงมีโคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปดาว ไม่มีกลีบดอก แต่เมื่อดอกย่อยบานจะบานอยู่ได้นาน พร้อมทั้งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แม้ว่าฤดูดอกบานของแต่ละต้นจะไม่พร้อมกัน เพราะขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละภูมิประเทศและภูมิอากาศ รวมทั้งมีอิทธิพลของความชื้นจากสภาพดินได้ด้วยเช่นกัน เมื่อออกดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดวัน บานได้นานกว่า 7-10 วัน ยามดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามเหลืองอร่ามตาระรวยกลิ่นหอมชื่นใจ

ในสภาพนิเวศวิทยา ต้นรวงผึ้งจัดเป็นไม้กลางแจ้ง เติบโตได้ในสภาพแล้ง ไม่มีน้ำขัง จึงจะมีดอกดกสีเหลืองเต็มต้น แต่ถ้าหากเป็นพื้นที่ชื้นแฉะมีน้ำขัง ก็อาจจะออกดอกประปราย ในระยะติดดอกโดยปกติจะอยู่ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม เมื่อดอกพัฒนาเป็นผล จะมีผลแห้งทรงกลม มีขน ไม่ปริแตก ผลเล็กๆ ขนาด 0.5-1.0 เซนติเมตร

สำหรับการขยายพันธุ์และปลูกเลี้ยง ใช้วิธีตอนกิ่งและปักชำกิ่ง หรือใช้การเพาะเมล็ดก็ได้ การตอนกิ่งจะเป็นวิธีที่เหมาะสม แต่อาจจะต้องใช้ฮอร์โมนในการเร่งรากจึงจะได้ผลดี การตอนกิ่ง ซึ่งรากจะออกได้ในเวลาเพียง 1 เดือน สามารถปลูกให้ออกดอกได้ในกระถาง ปลูกเลี้ยงง่าย ทนทาน ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ชอบพื้นที่แสงแดดส่องถึง หรือแดดจัด เป็นไม้พุ่มใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาได้ดี

ในช่วงที่ต้นรวงผึ้งออกดอกเหลืองสะพรั่งเต็มต้น ในแต่ละช่วงฤดูกาล จะมีผึ้งจำนวนมากบินว่อนรอบพุ่มต้นรอบช่อดอก และดูดกินน้ำหวานจากดอก ผู้คนที่กลัวผึ้งต่อยจึงไม่ค่อยนิยมปลูกไว้ใกล้ตัวบ้านมากนัก เพราะจำนวนผึ้งเมื่อบินตอมดอก เป็นกระจุก บินพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ได้ยินเสียงหึ่ง…ตลอดเวลา รวมทั้งเมื่อลมพัดกิ่งใบดอกแกว่ง ผึ้งก็แตกตื่นบินกระจายพร้อมกัน ทำให้เกิดความกังวลจากผึ้งต่อย แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ไม่กลัว จะมองเห็นเป็นภาพธรรมชาติระหว่างดอกรวงผึ้งสีเหลืองเข้ม มีแสงแดดส่องเป็นประกายเกสร และฝูงผึ้งบินว่อนสวยงาม

เมื่อกล่าวถึงต้นรวงผึ้ง แล้วก็ชวนให้จินตนาการต่อถึง “น้ำผึ้ง” เนื่องจากชื่อเรียกอีกหลายชื่อของต้นรวงผึ้ง มีทั้งเรียก ต้นสายน้ำผึ้ง และดอกน้ำผึ้ง จะเห็นว่า คำว่า “น้ำผึ้ง” เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงคิดถึง “น้ำผึ้งรวง” คำที่เรียกหาน้ำหวาน ที่ตัวผึ้งเก็บจากน้ำต้อย หรือน้ำหวาน จากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ แล้วเอามาสะสมไว้ในรังผึ้งหรือรวงผึ้ง เพื่อเลี้ยงตัวอ่อน และน้ำผึ้งส่วนนี้ที่บีบออกมาจากรวงผึ้งในรังผึ้งนี้ เราก็เรียกกันว่า “น้ำผึ้งรวง” ผลิตผลนี้เองที่เป็นที่ปรารถนาของทุกชนชั้น

น้ำผึ้งรวง หรือน้ำผึ้งป่า เป็นโอสถวิเศษใช้เป็นทั้งอาหารและยา คือใช้เป็นน้ำกระสายยาอย่างดี ผสมกับผงยาเพื่อปั้นเป็นยาลูกกลอน ตัวน้ำผึ้งจะใช้ทาแผลก็ได้ กินเป็นยาบำบัดโรค ปรุงอาหารคาวหวานได้ทุกอย่าง สมัยโบราณยังใช้แช่อวัยวะ แช่เนื้อไม่ให้เน่าเปื่อยได้ มีสูตรยาที่ใช้น้ำผึ้งในตำราพระโอสถพระนารายณ์ จึงมีคำที่รู้จักกันว่า “ทุเลาธาตุ” โดยวิธีเคี่ยวน้ำผึ้งให้เป็นยางมะตูม จึงนำผงยาปรุงจะบด ปั้น รวมตัวยาทั้งหลายด้วยกัน ใช้ประโยชน์รับคุณค่ามาแต่โบราณกาล

ความหวานและความหอมจากน้ำผึ้งก็เป็นที่มาของคำเปรียบเทียบเปรียบเปรยหลายคำที่รู้เข้าใจโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย อย่างบทเพลง “หยาดเพชร” ที่กล่าวว่า ถึงความสวยงามเป็นเพชรน้ำหนึ่ง แต่เมื่อเอ่ยถึงความหวานกลับร้องว่า “หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” น้ำผึ้งเดือนห้า มีคุณค่าของความหวาน จากหลักการปริมาณความชื้นในอากาศเดือนห้าหน้าแล้ง ทำให้ความเข้มข้นของน้ำผึ้งมีมาก ประกอบกับในช่วงฤดูนี้มีเกสรดอกไม้หลากหลายชนิด จะเป็นแหล่งรวมสมุนไพรจากดอกไม้หลายพันธุ์ จึงเป็นคุณค่าจากน้ำผึ้งรวง หรือน้ำผึ้งป่า ที่ทุกคนเรียกหาตลอดมา

แม้เพียงน้ำผึ้งเดือนห้ายังหวานขนาดนี้ แล้วถ้าน้ำผึ้งเดือนห้าจากต้นรวงผึ้งอย่างเดียว จะหวานและหอมสักเพียงใด…คงได้แต่…ขอเพียงฝัน เพลง ต้นรวงผึ้ง
ขับร้อง นางสาวสัมฤทธิ์ ตระสินธ์
เรียบเรียงดนตรี นายสมบูรณ์ ปาราชิตัง
เนื้อร้อง-ทำนอง นายอนุรักษ์ จินดาศิริพันธ์
เผยแพร่ 4 ธันวาคม 2017

ดอกไม้นี้มีชื่อว่าดอกรวงผึ้ง ตรึงใจนักไม้พุ่มชุ่มฉ่ำดวงใจ รวงผึ้งหมายตาประชาคงสุขทั่วไทย สวยผุดผาดบาดใจ พอกระทัยแห่งองค์ราชัน

รวงผึ้งงามบุปผาผการาชัน ประจำรัชกาลที่ 10 ของปวงชาวไทย รวงผึ้งชูช่อ ผลิดอกวันสำคัญเทิดไทย 28 กรกฎาคราใด เหลืองสดใสทั่วทั้งแผ่นดิน

สูงยิ่งกว่าทรัพย์ นับว่าเป็นหนึ่ง คือดอกรวงผึ้ง สวยซึ้งตรึงจิตเปรมปรีดิ์ ดอกไม้ราชัน มหัศจรรย์ เบ่งบานวันที่ ราชสมภพนฤบดี สง่าราศรี รวงผึ้งยืนยง

รวงผึ้งงามยามยลดลตาระหง ดั่งใจซื่อตรง ทองพสกนิกรบดินทร์ ชูช่อผุดผาด ราชผกาขององค์ภูมินทร์ ผลิดอกเทิดพระเจ้าแผ่นดิน ทั่วนครินทร์จงรักภักดี หอมหวานปานดั่งน้ำผึ้ง ดอกไม้งามนามรวงผึ้ง หอมซาบซึ้ง สวยตราตรึง ดอกไม้ ดอกสายน้ำผึ้ง หอมยวนเคล้าคลึง ตรึงชีวัน

หอมชื่นใจคล้ายน้ำผึ้ง หอมติดตรึงซึ้งในอารมณ์ เกินคำเสกสรร รำพันชื่นชม ต้นรวงผึ้ง จึ่งภิรมย์ สมเป็นต้นไม้ประจำรัชกาล

พระองค์ทรงโปรดพรรณไม้ ต้นรวงผึ้งซึ่งชาวไทย ควรปลูกไว้ทั่วเมืองไทย รวงผึ้งพรรณไม้เมืองไทย ต้นไม้มงคล รวงผึ้งนี้

เหลืองเรืองรองท้องถิ่นแดนไทย ด้วยชาวไทย รักสามัคคี ร่วมมือร่วมใจ สุขใจเปรมปรีดิ์ ใจจงรักและภักดี ปลูกต้นไม้รวงผึ้ง นายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ตนและ พ.ต.อ.ศิโรฐย์ อินทรสมบัติ ผกก.สภ.กันทรอม สืบทราบว่า มีการแอบลักลอบเสพยาเสพติด ที่กระท่อมกลางทุ่งนา ทางทิศตะวันออกบ้านขุนหาญใต้ ม.9 ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ จึงได้สั่งการให้สมาชิก อส.อ.ขุนหาญ ที่ 6 ร่วมกับ จนท.ชุดสืบสวน สภ.กันทรอม ออกไปทำการตรวจสอบและร่วมกันระดมกวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งจากการตรวจค้นปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมนายทองพูล ปานทอง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 ม.9 ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ตรวจปัสสาวะพบผลบวก และ ร่วมกันจับกุม นายอำพูน ยาคำ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 ม.9 ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ตรวจปัสสาวะพบผลบวก

นายอำเภอขุนหาญ กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจค้นรอบบริเวณที่ต้องสงสัย แล้วพบยาบ้า 39 เม็ด ห่อด้วยถุงพลาสติกใส บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบดึงเปิด-กดปิด สีน้ำตาล ซุกซ่อนอยู่ในด้ามเคียวเกี่ยวข้าว จำนวน 1 เล่ม เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการจับกุมตัวทั้ง 2 คน เอาไว้ โดยตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย พร้อมของกลางทั้งหมดไปส่งมอบให้ พนักงานสอบสวน สภ.กันทรอม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ประดู่ป่า เป็นต้นไม้พระราชทาน เพื่อปลูกเป็นมงคล แก่จังหวัดชลบุรี และมีคำขวัญประจำจังหวัดคือ “ทะเลงาม ข้าวหลามอร่อย อ้อยหวาน จักสานดี ประเพณีวิ่งควาย”

จังหวัดชลบุรี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เมืองชล เมืองแห่งน้ำ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก ประโยคแรกของคำขวัญหมายถึง สถานที่ที่โดดเด่น ไม่เพียงแต่โดดเด่นของจังหวัดชลบุรีเท่านั้น แต่โดดเด่นระดับประเทศก็ว่าได้ นั่นคือ ทะเลงาม ชลบุรีมีหาดทรายชายทะเลที่สวยงามและใกล้กรุงเทพฯ มากด้วย “หาดบางแสน” เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเลยอดนิยม ของชาวไทยที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2486 จนถูกขนานนามว่า “บางแสนดินแดนสุขขี”

จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ริเริ่มให้มีการสร้างสถานที่ตากอากาศขึ้น มีการสร้างโรงแรม และที่พักต่างๆ ดำเนินการโดย บริษัทแสนสำราญ จึงเรียกว่าสถานตากอากาศแสนสำราญตามชื่อบริษัท ต่อมา พ.ศ. 2503 จึงโอนให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเปลี่ยนชื่อเป็น สถานตากอากาศบางแสน ทะเลงามอีกแห่งหนึ่ง คือ พัทยา ซึ่งจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะหาดทรายที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล จัดได้ว่ามีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย ปัจจุบัน ได้มีแผนเสนอชื่อเมืองพัทยาต่อ ยูเนสโก ให้เป็นเมืองภาพยนตร์ เนื่องจากมีการถ่ายทำภาพยนตร์ที่พัทยาไม่น้อยกว่า 300 เรื่อง ต่อปี และรายได้ ร้อยละ 90 มาจากการท่องเที่ยว

ข้าวหลามอร่อย ข้าวหลามหนองมน เป็นที่เลืองชื่อลือชาของจังหวัดชลบุรีมาก ข้าวหลามหนองมนนี้มีประวัติที่เล่าต่อกันมาว่า สมัยก่อนบ้านหนองมน จะมีอาชีพทำนาปลูกข้าว พอหลังหมดหน้านาชาวบ้านก็จะทำขนมฉลองกินกัน พอมีงานแสดงงิ้วที่ศาลเจ้าชาวบ้านต่างก็มารวมตัวกันจนเกิดการซื้อขายขึ้น ข้าวหลามหนองมนเริ่มมามีชื่อเสียง ก็ตอนที่มีการตัดถนนสุขุมวิท เพื่อผ่านตลาดให้คนกรุงเทพฯ ได้ไปเที่ยวบางแสน คนที่ผ่านไปมาก็ซื้อติดไม้ติดมือกลับกรุงเทพฯ จนกระทั่งยุคสมัยของ จอมพลสฤษฎ์ ที่มาพักตากอากาศที่บางแสน พร้อมกับ นายพลเนวิน ของพม่าในยุคนั้น ได้มีการเกณฑ์ชาวบ้านไปเผาข้าวหลามโชว์ จึงมีการลงหนังสือพิมพ์ และมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

อ้อยหวาน จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่เพาะปลูกพืช ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา ดังนั้นจังหวัดชลบุรี จึงมีโรงงานต่างๆ มากมาย ที่เกี่ยวกับการผลิตน้ำตาล ซึ่งได้มาจากต้นอ้อยที่หอมหวาน และยังมีการนำมาทำเป็นน้ำตาลสด ซึ่งหอมหวานอร่อยและติดลิ้น และถือเป็นของฝากที่ใครๆ ก็ซื้อ ถ้ามีคำถามว่า ถ้าให้เลือกเป็นต้นไม้ คนชลบุรีอยากเป็นต้นอะไร ขอตอบแทนได้เลยว่า อยากเป็นต้นอ้อย เพราะอ้อยเป็นพืชที่คุ้นเคยกับชาวชลบุรีนาน หลายชั่วอายุคน ก็เติบโตมากับไร่อ้อย อ้อยก็เหมือนคนชลบุรี เลี้ยงง่าย ดูแลง่าย ไม่เรื่องมาก จริงใจ มีแต่ให้อย่างเดียว ให้แต่ความหวานสดชื่นโดยเสมอภาค

จักสานดี เครื่องจักสานพนัสนิคม เป็นงานจักสานที่มีชื่อเสียงโด่งดังของชาวตำบลพนัสนิคม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่มีมานานกว่าร้อยปีแล้ว เครื่องจักสานของตำบลพนัสนิคมเกิดขึ้นมาพร้อมกับการตั้งชุมชนในสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้ที่นำเครื่องจักสานเข้ามานั้น เป็นชาวลาวที่อพยพเข้ามาสวามิภักดิ์กับประเทศไทย ดังนั้น งานจักสานของชาวพนัสนิคมเป็นงานที่ประณีตสวยงาม ทำให้เกิดเป็นโครงการส่งเสริมฝีมือการจักสานด้วยไม้ไผ่ ตามพระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นมา โดยเปิดสอนให้ชาวบ้านรุ่นแรก เมื่อปี 2520 จนถึงปัจจุบัน

ประเพณีวิ่งควาย เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดชลบุรี งานนี้จัดขึ้นหลังฤดูการไถนา เพื่อให้ควายพักเหนื่อยหลังการใช้งานมาอย่างหนัก และระหว่างรอการเก็บเกี่ยวชาวนาจะนำควายมาชุมนุมกัน เพื่อถือโอกาสมาพบปะสนทนากัน รวมทั้งการซื้อขายสินค้าที่ตลาด จนกลายมาเป็นการแข่งขันวิ่งควายขึ้น ปัจจุบัน ประเพณีวิ่งควายในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี จะจัดในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 อำเภอบ้านบึง จัดในวันขึ้น 26 ค่ำ เดือน 11 วัดดอนกลาง ตำบลแสนสุข อำเภอชลบุรี จัดวิ่งควายในวันทอดกฐินประจำปีของวัดในวันนี้ นอกจากจะจัดให้มีการแข่งขันวิ่งควายแล้ว ยังมีการประกวดความงามของควาย การประกวดสุขภาพของควาย และการ “สู่ขวัญควาย” หรือการทำขวัญควายอีกด้วย

ประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีที่จัดเป็นประจำทุกปีในวันก่อนออกพรรษา 1 วัน เป็นประเพณีที่เป็นมรดกตกทอดมา แต่บรรพชนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการทำขวัญควายและให้ควายได้พักผ่อน จากงานในท้องนาเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า หากปีใดไม่มีการวิ่งควาย ปีนั้นควายจะเป็นโรคระบาดกันมาก เพื่อแสดงรู้คุณ ต่อควายซึ่งเป็นสัตว์ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพทำนา และเพื่อให้ชาวบ้านมาพบปะสังสรรค์กัน ส่วนใหญ่จัดงานในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี และอำเภอบ้านบึง เดิมมีแต่คนในท้องถิ่นรู้จัก แต่ในปัจจุบันประเพณีวิ่งควายเป็นประเพณีประจำจังหวัดชลบุรี ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

ชื่ออื่น : ดู่ ดู่ป่า (ภาคเหนือ) ประดู่ป่า (ภาคกลาง) ฉะนอง (เชียงใหม่), ประดู่เสน (สระบุรี ราชบุรี), ติเลง จิต๊อก ประดู่ป่า (แม่ฮ่องสอน) ประดู่ป่า เป็นต้นไม้พระราชทาน เพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดชลบุรี เช่นเดียวกับประดู่บ้านที่เป็นต้นไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดภูเก็ต

ประดู่บางชนิด ที่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ประดู่ที่ว่า คือ ประดู่ลาย หรือประดู่แขก ซึ่งเป็นโพธิญาณพฤกษาของพระติสสะพุทธเจ้า โพธิญาณพฤกษา คือ พันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ประทับตรัสรู้ต้นประดู่ลาย (ทั่วๆ ไปเรามักจะคิดว่าพระพุทธเจ้ามีเพียงพระองค์เดียวคือ พระโคตมพุทธเจ้า (ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช) แต่แท้ที่จริงแล้วก่อนหน้าพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว 27 พระองค์ และพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตรัสรู้ภายใต้ต้นไม้ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราเรียกว่า โพธิญาณพฤกษา)

ตามพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้ากลับจากเทศนาโปรดพระเจ้าสุทโทธนะ พระราชบิดา แล้วก็เสด็จพาพระอานนท์ พระราหุล พร้อมทั้งพระภิกษุสาวกบริการ สู่กรุงราชคฤห์ประทับยังสีสปาวัน หรือป่าประดู่แขกหรือประดู่ลายซึ่งเป็นพันธุ์ไม้อยู่ในกลุ่มพวกไม้พะยูง ไม้ชิงชัน ของไทย แต่บางท่านให้ความเห็นว่า พระพุทธเจ้าน่าจะเสด็จประทับในป่าประดู่บ้านหรือประดู่อินเดียมากกว่า เพราะมีร่มเงาดี และชื่อสกุลก็บอกอยู่แล้วว่า มีกำเนิดในอินเดีย แต่ปรากฏว่าประดู่บ้านหรือประดู่อินเดียหรือประดู่อังสนานี้ กลับเป็นไม้พื้นเดิมของมาเลเซียและอินโดนีเซีย ชาวมาเลเซียเรียกว่า ไม้สะโน แต่อินเดียไม่ปรากฏว่ามีชื่อพื้นเมืองเรียกไม้ชนิดนี้

ในประเทศไทย ประดู่ป่า เป็นไม้ผลัดใบ ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่ในป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) และป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp Forest) ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก ของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ ประดู่ป่า เป็นไม้ที่ต้องการแสง สามารถขึ้นได้ตามไหล่เขา ที่ราบ ยอดเขาเตี้ยๆ ใกล้แหล่งน้ำที่มีความสูงระดับน้ำทะเล 300-600 เมตร จะเจริญเติบโตดีในพื้นที่ดินร่วนปนทราย (sandy loam) ดินลึก และมีการระบายน้ำดี

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ลำต้น เปลือกหนาสีน้ำตาลเทาถึงเทาเข้ม เปลือกในสีน้ำตาล เมื่อถากเปลือก จะมียางสีแดงไหลออกมา เนื้อไม้แข็งมีสีน้ำตาลอมเหลืองแก่นสีน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ แต่ละใบมีใบย่อย จำนวน 5-11 ใบ ใบย่อยอ่อนมีขนเล็กน้อย ส่วนใบแก่จะเกลี้ยง และจะร่วงในฤดูร้อน เริ่มผลิใบในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ดอก เป็นช่อที่เกิดระหว่างง่ามใบที่ห้อยลง รูปร่างของดอกเป็นรูปดอกถั่ว กลีบเลี้ยงสีน้ำตาลอมเขียวหรือสีเขียว กลีบดอกสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกช่วงเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน ผลและเมล็ด เป็นฝักกลมใหญ่กว่าประดู่บ้านและมีขนปกคลุมอยู่ ผลแก่มีสีน้ำตาลแกมเทา ตรงกลางมีเปลือกคลุม แข็งหนา มีเมล็ด 1-2 เมล็ด สีน้ำตาลแดงยาว 0.4-0.5 นิ้ว จำนวนเมล็ด 1 กิโลกรัม มีเมล็ด 12,500-18,000 เมล็ด ผลแก่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน

การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด

สรรพคุณทางสมุนไพร : รากใช้แก้ไข้ บำรุงโลหิต คุมธาตุ แก้เสมหะ แก่นใช้บำรุงโลหิต แก้พิษเบื่อเมา แก้คุดทะราด แก้ผื่นคัน แก้ปัสสาวะพิการ แก้กษัย เปลือกใช้สมานบาดแผล แก้ท้องเสีย ใบ ใช้พอกแผล พอกฝีให้สุกเร็ว แก้ผดผื่นคัน ยาง แก้โรคท้องเสีย โรคปากเปื่อย ปากแห้งแตกระแหง

ประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประดู่ เป็นไม้เรือนยอดกลมโต แข็งแรง จะช่วยป้องกันลมและคลุมดินให้ร่มเย็นชุ่มชื้น และรองรับน้ำฝนลดแรงปะทะหน้าดินน้อยลง ประกอบกับระบบรากหยั่งลึกแผ่กว้างเช่นเดียวกับเรือนยอด จะช่วยยึดดินไม่ให้พังทลายได้ง่ายและรากมีปมใหญ่ช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศมาเก็บไว้ในรูปไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ได้อีกด้วย ใบหนาแน่นเมื่อร่วงหล่น ผุพังเพิ่มธาตุอาหารและอินทรียวัตถุแก่ดินอย่างมาก

ประโยชน์อื่นๆ ใช้ปลูกเป็นไม้ร่มเงา ไม้ริมทาง เปลือกให้น้ำฝาดสำหรับฟอกหนังและแก่นให้สีแดงสำหรับย้อมผ้า เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือนต่างๆ ทำเครื่องดนตรี เช่น ระนาด นอกจากนั้น เนื้อไม้ประดู่ยังนำไปใช้ในงานก่อสร้างทั้งภายในและภายนอกอาคารเป็นอย่างดี เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทานสูง เนื้อไม้มีสีสวยงาม สีแดงอมเหลืองถึงสีแดงอิฐเข้ม มีเส้นสีแก่กว่าสีพื้น เสี้ยนสนเป็นริ้ว ไสกบตกแต่งชักเงาได้ดี จากการเปรียบเทียบกับไม้สักที่ประเทศพม่า พบว่า ไม้ประดู่มีความแข็ง (hardness) มากกว่าไม้สัก 2 เท่า และหนักกว่า ร้อยละ 24 มีความทนทานตามธรรมชาติ (การทดลองฝังดิน) เฉลี่ย 14 ปี ดังนั้น การใช้ไม้ประดู่ในการก่อสร้างจึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องมือเครื่องใช้ ส่วนไม้ขนาดเล็กใช้ทำไม้ปาร์เก้ ไม้ประสาน แผ่นชิ้นไม้อัด แผ่นไม้ชุบซีเมนต์ ฟืนและถ่านไม้ประดู่ให้ความร้อนดีมาก

อันที่จริง มะม่วงกวน หรือ ส้มแผ่น ส้มลิ้ม เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านแต่ดั้งเดิม แต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทยเชื่อว่าหากมีการถ่ายทอดมายังรุ่นลูก รุ่นหลาน การทำมะม่วงกวน ส้มแผ่น ส้มลิ้ม เด็กรุ่นใหม่จะสามารถทำได้อย่างไม่มีข้อกังขา เว้นเสียแต่สูญหายไปตามกาลเวลา ทำให้ภูมิปัญญาในการทำ มะม่วงกวน ส้มแผ่น ส้มลิ้ม เลือนหายไป

ย่านตลาดเก่า ตำบลวังทอง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เป็นแหล่งผลิตมะม่วงกวน ส้มแผ่น ส้มลิ้ม ที่ใหญ่แหล่งหนึ่งของประเทศ เพราะมะม่วงปัจจัยในการผลิตหลักมีปลูกมากในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และใกล้เคียง

มะม่วงกวน ส้มแผ่น ส้มลิ้ม มีความแตกต่างกันในกรรมวิธีการทำเล็กน้อย และขึ้นอยู่กับท้องถิ่นแต่ละแห่ง ที่จะเรียกชื่อต่างกัน

ส้มแผ่น คือ การนำเอามะม่วงสุกงอมมากวนให้สุก แล้วนำไปไล้เป็นแผ่นบางๆ ตากแดด จากนั้นนำมาม้วนเป็นหลอดๆ สีออกเหลืองทอง

ส้มลิ้ม คือ การนำเอามะม่วงที่ยังไม่สุกงอมมากวน เพิ่มน้ำตาลนิดหน่อย นำไปตากแดด โดยทำเป็นก้อนเล็กๆ สีออกขาวใสหรือขุ่น รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน มะม่วงกวน เป็นการนำมะม่วงสุกมากวนรวมกับน้ำตาล ไล้เป็นแผ่นบาง ตากแดด รสชาติมะม่วงกวนส่วนใหญ่มักมีรสหวาน หวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด

เมื่อสอบถามถึงแหล่งผลิตแท้ย่านตลาดเก่าตำบลวังทองที่ขึ้นชื่อ ได้รับการแนะนำมะม่วงกวนหรือส้มลิ้ม ส้มแผ่น ของ คุณปิยาภรณ์ สังข์ทอง และ พ.ท. บินสัน สังข์ทอง สองสามีภรรยา ที่ก่อนหน้าทำงานประจำ กวนมะม่วงเป็นงานอดิเรกส่งขาย แต่ปัจจุบันงานกวนมะม่วงส่งขาย ถือเป็นงานประจำไปแล้ว