ทั้งนี้ภายใต้ MOU ดังกล่าว กรมชลประทานและการประปานครหลวง

จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อร่วมกันใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด และประสานงานเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนข้อมูลการจัดทำแผนงานโครงการในอนาคตของทั้ง 2 หน่วยงาน กำหนดแผนและการจัดสรรน้ำสำหรับการผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวง ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติการณ์น้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาด้อยคุณภาพ พิจารณาดำเนินการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างทักษะร่วมกัน สำหรับรายละเอียดในการดำเนินกิจกรรมต่างๆตามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ จะมีการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง โดยคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นมาจะร่วมกันพิจารณาในการดำเนินกิจกรรมแบบบูรณาการอีกครั้ง

นอกจากนี้กรมชลประทานจะสนับสนุนให้การประปานครหลวงเข้าร่วมเป็นตัวแทนในคณะกรรมการจัดการชลประทาน (Joint Management committee: JMC) ของพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับภารกิจของกรมชลประทานที่นอกจากจะมีภารกิจในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทานแล้ว ยังจะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำทุกภาคส่วน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีของรัฐบาล ที่กรมชลประทานได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบยุทธศาสตร์การจัดการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคอีกด้วย”นายสัญชัยกล่าว

ด้านนายปริญญา ยมะสมิต ผู้ว่าการการประปานครหลวง กล่าวว่า การประปานครหลวง มีภารกิจในการสำรวจ จัดหาแหล่งน้ำดิบพร้อมผลิตและให้บริการน้ำประปาที่มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ให้ประชาชนผู้ใช้น้ำในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ จำนวนกว่า 13 ล้านคน

ปัจจุบันสามารถให้บริการน้ำประปา คิดเป็นร้อยละ 99 ของพื้นที่ที่ให้บริการ ผลิตจ่ายน้ำเฉลี่ยวันละ 5.9 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากสถิติเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา มีการใช้น้ำไปเพื่อการอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 2,172.34 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าในปี 2590 จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 2,800 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากการเพิ่มของจำนวนประชากร การขยายตัวของภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าขาย ตลอดจนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะนำไปสู่การใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชน ตามนโยบายบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของกระทรวงมหาดไทย และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การบริหารทรัพยากรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเกิดความยั่งยืน และเพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตต่อไป

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 27 กันยายน 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในบริเวณภาคใต้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง อนึ่ง ในช่วงวันที่ 28-30 กันยายน 2560 ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งได้

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมาก
บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง กำแพงเพชร และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมาก บริเวณจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมาก
บริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมาก
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต อุณหภูมิต่ำสุด20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม/ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วน กับฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะโฆษกกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ขณะนี้การนำข้อความเท็จเรื่องหมูไก่เป็นเอดส์วนกลับมาแชร์กันในโลกออนไลน์อีก โดยเรื่องดังกล่าวเป็นข้อความเก่าที่ส่งต่อกันตั้งแต่ปี 2551 ทั้งๆที่ไม่เคยมีมูลความจริงเลย อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากข้อมูลเท็จนี้ยังคงฝังอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ท หรืออาจเป็นเพราะมีขบวนการจ้องทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งคนไทยควรช่วยกันเป็นหูเป็นตาและระงับยั้บยั้งการส่งต่อข้อความเท็จดังกล่าว

“การที่ข่าวเท็จตั้งแต่ปี 51 วนเวียนมาเช่นนี้ทุกปีเป็นเวลายาวนานถึง 9 ปี เป็นไปได้ว่ามีขบวนการต้องการทำลายเศรษฐกิจประเทศไทยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบการแชร์ข้อความนี้ใน line group ใดอีก โปรดถ่ายภาพหน้าจอ และส่งข้อมูลมาที่กรมปศุสัตว์ เพื่อกรมฯจะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ส่งต่อข้อมูลเท็จตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ต่อไป”

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่พบการป่วยตายของหมู ไก่และเป็ดในฟาร์มของจังหวัดนครปฐม และ ราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ถูกพาดพิงเนื่องจากที่ผ่านมากรมปศุสัตว์มีมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่อในสัตว์ ทั้งหมูและสัตว์ปีกอย่างเข้มงวด อีกทั้งฟาร์มส่วนใหญ่จะมีมาตรฐานที่กรมฯ กำกับดูแลให้การรับรอง และตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น จึงขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อข่าวลือดังกล่าว พร้อมให้เชื่อมั่นและไว้ใจในมาตรการของกรมปศุสัตว์ กระทรงเกษตรและสหกรณ์ ในการควบคุมกำกับดูแล ฟาร์ม เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์ ทั้งหมูและสัตว์ปีกที่ปราศจากโรคติดต่อ ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ พาชมความสำเร็จงานพัฒนานวัตกรรม “โดรนพ่นสารเคมีการเกษตรความแม่นยำสูง” ผลงานความร่วมมือระหว่าง “อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” กับภาคเอกชน เผย คุณภาพเทียบเคียงโดรนญี่ปุ่น แต่ราคาถูกกว่า 10 เท่า ลดสัมผัสสารเคมีโดยตรง ได้งานมากกว่าแรงคน 40 เท่า ญี่ปุ่นสั่งทำขายเกษตรกรแล้ว

วันที่ 27 กันยายน นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ลงพื้นที่ในทุ่งนามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อดูการสาธิตการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ที่ผลิตโดยคนไทย ภายใต้การสนับสนุนของอุทยานวิทยาศาสตร์ สำหรับพ่นยาฆ่าศัตรูพืช และปุ๋ย ในนาข้าว

นางอรรชกากล่าวว่า อากาศยานไร้คนขับเพื่อการเกษตรจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ และหุ่นยนต์ เป็นกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายของนโยบายภาครัฐ ลดความเสี่ยงในการสัมผัสหรือผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) อันจะมีการบูรณาการองค์ความรู้ทั้งจากด้านเกษตรกรรมและวิศวกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อพัฒนางานด้านการเกษตรให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

นายมนตรี ชนะสิงห์ เจ้าของบริษัท ไลลา เอวิเอชั่น จำกัด ที่รับบริการจากอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำโครงการการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับเพื่อการเกษตรสมรรถนะสูง กล่าวว่า โดรนตัวนี้มีความสามารถในการควบคุมตำแหน่งพ่นสารน้ำ สารชีวภาพ การให้ปุ๋ย และการพ่นยาฆ่าแมลงซึ่งจะลดการฟุ้งกระจายทำให้เกษตรกรหรือผู้ใช้งานลดปริมาณการใช้ปุ๋ย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนการผลิต ลดความเสี่ยงในการใช้ยาฆ่าแมลง เพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก

“เราทำขึ้นมา 4 ขนาด คือ ขนาดที่สามารถบรรจุสารเคมีและปุ๋ยขนาด 5 /10 /15 และ 20 ลิตร ซึ่งขนาดใหญ่สุดเป็นขนาดเดียวกันกับที่เกษตรกรชาวญี่ปุ่นใช้ ราคาตัวละ 5 ล้านบาท แต่เราสามารถทำได้ในราคาตัวละ 5 แสนบาทเท่านั้น ขณะนี้ได้ทำขนาดเล็กคือตัวละ 3 ลิตรเพิ่มขึ้นมาสำหรับเกษตรกรที่มีเนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ ราคาต้นทุนในขณะที่ยังไม่แพร่หลายไม่เกิน 7.5 หมื่นบาท สามารถทำงานได้งานมากกว่าคนถึง 40 เท่า คือ ทำงานได้ 15-20 ไร่ต่อชั่วโมง แบบต่อเนื่อง

ที่ผ่านมาขายและอบรมการใช้ให้เกษตรกรไทยไปแล้ว 10 ตัว และกำลังจะทำสัญญาผลิตให้ประเทศญี่ปุ่น เพราะเมื่อครั้งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ไปออกบูธที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับความสนใจจากนักธุรกิจญี่ปุ่นมาก เพราะในประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันแต่เราสามารถผลิตได้ในราคาถูกกว่าถึง 10 เท่า” นายมนตรีกล่าว

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนาปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงินงบประมาณ 1,421.96 ล้านบาท แบ่งเป็น งบอุดหนุนปัจจัยการผลิตส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกษตรกรในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังหน้าไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ รวมพื้นที่ 7 แสนไร่ เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท ครอบคลุมเกษตรกร 4.7 หมื่นราย และงบดำเนินงานจำนวน 21.96 ล้านบาท เพื่อเบิกจ่ายในการจัดทำเวทีประชาคมเกษตรกรการตรวจสอบแปลงของคณะทำงานระดับตำบล การอบรมเกษตรกรการจัดงานวันสาธิต และสรุปบทเรียนของการจ้างลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน การบริหารงานโครงการและประเมินผล

ทั้งนี้ ในที่ประชุมครม. เห็นด้วยกับการส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาเพื่อทดแทนการปลูกข้าวในรอบ 2 เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประมาณ 6-8 ล้านตัน/ปี แต่ประเทศไทยผลิตได้เพียง 4-5 ล้านตัน/ปี กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยยังออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างการเพาะปลูกและฤดูกาลให้ตรงกับช่วงที่อุตสาหกรรมต้องการและเกษตรกรขายได้ในราคาที่สูงขึ้น

ส่วนระยะเวลาดำเนินการเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร สามารถสมัครเข้าร่วมดครงการได้ตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค.2560 และ ตรวจสอบคุณสมบัติและเริ่มเพาะปลูกได้ในเดือนพ.ย. 2560-ม.ค. 2561 และสามารถเก็บเกี่ยวได้เม.ย. 2561

สำหรับพื้นที่ดำเนินการจะดำเนินการในพื้นที่เหมาะสมมาก และเหมาะสมปานกลางในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูแล้ง ทดแทนพื้นที่นาปรังในเขตชลประทาน หรือแหล่งน้ำอื่นที่มีน้ำตลอดฤดูการเพาะปลูก ในพื้นที่ 31 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 16 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ ตาก นครสวรรค์ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี

ภาคกลาง 4 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง ภาคตะวันออก 1 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี และภาคตะวันตก 1 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา เรื่องสมุนไพรไทยกับความพร้อมในตลาดโลก จัดโดย สนค. และศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ว่า สนค. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจากศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ จัดทำร่างยุทธศาสตร์การเพิ่มศักยภาพตลาดสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำ มีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของอาเซียน และมูลค่าของวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 เท่าตัวภายในปี 2564 ในส่วนแผนการส่งเสริมตลาดของสมุนไพรไทย เดิมมีอยู่แต่กระจัดกระจาย กระทรวงพาณิชย์จึงเข้ามาเป็นหน่วยงานหลักดูแลอย่างจริงจัง

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การเพิ่มศักยภาพตลาดสมุนไพรไทยนั้น จะมี 4 สมุนไพรนำร่อง ประกอบด้วย ขมิ้นชัน ไพล บัวบก และกระชายดำ ตามยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการต่อไปคือ 1. การจัดการวัตถุดิบและการแปรรูป 2. การพัฒนานวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มในการแปรรูปผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐานสากล 3. การสร้างโอกาสทางการตลาดสมุนไพรไทยโดยผลักดันให้เป็นอัตลักษณ์ของไทยใหม่ (New Thailand Signature) และ 4. ยุทธศาสตร์สนับสนุน เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ ข้อมูลการศึกษาศักยภาพของสมุนไพร เช่น ขมิ้นชัน ส่วนใหญ่ 80% ถูกแปรรูปสู่อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอางอย่างละ 10% ทำให้ตลอดห่วงโซ่อุปทานมีมูลค่าการซื้อขายถึง 6.8 พันล้านบาท แบ่งเป็นเฉพาะอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น อาหาร ยา มีมูลค่าซื้อขาย 5.5 พันล้านบาท ปีที่ผ่านมาส่งออก 12 ล้านบาท ส่วนไพล บัวบก และกระชายดำ ยังส่งออกน้อยมาก

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การส่งออกสมุนไพรของไทยในรูปของวัตถุดิบและสารสกัดที่เป็นแบบแห้งรวมกันแล้วไม่เกิน 1 พันล้านบาทต่อปี ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดสมุนไพรของโลกปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านบาท จีนมีสัดส่วนอันดับ 1 ราว 30% คาดการณ์ว่าในปี 2563 ตลาดสมุนไพรโลกจะเพิ่มเป็น 3.8 ล้านล้านบาท นับว่าไทยยังมีโอกาสอยู่อีกมาก หากอีก 3-4 ปี ไทยเพิ่มการส่งออกสมุนไพรโดยรวมได้ถึง 4-5 พันล้านบาท จะดีต่อห่วงโซ่การผลิตสมุนไพรอย่างมาก ตั้งแต่เกษตรกรถึงผู้ประกอบการ
นายอัทธ์ กล่าวว่า ร่างยุทธศาสตร์การเพิ่มศักยภาพตลาดสมุนไพรไทยนี้ จะนำเสนอต่อกระทรวงพาณิชย์ภายในเดือนก.ย.นี้ เพื่อนำสู่การจัดทำรายละเอียดแผนงานภาคปฏิบัติแล้วส่งให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณานำสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สนค. เป็นต้น

ส่วนเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสมุนไพรอย่างยั่งยืน จะต้องมีกลยุทธ์คือ ควรมีตลาดนัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้เกิดการพบกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทุกระดับ ในโรงพยาบาลต้องสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรให้มากขึ้น และจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้

ฝรั่งเศส เป็นประเทศมีพื้นที่มากที่สุดในยุโรปตะวันตก playminigamesnow.com ครอบคลุมพื้นที่ 547,026 ตารางกิโลเมตร โดยมีที่ราบทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเป็นที่ราบต่ำ อากาศเย็นเกือบตลอดปี ส่วนภาคตะวันออกมีเทือกเขาสูง มียอดชื่อมองบลังก็เป็นยอดสูงที่สุดในยุโรปตะวันตกอีกด้วย ส่วนภาคใต้ แถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูร้อนอากาศร้อนและแล้ง ตามสถิติ ปี พ.ศ. 2559 ฝรั่งเศสมีประชากร 56 ล้านคน เฉพาะในปารีส เมืองหลวงมีประชากร 8.5 ล้านคน

สินค้า-อุตสาหกรรมส่งออก ของฝรั่งเศส มี รถยนต์ เคมีภัณฑ์ เหล็กกล้า สิ่งทอ เครื่องหนัง อุปกรณ์ไฟฟ้า น้ำหอม และไวน์ชั้นดี ภาคการเกษตร พืชเศรษฐกิจสำคัญ มีข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ผักกาดหวาน องุ่น แอปเปิ้ล และลูกแพร์

ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ มีเนยแข็งที่มีชื่อเสียงที่ทำจากนมวัวและนมแพะ นับว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฝรั่งเศส

พาไปแวะเยี่ยมชมตลาดขายส่ง พืชผัก และผลไม้ ที่ใจกลางกรุงปารีส ณ ที่นั่นมีความหลากหลายของผลผลิตการเกษตรที่เคยเห็นกันคุ้นตาและไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็มี วันนี้ขอนำตัวอย่างพืชผักบางชนิดมาเล่าให้ฟังครับ ฝรั่งเศสมีความเชี่ยวชาญในการปลูก องุ่น สำหรับผลิตไวน์ชั้นดีของโลก แอปเปิ้ล ผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผลิตได้คุณภาพดีไม่แพ้กัน แอปเปิ้ลมีทั้งการส่งออกและใช้บริโภคภายในประเทศ แตงโม ปรับปรุงพันธุ์ให้มีผิวเปลือก มีลายเส้นแปลกตา เป็นที่ต้องการของโรงแรมหรู บลูเบอรี่ เป็นผลไม้ยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง นิยมบริโภคสด

มีการบรรจุในกล่องกระดาษรูปเรือพาย ดูแล้วน่าซื้อ เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ทำน้ำผลไม้ปั่นก็ได้สีสดใสชวนดื่ม มันเทศ รูปร่างอ้วนกลม สีแปลกตากว่ามันเทศบ้านเรา ใช้ปิ้ง ย่าง และประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด แหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่บริเวณภาคใต้ แถบชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มันเทศเป็นไม้หัวยอดนิยมของฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ เจ้าหน้าที่เล่าว่า มีการส่งจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย มะเขือยาว หรือ egg plant มีสีสันแปลกตา เป็นพืชผักสำคัญอย่างหนึ่งในตลาดขายส่ง แตงกวา นิยมขนาดใกล้เคียงกับของไทย รับประทานทั้งผลสด และใช้ตกแต่งหน้าเมนูอาหาร พริกหยวก เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมะเขือยาว แตงกวา และพริกหยวก มีวางจำหน่ายตลอดปี ด้วยอาศัยปลูกในโรงเรือนพลาสติกที่ควบคุมอุณหภูมิแสง น้ำ ธาตุอาหาร และศัตรูพืชได้ตามความต้องการต้นไม้

ไม้ดอกไม้ประดับ นิยมปลูกเป็น Plot Plant มีหลากหลายสายพันธุ์ กระถางทำจากพลาสติกหลายสี มีทั้งรูปทรงกลม และเหลี่ยม วางซ้อนเป็นชั้นๆ บนรถเข็นที่เคลื่อนย้ายได้ พร้อมขายส่งคราวละจำนวนมาก ในยุโรปทุกประเทศนิยมไม้กระถางประดับไว้ที่โต๊ะทำงาน และบริเวณมุมห้อง หรือหน้าร้านค้าตามริมถนน มองผ่านกระจกเข้ามาเห็นได้สวยงาม สอบถามทำให้ทราบว่า พันธุ์ไม้เกินร้อยละ 50 นำเข้าจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศส่งเมล็ดพันธุ์พืชใหม่ๆ ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ทั้งในประเทศที่มีอากาศอบอุ่นและประเทศเขตร้อน แม้แต่ประเทศไทยก็เป็นลูกค้าอีกประเทศหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ ดอกหน้าวัว เราสั่งนำเข้ามาแล้วนานหลายปี

เล่าเรื่องเมืองสำคัญของฝรั่งเศส ปารีส เมืองหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซน มีเอกลักษณ์สำคัญคือ หอไอเฟล สูง 300 เมตร มาร์แซย์ เมืองท่าขนาดใหญ่ อยู่ทางภาคใต้ ส่วนหนึ่งติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองธุรกิจสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศลีอองส์ เมืองอุตสาหกรรมเครื่องจักร เครื่องไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ ตูลูส เมืองใหญ่ทางภาคใต้เป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตร ไหมพรม และอากาศยาน บอร์โดซ์ เมืองท่ามีชื่อเสียงในการผลิตไวน์องุ่นคุณภาพระดับโลก นังซี เมืองอุตสาหกรรม ถลุงเหล็ก ผลิตเหล็กกล้า วัตถุเคมีและสิ่งทอ และ นีส เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อยู่ชายทะเลทางใต้ นิยมเรียกว่า ริเอียร่า มีหาดทรายขาวสวยงามเชื่อมต่อไปถึง โมนาโก และอิตาลี