ทั้งนี้ มร. ไมเคิล เผยว่า “การจะสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์

อนาคตได้นั้นต้องเริ่มต้นจากการบ่มเพาะวัฒนธรรมความสร้างสรรค์ให้แก่พนักงานภายในองค์กรก่อน ซึ่งต้องอาศัยเวลาระยะเวลาจึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือการเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ โดยสามารถเริ่มต้นจากงานเล็กๆ ที่จะกระตุ้นให้คนในองค์กรเห็นถึงความสำคัญและการมีส่วนร่วมกัน หรือ อาจเปิด Creative Lab พื้นที่ให้ทดลองใช้ความคิด เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ภายในองค์กร”

ต่อมา นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการลงทุนและการค้นคว้านวัตกรรมการเงิน ได้มาให้ความรู้ในเรื่องของการนำเทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) มาปฏิวัติวงการธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในขณะนี้นายอรพงศ์ได้อธิบายว่า เทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) เสมือนการนำระบบการจัดการฐานข้อมูลมาใช้ เพื่อขยายฐานความรู้ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต

เทคโนโลยีนี้เป็นตัวแทนแห่งนวัตกรรมทางด้านข้อมูล ด้วยการนำเสนอวิธีที่ชาญฉลาดและโปร่งใสในการบันทึกข้อมูล พร้อมเผยแพร่ออกไปให้สามารถตรวจสอบได้ในวงกว้าง ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนกลางในการมาตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของการแลกเปลี่ยนในโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้น ข้อดีของบล็อกเชน คือ ความน่าเชื่อถือ ประหยัดเวลา งบประมาณ และทรัพยากร

จากนั้น ดร. จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ บริษัท AddVentures by SCG ได้ขึ้นกล่าวให้ความรู้ถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือการกระตุ้นให้เกิดไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อนำนวัตกรรมจากสตาร์ทอัป (Startup) เหล่านั้นมาต่อยอดธุรกิจขององค์กร

ดร. จาชชัว เล่าว่า “ทุกวันนี้ สตาร์ทอัปได้เข้ามามีบทบาทในทุกธุรกิจ เพราะสตาร์ทอัปคิดได้เก่ง อีกทั้งยังสามารถทำได้เร็ว องค์กรต่างๆ จึงควรต้องมีบทบาทในการผนวกและเชื่อมโยงทั้งสตาร์ทอัปและบริษัทเข้าด้วยกัน”

กลุ่มสตาร์ทอัปมีจุดเด่นในเรื่องสปิริตความเป็นเจ้าของกิจการ ผนวกกับความรู้ด้านเทคโนโลยีจากการมองในมุมมองของผู้บริโภค เมื่อประกอบกับ Speed ในกระบวนการทำงานที่เรียกว่า Lean Startups รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จึงทำให้ข้อจำกัดในการทำธุรกิจแบบเดิมๆ หายไป และทำให้ผลลัพธ์ของสตาร์ทอัปสามารถขยายให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ พร้อมช่วยเสริมรากฐานอันแข็งแกร่งในระยะยาวให้องค์กร จากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรต่อไปในอนาคต

ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในธุรกิจต่างๆ ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้ได้โดยเร็ว เพื่อปรับตัวตามธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ กลุ่มมิตรผลตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้น และพร้อมพลิกโฉมองค์กรสู่ยุคนวัตกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดตัวศูนย์การเรียนรู้ผลิตบล็อกประสานต้นแบบจากวัตถุพลอยได้ ณ กฟผ. แม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นแหล่งเรียนรู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบล็อกประสานแก่ชุมชนโดยรอบ สร้างอาชีพให้แก่ชุมชน ให้พึ่งพาตนเองได้ทางเทคโนโลยี ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างอย่างยั่งยืน

ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว. ชี้แจงว่า จากความร่วมมือระหว่าง วว. และ กฟผ. ภายใต้โครงการ “การพัฒนาโรงงานต้นแบบการผลิตบล็อกประสานจากวัตถุพลอยได้ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ” โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 1 ปี 4 เดือน ทั้งนี้ วว.โดยศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ ได้ดำเนินงานวิจัยร่วมกับ กฟผ. นำวัตถุพลอยได้ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เช่น เถ้าหนัก มาใช้ในการผลิตบล็อกประสาน โดยได้ปรับสูตรส่วนผสม และแก้ปัญหาต่างๆ ในระบบการผลิต

กระทั่งสามารถพัฒนาคุณสมบัติของบล็อกประสานให้ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบและจัดตั้งกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีบล็อกประสานสู่ชุมชนโดยรอบ กฟผ. แม่เมาะ และมีการนำบล็อกประสาน ซึ่งเป็นผลผลิตจากโครงการฯ มาสาธิตสร้างอาคารศูนย์การเรียนรู้ผลิตบล็อกประสานต้นแบบจากวัตถุพลอยได้แห่งนี้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดฝึกอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ พัฒนาอาชีพให้ชุมชนโดยรอบ กฟผ.แม่เมาะ เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ รวมถึงจะนำผลิตภัณฑ์บล็อกประสานไปสร้างอาคารแสดงสินค้าในพื้นที่บริเวณใกล้กับอาคารประชาสัมพันธ์ แม่เมาะ เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของวัตถุพลอยได้จากโรงไฟฟ้าแม่เมาะต่อไป

“…ในนามของ วว. รู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม) ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้ผลิตบล็อกประสานต้นแบบจากวัตถุพลอยได้ รวมถึงท่านผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนให้ วว. นำเทคโนโลยีบล็อกประสานมาต่อยอดจนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ คือ บล็อกประสานจากวัสดุพลอยได้ ที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับวัสดุก่อสร้างในท้องตลาด ผลสัมฤทธิ์จากโครงการนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองหน่วยงาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมกันนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อยอดในโครงการอื่นๆ ต่อไปในอนาคต…” ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ กล่าวสรุป

นายนิกูล ศิลาสุวรรณ รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ถือเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในกระบวนการแปรสภาพพลังงานสะสมของถ่านหินลิกไนต์ให้เป็นพลังงานนั้น ส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้วัตถุพลอยได้ เช่น เถ้าหนัก ยังไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดย กฟผ.ได้รับความร่วมมือกับ วว.ในการนำวัตถุพลอยได้ดังกล่าว มาพัฒนาเป็นส่วนผสมในการการผลิตวัสดุก่อสร้างบล็อกประสาน ปรับหาอัตราส่วนที่เหมาะสม ซึ่งนับเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุพลอยได้ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และเอื้อประโยชน์ต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

“พาณิชย์” จัดงาน “มนต์เสน่ห์อีสาน เมืองแห่งผ้าครามย้อมสีธรรมชาติ” 4-8 เม.ย.นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดช่องนำหัตถกรรมสิ่งทอให้กับผู้ผลิตสินค้าชุมชน สร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น

นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสกลนคร เตรียมจะจัดงาน “มนต์เสน่ห์อีสาน เมืองแห่งผ้าครามย้อมสีธรรมชาติ หรือ Esan The City of Natural Indigo Fabric” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 4-8 เม.ย.2561 เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการชุมชน ผู้ผลิตสินค้า OTOP ผู้ประกอบการ SMEs ที่ผลิตสินค้าหัตถกรรมสิ่งทอที่มีชื่อเสียงของภาคอีสาน ทั้งผ้าทอมือ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าย้อมครามธรรมชาติและผ้าย้อมสีธรรมชาติ ได้มีโอกาสในการจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นและมีรายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ในการจัดงานดังกล่าว จะมีการนำหัตถกรรมสิ่งทอที่มีชื่อเสียงของจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสาน มาจัดแสดงประมาณ 50 บูธ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ผ้าครามย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นผ้าย้อมที่มีจุดเด่นของภาคอีสาน โดยเฉพาะของจังหวัดสกลนคร ที่เพิ่งได้รับการยกย่องจากสภาหัตถศิลป์โลกให้เป็นนครแห่งครามธรรมชาติโลก และยังจะมีผ้าพื้นเมืองที่เป็นฝีมือของชาวอีสานมาจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจซื้อหาไปใช้ด้วย

“การจัดงานครั้งนี้ เป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิตสินค้าชุมชน ได้มีช่องทางในการจำหน่ายสินค้า และยังจะทำให้กลุ่มผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ได้รู้จักผ้าที่มีชื่อเสียงจากภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพราะหากสินค้าที่ผลิตมีการจำหน่ายได้ ก็จะทำให้ผู้ผลิตสินค้าที่อยู่ในชุมชนต่างๆ มีรายได้ และทำให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้น”นายวิชัยกล่าว

นายวิชัย กล่าวว่า การดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เป็นนโยบายของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงฯ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกันขับเคลื่อน และการจัดงานที่เกิดขึ้นนี้เป็นการดำเนินการของหน่วยงานในส่วนภูมิภาค คือ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสกลนคร ที่ได้เข้าไปช่วยยกระดับผ้าทออีสาน โดยได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการชุมชนที่มีอยู่มากกว่า 10,000 ครัวเรือน ให้มีการพัฒนาการผลิต ปรับปรุงคุณภาพ และผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดจนนำมาสู่การนำมาจัดแสดงเปิดตัวในครั้งนี้

สำหรับผลิตภัณฑ์จากผ้าทอที่ได้มีการพัฒนา ได้เข้าไปช่วยในการพัฒนาลายผ้า รวมถึงการนำผ้าทอไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ของขวัญ ของตกแต่งบ้าน ของที่ระลึก เคหะสิ่งทอ ผ้าประดับตกแต่งๆ ผ้าพันคอ เสื้อผ้าแฟชั่น เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ ผลิตมากขึ้น และยังได้เข้าไปช่วยในการสร้างตราสินค้า พัฒนาแบรนด์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้นด้วย

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดทำโครงการความร่วมมือกับกองทัพอากาศ ปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้งความรุนแรงของการเกิดลูกเห็บประจาปี 2561 เพื่อเป็นการช่วยเหลือพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว

นายวิวัฒน์ ศัลยกาธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสภาวะภัยแล้งบริเวณพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันความรุนแรงจากสภาวะภัยแล้งและการเกิดพายุลูกเห็บ ได้แผ่ขยายเป็นวงกว้าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและภัยแล้ง ตามยุทธศาสตร์การบรรเทาภัยพิบัติของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อบรรเทาความรุนแรงจากภัยดังกล่าวด้วยเทคนิคการการปฏิบัติการฝนหลวงเมฆเย็น ซึ่งเป็นเทคนิควิธีการหนึ่งในการดัดแปรสภาพอากาศ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานไว้ในตาราฝนหลวงพระราชทาน

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า สำหรับเทคนิคการปฏิบัติการ ฝนหลวงเมฆเย็น จะใช้เครื่องบินแบบปรับความดัน (Super King Air) ซึ่งสารฝนหลวงที่ใช้กับเมฆเย็นหรือ เมฆที่อุณหภูมิภายในต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส คือ ซิลเวอร์ไอโอไดด์ เป็นสารที่ผลึกมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับแกนผลึกน้าแข็งในธรรมชาติ ภายในเมฆเย็นจะมีเม็ดน้าเย็นยิ่งยวดปริมาณมาก การเพิ่มปริมาณแกนผลึกน้าแข็ง ในเมฆจะเป็นการเร่งกระบวนการทางธรรมชาติที่เดิมมีปริมาณแกนผลึกน้าแข็งอยู่น้อย เพื่อทำให้เกิด ผลึกน้ำแข็งปริมาณมากขึ้นและเกิดการยกตัวของเมฆจากการคายความร้อนแฝง ได้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าธรรมชาติ ซึ่งเมฆที่เกิดในฤดูร้อนมักทำให้เกิดพายุฤดูร้อนและอาจมีลูกเห็บเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเมฆ มีการยกตัวอย่างรวดเร็วและมีแกนน้ำแข็งภายในเมฆน้อย น้ำแข็งที่อยู่ในเมฆเย็นหรือยอดเมฆร่วงหล่นลงมาถึงพื้นโดยที่ละลายไม่ทัน

สำหรับการใช้เทคนิคการปฏิบัติการฝนหลวงเมฆเย็น เพื่อเพิ่มแกนผลึกน้ำแข็งให้มากกว่าการปฏิบัติการเมฆเย็นตามปกติ จะช่วยลดโอกาสการเกิดลูกเห็บได้ เนื่องจากแกนผลึกน้ำแข็งปริมาณมากที่เพิ่มเข้าไปในเมฆเย็นจะไปแย่งเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวด ทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กปริมาณมาก เมื่อเกิดฝนตกผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กเหล่านี้จะละลายก่อนที่จะตกถึงพื้น สามารถลดความเสียหายได้

ทั้งนี้ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีแผนปฏิบัติการตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา โดยใช้เครื่องบิน Super King Air 350 ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งประจำการอยู่ที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก และในช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้จัดทำโครงการความร่วมมือกับกองทัพอากาศ เพื่อใช้เครื่องบินโจมตีแบบที่ 7 หรืออัลฟ่าเจ็ท

ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูง และมีความเร็วในการเข้าถึงเป้าหมาย ประจำการหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมกันปฏิบัติการ ฝนหลวง ยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ โดยการใช้วิธีโจมตีด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์ เพื่อนาสารฝนหลวงซิลเวอร์ไอโอไดด์ ไปเร่งกระบวนการทางธรรมชาติ ทำให้ผลึกน้ำแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นเม็ดน้ำ โดยที่ผลึกน้ำแข็งจะละลายตกลงมาเป็นน้ำฝน ซึ่งจะช่วยบรรเทาความรุนแรงและยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ เพื่อลดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน

รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตรของประชาชนอันจะเกิดจากพายุลูกเห็บลงได้ และสอดคล้องกับการดาเนินงานตามนโยบายโครงการไทยนิยมยั่งยืนตามกรอบหลักการที่ 3 ชุมชนอยู่ดีมีสุข ในการพัฒนาความเป็นอยู่อาชีพและรายได้แก่ประชาชน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือยังคงติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และพร้อมที่จะขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ร้องขอทันทีที่สภาพอากาศเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่เก็บเกี่ยวผลผลิต พื้นที่ประสบภัยและอื่นๆ ทั้งนี้ สามารถแจ้งข้อมูลสถานการณ์ความต้องการฝนในพื้นที่โดยตรงทางโทรศัพท์หมายเลข 0-5327-5051 ต่อ 12 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางเว็บไซต์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร www.royalrain.go.th หรือทาง facebook ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ รวมทั้งมีบริการข้อมูลผลตรวจเรดาร์ฝนหลวงทั่วประเทศ บนหน้าเว็บไซต์กรมฝนหลวงและการบินเกษตรหรือเข้าถึงได้ที่

นายมาโนช ชูทับทิม ประธานเครือข่ายผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั่วประเทศ กล่าวภายหลังผู้เลี้ยงไก่ไข่ประชุมหารือเเนวทางแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ที่ตกต่ำต่อเนื่อง เพราะปริมาณไข่ไก่ล้นตลาดว่า การเปิดนำเข้าเสรีแม่พันธุ์ไก่ทำให้มีจำนวนไก่ยืนกรงที่ผลิตไข่ได้เกินกว่าความต้องการบริโภค จึงต้องการให้รัฐบาลโดยเฉพาะกรมปศุสัตว์เร่งตรวจสอบและขอให้ลดจำนวนการนำเข้าปู่ย่าพันธุ์ไก่ และปลดเเม่ไก่ยืนกรงของบริษัทรายใหญ่ และควรลดการนำเข้าจาก 6 เเสนตัว/ปี ให้เหลือ 3-4 เเสนตัว/ปี แม้ที่ผ่านมาภาครัฐมีมาตรการขอความร่วมมือให้ลดการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ให้เหลือ 6 แสนตัว และปลดแม่ไก่ยืนกรงให้เร็วกว่ากำหนดแล้วก็ตาม แต่ปริมาณไข่ไม่ลดปริมาณลงมาเลย

นายมาโนช กล่าวว่า สาเหตุหลักมาจากมาตรการดังกล่าวไม่ได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง และกว่ามาตรการจะเห็นผลต้องใช้เวลานานถึง 10 เดือน แต่เมื่อดำเนินการควบคู่กับการปลดแม่ไก่ยืนกรงก็เชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบจากปัญหาราคาไข่ไก่ได้อย่างแน่นอน จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินตามมาตรการของคณะกรรมการไก่ไข่ (เอ้กบอร์ด) ด้วย เพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อยู่ได้และสร้างความยั่งยืนแก่อุตสาหกรรมการผลิตไข่ไก่ของไทย ขณะนี้มีจำนวนไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสูงถึง 55 ล้านฟอง/วัน แต่ความต้องการบริโภคอยู่ที่ 45 ล้านฟอง/วัน ส่งผลให้ราคาไข่ตกต่ำขายได้ราคา 1 บาท 90 สตางค์ ถึง 2 บาท 10 สตางค์/ฟอง ต่ำกว่าต้นทุนตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้คำนวณไว้อยู่ที่ 2.90 บาท/ฟอง หรือขาดทุนฟองละ 80 สตางค์ ถึง 1 บาท

‘สนธิรัตน์’ สั่งกรมการค้าภายในและพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ใกล้ชิด เน้นสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ สนามบิน สถานที่ ท่องเที่ยว และปั๊มน้ำมัน ป้องกันพ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชน พร้อมกำชับให้ปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน ชี้เอาเปรียบโดนโทษหนักทั้งจำและปรับ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างใกล้ชิด โดยขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาสินค้าและบริการ ตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่คนเดินทางออกต่างจังหวัดเพื่อกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยว และตรวจสอบต่อเนื่องจนถึงวันที่ประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ที่ขอให้เน้นการตรวจสอบ ได้แก่ สถานีขนส่ง ทั้งหมอชิต สายใต้ใหม่ เอกมัย สถานีขนส่งของเอกชน สถานีรถไฟทั่วประเทศ ทั้งหัวลำโพง สถานีรถไฟที่เป็นเมืองท่องเที่ยว สนามบิน ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองและสนามบินในส่วนภูมิภาค รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ทั่วประเทศ เพราะสถานที่เหล่านี้มีโอกาสที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น จากการที่มีประชาชนเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ขอให้ตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มน้ำมัน) โดยให้ตรวจสอบความถูกต้องของหัวจ่ายว่ามีปริมาณเต็มลิตรหรือไม่ เพื่อเป็นการดูแลประชาชนที่เดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งจะต้องเน้นในจังหวัดที่เป็นทางผ่านออกไปยังจังหวัดต่างๆ และจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะจะมีคนเดินทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นอกเหนือจากการตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการแล้ว ขอให้ใช้วิธีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตามสถานีขนส่ง สถานีรถไฟทั่วประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ให้บริการรับฝากของ บริการรถเข็นสัมภาระ จะต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ โดยติดไว้ในที่เห็นได้ชัดเจน ต้องแสดงราคาต่อหน่วย มีตัวเลขอารบิคเห็นได้ชัด อ่านง่าย และหากมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากราคาหรือค่าบริการ

ก็ต้องแสดงให้ชัดเจนด้วย

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือร้องเรียนได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายประพันธ์ เทียนวิหาร นายกเทศมนตรีตำบล (ทต.) แม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลแม่กา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดโครงการกำจัด น้ำเสียในเขต ตำบลแม่กา โดยเฉพาะบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ห่างจากเทศบาลประมาณ 500 เมตร มีหอพักไม่น้อยกว่า 400 หอ/แห่ง แต่ละหอพักจะทิ้งน้ำที่ใช้แล้วหรือน้ำเสียไหลลงสู่ลำห้วยแม่กา ที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ จากนั้นจะไหลลงสู่ลำน้ำแม่ต๋ำก่อนไหลลงสู่กว๊านพะเยา เนื้อที่ประมาณ 12,000 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเทศบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ด้วยการใช้ “อีเอ็มบอล” หย่อนลงไปตามลำห้วยแม่กา ล่าสุดทางเทศบาลได้ใช้ระบบบำบัดคุณภาพน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ ผลปรากฏว่าเป็นที่น่าพอใจ เป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาทำการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดี ไหลเวียนเข้าสู่ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรในรูปแบบ “พะเยาโมเดล” ต้นแบบของประเทศระหว่างหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

ด้าน ผศ.ดร. ระพีพรรณ แดงตันกี รองผู้อำนวยการ สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยได้รับการประสานงานจากนายกเทศมนตรีตำบลแม่กา จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจพื้นที่ และใช้ระบบบำบัดคุณภาพน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ ร่วมกับสารตกตะกอนในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเน่าเสีย ที่มาจากแหล่งชุมชนชานเมืองที่มีผู้คนหลายหมื่นคน

“การใช้นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์บำบัดน้ำเสีย ผลเป็นที่น่าพอใจอีกระดับหนึ่ง การใช้ระบบดังกล่าวถือว่าเป็นระบบบำบัดน้ำเสียเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และยังเปิดโอกาสให้กับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นทั้งประเทศได้มาศึกษาดูงานตามรูปแบบที่จัดทำขึ้นแล้วนั้น”

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า หลังจากลิ้นจี่บางขุนเทียน ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของกรุงเทพมหานครที่ปลูกในพื้นที่เขตจอมทองและเขตราษฎร์บูรณะ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเกษตรกรได้รับข่าวดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดต้นลิ้นจี่ในพื้นที่ออกผลผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตที่ได้มีจำกัด เกษตรกรสามารถเก็บผลผลิตได้ 500 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับผลผลิตในภาพรวมเพียง10%เท่านั้น ทำให้ลิ้นจี่บางขุนเทียนกลายเป็นที่ต้องการของตลาด โดยผลผลิตที่มีคุณภาพดี เนื้อแห้ง รสชาดหวานอร่อย ได้มาตรฐานสินค้าจีไอ จึงส่งผลให้สินค้าลิ้นจี่บางขุนเทียนขาดตลาด และราคาพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 500-1,000 บาท เนื่องจากเกษตรกรต้องดูแลทะนุถนอมผลผลิตเป็นอย่างดี เพื่อควบคุมคุณภาพและรสชาดให้ได้ตามมาตรฐานของสินค้าจีไอ

นางสาวพรทิพย์ เทียนทรัพย์ เกษตรกรเจ้าของสวนภูมิใจการ์เด้น เปิดเผยว่า ลักษณะเด่นของลิ้นจี่บางขุนเทียนที่ได้รับขึ้นทะเบียนจีไอ จะมีผลขนาดกลางรูปทรงคล้ายหัวใจ บ่าไม่สูง หนามแหลมสั้น เปลือกสีแดงถึงแดงคล้ำ เนื้อแห้ง ไม่แฉะน้ำ รสชาดหวาน หอม ไม่มีรสฝาดเจือ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์กะโหลกใบยาว หรือกะโหลกใบอ้อ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมที่สุด โดยสวนภูมิใจการ์เด้นแห่งนี้เป็นสวนลิ้นจี่ที่มีความเก่าแก่ ปัจจุบันยังพบลิ้นจี่บางต้นที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งต้นลิ้นจี่ดังกล่าวยังสามารถออกผลผลิตได้อยู่ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมสวนได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ตนและเกษตรกรในพื้นที่ตั้งใจจะพัฒนาสวนแห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามแนวทางที่ภาครัฐแนะนำ

นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยขณะเดินทางลงพื้นที่ ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการขุดลอกและขยายคลอง พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก รวมทั้งโครงการขยายคลองหนัง ซึ่งเป็นคลองสาขาของคลอง พล.อ. อาทิตย์ ที่ช่วยระบายน้ำจากทะเลสาบสงขลาลงสู่ทะเลอ่าวไทยว่า คลอง พล.อ. อาทิตย์ เป็นคลองขุดความยาวกว่า 70 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอ ในคาบสมุทรสทิงพระ ทั้ง อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ และ อำเภอสิงหนคร ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2527 หรือกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดมีการใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท ขุดลอกและขยายคลองจากเดิมกว้าง 40 เมตร ไปอีกข้างละ 15 เมตร ซึ่งหากแล้วเสร็จจะaสามารถเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำจาก 2 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 7 ล้านลูกบาศก์เมตร โครงการได้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จราวปี 2565

“ในส่วนของคลองหนังนั้นจะมีการขุดขยายคลองเพิ่มความกว้างจากเดิม 20 เมตร เป็น 40 เมตร โดยมีการจัดสรรงบประมาณทั้งโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท จะขุดลอกให้แล้วเสร็จในระยะเวลาประมาณ 2 ปี”

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่โรงพยาบาลศิริราช ศ.นพ. ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานแถลงข่าวประกาศผลและมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2560

ศ.นพ. ประสิทธิ์ แถลงว่า ปีนี้คณะกรรมการคัดเลือกแพทย์ดีเด่นในชนบท ได้คัดเลือกให้ พญ. รัชฎาพร รุญเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) ขุนหาญ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลประจำปี 2560 โดยเป็นสตรีคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัลนี้ ศ.นพ. ประสิทธิ์ แถลงว่า พญ. รัชฎาพร ไม่เพียงแต่เป็นแพทย์ที่ดูแล ผู้ป่วยในโรงพยาบาล แต่ได้อุทิศกายออกไปทำงานนอกโรงพยาบาลด้วย