ที่มาของโครงการ ฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจนรันตี พาท่านมาพบกับ

อาจารย์ธนากร เที่ยงน้อย อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การเกษตร และดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าสำนักวิชาสหวิทยาการ ด้านบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี และยังเป็นหัวหน้าโครงการ “ฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน”

อาจารย์เล่าที่มาที่ไปของโครงการนี้ให้ฟังว่า “โครงการฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน เป็นงานที่ผมเริ่มต้นทำเมื่อ ุ6 ปีที่แล้ว โดยตั้งใจให้เป็นฟาร์มเกษตรผสมผสานที่มีทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ โดยใช้ระบบการผลิตแบบเกษตรประณีต

ฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจน ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหลายวัตถุประสงค์ หนึ่งนั้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนวิชาหลักการส่งเสริมการเกษตรและวิชาธุรกิจการเกษตรที่ผมดูแลอยู่ และวิชาอื่นๆ ที่เปิดสอนในวิทยาเขต เพื่อให้นักศึกษาได้ลงมือทำจริงในทุกๆ ด้านของงานฟาร์ม

อีกวัตถุประสงค์สำคัญเราต้องการตอบโจทย์ปัญหาระบบการผลิตทางการเกษตรในอนาคตที่เกษตรกรรายย่อยของไทยต้องพบเจอ เนื่องมาจากการที่เกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยมีพื้นที่ทำกินน้อย ใช้แรงงานในครอบครัวเป็นหลัก มีปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลผลิตต่ำ ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ

เกษตรกรของเราตกอยู่ในปัญหาความยากจนและวงจรหนี้สิน นอกจากนั้น หากเรามองสถานการณ์การผลิตทางการเกษตรทั้งในปัจจุบันและอนาคตมีผู้คาดการณ์ว่า เกษตรกรรายย่อยจะต้องเผชิญกับปัญหามากขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลก ส่งผลให้การผลิตทางการเกษตรมีการแข่งขันที่รุนแรง และเข้าสู่รูปแบบธุรกิจมากขึ้น ในอนาคตเกษตรกรรายย่อยที่ปรับตัวไม่ทันจะต้องสูญเสียที่ดิน แรงงาน และปัจจัยการผลิตไป”

เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ มีพื้นที่ทำการเกษตรน้อยกว่า 5 ไร่!!?

รันตี มาตกใจกับเรื่องที่อาจารย์ธนากรเล่าต่อค่ะ “เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดจะทำโครงการฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน ก็คือ ผมไปพบข้อมูลว่า เกษตรกรไทยมีพื้นที่ทำการเกษตรน้อยกว่า 5 ไร่ ถึง 2,675,683 ครัวเรือน จากเกษตรกรทั้งประเทศ 5,314,315 ครัวเรือน

หรือว่ากันให้ชัดกว่านั้นคือ ผู้ถือครองที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่ มีสัดส่วนถึง ร้อยละ 50.64 และผู้ถือครองที่ดิน ระหว่าง 1-4 ไร่ มีสัดส่วน ร้อยละ 29.55 นั่นคือ ผู้ถือครองที่ดินร้อยละ 80.19 เป็นผู้ที่มีที่ดินน้อยกว่า 5 ไร่ ข้อมูลเหล่านี้เป็นของภาครัฐทั้งสิ้น

“ด้วยเหตุต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นที่มาของโครงการฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน ที่ผมต้องการจะตอบโจทย์ที่ว่า หากคุณเป็นเกษตรกรที่มีพื้นที่ทำกินเพียง 1 ไร่ คุณจะทำอะไรได้บ้าง?”

ทำแค่ 1 ไร่ แล้วทำไมต้องพ่วงเกษตรและอาหารปลอดภัย

อาจารย์ธนากร เล่าว่า ที่ตั้งใจทำฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย ก็เพราะการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมและส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ

เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกรรายย่อยของไทย ซึ่งการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยหมายรวมถึงการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และการเกษตรแบบเคมีอย่างถูกวิธี อาจารย์ธนากร สรุปไว้ว่า โครงการ 1 ไร่ไม่ยากจน ที่ผมทำจึงตั้งใจทำเพื่อตอบโจทย์ที่ว่า

เกษตรกรรายย่อย หรือคนยากจนในชนบทที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน จะหาอยู่หากินทางการเกษตรได้อย่างไร
เราควรจะใช้ที่ดินซึ่งมีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
ผลผลิตเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยควรเป็นอย่างไร

มีอะไรใน 1 ไร่ไม่ยากจน (1. เพื่อปากท้อง)

อาจารย์ธนากร เล่าว่า กิจกรรมต่างๆ ภายในฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจนนั้น ทำขึ้นเพื่อหวังผล 3 เรื่อง คือ

เพื่อปากท้อง
เพื่อรายได้ และ
เพื่อสวยงาม ดึงดูดใจให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
รันตี ฟังแล้วก็ร้องโอ้โฮ! ในใจ ที่ดิน 1 ไร่ ทำอะไรได้ขนาดนั้นเลยหรือ อาจารย์ธนากร อธิบายต่อว่า กิจกรรมเพื่อผลข้อที่ 1. เพื่อปากท้อง ก็คือ การที่เราเลือกปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เอาไว้ใช้บริโภคเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว

กิจกรรมของเราก็มีการปลูกข้าวในวงบ่อซีเมนต์ เพราะพื้นที่ของฟาร์ม 1 ไร่ ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนที่มีสภาพดินที่ไม่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ เราจึงเลือกปลูกข้าวในวงบ่อซีเมนต์ที่สามารถปลูกได้ทั้งปี หมดห่วงเรื่องข้าวก็มาที่กับข้าวบ้าง

ฟาร์ม 1 ไร่ มีกิจกรรมสร้างกับข้าวหลายกิจกรรม เช่น การเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อย ในปริมาณไม่มาก 15-20 ตัว ซึ่งอาจารย์ธนากร เล่าว่า รายงานของต่างประเทศที่ศึกษาการเลี้ยงไก่ไข่บนกรงตับ ซึ่งไก่มีชีวิตที่แออัดในกรงแคบๆ พบว่า มีผลเสียต่อสุขภาพแม่ไก่ไข่ คือทำให้ข้อขาผิดรูป มีชีวิตที่ทรมาน

ในต่างประเทศจึงเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงไก่ไข่มาเลี้ยงไก่แบบปล่อย ไก่ได้อยู่อย่างอิสระ อารมณ์ดี ไม่กักขัง ไม่เลี้ยงหนาแน่น แม่ไก่ลดความเครียด ไข่ที่ได้จึงเป็นไข่ที่ปลอดภัยและอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ผลผลิตไข่ที่ได้จากฟาร์ม 1 ไร่ จึงเป็นผลผลิตไข่ปลอดภัยจากแม่ไก่อารมณ์ดี

นอกจากนั้น ฟาร์ม 1 ไร่ ยังปลูกผักต่างๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นผักสวนครัว แค มะกรูด มะนาว พริก กะเพรา ชะอม ตะไคร้ เห็ด ฯลฯ ที่มีให้เก็บกินได้ทั้งปี สรุปว่า อยู่ที่ฟาร์ม 1 ไร่ ไม่มีอด มีอาหารมากพอเลี้ยงคนในครอบครัว 3-4 คนได้สบายๆ นอกจากนั้นผลผลิตอะไรที่เหลือกิน ก็สามารถเอาไปขายได้ อย่างเช่น ไข่ไก่ ที่มีผลผลิตวันละ 15-20 ฟอง เหลือกินก็สามารถเอาไปขายได้

มีอะไร ใน 1 ไร่ไม่ยากจน (2. เพื่อรายได้)

เมื่อท้องอิ่มก็มีแรงพร้อมหารายได้ นี่คือ กิจกรรมหารายได้ที่ ฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจนค่ะ อาจารย์ธนากร อธิบายว่า เมื่อคนในครอบครัวท้องอิ่ม แต่ลูกๆ ต้องไปโรงเรียน พ่อแม่อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เงินสดก็มีความสำคัญไม่น้อย จึงเป็นที่มาของกิจกรรมเพื่อสร้างรายได้

กิจกรรมแรกคือ การผลิตกุหลาบตัดดอกและการผลิตหน้าวัวตัดดอกในโรงเรือน อาจารย์ธนากร มองว่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่หมายของนักเดินทางทั่วโลก ไม้ดอกจึงมีความจำเป็นสำหรับธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตต่างๆ จึงเป็นที่มาของกิจกรรมไม้ตัดดอกในโรงเรือน

นอกจากนั้น ยังมีแปลงผลิตเสาวรส แปลงหม่อนกินผล การเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ อย่าง ผึ้ง และจิ้งหรีด แปลงเก็บรวบรวมพันธุ์กล้วย เก็บรวบรวมกล้วยพันธุ์ต่างๆ ไว้ เช่น กล้วยงาช้าง กล้วยน้ำไทย กล้วยสามเดือน กล้วยเทพพนม กล้วยนาก เป็นต้น

อาจารย์ธนากร แนะนำแนวคิดของท่านว่า “ผมสอนเกษตรกรที่มาดูงานที่ ฟาร์ม 1 ไร่ เสมอว่า เราจะปลูกกล้วยเพื่อขายผลไปทำไม ในเมื่อขายหน่อกล้วยพันธุ์หายากได้ในราคาหน่อละ 100-200 บาท”

กิจกรรมแปลงหญ้าอาหารสัตว์พันธุ์ดี และกิจกรรมการเลี้ยงแกะเนื้อ กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างรายได้เป็นเงินสดได้ทั้งเงินรายได้รายวันอย่างไม้ตัดดอก แมลง หน่อกล้วย รายได้รายเดือนอย่างผลผลิตกล้วย ผลผลิตแปรรูปจากหม่อน เสาวรส ผลผลิตราย 6 เดือน จากการขายแกะเนื้อ จะเห็นได้ว่าเรามีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากพื้นที่เพียง 1 ไร่

มีอะไร ใน 1 ไร่ไม่ยากจน (3. เพื่อสวยงาม)

อาจารย์ธนากร บอกว่า อีกกิจกรรมหนึ่งที่สามารถเรียกแขก เรียกรายได้เข้าฟาร์มได้ก็คือ กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพราะคนในปัจจุบันโหยหาธรรมชาติกันมาก ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรจึงมาแรง และจะแรงไปอีกนาน หากเกษตรกรจับประเด็นนี้มาใช้ก็สามารถสร้างรายได้ไม่ยาก

วิธีการของอาจารย์ธนากรคือ การจัดพื้นที่ภายในฟาร์ม 1 ไร่ ให้เป็นสัดส่วน การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์จะต้องมีการวางแผนผังฟาร์มให้ดี จุดไหนจะเป็นจุดรับนักท่องเที่ยว กิจกรรมใดที่จะเหมาะสมกับพื้นที่ด้านหน้าฟาร์ม กิจกรรมใดควรขยับไปอยู่ด้านหลัง เป็นการวางผังให้ภาพรวมของฟาร์มสวยงามแปลกตา

แปลงไหนที่นักท่องเที่ยวจะเข้าชมได้ ส่วนใดที่เข้าชมไม่ได้ก็กำหนดให้ชัดเจน มีการปลูกไม้ดอกประดับแปลง จัดสวน จัดมุมเล็กๆ ไว้ให้ถ่ายภาพ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ผู้คนสนใจแวะเวียนมาเยี่ยมชมฟาร์ม เกษตรกรก็สามารถขายผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของฟาร์มได้อีกด้วย

นอกจากนั้น การสร้างจุดขายว่า ฟาร์ม 1 ไร่ เป็นการผลิตแบบเกษตรปลอดภัยก็เป็นอีกแนวทางที่สร้างความชัดเจนให้กับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของฟาร์มเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ไปยังลูกค้าที่ต้องการ

ข้อคิดพิจารณาควรจะปลูกอะไร จะเลี้ยงอะไร

อาจารย์ธนากร เล่าต่อไปว่า คำถามยอดฮิตสำหรับคนที่เริ่มสนใจและอยากลงมือทำการเกษตรคือ จะปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์อะไรดี โดยเฉพาะหากพื้นที่ที่จะทำการเกษตรเป็นพื้นที่เล็กๆ พื้นที่จำกัด อาจารย์ธนากร ให้คำตอบดังนี้ค่ะ การเลือกพืชที่จะปลูกจะต้องมองให้ครอบคลุมในเรื่อง

1. ตลาด ผลผลิตจากพืชที่จะปลูกจะต้องสามารถมีตลาดรองรับที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น การที่อาจารย์เลือกปลูกเสาวรส เพราะเสาวรสมีตลาดที่หลากหลายใช้กินสดเป็นผลไม้ ใช้ทำน้ำเสาวรส ทำแยม ทำไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ เยลลี่ ได้อีกด้วย หม่อนก็เช่นกันมีตลาดที่หลากหลาย กินสดก็ได้ แปรรูปเป็นน้ำ แยมมัลเบอร์รี่หรือไอศกรีมก็ได้ จึงเป็นพืชที่อาจารย์ธนากรเลือกมาปลูกในฟาร์ม 1 ไร่

2. พืชที่จะปลูกต้องดูแลรักษาง่าย ขยายพันธุ์ง่าย สามารถบังคับให้ติดดอกออกผลได้ง่าย เช่น หม่อนกินสด สามารถบังคับให้ออกดอกติดผลได้ด้วยวิธีการโน้มกิ่งหรือวิธีการตัดแต่งกิ่ง จึงสามารถบังคับให้ออกดอกติดผลได้ตามที่เราต้องการ นอกจากนั้น หม่อนยังดูแลง่าย ทนแล้ง และขยายพันธุ์ได้ง่ายอีกด้วย

3. การเลี้ยงสัตว์ ต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการให้ผลผลิต อาหารที่สัตว์กิน ขนาดตัวต่อพื้นที่ การดูแล และผลผลิตกับช่องทางการตลาด อาจารย์ธนากรเลือกจะเลี้ยงแกะเนื้อลูกผสมพันธุ์บอนด์ ซึ่งเป็นแกะสายพันธุ์ที่ให้ทั้งเนื้อและขนผสมกับแม่พันธุ์แกะพื้นเมือง เพราะลูกแกะลูกผสมที่ได้จะโตเร็ว แข็งแรง เนื้อเยอะ ขนสวย สามารถสร้างช่องทางการตลาดได้หลากหลาย

เช่น ขายเป็นลูกแกะป้อนนมให้กับรีสอร์ตต่างๆ ขายเป็นแกะเนื้อ หรือขายขนแกะก็ได้ นอกจากนั้น แกะให้ผลผลิตและผลตอบแทนเร็วกว่าการเลี้ยงวัว แกะขนาดตัวเล็ก ใช้พื้นที่น้อย เลี้ยงง่าย อายุ 6 เดือน ก็จับขายได้แล้ว แกะยังกินไม่เลือก และเหมาะกับการทำกิจกรรมเกษตรท่องเที่ยวอีกด้วย

ส่วนการเลี้ยงแมลงอย่าง จิ้งหรีด ก็เพราะเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตและผลตอบแทนเร็ว

ส่วนการเลี้ยงผึ้ง ถือว่าเป็นผลพลอยได้ เพราะผึ้งจะช่วยในเรื่องการผสมเกสรให้พืชในฟาร์ม นอกจากนั้น ผึ้งยังเป็นตัวชี้วัดความปลอดภัยในการผลิต หากว่าเราใช้สารเคมีมากเกินไป ผึ้งอาจจะอยู่ไม่ได้ การเลี้ยงผึ้งจึงช่วยบ่งชี้เบื้องต้นว่าเราทำการเกษตรปลอดภัยจริงหรือไม่ และน้ำผึ้งก็ยังขายได้ด้วย

ไม่น่าเชื่อนะคะว่า พื้นที่แค่เพียง 1 ไร่ สามารถทำอะไรได้ตั้งมากมายขนาดนี้ ก่อนจากกันอาจารย์ธนากร ฝากข้อคิดสำคัญมาว่า “การทำการเกษตรถึงแม้ว่าพื้นที่จะเล็กแค่ไหน กิจกรรมการผลิตจะมากน้อยเท่าใด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความขยัน ความเอาใจใส่ ความอยากรู้ใฝ่เรียนรู้ของเกษตรกรเอง กิจกรรมการผลิตยิ่งมีมาก เกษตรกรยิ่งต้องขยันและใฝ่รู้มาก จึงจะประสบความสำเร็จได้”

หากใครสนใจอยากจะเข้าเยี่ยมชม ฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจน หรือท่านใดอยากให้ อาจารย์ธนากร เที่ยงน้อย อบรมให้ความรู้เป็นหมู่คณะ ติดต่อไปได้ที่ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี โทร. 034-585-058-75 ได้ค่ะ ฉบับนี้หมดพื้นที่รันตีลาไปก่อน สวัสดีค่ะ

คุณนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงการติดตามสถานการณ์การผลิตหน่อไม้ฝรั่งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งบ้านซับลังกา ตำบลเกาะรัง อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ดำเนินการตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ปี 2561 ปัจจุบันมีสมาชิกเกษตรกร 30 ราย มี คุณฤกษ์ คงสมใจ เป็นประธานกลุ่ม ซึ่งทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานในรูปแบบคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งวางแผนการผลิตและการตลาดอย่างเป็นระบบ ผลผลิตผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

สำหรับด้านการผลิต พบว่า ปี 2564 ต้นทุนการผลิตของทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เฉลี่ยในปีแรก 41,956 บาท ต่อไร่ ต่อปี ซึ่งต้นทุนในปีแรกจะสูงเนื่องจากมีค่าต้นพันธุ์ ค่าเตรียมดิน ค่าแรงงานในการปลูกและดูแลรักษา และต้นทุนปีที่ 2-5 จะมีต้นทุนลดลงเฉลี่ยที่ 31,251 บาท ต่อไร่ ต่อปี โดยหน่อไม้ฝรั่งจะเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ 6 เดือนหลังจากเพาะปลูก และในรอบปีสามารถให้ผลผลิตถึง 4 รุ่น โดยผลผลิตเฉลี่ย 1,416 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี เกษตรกรได้ผลตอบแทน 81,718 บาท ต่อไร่ ต่อปี คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ (กำไร) 50,467 บาท ต่อไร่ ต่อปี ทั้งนี้ หากคิดเป็นผลตอบแทนของทั้งกลุ่มจะได้กำไร 1,920,816 บาท ต่อปี

ด้านราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยใน ปี 2564 แบ่งเป็น 6 เกรด คือ เกรด A+ ราคาเฉลี่ย 79 บาท ต่อกิโลกรัม เกรด A- ราคาเฉลี่ย 32 บาท ต่อกิโลกรัม เกรด B+ ราคาเฉลี่ย 40 บาท ต่อกิโลกรัม เกรด B- ราคาเฉลี่ย 30 บาท เกรด C ราคาเฉลี่ย 17 บาท และ ตกเกรด ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 6 บาท ต่อกิโลกรัม โดยผลผลิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ร้อยละ 95 จะส่งตลาดภายในประเทศ มีพ่อค้ามารับซื้อที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ส่งตลาดไท และตลาดต่างๆ ภายในประเทศ ส่วนร้อยละ 5 เกษตรกรสามารถทำได้ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จะมีบริษัทมารับซื้อเพื่อส่งออกต่างประเทศ ตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันผลผลิตของกลุ่มยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

“ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งบ้านซับลังกา ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อให้ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด โดยเน้นย้ำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ทั้งจากสำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และบริษัท เนเชอรัลแอนด์พรีเมี่ยมฟู้ด จำกัด ซึ่งได้ทำการซื้อขายร่วมกันเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งการบริหารจัดการของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ มีแนวโน้มจะขยายพื้นที่ปลูกที่ได้ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิกที่สามารถทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐาน GAP เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่า ปี 2565 ทางกลุ่มจะมีกำไรถึงปีละ 2,200,000 บาท” ผู้อำนวยการ สศท.7 กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีสภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน โดยหน่อไม้ฝรั่งจัดเป็นพืชผักที่มีศักยภาพชนิดหนึ่งของประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูง มีคุณค่าทางโภชนาสูง และตลาดต่างประเทศมีความต้องการ ซึ่งหากเกษตรกรสามารถผลิตได้ตามมาตรฐาน ตามกำหนด จะมีตลาดรับซื้อแน่นอน

หากเกษตรกรหรือท่านที่สนใจข้อมูลการผลิตหน่อไม้ฝรั่งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณฤกษ์ คงสมใจ ประธานกลุ่มวิสาหกิจกลุ่มผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งบ้านซับลังกา ตำบลเกาะรัง อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี โทร. 087-078-5436 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.7 ชัยนาท

ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกที่เรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะมีการนำมาเป็นเครื่องเทศ หรือส่วนผสมที่อยู่ในอาหารไทยหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นการทำต้มยำ การยำ หรือแกงเผ็ดต่างๆ ล้วนแล้วมีส่วนประกอบของตะไคร้เข้ามาช่วยทำให้อาหารมีรสสัมผัสและกลิ่นหอมมากขึ้น ซึ่งตะไคร้ถือว่าเป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายและถือว่าเป็นพืชสมุนไพรประจำบ้านเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เป็นพืชที่ปลูกง่าย จึงทำให้ในบางฤดูกาลราคาจำหน่ายอาจไม่ได้สูงมากเหมือนพืชผักชนิดอื่นๆ จึงทำให้เกษตรกรมีการปรับตัวในเรื่องของการทำตลาดด้านอื่นที่มีรายได้มากกว่าเดิม แทนที่จะปลูกเพื่อจำหน่ายต้นเพียงอย่างเดียว

คุณเสาวคนธ์ ภูมิผล เกษตรกรผู้ปลูกตะไคร้อยู่จังหวัดพิษณุโลก ได้มีการปรับเปลี่ยนจากการปลูกตะไคร้มาตัดเป็นใบส่งจำหน่ายแทนต้น เพราะตะไคร้ที่ตัดใบเมื่อนำมาตากแดดแล้วสามารถมาจำหน่ายเกิดรายได้ตลอดทั้งปี และด้วยความที่มีช่องทางการทำตลาดนี้เองจึงทำให้เธอแนะนำการปลูกกับญาติพี่น้อง จนทำให้มีกำลังผลิตที่ส่งตะไคร้ตัดใบเข้าโรงงานได้อย่างต่อเนื่องเป็นไปตามที่ลูกค้าต้องการ

คุณเสาวคนธ์ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันทำงานประจำอยู่ที่กรมชลประทาน โดยในช่วงว่างจากวันหยุดก็จะทำอาชีพเสริมควบคู่ไปด้วย คือการปลูกตะไคร้ต้นจำหน่าย ต่อมาเริ่มมองว่าตะไคร้ที่ตัดต้นจำหน่ายไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ทำให้เมื่อปลูกแล้วไม่สามารถตัดส่งจำหน่ายลูกค้าได้ทุกวัน และจำหน่ายได้ยาก เพราะในพื้นที่ทุกบ้านก็แทบจะมีการปลูกตะไคร้กันหมดทุกหลังคาเรือน จึงเห็นถึงความลำบากในการจำหน่ายตะไคร้แบบต้น ทำให้มีการปรับเปลี่ยนความคิดว่าต้องเปลี่ยนแผนการทำตลาดใหม่ ด้วยการทำใบตะไคร้ให้มีความสวยมากขึ้น เพื่อตัดใบแล้วนำมาตากแห้งส่งเข้าโรงงาน

“ช่วงแรกที่เราจะตัดใบเพื่อนำมาตากแห้งจำหน่าย ก็หาตลาดยากหน่อย เพราะช่วงนั้นยังไม่มีคนทำมาก เราก็ต้องมาบุกตลาด โดยหาโรงงานที่เขารับซื้อ เพื่อขอให้เขารับซื้อผลผลิตของเราทั้งหมด ซึ่งเราเองก็ต้องมีความต่อเนื่องของการผลิตด้วย ให้มีส่งโรงงานตลอด พอมีตลาดเรียบร้อยเราก็เริ่มมาปรับเปลี่ยน มาขยับขยายการปลูกให้มีเยอะขึ้น ตอนนี้รวมๆ แล้วมีแปลงปลูกประมาณ 20-30 ไร่ เป็นของเราด้วยและญาติๆ รวมกัน ช่วยกันทำตลาดจนสามารถตัดใบขายได้ทุกวัน” คุณเสาวคนธ์ บอก

การปลูกตะไคร้เพื่อตัดใบแล้วนำมาตากแห้งจำหน่ายนั้น คุณเสาวคนธ์ บอกว่า ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและที่สำคัญลงทุนต้นพันธุ์เพียงครั้งเดียวสามารถตัดใบได้นานหลายปี โดยก่อนการปลูกจะไถพรวนพื้นที่ปลูกประมาณ 2 ครั้ง เพื่อให้ดินร่วนซุยเหมาะสมต่อการปลูก ซึ่งสายพันธุ์ที่นำมาปลูกจะเป็นตะไคร้สายพันธุ์เกษตรเขียว และตะไคร้สายพันธุ์เกษตรขาว นำมาปลูกให้มีระยะห่างระหว่างแถวอยู่ที่ 70 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างต้นอยู่ที่ 20 เซนติเมตร โดยหลังปลูกไปแล้วได้ 10 วัน ต้องหมั่นเข้ามาภายในแปลงเพื่อพรวนดินให้ในพื้นที่ปลูกไม่มีวัชพืชที่อาจติดเข้าไปกับการเก็บเกี่ยวได้

ดูแลรดน้ำพร้อมกับกำจัดวัชพืชไปเรื่อยๆ แทงบอลออนไลน์ แบบนี้ประมาณ 3 เดือน ต้นตะไคร้ที่ปลูกทั้งหมดก็จะให้กอและใบที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวใบในชุดแรกจำหน่ายได้ ซึ่งการดูแลตะไคร้หลักๆ ไม่มีอะไรมากเพียงดูแลรดน้ำและใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ หรือจะเสริมด้วยปุ๋ยคอกที่หาได้จากในพื้นที่ ก็จะช่วยให้ต้นมีความสมบูรณ์ และออกใบที่เขียวสวยให้สามารถตัดได้ทุกๆ 20 วัน และที่สำคัญตะไคร้ไม่มีในเรื่องของแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น

“การเกี่ยวใบตะไคร้ที่ออกสมบูรณ์ดีแล้ว เราก็จะใช้เครื่องเกี่ยว โดยเราจะเกี่ยวและนำมาตากแห้งให้เสร็จภายในวันเดียว หรือถ้ามีเวลาก็จะเก็บเต็มวันไปเลย 1 วัน จากนั้นนำใบที่ได้มาตั้งพักไว้ก่อน พอวันรุ่งขึ้นก็นำใบที่ตัดมาหั่นและตากประมาณ 1 วัน จากนั้นก็เก็บเตรียมส่งโรงงานได้ทันที ทำแบบนี้หมุนเวียนกันไป ซึ่งถ้าเรามีการจัดการพื้นที่ปลูกที่ดี เราก็จะสามารถตัดใบขายได้ทุกวัน มีรายได้เข้ามาทุกวัน” คุณเสาวคนธ์ บอก

สำหรับใบตะไคร้ที่ตัดนำมาตากแห้งนั้น ก่อนที่จะทำให้แห้งยังเป็นใบสดอยู่ น้ำหนักต่อไร่จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ตัน ต่อไร่ หลังจากที่หั่นและตากแห้งเป็นเวลา 1 วันแล้ว น้ำหนักจะลดลงมาเหลืออยู่ที่ 200-300 กิโลกรัม โดยราคาที่โรงงานรับซื้อก็จะแตกต่างกันไป
โดยตะไคร้ที่ผ่านการตากแห้งที่ยังมีสีใบที่เขียวอยู่จะจัดอยู่ในเกรดที่มีคุณภาพ ราคาใบตะไคร้ตากแห้งเกรดเอ ราคาอยู่ที่กิโลกรัม 20 บาท และถ้าเป็นใบตะไคร้ตากแห้งที่เป็นเกรดลองลงมาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 17 บาท

โดยการทำใบตะไคร้ตัดใบอบแห้งเพื่อส่งโรงงานนั้น คุณเสาวคนธ์ บอกว่า ในช่วงแรกจะลงทุนในเรื่องของต้นพันธุ์และการเตรียมแปลงอย่างเดียว แต่เมื่อต้นตะไคร้โตเต็มที่และมีการดูแลใส่ปุ๋ยอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้ต้นตะไคร้มีความสมบูรณ์และตัดใบได้ตลอดทั้งปี และทำให้เธอมีรายได้ที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำตะไคร้ตัดใบ
“การทำตะไคร้ตัดใบอบแห้งนี้ ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม มันก็มีความเหนื่อยเป็นเรื่องปกติของการทำงาน แต่พอเห็นจำนวนเงินที่ได้ มันก็ทำให้เราหายเหนื่อยได้ดี อย่างเรามีการแบ่งพื้นที่ปลูกประมาณ 20-30 ไร่ เราก็สามารถตัดทำเงินได้ทุกวัน อย่างวันหนึ่งตากแล้วได้วันละ 100 กิโลกรัม อย่าง 1 อาทิตย์ที่เราสะสมได้ประมาณ 800-1,000 กิโลกรัม เราก็ไปส่งเข้าโรงงาน ทำแบบนี้ไปก็ทำให้เรามีรายได้ทุกอาทิตย์ ถือว่ามีรายได้ที่ดีไม่น้อยเลย” คุณเสาวคนธ์ บอก

สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะทำตะไคร้ตัดใบอบแห้ง เพื่อจำหน่ายสร้างรายได้นั้น คุณเสาวคนธ์ แนะนำว่า ให้ศึกษาข้อมูลในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องการตลาดและการปลูก หรือถ้ามีเวลาสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อไปเยี่ยมชมไร่ตะไคร้ของเธอได้ที่ บ้านเลขที่ 52/6 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านไร่ อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก หรือหมายเลขโทรศัพท์