ท่อนพันธุ์หญ้าเนเปียร์ที่เอามาปลูก มีลักษณะความยาวอยู่ที่

ปลูกให้มีระยะห่างระหว่างต้นอยู่ที่ 40-50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวอยู่ที่ 1.20 เมตร คล้ายๆ กับปลูกอ้อย เมื่อปลูกลงไปแล้วดูแลจนโตให้เกิดหน่อใหม่ คอยหมั่นดูดินในแปลงถ้าเห็นว่าดินแห้งก็ใส่น้ำเข้าแปลง พอหญ้าเนเปียร์ได้อายุ 2 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ประมาณ 3 กระสอบในพื้นที่ 5 ไร่ จากนั้นรอต่อไปอีก 2 เดือน หญ้าเนเปียร์ชุดแรกก็จะโตพร้อมให้ตัดขายได้” คุณอารีย์ บอก

เมื่อหญ้าเนเปียร์โตสมบูรณ์แล้ว การตัดออกจากกอต้องตัดให้เสมอดิน เพื่อที่เวลาเกิดหน่อขึ้นมาใหม่จะได้หน่อที่อวบสมบูรณ์ หลังจากตัดหญ้าขายแล้วให้ใส่น้ำเข้าพื้นที่ปลูกทันที พร้อมกับใส่ปุ๋ยบำรุงคือปุ๋ยเคมีสลับกับปุ๋ยคอก จะช่วยให้เกิดหน่อใหม่ที่เร็วกว่าชุดแรก ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก็ได้หญ้าเนเปียร์ชุดใหม่ตัดขายได้ทันที

ส่วนในเรื่องของการป้องกันโรคและแมลงนั้น คุณอารีย์ บอกว่า ตั้งแต่ปลูกมายังไม่พบการเข้าทำลายของโรคและแมลงให้เกิดความเสียหาย ทำให้ไม่มีการใช้สารเคมีในการจัดการ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าหญ้าที่ปลูกทุกต้น เมื่อสัตว์กินเข้าไปแล้วมีความปลอดภัยไม่เกิดอันตรายแน่นอน

ในการส่งหญ้าเนเปียร์ขายในแต่ละครั้งนั้น คุณอารีย์ บอกว่า จะจัดสรรพื้นที่การตัดให้ลงตัวเพื่อที่หญ้าจะได้โตหมุนเวียนสลับกันไป ทำให้เธอสามารถตัดขายได้ตลอด ส่วนตัวเธอเองก็มีการแบ่งเวลาให้ลงตัวในการทำอาชีพเสริมนี้ด้วย โดยช่วงเช้าจะตัดหญ้าเนเปียร์ภายในแปลงมาพักไว้ที่บ้าน ช่วงเย็นหลังสอนหนังสือจะนำหญ้าเข้าเครื่องสับให้ละเอียด โดยผู้ที่ช่วยเหลือเป็นกำลังหลักคือสามี เมื่อบดเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมส่งลูกค้าในวันถัดไป แล้วช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นก็จะไปช่วยกันกับสามีตัดหญ้าที่แปลงเตรียมไว้มาบดเวลาเย็น เมื่องานเช้าเสร็จเธอก็จะเตรียมตัวไปสอนหนังสือ จากนั้นให้สามีเป็นผู้ดำเนินการนำหญ้าที่ผ่านการสับเรียบร้อยแล้วไปส่งให้กับลูกค้าที่สั่งไว้

“หญ้าเนเปียร์ที่แปลงจะวางแผนการปลูกไว้อย่างดี ถ้าบางช่วงหญ้ามีมากๆ สามารถตัดขายได้วันละ 1 ตัน แต่ถ้าช่วงรอโตหน่อยใน 1 อาทิตย์ จะได้เฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ตัน ลูกค้าก็จะสั่งเราให้ไปส่งทุกอาทิตย์ ซึ่งหญ้าชนิดนี้ตัดใส่ถุงดำไว้นานๆ มันก็จะเป็นหญ้าหมัก เราก็มีทำขายได้ตลอด ราคาขายก็อยู่ที่ตันละ 1,200-1,300 บาท ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเลี้ยงโคในพื้นที่นี้เป็นหลัก ก็ถือว่าเป็นอาชีพเสริมที่ทำรายได้ดีทีเดียว” คุณอารีย์ บอก

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อสร้างรายได้ คุณอารีย์ บอกว่า เรื่องของการปลูกหญ้าเนเปียร์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะให้มีหญ้าตัดขายได้ตลอดทั้งปีนั้น ในเรื่องของพื้นที่ค่อนข้างสำคัญ ควรมีระบบน้ำที่เพียงพอให้กับแปลงหญ้า เมื่อถึงช่วงฤดูแล้งจะช่วยให้มีผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี พร้อมทั้งดูในพื้นที่ด้วยว่ามีฟาร์มที่เลี้ยงโคหรือทำปศุสัตว์ด้านอื่นๆ หรือไม่ ก็จะทำให้หญ้าที่ผลิตออกมามีตลาดส่งขายแน่นอน เกิดเป็นอาชีพที่มั่นคง

จังหวัดไหนๆ ก็ต้องมีไม้ผลของดีประจำจังหวัด ผลผลิตคุณภาพโดดเด่น สร้างงานและเงินให้กับเกษตรกรในจังหวัดอย่างน้อย 2-3 ชนิด จังหวัดมหาสารคามเอง เป็นจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ที่อาจมองไม่เห็นความเด่นของไม้ผลชัดมากนัก เพราะความเหมาะสมของพื้นที่ปลูก

สภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เมื่อหากย้อนรอยไป 2 ปีที่ผ่านมา “เมล่อน” ไม้ผลตระกูลแตง เริ่มมีเสียงกล่าวถึงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ 14 ไร่ ไม่นับว่ามาก หากใช้เป็นโรงเรือน โรงปรับปรุงพันธุ์ ของไม้ผลสักชนิด
แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ เทพมงคล ฟาร์ม หรือ บริษัท เทพมงคลเมล็ดพันธุ์ จำกัด ที่เพิ่งเปิดตัวทำฟาร์มเมล่อน ติดตั้งโรงเรือนและระบบน้ำหยด ให้เมล่อนคุณภาพดี เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา เพราะนับตั้งแต่ผลผลิตเมล่อนรุ่นแรกที่ได้ ก็ขึ้นห้างวางขายในราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 100 บาท

คุณมงคล ธราดลธนสาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทพมงคลเมล็ดพันธุ์ จำกัด หนุ่มไฟแรงที่เพิ่งผ่านการศึกษาจากสาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจบการศึกษาก็เข้าทำงานตำแหน่งนักส่งเสริมเมล็ดพันธุ์ ของบริษัทจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง และเป็นโอกาสดีที่ทำให้ตลอดระยะเวลาการทำงาน ได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเก็บเมล็ดพันธุ์ การปรับปรุงพันธุ์ รวมถึงการเดินทางไปส่งเสริมยังต่างประเทศหลายประเทศ ทำให้มีโอกาสเก็บเมล็ดพันธุ์เมล่อน และพืชผัก ผลไม้ชนิดอื่น ติดมือกลับมาด้วย

เมล่อน เป็นผลไม้ที่คุณมงคลเลือกปลูก เพราะเห็นว่าเป็นพืชระยะสั้น แต่มีมูลค่าทางเมล็ดพันธุ์สูง ระหว่างที่ยังทำงานประจำ ยังไม่มีโอกาสทำหน้าที่เกษตรกรเต็มตัว คุณมงคลก็เพิ่มรายได้เสริมให้กับครอบครัว ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกและรับซื้อคืนในราคาลูกละ 10 บาท และนำไปจำหน่ายเองในราคาลูกละ 35 บาท

เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการทำงาน และต้องการมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น อาชีพเกษตรกรรม จึงเป็นทางเลือกที่คุณมงคลเลือก ทำให้คุณมงคลลาออกจากงานประจำ เพื่อก้าวเป็นเกษตรกรเต็มตัว และคาดหวังจะใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์ในอาชีพของตนเอง

เริ่มต้นด้วยพื้นที่เพียง 4 ไร่ สำหรับทำโรงเรือนเมล่อน 8 หลัง บนเนื้อที่ 2 ไร่ และอีก 2 ไร่ ยังคงทำนา เพราะบริเวณโดยรอบที่ปลูกเป็นพื้นที่นาทั้งหมด ในการลงทุนครั้งแรก โรงเรือนเมล่อนลงทุนการก่อสร้างโรงเรือนและติดตั้งระบบทั้งสิ้น ประมาณ 40,000-50,000 บาท แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย พบว่า พลาสติกที่ใช้สำหรับติดตั้งโรงเรือนที่ผลิตในประเทศ มีขนาดความกว้างมากที่สุดเพียง 6 เมตร แต่โรงเรือนที่ตั้งใจสร้าง กำหนดขนาดไว้ที่ ความยาว 30 เมตร ความกว้าง 6.2 เมตร ทำให้ต้องมีรอยต่อ ซึ่งรอยต่อพลาสติกเป็นผลให้เกิดความชื้น เป็นรอยรั่วเมื่อถึงอายุขัย ไม่สามารถควบคุมความหวานของเมล่อนได้ จึงต้องนำเข้าพลาสติกสำหรับทำโรงเรือนจากประเทศกรีซ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อแบ่งครึ่งม้วนพลาสติก จะได้ความกว้าง 6.2 เมตร และความยาว 30 เมตร พอดีกับขนาดโรงเรือนที่ตั้งใจ

“พลาสติกที่สั่งจากประเทศกรีซ มีความเหนียวมาก สามารถทานแรงลมได้มากถึง 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ไม่ก่อให้เกิดตะไคร่น้ำหรือปรสิต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมากับเมล่อน ส่วนโครงสร้างเดิมเปลี่ยนจากเหล็กเป็นเหล็กแป๊บประปาซึ่งไม่เป็นสนิม และทั้งโครงสร้างและระบบในโรงเรือนแบบที่ใช้อยู่ มูลค่าโรงเรือนละประมาณ 100,000 บาท อายุการใช้งานนานถึง 30 ปี”

พื้นฐานเดิมที่เรียนรู้มาทางด้านการเกษตร ทำให้คุณมงคลรู้จักการคัดเมล็ดพันธุ์ นำมาปรับปรุงพันธุ์ และคัดเลือกให้ได้พันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีมาก ซึ่งเมล่อนเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ดำเนินการมาก่อนก่อตั้งฟาร์ม และได้เมล่อนสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา คือ สายพันธุ์ซันสวีท และสายพันธุ์หยกเทพ

ซันสวีท เป็นเมล่อนเนื้อส้ม ข้อยืด โตไว ทำให้ดีหนีเพลี้ยได้ไว หวาน กรอบ มีความหวานโดยสายพันธุ์ 14-15 บริกซ์ หากใส่ปุ๋ย ความหวานจะสูงถึง 18 บริกซ์ หยกเทพ เป็นเมล่อนเนื้อเขียว คล้ายเมล่อนญี่ปุ่น ข้อสั้น โตช้า ผลใหญ่ น้ำหนักผล 2-3 กิโลกรัม เนื้อหนา หวาน หอม ความหวานโดยสายพันธุ์ 13-14 บริกซ์ หากใส่ปุ๋ย ความหวานจะสูงถึง 16 บริกซ์

เรื่องของสีเนื้อเมล่อน คุณมงคล บอกว่า เมล่อนเนื้อสีเขียว เป็นสีที่ตลาดผู้บริโภคระดับกลางและระดับสูงต้องการมากกว่าเมล่อนเนื้อสีส้ม ดังนั้น หากเกษตรกรปลูกเมล่อนเนื้อสีใด ควรคำนึงถึงตลาดที่จะส่งจำหน่ายด้วย

สำหรับโรงเรือนมาตรฐานของฟาร์ม มีขนาดกว้าง 6.2 เมตร ยาว 30 เมตร ปลูกได้ 350 ต้น ในแต่ละต้นเมื่อให้ผล จะปลิดทิ้งเหลือเพียง 1 ผล ต่อต้น น้ำหนักต่ำสุดของผล 1.5 กิโลกรัม น้ำหนักมากที่สุดของผล 3 กิโลกรัม เฉลี่ยน้ำหนักผลอยู่ที่ 1.8 กิโลกรัม

ปัจจุบันมีโรงเรือนทั้งสิ้น 62 โรงเรือน บนพื้นที่ 14 ไร่

คุณมงคล กล่าวว่า เมล่อนเป็นพืชตระกูลแตง ดูแลง่าย แต่การปลูกในโรงเรือนจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดีในทุกฤดู สามารถควบคุมความหวานของเมล่อนได้ อีกทั้งยังลดปัญหาโรคและแมลง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำโรงเรือนมีขนาดตาถี่มาก ป้องกันแมลงเข้าภายในโรงเรือนได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบฟาร์มยังเป็นท้องนาอยู่ ทำให้ปัญหาแมลงศัตรูพืชพบได้น้อย เพราะไม่มีพืชตระกูลเดียวกันเป็นตัวชักจูง แต่การป้องกันโรค หลังเสร็จสิ้นการเก็บผลผลิตและเตรียมแปลงปลูก จะต้องกำจัดวัชพืชภายในโรงเรือนให้หมด เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้

การเพาะกล้า นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำอุ่น 2 ชั่วโมง จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์เก็บ ห่อด้วยผ้าดิบชุบน้ำบิดหมาด เก็บในกระติกหรือที่อับชื้น 25 ชั่วโมง สังเกตเห็นมีรากงอก ให้นำไปเพาะในถาดปลูก ขนาด 104 หลุม โดยใช้พีทมอสส์ (Peat moss) เป็นวัสดุเพาะกล้า รดน้ำเช้าเวลาเดียว 7-10 วัน จากนั้นย้ายปลูกลงแปลง

ระยะปลูก 50×50 เซนติเมตร ทำค้างความสูง 180 เซนติเมตร หรือพิจารณาจากความสูงสุดเอื้อมของแรงงาน เพื่อสะดวกเมื่อต้องดูแลต้น นำกล้าลงปลูก ภายในแปลงเป็นระบบน้ำหยด ให้น้ำเฉพาะเวลาเช้า นานประมาณ 10 นาที เมื่อติดลูกให้ลดปริมาณน้ำลงเรื่อยๆ ดูความชื้นเป็นหลัก และงดน้ำ ก่อนเก็บผล 10 วัน เมื่อติดผลขนาดไข่ไก่ให้โยงเชือกรับน้ำหนักผลเมล่อน และสามารถเก็บผลได้หลังจากย้ายปลูก 90 วัน

เมื่อเมล่อนให้ใบ 7 ใบ ให้แทงปุ๋ยลงกลางระหว่างต้น ใช้สูตร 16-16-16 จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ควรผสมเกสรไว้ 3 ผล เมื่อติดผลให้เลือกผลที่สมบูรณ์ที่สุดไว้เพียงผลเดียว เมื่อผลเริ่มคล้อยให้แทงปุ๋ยลงระหว่างต้น ที่เดิม สูตร 11-6-34 ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ

“เทพมงคล ฟาร์ม ให้ปุ๋ยเคมีน้อยมาก เพราะการปลูกให้เมล่อนได้ผลผลิตดี ควรดูแลด้วยอินทรียวัตถุดีกว่าปุ๋ยเคมี ซึ่งหากจะให้ก็เพียงเป็นตัวบำรุงเสริมเท่านั้น” ภายในโรงเรือนแปลงยาว 30 เมตร กว้าง 1 เมตร ใช้ปุ๋ยคอกจากมูลโคนม เพื่อให้ได้อินทรียวัตถุสูงและไม่มีเมล็ดหญ้าปะปนมา นอกจากนี้ ควรเลือกมูลโคนมที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยสับปะรด เพราะมูลดังกล่าวจะทำให้เมล่อนมีเนื้อสีเหลืองได้ ปริมาณปุ๋ยคอกที่ใช้ 30 กระสอบ ต่อโรงเรือน และทุกๆ 2 สัปดาห์ จะเพาะกล้า เพื่อตัดเมล่อนหมุนเวียนขายได้ตลอดปี

ปัจจุบัน เมล่อน เป็นพืชหลักของเทพมงคล ฟาร์ม แต่ละสัปดาห์ต้องผลิตส่งห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 600 กิโลกรัม แต่ความสามารถในการผลิตต่อสัปดาห์ สามารถเก็บผลได้มากถึง 5 ตัน ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่มีพ่อค้าแม่ค้ามาติดต่อซื้อไปขายยังแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น เขาใหญ่ วังน้ำเขียว ฉะเชิงเทรา ในราคาส่งกิโลกรัมละ 85 บาท และอีกจำนวนหนึ่งยังคงเก็บไว้สำหรับปรับปรุงพันธุ์ด้วย

สำหรับเกษตรกรมือใหม่ ต้องการสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว คุณมงคล แนะนำว่า ควรเริ่มจากโรงเรือน 3-5 โรงเรือน จำนวนผลผลิตต่อโรงเรือนเฉลี่ย 200 ต้น สร้างรายได้เฉลี่ยหลักหมื่น ต่อ 3 เดือน

นอกเหนือจากเมล่อน ซึ่งเป็นพืชหลักในการปลูกสร้างรายได้และพัฒนาพันธุ์ของเทพมงคล ฟาร์มแล้ว คุณมงคลยังสนใจพืชผักอีกหลายชนิด เช่น แตงกวา บวบงู มะเขือเทศเชอร์รี่สีเหลือง เป็นต้น ซึ่งพืชผักที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงพันธุ์ หากประสบความสำเร็จ เทพมงคล ฟาร์ม ก็พร้อมเปิดจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่สนใจทั่วไป

พืชที่น่าจับตามองชนิดหนึ่งในขณะนี้คืออินทผลัม และมีหนุ่มใหญ่อดีตโฟร์แมน มาทดลองปลูกสวนอินทผลัม คือ คุณวิเชียร เมืองวงค์ บ้านเลขที่ 75 หมู่ที่ 7 บ้านต๋อมดง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ที่ได้หันหลังอาชีพพนักงานของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ด้วยเงินเดือน 30,000 บาท มาปลูกผลไม้ โดยได้เลือกปลูกอินทผลัม หลังจากเริ่มต้นปลูกจำนวน 20 ต้น ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมกินผลสดได้รสชาติดี ปัจจุบัน ขยายพื้นที่ปลูกกว่า 60 ต้น โดยปลูกมากว่า 3 ปี ซึ่งปีนี้ผลผลิตเก็บขายได้ สามารถสร้างรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อต้น

ผลไม้ยอดฮิตสำหรับยุคนี้ต้องยกให้อินทผลัม ในช่วงก่อนหน้านี้เรามักจะคุ้นตากับอินทผลัมที่มาในรูปแบบของผลไม้ตากแห้ง นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นผลรีๆ เล็กๆ แห้งๆ สีน้ำตาลเข้ม วางขายอยู่ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ในราคาที่ค่อนข้างสูง จนเมื่อสัก 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ เราจะเริ่มเห็นอินทผลัมผลสดแขวนขายตามข้างทางหรือในซุปเปอร์มาร์เก็ตกันมากขึ้น จึงค่อนข้างเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนไทย เรื่องราคานั้นก็สูงเสียจนเรียกได้ว่า ต้องเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนเท่านั้น

ปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มมีการปลูกอินทผลัมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย แต่ยังมีผลผลิตไม่มากพอต่อความต้องการของตลาด ถึงราคาจะค่อนข้างสูง แต่ผู้บริโภคก็ยังสามารถซื้อกินได้ เพราะผลผลิตมีน้อย ตลาดที่รับส่วนใหญ่จะเป็นตลาดบน ตามห้างสรรพสินค้า และผู้บริโภคที่มาสั่งจองถึงสวน ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีการปลูกอินทผลัมกันมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขนาดลงขายในตลาดนัด ตอนนี้ยังอยู่ในระดับสูง ประมาณกิโลกรัมละ 300-1,000 บาทเลยทีเดียว ถ้าผลผลิตออกเยอะจริงๆ คงต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปีขึ้นไป ถึงจะมีราคาลดต่ำลง

อินทผลัม (อ่านว่า อิน-ทะ-ผะ-ลำ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542) หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Dates มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phoenix dactylifera L. เป็นไม้ผลที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง เช่น ในประเทศแถบตะวันออกกลาง ผลมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ออกเป็นช่อ รสหวานฉ่ำ รับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก เมื่อนำผลสุกไปตากแห้งจะสามารถเก็บไว้ได้นานหลายปี และจะมีรสชาติหวานจัดมากขึ้น จนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลไม้เชื่อม จัดเป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีหลากหลายสายพันธุ์ เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งอย่างทะเลทราย โดยอินทผลัมมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง

ประเทศที่ผลิตอินทผลัมรายใหญ่ ได้แก่ อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อาหรับ แอลจีเรีย เรียงตามลำดับ เนื่องจากเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้ง เหมาะกับหลายพื้นที่ในประเทศไทย ปัจจุบัน ประเทศไทยนำเข้าอินทผลัมจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายแต่มีราคาค่อนข้างสูงมาก และส่วนมากมีแต่อินทผลัมแบบแห้ง ส่วนอินทผลัมสดมีน้อยมาก ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ผลิตส่งตลาด ดังนั้น อินทผลัมจึงมีโอกาสเติบโตในตลาดบ้านเราได้สูงอย่างแน่นอน โดยทั่วไปอินทผลัมจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-4 ปี ก็จะผลิดอกออกผล ซึ่งอัตราการให้ผลผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 150-250 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 25 ต้น

ลักษณะของอินทผลัม ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร ขนาดของลำต้น 30-50 เซนติเมตร ลักษณะของใบเป็นแบบขนนกยาวแหลมติดอยู่บนต้นประมาณ 40-60 ก้าน แต่ละใบมีทางยาวประมาณ 3-4 เมตร ใบย่อยจะพุ่งออกแบบหลากหลายทิศทาง และดอกจะออกเป็นช่อ ออกดอกบริเวณโคนกาบใบ ลูกอินทผลัมมีลักษณะเป็นผลทรงกลมรี ออกเป็นช่อ มีความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ สามารถกินได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลอินทผลัมสดจะมีสีเหลืองไปจนถึงสีส้ม และเมื่อแก่จัดผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) พัฒนาการของผลอินทผลัมจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะผลดิบ > ระยะสมบูรณ์ > ระยะสุกแก่ > ระยะผลแห้ง โดยผลอินทผลัมสุกสามารถนำไปตากแห้งเก็บไว้กินได้หลายปี และจะมีรสชาติหวานจัดเหมือนกับการนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล

การขยายพันธุ์อินทผลัม สามารถทำได้ 3 วิธี คือ เพาะจากเมล็ด แยกหน่อจากต้นแม่ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพาะจากเมล็ด การขยายพันธุ์จากเมล็ดจะมีข้อดีคือ ขยายพันธุ์ปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว โดยมีต้นทุนในระยะแรกต่ำกว่าวิธีอื่น แต่เนื่องจากอินทผลัมเป็นพืชที่ไม่สมบูรณ์เพศ การขยายพันธุ์โดยเมล็ด โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละครึ่ง และจะไม่สามารถทราบเพศของต้นอินทผลัมจากการเพาะเมล็ด ต้องปลูกไว้และรอจนกว่าอินทผลัมจะออกดอกก่อนจึงจะทราบเพศ ถึงแม้ว่าจะได้ต้นตัวเมียไปปลูก แต่คุณภาพผลอินทผลัมก็จะไม่เหมือนกับต้นแม่ เนื่องจากผลอินทผลัมเป็นผลที่ได้จากการผสมเกสรข้ามต้น จึงถือว่าเมล็ดที่ได้เป็นพันธุ์ลูกผสม ไม่ใช่พันธุ์แท้ ซึ่งไม่สามารถเรียกชื่อเดียวกับต้นแม่ได้ ทั้งนี้ คุณภาพของผลอินทผลัม ทั้งในเรื่องของขนาดหรือรสชาติอาจจะแย่ลง หรือใกล้เคียงต้นแม่พันธุ์เดิม หรือดีขึ้นก็ได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยมากที่คุณภาพจะดีขึ้น ส่วนมากจึงนิยมใช้ต้นที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อความมั่นใจในสายพันธุ์ เเละความคุ้มค่ามากกว่าการเพาะเมล็ด

แยกหน่อจากต้นแม่ การขยายพันธุ์โดยการใช้หน่อเราเรียกว่า “การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ” ซึ่งเป็นวิธีการในการขยายพันธุ์อินทผลัมที่ใช้กันมานานแล้ว โดยอาจจะใช้มานานนับพันปี การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้จะได้อินทผลัมพันธุ์แท้ โดยหน่อจะมีคุณลักษณะที่เหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ หน่อจะเกิดขึ้นที่บริเวณซอกใบ โดยอาจจะต้องใช้เวลา 4-6 ปี กว่าที่จะพร้อมในการนำไปปลูกได้

ตลอดอายุขัยของอินทผลัมจะมีหน่อประมาณ 20-30 หน่อ โดยหน่อจะทยอยเกิดขึ้นในช่วงไม่เกิน 15 ปีแรก โดยมีหน่อที่เราจะสามารถแยกไปปลูกได้ปีละ 3-4 หน่อ อินทผลัมที่ออกหน่อดีคือ สายพันธุ์ Zahidi, Berim และ Hayani ส่วนสายพันธุ์ที่ให้หน่อน้อย คือ Mektoum และ Barhi

ระบบรากของหน่อต่างจากต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ด โดยต้นกล้าจะมีรากรอบๆ โคนต้น ส่วนหน่อจะไม่มีรากในบริเวณที่ติดกับต้นแม่ หลังจากเราแยกหน่อออกมาจากต้นแม่แล้ว เราจะต้องทำการเพาะเลี้ยงอนุบาลไว้ในเรือนเพาะชำเป็นเวลา 1-2 ปี ก่อนจะนำไปปลูก

ปัจจุบันในประเทศไทย ยังไม่มีการจำหน่ายหน่อพันธุ์อินทผลัมในเชิงพาณิชย์ และหากจะสั่งหน่อพันธุ์มาจากต่างประเทศ จะมีราคาสูงมาก โดยราคาหน่อพันธุ์จะมีราคาสูงกว่าต้นกล้าที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ทำให้หากสั่งซื้อหน่อต้นพันธุ์มาปลูกแล้ว การลงทุนด้วยวิธีนี้ในระยะแรกจะสูงที่สุด วิธีนี้จึงเหมาะกับสวนที่มีต้นเมล็ดพันธุ์อินทผลัมที่ดีอยู่แล้ว และต้องการขยายการเพาะปลูกอินทผลัมออกไป

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้คือ การโคลนนิ่ง ต้นกล้าที่ได้จึงเป็นพันธุ์แท้ โดยจะมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าการปลูกด้วยเมล็ด ปัจจุบัน การปลูกในเชิงพาณิชย์ของต่างประเทศจะนิยมวิธีนี้ เนื่องจากสามารถบริหารจัดการแปลงปลูกได้ดีกว่า ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดีและสม่ำเสมอ ให้ผลผลิตได้เร็ว สามารถปลูกได้ปริมาณมากตามต้องการและทุกฤดูกาล ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงในระยะเวลาสั้น สำหรับในประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศและราคายังค่อนข้างสูงอยู่ โดยในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยอาจจะสามารถที่จะผลิตอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้เอง ซึ่งจะทำให้ราคาต้นกล้าลดลงจากปัจจุบัน และลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้

สายพันธุ์ที่นิยม อินทผลัมมีหลากหลายสายพันธุ์ Royal Online V2 แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ เป็นกลุ่มกินผลสดและกินผลแห้ง สำหรับกลุ่มผลแห้งอาจไม่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของเมืองไทย สายพันธุ์ที่เป็นที่นิยม เช่น พันธุ์บาฮี (Barhee / Barhi) เป็นพันธุ์กินสดโดยเฉพาะ มีแหล่งกำเนิดในประเทศอิรัก ปัจจุบัน มีการปลูกกันแพร่หลายในหลายประเทศ กล่าวกันว่า พันธุ์บาฮี เป็น “แอปเปิ้ลแห่งตะวันออกกลาง” ลักษณะเด่นของสายพันธุ์นี้ จะมีผลทรงไข่อ้วนกลมกว่าสายพันธุ์อื่น ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและกลายเป็นสีเหลืองทอง จนกระทั่งเป็นเป็นสีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อนิ่มเมื่อแก่จัด รสชาติหวานอร่อย

นิยมเก็บเกี่ยวและจำหน่ายกันแบบทะลาย เพื่อให้ขายได้ราคาดี ส่วนผลที่ร่วงจากทะลายนั้นจะได้ราคาถูกกว่า นิยมนำมากินสดมากกว่าแบบแห้ง เพราะเนื้อจะกรอบ หวาน แต่มีรสฝาดเพียงเล็กน้อยในคำแรกเท่านั้น

วิธีการเลือกซื้ออินทผลัมแบบผลแห้ง ก่อนซื้อควรสังเกตวันหมดอายุที่ข้างกล่องและตรวจสอบสภาพของผล ที่ควรจะสุกแบบพอดี ไม่แห้ง หรือฉํ่าเละจนเกินไป โดยปัญหาหลักของแบบแห้ง คือเรื่องของแมลงและทราย ซึ่งตรวจสอบได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายคงไม่ยอมให้ลูกค้าเปิดกล่องเพื่อให้พิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ควรเลือกซื้อยี่ห้อที่ได้รับความนิยม รวมทั้งเลือกซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้

อินทผลัมแบบผลสด สามารถเลือกซื้อได้สะดวกกว่าแบบผลแห้ง เพราะลูกค้าจะเห็นลักษณะของผลที่ชัดเจน ดังนั้น หากต้องการซื้ออินทผลัมเพื่อกินทันที หรือคาดว่าจะกินหมดภายใน 1-2 วัน ก็ควรเลือกซื้อผลสดที่ค่อนข้างสุกฉํ่า (เริ่มมีรอยสุกช้ำบริเวณส่วนของฐานผล) เพราะจะเป็นช่วงสภาพที่ผลสดมีรสชาติหวานที่สุด (ฝาดน้อย) แต่หากเลือกแบบผลสด ที่สวยเต่งตึง แม้ว่าจะสามารถกินได้เลย แต่ก็จะมีรสฝาดค่อนข้างมาก แต่ข้อดีคือ สามารถเก็บได้นาน 4-7 วัน

อินทผลัมสดและอินทผลัมแห้ง แบบไหนอร่อยกว่ากัน สำหรับอินทผลัมสดกับอินทผลัมแห้งจะต่างกันตรงที่เนื้อสัมผัส หากแบบสดให้กินในช่วงเวลาที่สุกพอดีก็จะมีความกรอบนิดๆ หวานอร่อย ซึ่งอินทผลัมส่วนใหญ่นิยมกินสดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นการกินสดยังได้สารอาหารแบบเต็มที่ ไม่เสียความฉ่ำของเนื้ออินทผลัมด้วย แต่อินทผลัมบางพันธุ์ก็ไม่นิยมกินสด เนื่องจากจะติดรสฝาด จึงต้องนำไปทำเป็นอินทผลัมอบแห้ง ข้อดีคือสามารถเก็บเอาไว้ได้นาน โดยจะต้องมีกระบวนการอบแห้ง เพื่อยืดอายุของอินทผลัม แต่ก็ยังคงความหอมอร่อยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการนำอินทผลัมไปเคลือบช็อกโกแลต หรือเพิ่มเติมรสชาติอื่นๆ อีก เป็นทางเลือกในการกินของหวานได้ดียิ่งขึ้น