นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดมีการระบาดของโรคและแมลงเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงอย่างมากมาย การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณสมบัติทนต่อสภาพเครียดๆ หลายลักษณะ แต่ให้ผลผลิตสูง ปรับตัวได้ดีในพื้นที่ราบลุ่ม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษาวิจัย

โดยดำเนินการในพื้นที่แปลงนาวิจัย ซึ่งมีพื้นที่ 10 ไร่ แบ่งเป็นแปลงขยายเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้าหอมวาริน พื้นที่ 3 ไร่ และงานวิจัยของนักศึกษาพืชไร่ จำนวน 7 การทดลอง ดังนี้

การศึกษาพันธุ์และเปรียบเทียบผลผลิตเบื้องต้นของข้าวเจ้าหอมสายพันธุ์ปรับปรุงต้านทานโรคไหม้ (BC2F7และ BC2F8) จำนวน 45 สายพันธุ์ ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (BC2F4 และ BC2F5) จำนวน 39 สายพันธุ์ ต้านทานโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (PY-F7 และ PY-F8) จำนวน 40 สายพันธุ์
การศึกษาพันธุ์และเปรียบเทียบผลผลิตเบื้องต้นของข้าวเจ้าหอมสายพันธุ์ปรับปรุงต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง (F6)จำนวน44 สายพันธุ์ ต้านทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล(F6) จำนวน 42 สายพันธุ์

การประเมินผลผลิต และองค์ประกอบผลผลิตเบื้องต้นของข้าวเจ้าหอมสายพันธุ์ปรับปรุงต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำนวน39 สายพันธุ์
อิทธิพลของปุ๋ยโพแทสเซียมต่อผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของข้าวเจ้าหอมวารินในดินทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
การศึกษาเปรียบเทียบผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของข้าวเจ้า จำนวน8 พันธุ์/สายพันธุ์
การศึกษาเปรียบเทียบผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของข้าวเหนียว จำนวน7 พันธุ์/สายพันธุ์
การสืบค้นยีนสำคัญทางเศรษฐกิจโดยใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอและการประเมินคุณภาพการหุงต้มของข้าวพื้นเมืองไทย

จนในที่สุดก็สามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเจ้าหอมวาริน ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่น สามารถตอบโจทย์เกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี เพราะได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าว สามารถทนน้ำท่วมฉับพลัน ทนเเล้ง ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตสูง ปรับตัวได้ดีในพื้นที่ปลูกข้าว อาศัยน้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวสุกมีกลิ่นหอม และมีความนุ่มเหนียวคล้ายข้าวดอกมะลิ 105 โดยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมสนับสนุน นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในอนาคตของเกษตรกรที่สนใจเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยพร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณ ส่งเสริมพัฒนางานวิจัยสู่ชุมชนและสังคมอย่างมีสุข ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมแปลงนาทดลอง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โทรศัพท์ 045-353-000

“ข้าวพันธุ์นี้มีระยะปลูก 120 วัน เป็นข้าวนาปี เป็นข้าวพื้นนุ่มที่ประเทศผู้นำเข้าต้องการ ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์เกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสาน เพราะทนน้ำท่วมฉับพลัน ทนเเล้ง ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตสูง ปรับตัวได้ดีในพื้นที่ปลูกข้าวอาศัยน้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คุณสมบัติเด่นข้าวสุกมีกลิ่นหอม มีความนุ่มเหนียวคล้ายข้าวดอกมะลิ 105 แต่เมล็ดสั้นกว่าหอมดอกมะลิ จึงแยกออกจากกันได้ง่าย แยกการปลอมปนได้ด้วยสายตา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจดทะเบียนรับรองพันธุ์พืชใหม่ จากนั้นก็จะจดคุ้มครองพันธุ์พืชต่อไป” รศ.ดร. สุรีพร กล่าว

นอกจากนี้ ยังกล่าวอีกว่า ในอนาคตต้องการให้เกษตรกรสามารถทำแปลงเมล็ดได้เองโดยไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก และหากเกษตรกรสามารถปลูกได้มาตรฐานและมีปริมาณมากพอแล้วก็จะเป็นข้าวที่มีอนาคต สามารถส่งออกได้ตามความต้องการของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งต่อไปเกษตรกรต้องปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ๆ เป็นทางเลือก ไม่ปลูกเฉพาะข้าวพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง และต้องมองถึงความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่มที่ตลาดโลกมีความต้องการสูง แต่ประเทศไทยปลูกน้อย ทำให้เสียโอกาสทางการตลาด

ขณะเดียวกันยังต้องทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการโรงสีให้รับซื้อข้าวพันธุ์ใหม่ เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรปลูกไปแล้วแต่โรงสีไม่รับซื้อ เพราะเป็นข้าวเมล็ดสั้น ไม่ตรงกับสเปคของตลาดและกลัวไปปนกับข้าวหอมมะลิ

สอดคล้องกับความเห็นของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย โดย คุณเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่ได้ให้ความเห็นว่า หากปัญหาการขาดแคลนข้าวพื้นนุ่มเพื่อส่งออกเพราะข้าวที่ประเทศไทยปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวพื้นแข็ง และปัญหาอื่นๆ ทั้งข้อมูลผลผลิตข้าวไม่ตรงกันระหว่างหน่วยงาน ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ยังไม่ได้ถูกแก้ไขภายใน 5 ปีนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยฟันธงว่า ไทยที่เคยเป็นผู้ส่งออก อันดับ 1 อาจหล่นไปอยู่ที่ 5 ต่อจากเมียนมาและจีน จากปัจจุบันไทยอยู่ อันดับ 3 เป็นรองอินเดีย และเวียดนาม ไปแล้ว

โดย คุณเจริญ ระบุว่า ในปี 2563 ไทยส่งออกข้าวได้ประมาณ 5.7-5.8 ล้านตัน จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะส่งออกได้ถึง 7.5 ล้านตันตอนต้นปี และปรับลดลงมาเหลือ 6 ล้านตันเมื่อกลางปี เนื่องจากประสบกับปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวต่อเนื่อง ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ใช้บรรจุสินค้า ประกอบกับค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้การส่งมอบสินค้าต้องล่าช้ากว่ากำหนด และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

รวมทั้งการระบาดของ โควิด-19 ทั่วโลกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าชะลอตัว ซึ่งภาวะราคาข้าวของไทยในช่วงนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทั้งข้าวขาวและข้าวนึ่ง ขณะที่ข้าวหอมมะลิค่อนข้างทรงตัว ท่ามกลางภาวะค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวไทยห่างจากอินเดีย ประมาณ 150 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

โดยเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา สมาคมประกาศราคาข้าวขาว 5% ที่ 529 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่เว็บไซต์ Oryza.com รายงานราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อยู่ที่ 498-502 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน อินเดีย อยู่ที่ 368-372 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และปากีสถาน อยู่ที่ 410-414 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

ด้วยเหตุนี้เองภาครัฐโดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับทุกภาคส่วนจัดทำ “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย (ปี 2563-2567)” ภายใต้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ตั้งเป้า “ไทยเป็นผู้นำในด้านการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก”

มีพันธกิจสำคัญ 4 ด้าน คือ

ด้านการตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นการสนองต่อความหลากหลายของตลาดข้าว ซึ่งมีความต้องการข้าวที่หลากหลายชนิดที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวพื้นนุ่มที่เป็นความต้องการของตลาด
ด้านการตลาดภายในประเทศ ดำเนินการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของการบริโภคในประเทศและการผลิตในประเทศ
ด้านการผลิต ต้องลดต้นทุนการผลิตให้เหลือไม่เกิน ไร่ละ3,000 บาท จากปัจจุบันเฉลี่ย ไร่ละ6,000 บาท, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่ จาก 465 กิโลกรัม เป็น 600 กิโลกรัม, เพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ ในช่วงระยะเวลา 5 ปี
เป้าหมายเพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่มีลักษณะสั้น เตี้ย ดก ดี โดย 12 พันธุ์ ประกอบด้วยข้าวพื้นนุ่ม 4 พันธุ์ ข้าวพื้นแข็ง 4 พันธุ์ ข้าวหอมไทย 2 พันธุ์ และข้าวที่มีโภชนาการสูง 2 พันธุ์

รวมถึงดำเนินการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาพันธุ์เพื่อนำไปสู่การแข่งขันในตลาดข้าวโลกได้ต่อไป สำหรับ ปี 2564 จะเป็นกรณีพิเศษ จะมีการจัดประกวด 2 ครั้งคือ ในต้นปีและปลายปี

สำหรับข้าวพื้นนุ่มนั้น กรมการค้าต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเร่งผลักดันเพื่อให้มีมาตรฐานการซื้อ-ขายในอนาคต ให้ความสำคัญเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น ด้านเคมีและด้านกายภาพ ควรใช้ค่าอะไรบ้าง เกณฑ์ที่ใช้เป็นมาตรฐานในการวัดควรมีอะไร ซึ่งยังต้องดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดจำนวนมาก เช่น สี ความยาว ลักษณะเมล็ด รวมถึงองค์ประกอบคณะกรรมการที่จะเข้ามาดูแลว่า ต้องมาจากส่วนใดบ้าง

ทั้งหมดนี้ก็หวังว่าจะทั้งสามประสานคือ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐ จะร่วมกันแก้ไขปัญหาข้าวไทยได้สำเร็จและยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งให้กับชาวนาไทย ขณะเดียวกันก็ทำให้ประเทศไทยกลับมาผงาดเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าว อันดับ 1 ของโลก ทั้งปริมาณและมูลค่า ก่อนที่ประเทศไทยจะตกขบวนการเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวโลกแบบกู่ไม่กลับ

สวนนงนุชพัทยา ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สวนสวยของโลก มีรางวัลเหรียญทองการจัดสวนสวยระดับโลก ในงาน Chelsea Flower Show เป็นเครื่องการันตีคุณภาพติดต่อกันถึง 6 ปี ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2009-2015 ผลงานการจัดสวนสวยล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2562 คือ Garden in the sky สวนดอกไม้ลอยฟ้าแห่งแรกของโลก ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว เพราะเป็นสวนสวยในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หลายคนอาจเคยเห็น สวนลอยฟ้า ตามศูนย์การค้าและโรงแรมต่างๆ ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสวยงาม เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และเป็นจุดถ่ายรูปที่โดดเด่นให้แก่ลูกค้า คุณกัมพล ตันสัจจา หรือ คุณโต้ง ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้รวบรวมแนวคิด นำระบบการจัดสวนที่ดีที่สุดมาใช้ในสวนลอยฟ้าแห่งนี้ เพื่อจุดประกายความคิดให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาตินำไปประยุกต์ใช้ในการตกแต่งสวนสวยที่บ้าน โดยใช้พื้นที่ไม่มากนัก แต่ช่วยให้บ้านเรือนมีพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น ทำให้เมืองไทยเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ในอนาคต

“การสร้างสวยลอยฟ้า ถามว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม ผมไม่รู้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสวนพฤกษศาสตร์สำคัญของโลกที่เมืองไทยต้องมี” คุณโต้ง กล่าว

สวนลอยฟ้า สร้างขึ้นจากความคิดของ คุณโต้ง ที่บ่มเพาะความคิดในการจัดสวนสวยให้เป็นที่พึงพอใจ และชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมากที่สุด ไอเดียการจัดสวนลอยฟ้า นอกจากอาศัยพื้นฐานประสบการณ์การจัดสวนสวยทั้งในประเทศและต่างประเทศมานานหลายสิบปีของคุณโต้งแล้ว

คุณโต้งพร้อมทีมงานยังได้ศึกษาดูงานการจัดสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า งาน ดูไบ มิราเคิล การ์เด้น 2019 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากเมืองดูไบมีสภาพอากาศร้อนคล้ายคลึงกับประเทศไทย เปิดให้นักท่องเที่ยวชมสวนได้ปีละ 6 เดือน

ขณะเดียวกัน คุณโต้งและทีมงานได้ศึกษาดูงานที่ บริษัท ELT เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกด้านการผลิตอุปกรณ์การปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ในรูปแบบสวนกำแพงแนวตั้ง รวมทั้งการออกแบบระบบน้ำแรงดันสูงที่ได้มาตรฐาน และมีระบบน้ำหยดรดน้ำได้ทั่วทั้งต้นไม้และดอกไม้อย่างเท่าเทียมกัน ทั้งมีระบบควบคุมรากไม่ให้มีการเจริญเติบโตมากจนเกินไป

คุณโต้ง ได้นำรูปแบบของสวนสวยของเมืองดูไบและเทคโนโลยีการปลูกต้นไม้และระบบการให้น้ำของอินเดีย พร้อมทั้งศึกษาพรรณไม้ดอกที่ทนต่อสภาพอากาศร้อนเหมือนประเทศไทย เพื่อนำมาปลูกขยายพันธุ์และจัดแสดงในสวนนงนุชพัทยาเพื่อให้คนไทยมีโอกาสเดินทางมาชมความสวยงามของพันธุ์ไม้ต่างๆ ได้ที่สวนนงนุชพัทยา โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศ

สวนสวยในมุมมอง Top View

ปัจจุบัน สวนลอยฟ้า กลายเป็นสวนพฤกษชาติที่ยิ่งใหญ่งดงามตระการตา เป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวได้อย่างดี เพราะมีพรรณไม้ปลูกหมุนเวียนสับเปลี่ยนทั้งปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Garden in the sky เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการชมสวนรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Top View มี Sky Walk ในสวนให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมความงามของพรรณไม้พร้อมถ่ายรูปวิวทิวทัศน์สวนสวยสุดประทับใจ ทั้งภาพมุมสูงได้อย่างสะดวกสบาย

คุณโต้ง สร้างสวนลอยฟ้าอยู่ในอาคารโดมขนาดมหึมา มีหลังคากันแดดกันฝน ขนาดความกว้าง 80 เมตร ยาว 90 เมตร ความสูงของอาคาร 25 เมตร เทียบเท่ากับตึกสูง 5 ชั้น เนื้อที่สวน 7,000 ตารางเมตร สามารถรองรับการเข้าชมของนักท่องเที่ยวในแต่ละครั้งพร้อมกันได้ถึง 7,000 คน

นอกจากนี้ ยังออกแบบสวนสวยในลักษณะอารยะสถาปัตย์เพื่อมวลมนุษยชาติ โดยติดตั้งลิฟต์สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่ใช้รถวีลแชร์ให้สามารถชมสวนแบบท็อปวิวได้เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวทั่วไป และสร้างห้องอาหารติดแอร์ไว้รองรับผู้มาใช้บริการได้มากถึง 2,000 คน

ภายในสวนนี้ได้นำไม้ดอก ไม้ประดับหายาก ที่อนุรักษ์ภายในสวนพฤกษศาสตร์ นานกว่า 40 ปี มาบูรณาการ ตกแต่งร่วมกับไดโนเสาร์ สัตว์โลกล้านปีสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนและเยาวชนรุ่นใหม่ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมกับการท่องเที่ยว นำไปสู่การอนุรักษ์พันธุ์พืช สัตว์ ในอนาคต

9 พุทธปฏิมากรคู่แผ่นดินสยาม

นักท่องเที่ยวที่มาเช็คอินสวนลอยฟ้า นอกจากได้ชื่นชมกับพรรณไม้นานาชนิดแล้ว ยังได้อิ่มอกอิ่มใจในพลังบุญกับการไหว้พระ ขอพรจาก 9 พุทธปฏิมากรคู่แผ่นดินสยาม หรือ โซนพระ 9 วัด

ซึ่งทางสวนนงนุชพัทยาได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญของประเทศไทยทั่วทุกภาค ได้แก่ พระแก้วมรกต กรุงเทพฯ หลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธมหาสุวรรณศกยมุนี จังหวัดนครพนม พระพุทธไตรรัตนนายก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย หลวงพ่อวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม พระพุทธสิหิงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และหลวงพ่อบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งพระพุทธรูปทุกองค์ประดิษฐานบนบุษบกที่สร้างขึ้นอย่างสวยงามวิจิตรบรรจง

นอกจากนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังได้สร้างพระพุทธปฏิมากรประจำวันเกิด โดยอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ บุษบกติดผนังกำแพงต้นไม้สวนลอยฟ้า ถือเป็นมงคลสูงยิ่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ กราบไหว้ เป็นขวัญกำลังใจและความเป็นสิริมงคล และเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ปกปักรักษาคุ้มครอง

โชว์พันธุ์ไม้ 18,000 ชนิด

คุณโต้ง ได้นำความพิเศษของพืชพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดที่เก็บรวบรวมสะสมมามากกว่า 40 ปี ที่มีมากถึง 18,000 ชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้อวบน้ำ ตะบองเพชร ไม้ตัดแต่ง บอนไซ ไม้ภายใน เฟิน สับปะรดสี ฯลฯ มาผสมผสานกับงานประติมากรรม รูปร่างต่างๆ รูปปั้นไดโนเสาร์ กระถางดินเผาที่นำมาร้อยเรียงเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น หัวใจ รถตุ๊กตุ๊กรูปซุ้มครึ่งวงกลม งานปั้นรูปร่างเสมือนคน ตุ๊กตา ฯลฯ

รวมทั้งจัดแสดงดอกไม้หลากสีสันเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น หัวใจ ดาว พีระมิด และอื่นๆ ทำให้สวนลอยฟ้ากลายเป็นสวนสวยที่สุดพรรณนา เรียกว่าเป็นสวรรค์บนดิน นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมดอกไม้ภายในสวนลอยฟ้านี้อย่างร่มรื่นเย็นสบายได้ตลอดทั้งปี

หากใครมีเวลาว่าง อยากเชิญชวนให้ออกมาเที่ยวชมสวนลอยฟ้าที่เเปลกเเละใหญ่ที่สุดในโลก ที่นักท่องเที่ยวหลายคนยืนยันว่า สวนลอยฟ้าของสวนนงนุชพัทยาสวยงามกว่า Garden by the Bay ที่โด่งดังของสิงคโปร์เสียอีก จริงหรือไม่ คงต้องท้าให้ทุกท่านลองมาพิสูจน์ความจริงด้วยสายตาของท่านเอง

หากใครชื่นชอบการบริโภคแก้วมังกร อยากปลูกแก้วมังกรไว้กินเอง แต่มีพื้นที่น้อย ขอแนะนำให้ปลูกแก้วมังกรในกระถาง ใช้งบประมาณไม่มาก ดูแลจัดการง่ายอีกต่างหาก

เริ่มจากจัดเตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ ได้แก่ ท่อน้ำทิ้งข้างในกลวงหน้ากว้าง 4 นิ้ว ยาว 1.3 เมตร (หรือเสาไม้ก็ได้)
กระถางหน้ากว้าง 50 เซนติเมตร
ค้างด้านบนอาจทำจากไม้หรือปูนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง x ยาว 30 เซนติเมตร
ขุยมะพร้าว
ดิน
เชือกฟาง 2.ใส่ขุยมะพร้าวรองก้นกระถางเพื่อให้น้ำถ่ายเทได้ดี ในอัตราส่วน 1 ใน 3 ของปริมาตรกระถาง จากนั้นนำดินสำเร็จรูปผสมกับขุยมะพร้าวหรือแกลบดำใส่ลงไปในกระถางจนถึงขอบกระถาง

3.นำต้นแก้วมังกรมาปลูกให้ชิดกับเสา แล้วใช้เชือกฟางมัดต้นแก้วมังกรให้ติดกับเสา ไม่ต้องมัดให้แน่นมาก ควรผูกไว้จนกว่าต้นแก้วมังกรจะเจริญเติบโตจนพ้นหัวเสา

4.จากนั้นนำดินมากลบด้านบนของกระถางเป็นอันเสร็จ ต้นแก้วมังกรเป็นสามเหลี่ยมแต่จะมีอยู่ด้านหนึ่งที่เป็นด้านแบน ดังนั้น เวลาผูกต้นแก้วมังกรให้จับด้านแบนของต้นเข้ากับหลัก เพราะว่าด้านแบนเป็นด้าน

การดูแลแก้วมังกรในกระถาง

1.การรดน้ำให้รดน้ำเพียง 1 ครั้ง ภายใน 2-3 วัน และไม่ควรรดมากเกินไปเพราะอาจทำให้เป็นโรคโคนเน่าได้

2.การให้ปุ๋ยใส่ปุ๋ยทุก 15 วัน ใส่ครั้งละ 2-4 ช้อนโต๊ะ สูตรที่ใช้ 15-15-15 หรือ 16-16-16 หลังจากใส่ปุ๋ยแล้วต้องรดน้ำติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน (วันละครั้ง เช้าหรือเย็นก็ได้) ถ้ามีปุ๋ยคอก เช่น มูลไก่หรือมูลวัวก็ใช้ได้และให้ใส่เดือนละ 1 ครั้ง เมื่อปลูกได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ผสมกับ 15-15-15 ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่ง

การเก็บเกี่ยวผลผลิต

เมื่อแก้วมังกรอายุได้ 8 เดือน ถึง 1 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิตประมาณ 30 ผล ต่อ 1 ค้าง ปีที่ 2 ประมาณ 50 ผล ต่อ 1 ค้าง ปีที่ 3 ประมาณ 100-200 ผล ต่อ 1 ค้าง ปีที่ 4-15 ประมาณ 300 ผล ต่อ 1 ค้างขึ้นไป ขนาดของผลโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม

ประโยชน์ของแก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงามอีกด้วย มักใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เพราะเนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่ม และแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง ประกอบกับให้แคลอรีต่ำ

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลว่า แก้วมังกรสารที่มีประโยชน์คือ มิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย และควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวานในชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ สามารถช่วยในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย ช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน

ด้านกรมวิชาการเกษตร ให้ข้อมูลเสริมว่า แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงนั้น มีสารไลโคปีนซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

นอกจากนี้ แก้วมังกรยังมีประโยชน์อีกมากมายดังนี้ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น และมีส่วนช่วยในชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยต่างๆ ช่วยดับร้อนและดับกระหาย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง เพราะมีวิตามินซีสูง ช่วยบรรเทาอาการโรคความดันโลหิตได้ ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่างๆ ให้ดีขึ้น

“สัก” เป็นไม้เศรษฐกิจที่มีความสำคัญ นิยมปลูกในรูปแบบสวนป่ามากที่สุดชนิดหนึ่งของประเทศไทย สวนป่าสักแห่งแรกของประเทศไทยมีขึ้นที่จังหวัดแพร่ เริ่มปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2449 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไม้สักในประเทศและส่งออก ปัจจุบันมีการปลูกสักกันอย่างกว้างขวาง ในอดีต ภาครัฐเป็นหน่วยงานหลักที่ปลูกสัก ได้แก่ กรมป่าไม้ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ต่อมาได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปปลูกสร้างสวนป่าสักกันในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบ “สวนป่า” การปลูกผสมกับพืชเกษตร การปลูกหัวไร่ปลายนา และปลูกเป็นแนวขอบเขตพื้นที่

“สัก” เป็นต้นไม้ที่มีศักยภาพในการแตกหน่อหลังจากตัด ความสามารถในการแตกหน่อจะดีมากหลังจากการตัดสักออกจากพื้นที่ทั้งหมดหรือการตัดหมด (clear cut) และการเติบโตของหน่อสักจะมีค่าสูงกว่าการแตกหน่อในสวนป่าที่ตัดขยายระยะ (thinning) ด้วยเช่นกัน เนื่องจากอาหารที่สะสมอยู่ในรากเดิม ความสามารถในการแตกหน่อจะแตกต่างกันตามอายุ สภาพแวดล้อม และฤดูกาลในการตัดฟัน

การสืบพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ นอกจากจะทำให้สักโตเร็วแล้ว สมัคร NOVA88 ยังลดค่าใช้จ่ายในเรื่อง ค่ากล้าไม้ การเตรียมพื้นที่ รวมถึงการกำจัดวัชพืชในระยะแรกอีกด้วย ลักษณะการเติบโตของสักที่แตกหน่อยังไม่มีการศึกษามากนักในประเทศไทย และในหลายพื้นที่ได้เริ่มใช้วิธีการนี้หลังการตัดหมด การศึกษาเรื่องการแตกหน่อของสักจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับเจ้าของสวนป่าในการดำรงไว้ ซึ่งสวนป่าไม้สักให้ได้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุน

คุณวรพรรณ หิมพานต์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ และคณะ ฝ่ายวิจัยการปลูกสร้างสวนป่า ส่วนวนวัฒนวิจัย สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ (2560) ได้ดำเนินโครงการวิจัย เทคนิคการเพิ่มผลผลิตสำหรับการปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก และแผนงานการจัดการสวนป่าสักอย่างยั่งยืนเพื่อเกษตรกร โดยเน้นศึกษาวิจัยเรื่องการเติบโตของสักแตกหน่อ พบว่า “การแตกหน่อสัก” เป็นหนึ่งในทางเลือกลดต้นทุนธุรกิจสวนป่าสักให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะสักแตกหน่อมีอัตราการเติบโตดีกว่าการปลูกใหม่ ควรดูแลจัดการให้เหลือแค่หน่อเดียว หน่อสักที่เกิดจากตอหลังการตัดหมดจะเติบโตสูงกว่าหน่อสักที่เกิดจากตอหลังการตัดขยายระยะ

กรมป่าไม้ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยในสวนป่าสักที่มีการจัดการให้แตกหน่อ ทั้งในสวนป่าสักของเกษตรกร องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และบริษัทเอกชน เพื่อศึกษาการเติบโตของหน่อสักเปรียบเทียบสักที่ปลูกใหม่ เปรียบเทียบการเติบโตของสักในสวนป่าที่มีการจัดการแตกต่างกัน ได้แก่ การแตกหน่อจากตอหลังการตัดขยายระยะหรือตอที่ตัดหมด การจัดการให้เหลือ 1 หน่อ หรือ 2 หน่อ

ผลการศึกษาพบว่า หน่อสักจะมีการเติบโตดีกว่าการปลูกใหม่ โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดการให้แตกหน่อและปลูกใหม่ในพื้นที่เดียวกัน โดยความแตกต่างจะลดลงเมื่อสักอายุมากขึ้น ส่วนเมื่อเปรียบเทียบหน่อสักกับสักที่ปลูกใหม่ที่ดำเนินการคนละพื้นที่จะพบว่ามีความแตกต่างเฉพาะในด้านความสูงเท่านั้น

ด้านการดูแลจัดการควรให้เหลือเพียงหน่อเดียว เพราะจะให้ค่าการเติบโตที่สูงกว่าการเหลือ 2 หน่อ หน่อสักที่เกิดจากตอหลังการตัดหมดจะให้ค่าการเติบโตสูงกว่าหน่อสักที่เกิดจากตอหลังการตัดขยายระยะ เนื่องจากขนาดของตอมีผลต่อค่าการเติบโต การแตกหน่อสามารถลดค่าใช้จ่ายในการปลูกและการดูแลรักษาโดยเฉพาะในปีที่ 1-2

การสืบต่อพันธุ์ไม้สักโดยการแตกหน่อ เป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการสวนป่าสักที่ทำให้ต้นสักสามารถเติบโตได้สูงกว่าการปลูกใหม่ สักที่แตกหน่อจะเติบโตได้ดีในกรณีที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับการปลูกใหม่เสริมในพื้นที่ ส่วนการแตกหน่อที่แยกพื้นที่ออกจากการปลูกใหม่ทั้งแปลงการเติบโตจะไม่แตกต่างกันมากนัก