นางอัญชลี แพงพรม ผู้อำนวยการกองสาธารสุขและสิ่งแวดล้อม

อบต.พลูตาหลวง กล่าวว่า ที่เราต้องติดป้ายเพื่อประกาศเป็นเขตควบคุมพื้นที่การเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากทางเราได้ควบคุมการเลี้ยงสัตว์การปล่อยสัตว์ ตั้งแต่ ปี 2552 และทางเราก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อเสียงไร้สาย วิทยุชุมชน และการประชาคม ผู้นำชุมชนชาวบ้าน ที่เราต้องมีการประชาคมทุกปี แค่การประชาสัมพันธ์ตรงนี้ไม่ยังทั่วถึงชาวบ้าน ทำให้เกิดการเลี้ยงสุนัขจำนวนมากและก็เกิดการร้องเรียนตามมา

ไม่ว่าจะเป็นการร้องเรียนจากสุนัขที่มีเจ้าของ กรณีเลี้ยงจำนวนมากและดูแลสุขลักษณะไม่ได้ ส่งกลิ่นเหม็น เห่าเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนลำคาญให้กับประชาชนที่อยู่ข้างเคียงและก็ปัญหาร้องเรียนจากสุนัขจรจัด กรณีที่ไล่กัดประชาชน ตามถนนสาธารณะต่างๆ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะต่างๆ สร้างความเดือดร้อน ตรงนี้เป็นประเด็นที่พยายามแก้ไขกันมานานแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ทางเราจึงได้ดำเนินการจัดทำป้ายตรงนี้ขึ้นมา 3 ป้าย มีการติดตั้ง ในวันที่ 5 ม.ค. 2561 จำนวน 3 จุด ในพื้นที่ อบต.พลูตาหลวง

เพื่อขอความร่วมมือให้ประชาชนที่เลี้ยงสุนัขควบคุมสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว บ้านละ 2 ตัว ส่วนใครที่เลี้ยงเกินไปจากนี้เราไม่ได้จะไปดำเนินปรับตามประกาศ แต่เราจะขอความร่วมมือมาขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงกับเรา เพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นให้เลี้ยงสัตว์จนหมดอายุไข ไม่นำมาเพิ่มเติม เลี้ยงได้แค่ 2 ตัว ตามที่เรากำหนด ตอนนี้มีเรื่องร้องเรียนคือการนำสุนัขมาถ่ายอุจจาระหน้าบ้าน เพราะบางบ้าน เลี้ยงแล้วปล่อย คือไม่ปิดรั้วหรือขังแต่อย่างใด สุนัขก็มาถ่ายอุจจาระ สร้างความเดือดร้อนรำคาญกับเพื่อนบ้าน ซึ่งในปีที่ผ่านมา เราจับสุนัขจรจัด ส่งศูนย์สุนัขจรจัดโทนีไปแล้ว 150 กว่าตัว โดยใน ปี 59-60 มีเรื่องร้องเรียนกว่า 40 เรื่อง ส่วนมากเป็นเรื่องเหตุรำคาญ

ป้ายเราติดตั้งมานาน ก่อนจะมาได้รับกระแสเมื่อ 2-3 วัน ที่ผ่านมา เนื่องจากมีประชาชนมาเห็นแล้วสนใจมาถ่าย ก่อนนำไปลงโซเชียล ก็ต้องขอขอบคุณ ทาง อบต. ถือว่าท่านเป็น 1 เสียง ที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้เรา เพราะอย่างน้อยประชาชนในโลกโซเชียลได้ร่วมรับรู้ไปกับเราว่า ทาง อบต. พลูตาหลวง เริ่มมีการประกาศให้ชัดเจนมากขึ้น ในการควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยง ทั้งๆ ที่มันมีมานานแล้ว แต่การประชาสัมพนธ์อาจจะยังไม่ทั่วถึง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทางเราขอขอบคุณ

สำหรับแนวทางการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ตำบลพลูตาหลวง ให้ทุกท่านนำสัตว์เลี้ยงออกมาฉีควัคชีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ปีละ 1 ครั้ง ควบคุมสัตว์เลี้ยงด้วยการทำหมันทุกตัว เพื่อควบคุมไม่ให้จำนวนเพิ่มขึ้น โดยสุนัขและแมว เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว สำหรับท่านที่เลี้ยงเกิน เพียงท่านมาขึ้นทะเบียน หลังจากนั้นท่านเลี้ยงจนให้หมดอายุไขของสัตว์เลี้ยง หลังจากนั้นก็เลี้ยงให้อยู่ในจำนวนที่กำหนด และก็ดูแลสุขลักษณะ ความสะอาด เพื่อลบผลกระทบกับผู้ที่อยู่อาศัยข้างเคียง ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญได้ และไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงตัวเองไปปล่อยทึ้งตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัด สถานที่ราชการ โรงเรียน เพราะอาจสร้างผลกระทบตามมาหลายๆ ด้าน

ด้าน พ.จ.อ.พิษณุ โตสมบัติ นายก อบต.พลูตาหลวง กล่าวว่า ผมขอขอบคุณและยินดีที่ทางโลกโซเชียลนำไปเสนอ มีทั้งตำหนิและชมต่างๆ เพื่อจะได้พูดความจริงกัน ในทุกๆ แห่ง ทุกๆ ท้องถิ่น ที่เกิดปัณหาเกี่ยวกับสุนัข เพื่อจะได้ช่วยกันรณรงค์เกี่ยวกับการลดจำนวนลงของประชากรสุนัข ควบคุมโรคติดต่อของสุนัข ลดปัญหาความขัดแย้งในชุมชน โดยเฉพาะผู้ที่รักสุนัขและไม่ได้รักสุนัข ถ้าเรามีคนเลี้ยงสุนัข ในหมู่บ้านและข้างๆ ไม่ได้เลี้ยง ปัญหามันก็จะเกิดขึ้น โดยที่สุนัขมาถ่ยอุจจาระตามสถานที่ต่างๆ มันไม่ใช่

แต่เป็นเจ้าของเองที่นำสุนัขมาถ่ายอุจจาระหน้าบ้านคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องดำเนินการมาตรการต่างๆ ถ้าเราไม่มีกฎในการรองรับ อนาคตประชากรสุนัขและแมวก็จะมากขึ้น เราได้ไปจำกัดสุนัข บ้านที่เลี้ยงเกิน คุณก็เลี้ยงไป จนหมดอายุไข และควบคุมจนเหลือ 2 ตัว ตามข้อบัญญัติ ไม่เคยคิดไปปรับใครเขา แต่อันนี้มันเป็นข้อบัญญัติของท้องถิ่น เพื่อที่จะปรามพวกที่รักสุนัขและแมว ให้อยู่ในวงจำกัด มันเป็นโอกาสที่จะให้ชาวบ้านมาลงทะเบียน เพื่อควบคุมประชากร และเพื่อจัดซื้อยาฉีดสุนัขและแมวให้เพียงพอต่อจำนวนสัตว์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบอีกด้วย

ร.ต.อ.มณฑล ทองมา ร้อยเวรสอบสวน สภ.คลองท่อม จ.กระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ต.พรุดินนา ตรวจสอบภายในสวนปาล์มน้ำมันของ นายอิบรอหีม บือแน อายุ 41 ปี ชาวบ้าน ต.พรุดินนา อ.คลองท่อม จ.กระบี่ หลังรับแจ้งว่า ถูกคนร้าย จำนวน 2 คน เข้ามาขโมยตัดผลปาล์มน้ำมัน ภายในสวน ขณะเกิดเหตุชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน ช่วยกันล้อมจับตัว แต่คนร้ายวิ่งหลบหนีไปได้ ทิ้งเพียงเคียวไว้ 1 เล่ม ตรวจสอบ พบผลปาล์มน้ำมัน ถูกตัดลงมาจากต้น รวมน้ำหนัก ประมาณ 1,000 กิโลกรัม มูลค่า 3,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

เจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน กล่าวว่า ตนปลูกปาล์มน้ำมัน จำนวน 60 ไร่ ที่ผ่านมา ถูกคนร้ายขโมย เก็บเกี่ยวกว่า 10 ครั้ง จึงตัดสินใจซุ่มดู และพบคนร้ายเป็นชาย 2 คน เข้ามาขโมยตัดผลปาล์มอีก จากนั้นจึงโทร.แจ้ง ชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน และชาวบ้าน มาช่วยกันล้อมจับ แต่คนร้ายวิ่งหลบหนีไปได้ อย่างไรก็ตาม ตนสามารถจำหน้าคนร้ายได้ และทราบว่าเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะได้ออกหมายจับคนร้าย เพื่อมาดำเนินคดีต่อไป

วว. เปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม พัฒนาวิสาหกิจชุมชน เชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ไร่เชิญตะวัน ซึ่ง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เข้าไปพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างงานสร้างอาชีพให้แก่วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม

โดยมี นายวิรัช จันทรา รองผู้ว่าการกลุ่มบริการอุตสาหกรรม วว. ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ วว. ร่วมเป็นเกียรติ ในวันที่ 20 เมษายน 2561 ณไร่เชิญตะวันจังหวัดเชียงราย

นายวิรัช จันทรา รองผู้ว่าการกลุ่มบริการอุตสาหกรรม วว. กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ไร่เชิญตะวันดังกล่าว เป็นผลสำเร็จในการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมของ วว. ใน “โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพเชิงธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนเครือข่ายข้าวอินทรีย์” ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยได้คัดเลือกโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ ไร่เชิญตะวัน เป็นพื้นที่ดำเนินการ โดยมีชาวนาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาเรียนรู้การทำการเกษตรบริสุทธิ์ ปลอดสารพิษ โดยไม่ใช้สารเคมี ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง สามารถช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ไร่เชิญตะวัน ประกอบด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ดังนี้

​1.เครื่องสีข้าวและข้าวกล้อง แบบ 2 in 1 มีประสิทธิภาพในการสีข้าวขาวและข้าวกล้องได้ในเครื่องเดียวกัน มีกำลังการผลิต 500-600 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ขนย้ายได้สะดวก สามารถรักษาคุณภาพของข้าวขาวได้มากกว่าข้าวแตกหัก ทำให้เพิ่มอัตราการผลิต ใช้ระบบไฟฟ้า 220 โวลต์ 50 เฮิร์ตและต้นกำลังจากเครื่องยนต์

​2.เครื่องลดความชื้นเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวอินทรีย์ สามารถบรรจุข้าวเปลือกลงในถังบรรจุได้สูงสุด 500 กิโลกรัมต่อครั้ง สามารถลดความชื้นข้าวเปลือก จากค่าความชื้นเริ่มต้น 20 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือ 14% โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มีกำลังการผลิตสูงสุด 2 ตันต่อวัน ใช้พลังงานความร้อน จากแก๊สเอลพีจี และสามารถนำไปใช้อบลดความชื้นธัญพืชหรือสมุนไพรอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ข้าวโพด กาแฟ ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น

3.เครื่องผนึกสุญญากาศและเติมแก๊ส สามารถผนึกสุญญากาศวัสดุหลากหลายประเภทในเครื่องเดียว โดยผนึกสุญญากาศได้ทั้งซองพลาสติกหรือซองอะลูมิเนียมฟอยล์ มีระบบเติมแก๊สไนโตรเจนเข้าไปในซองระบบสุญญากาศ เพื่อลดการสันดาปของน้ำมันและอากาศ ช่วยป้องกันการเหม็นหืนได้เป็นอย่างดี ใช้งานและบำรุงรักษาง่าย

​4.การวิเคราะห์ดินที่เหมาะสมในการเพาะปลูก ประกอบด้วย ชุดอุปกรณ์วิเคราะห์ดินทางเคมีในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ชุดเครื่องมือสำหรับหาอินทรียวัตถุในดิน ชุดเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ชุดเครื่องมือสำหรับหาปริมาณความต้องการปูนของดิน และชุดทดสอบอย่างง่าย ได้แก่ ชุดทดสอบ pH ดินอย่างง่าย ชุดทดสอบ N P K อย่างง่ายชุดทดสอบหาอินทรียวัตถุอย่างง่ายทั้งนี้การวิเคราะห์ดินดังกล่าวทำให้เกษตรกรสามารถวิเคราะห์หาสมบัติดินทางเคมีพื้นฐานได้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้จริงลดค่าใช้จ่ายในการส่งตัวอย่างดินวิเคราะห์กับหน่วยงานที่รับวิเคราะห์และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้เกษตรกรกลุ่มอื่นๆได้

​5. การพัฒนาศักยภาพปลายน้ำ วว. ประสานกับโครงการสานพลังประชารัฐ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ โอทอป วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ชุมชน ด้วย วทน. และมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกในเครือข่าย อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม

การะเกด ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus tectorius จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (Panda naceae) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Screw Pine เพราะรูปร่างใบวนเป็นเกลียว ชื่ออื่นๆ เรียก ลำเจียกหนู ปะหนัน ปะแนะ เตยเล Hala (ฮาวาย) Bacua (สเปน) และ Vacquois (ฝรั่งเศส)

มีเขตกระจายพันธุ์แถบหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน ไทย มาเลเซีย ออสเตรเลียตะวันออก และตามชายหาดหรือพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทะเล ด้วยชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะริมน้ำ ดินทรายชายทะเล ริมลำธาร ลำห้วย

สำหรับเมืองไทย รู้จักคุ้นเคย การะเกด กันมาแต่โบราณ เห็นได้จากวรรณคดีไทยแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมา เช่น ลิลิตพระลอ จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ต่างมีบทชมสวนชมป่าบรรยายถึงต้นการะเกดกันทั้งสิ้น นอกจากนั้น ยังนิยมนำมาตั้งชื่ออีกด้วย ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเล พ.ศ.2416 ก็มีบรรยายไว้ว่า

“การะเกด : ดอกไม้สีเหลือง กลิ่นหอมดี ดูงาม ต้นเท่าด้ามพาย ใบเป็นหนาม ขึ้นอยู่ที่ดินเปียกริมน้ำ” แสดงว่าดอกการะเกดเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และยังมีเพลงขับ “เจ้าการะเกด เจ้าขี่ม้าเทศ จะไปท้ายวัง ชักกริชออกแกว่ง ว่าจะแทงฝรั่ง เมียห้ามไม่ฟัง เจ้าการะเกดเอย” ในหนังสือบทกลอนกล่อมเด็ก (ฉบับสอน) ของหอพระ สมุดวชิรญาณ รวบรวมโดย หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) เมื่อ พ.ศ. 2463 เป็นบทเพลงกล่อมเด็กยอดนิยม

การะเกด จัดเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้น ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก มีรูปทรงคล้ายต้นเตย สูงได้ประมาณ 3-7 เมตร มีหนามสั้นๆ ทู่ๆ ที่ผิวของลำต้น ที่โคนต้นมีรากค้ำจุน เป็นรากอากาศค่อนข้างยาวและใหญ่ งอกจากลำต้นส่วนบนหยั่งลงถึงพื้นดิน

ใบเดี่ยวเป็นรูปรางน้ำ แผ่นใบค่อยๆ เรียวแหลมไปหา ปลายใบ คล้ายสกรู ขอบใบมีหนามแข็ง ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผิวใบเรียบเป็นมัน ดอกเป็นดอกช่อ กลิ่นหอมเย็น ออกที่ปลายยอดและมีจำนวนมาก แยกเพศแยกต้น ดอกตัวผู้เป็นช่อดอกยาว มีใบประดับที่ช่อดอกย่อย สีขาว ดอกตัวเมียเป็นช่อออกที่ปลาย เกาะกันคล้ายผล เกือบกลม ลักษณะของผลจะเบียดกันแน่นเป็นก้อนกลม มองเหมือนผลเดี่ยว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตร แต่ละผลมีขนาดกว้าง 2-6.5 เซนติเมตร และยาว 4-7.5 เซนติเมตร เมื่อสุกจะมีกลิ่นหอม โคนสีเหลือง ตรงกลางเป็นสีแดง ส่วนตรงปลายยอดเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ผลที่สุกแล้วจะมีโพรงอากาศจำนวนมาก

ตำราสรรพคุณสมุนไพรของไทยระบุสรรพคุณทางยาของการะเกดเอาไว้ว่า ดอกรสสุขุม (ขมหอม) ใช้ปรุงเป็นยาหอม ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ใช้เป็นยาแก้โรคในอก เจ็บอก เจ็บคอ แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ และบำรุงธาตุ, รากเป็นยาแก้ไข้ ขับปัสสาวะ, รากอากาศเป็นยาแก้หนองในและนิ่ว ส่วนยอดใช้ต้มกับน้ำให้สตรีดื่มตอนหลังคลอดบุตรใหม่

ประโยชน์ของการะเกด ผลแก่จัด (ผิวผลเป็นสีแดง) รับประทานได้ รสชาติคล้ายสับปะรด ดอกหอมก็กินได้ แต่รสขม และความหอมของดอกยังใช้อบกลิ่นเสื้อผ้าหรือใช้ดอกเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวหรือมันหมู ทำเป็นน้ำมันใส่ผม ขณะที่ใบการะเกดนำมาเป็นเครื่องจักสานได้ดี เช่น กระสอบ เสื่อ หมวก กระเป๋า ฯลฯ เป็นวัตถุดิบของงานหัตถกรรมที่ดีและหาได้ง่าย

นอกจากดอกที่มีกลิ่นหอมแล้ว การะเกดยังเป็นไม้ประดับได้ดี เพราะมีรูปทรงเฉพาะตัวงามแปลกตา เหมาะสำหรับปลูกตามที่ชื้นแฉะหรือริมฝั่งน้ำ ปลูกง่าย ทนทาน อายุยืนยาว หาพันธุ์ได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการะเกดอีกชนิดหนึ่งได้รับความนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ คือ การะเกดด่าง เป็นการะเกดที่มีใบสีเหลืองเป็นทางยาว แลดูงดงามกว่าการะเกดที่มีใบสีเขียว การะเกดด่างเป็นพันธุ์ไม้จากต่างประเทศที่มีผู้นำเข้ามาปลูกไม่นานนัก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pandanus variegatus Miq. มีใบสวยงาม แต่ไม่มีดอกหอมเหมือนการะเกดไทย

นายสำราญ สาราบรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ได้ส่งหนังสือไปยังสมาคมอาหารสัตว์ไทย เพื่อให้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับสมาชิกสมาคมเพื่อให้โรงงานอาหารสัตว์ทั้งหมดให้รับซื้อ ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ปลูกข้าวโพดที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีเอกสารสิทธิที่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งเป็นตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดพื้นที่

ทำการเกษตรที่ไม่ถูกต้องอย่างเข้มงวดตั้งแต่ปี 2560 ส่งผลให้ตัวเลขพื้นที่บุกรุกป่าปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลงกว่า 5 แสนไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 3.67 ล้านไร่ แต่ที่น่ากังวลคือ ในปี 2561 มีแนวโน้มที่เกษตรกรจะกลับมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มเนื่องจากราคาปรับตัวสูงขึ้น จึงต้องขอความร่วมมือสมาคมควบคุมการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกถูกต้อง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อแก่เกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกที่ถูกต้องเท่านั้น นอกจากนี้จะตั้งคณะกรรมการพัฒนาการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืนให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อไป

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ยืนยันว่าจะต้องหยุดรับซื้อข้าวโพดที่ไม่มีเอกสารสิทธิให้ได้ภายใน 2 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับแผนการเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดหลังนา เพื่อมาทดแทนข้าวโพดในพื้นที่รุกป่าที่จะต้องลดลง

นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ผู้อำนวยการกองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันที่ 4 พฤษภาคมนี้ บีโอไอจะร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดกาญจนบุรี จัดสัมมนาหัวข้อ “บีโอไอกับการเพิ่มศักยภาพการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0” โดยจะเป็นการให้ข้อมูลถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หรือเอสอีแซท มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนอื่นๆ โดยจังหวัดกาญจนบุรีได้จัดพื้นที่รองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ระยะที่ 2 ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลมุ่งหวังสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนภายใต้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอจะต้องลงทุนใน 10 จังหวัด และต้องอยู่ในตำบลและอำเภอที่กำหนด โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นสำหรับการผลิตเพื่อการส่งออก 5 ปี รวมถึงการผ่อนผันให้ใช้แรงงานต่างด้าว

นายเศกสรรค์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังกำหนดกิจการเป้าหมาย 13 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการเกษตรและประมง เซรามิกส์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง เครื่องเรือน อัญมณี และเครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก ยา โลจิสติกส์ นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

“การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน มีบางกลุ่มประเภทกิจการที่ไม่ให้ส่งเสริมในพื้นที่อื่น แต่เปิดให้ส่งเสริมเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเท่านั้น อาทิ บรรจุภัณฑ์พลาสติก กล่องกระดาษ วัสดุก่อสร้าง และกิจการผลิตสบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน และเครื่องสำอาง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนผลิตสินค้าสำหรับตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะต้องยื่นขอรับส่งเสริมการ ลงทุนภายใน 30 ธันวาคม 2561” นายเศกสรรค์ กล่าว

นายเศกสรรค์ กล่าวว่า โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2556-2560) บีโอไออนุมัติส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว จำนวน 53 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 26,000 ล้านบาท กิจการที่ ลงทุนสูงสุด ได้แก่ กิจการกลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ รองมา คือกิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร กิจการด้านบริการและสาธารณูปโภค กิจการแร่ เซรามิก และโลหะ กิจการ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง ตามลำดับ

หมายเหตุ – หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ “สถานภาพแรงงานไทย กรณีศึกษาผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท” ระหว่างวันที่ 19-23 เมษายน 2561 โดยการสุ่มตัวอย่างแรงงาน 1,194 ตัวอย่างทั่วประเทศ แบ่งออกเป็นเพศชาย 49.7% เพศหญิง 50.3% ที่มีอายุตั้งแต่ 20-60 ปีขึ้นไป

ปัจจุบัน สถานภาพของแรงงานพบว่า มีภาระหนี้สิน 96% และเพียง 4% ไม่มีภาระหนี้สิน การเป็นหนี้และกู้ยืมมาจากวัตถุประสงค์แรก คือ กู้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 36.1% ตามด้วยใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ 24.9% เพื่อการลงทุน 13.6% เพื่อที่อยู่อาศัย 10.8% ใช้คืนเงินกู้ 7.2% ค่ารักษาพยาบาล 6.7% และอื่นๆ 0.7%

เมื่อสอบถามสถานภาพทางการเงินของแรงงาน สัดส่วน 68.5% ระบุว่า มีปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายในปัจจุบัน สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ไม่เพิ่ม โดย 25.6% ระบุผลจากค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 23.7% จากราคาสินค้าแพงขึ้น 19.9% จากภาระหนี้มากขึ้น 13.6% จากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 9.9% มีของที่ต้องการซื้อเพิ่มมากขึ้น 6.3% รายได้ลดลง และ 1% จากเหตุอื่นๆ และสถานภาพทางการเงินของแรงงาน ส่วนอีก 31.5% ที่ไม่มีปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายในปัจจุบัน ในจำนวนนี้ 73.2% เป็นผลจากการเลือกซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น 20.8 % รายได้เพิ่มสูงขึ้น และ 2% มีรายได้เสริม

จากการสำรวจถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบัน พบว่า 58.1% ยังใช้จ่ายเท่ากับรายได้ เกิดจากการใช้จ่ายอย่างประหยัด 42.5% สินค้ามีราคาสูงขึ้น 18.8% รายได้น้อย 11.2% ภาระหนี้สิน 11.2% ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 8.8% และเศรษฐกิจไม่ดี 7.5% ขณะที่ 24.9% ใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่ได้รับ โดย 52.4% เป็นการใช้จ่ายอย่างประหยัดอีก 12.7% รายได้น้อย ส่วน 11.4% สินค้าราคาแพง 8.5% ภาระหนี้สิน 7.8% เศรษฐกิจไม่ดี 7.2% เก็บออม และขณะที่ 17% ใช้จ่ายมากกว่ารายได้ เกิดจากสินค้ามีราคาสูง 58.8% เศรษฐกิจไม่ดี 16.5% ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 9.2% ค่าครองชีพสูง 6.2% รายได้น้อย 6.2% และภาระหนี้สิน 3.1%

เมื่อเปรียบเทียบภาระหนี้สินของแรงงานไทย พบว่าในปี 2560 แรงงานมีภาระหนี้สิน 97% และไม่มีภาระหนี้สิน 3% ขณะที่ในปี 2561 แรงงานมีภาระหนี้สิน ลดลงเหลือ 96% และไม่มีภาระหนี้สิน เพิ่มขึ้นเป็น 4%