นายสุพจน์ กล่าวว่า โครงการระบบกระจายน้ำบาดาลด้วยพลังงาน

แสงอาทิตย์ จำนวน 572 แห่ง ระบบดังกล่าวประกอบด้วย พัฒนาบ่อน้ำบาดาลที่มีอยู่พร้อมปรับเปลี่ยนเครื่องสูบน้ำแบบเทอร์ไบน์ซึ่งใช้เครื่องยนต์กำลังต้นในการสูบน้ำ เปลี่ยนเป็นเครื่องสูบไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งหอถังสูงขนาด 20 ลูกบาศก์เมตร เพื่ออุปโภคบริโภคและเกษตรกรรม และก่อสร้างระบบกระจายน้ำไปยังบ้านเรือนและพื้นที่ทำการเกษตร โดยโครงการระบบกระจายน้ำบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคได้อย่างยั่งยืน ช่วยลดปัญหาขาดแคลนน้ำทำการเกษตรในพื้นที่ขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

“โครงการราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง จะร่วมกันให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะคลี่คลาย ได้จัดเตรียมชุดเจาะบ่อน้ำบาดาล 94 ชุด ชุดเป่าล้างทำความสะอาดบ่อน้ำบาดาล 43 ชุด ชุดซ่อมแซมระบบประปาและเครื่องสูบน้ำ 43 ชุด ชุดปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลเคลื่อนที่ 17 ชุด รถบรรทุกน้ำ 84 คัน จุดจ่ายน้ำถาวร 103 จุดทั่วประเทศ”นายสุพจน์ กล่าว

เมื่อวันที่ 6 เมษายน สังคมออนไลน์เเชร์ภาพต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ที่ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม ภายในสวนจตุจักรกรุงเทพมหานครฯ โดย ดอกชมพูพันธ์ทิพย์หรือที่เขาตั้งฉายาให้กันว่า “ซากุระภาคกลาง” กำลังอวดโฉมเบ่งบานสะพรั่งรับลมร้อนอยู่บริเวณสวนจตุจักร-สวนรถไฟ ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) หมอชิต ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวหลายคนประทับใจ ต่างหยิบมือถือหรือกล้องถ่ายรูป มาร่วมบันทึกภาพความประทับใจที่เกิดขึ้น

วันที่ 7 เมษายน 2560 นายปาโมกข์ ปิงเมือง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาและปรับปรุงระบบชลประทาน โครงการชลประทานพะเยา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในกว๊านพะเยาอยู่ที่ 33.07 ล้าน ลบ.เมตร ซึ่งได้เริ่มปล่อยน้ำออกจากกว๊านพะเยาเพื่อส่งลงแม่น้ำอิง เข้าเลี้ยงพื้นที่การเกษตรนาปรังในทุ่งดอกคำใต้ ครอบคลุมพื้นที่นาปรัง อ.ดอกคำใต้ และ อ.ภูกามยาว กว่า 20,000 ไร่ เป็นช่วงที่ต้นข้าวกำลังเจริญเติบโตและเขียวขจี จึงจำเป็นจะต้องใช้น้ำเลี้ยงต้นข้าว ซึ่งครั้งนี้เป็นการปล่อยน้ำจากกว๊านพะเยารอบที่ 3 แล้ว จำนวน 3.50 ล้าน ลบ.เมตร

หน.ฝ่ายพัฒนาและปรับปรุงระบบชลประทานฯ กล่าวต่อว่า การปล่อยน้ำจากกว๊านพะเยาครั้งนี้ เริ่มปล่อยตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2560 โดยต้องปล่อยให้ครบตามจำนวนที่เกษตรกรร้องขอ คาดว่าจะถึงวันที่ 10 เมษายน 2560 ซึ่งจะทำให้กว๊านพะเยาเหลือน้ำเก็บกักที่ระดับ 391.260 เมตร รทก.ปริมาณ 29.34 ล้าน ลบ.เมตร

ประโยคที่ว่ากินอะไรได้อย่างนั้น เรียกว่าเป็นประโยคคลาสสิคที่ใช้เตือนใจให้หันมาใส่ใจสุขภาพ ที่หากรู้จักทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็จะสุขภาพดีตามไปด้วย หลายคนจึงหันมาทานอาหารคลีน โดยเริ่มต้นง่ายๆจากการปรุงอาหาร และเลือกใช้น้ำมันมะกอก ที่เป็นน้ำมันสกัดธรรมชาติจากผลมะกอก อันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ มาใช้ผัด ทอด ตามเดิมได้อย่างไม่รู้สึกผิด ซึ่งเบอร์ทอลลี่ แบรนด์น้ำมันมะกอกชื่อดัง ได้แนะนำประโยชน์ดีๆ 4 ข้อ ของน้ำมันมะกอกไว้ว่า

1. น้ำมันมะกอกช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เพราะน้ำมันมะกอกไม่มีส่วนประกอบของเกลือ แถมยังปราศจากคอเลสเตอรอล และอุดมไปด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัวถึง 77% โดยเฉพาะกรดโอเลอิกหรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว

“สิ่งที่น่าสนใจ คือ น้ำมันมะกอกนั้นมีส่วนประกอบของกรดโอเลอิกถึง 80% ซึ่งการบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวหรือกรดโอเลอิกที่ว่านี้ในปริมาณที่สมดุลและพอเหมาะ สามารถช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้คงที่ และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆที่ตามมาจากการมีระดับคอเลสเตอรอลสูงได้อีกด้วย” นายพศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพและวิทยากรด้านอาหารและสุขภาพ จากเพจเฟสบุ๊คชื่อดังด้านอาหารและโภชนาการ ‘เมื่อวานป้าทานอะไร?’ กล่าว

2. น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไม่พบในน้ำมันชนิดอื่นๆ และยังอุดมไปด้วยวิตามินอี น้ำมันมะกอกเพียงหนึ่งช้อนโต๊ะมีวิตามินอีมากถึง 8% ของปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วย สารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และสารโพลิฟีนอล ที่ไม่พบในน้ำมันชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ ยังไม่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และโรคเบาหวาน

3. น้ำมันมะกอกป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำมันมะกอกมีปริมาณของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน นอกจากนี้ น้ำมันมะกอกยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด ลดภาวะเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม ช่วยให้เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

“คนที่ได้รับกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจากน้ำมันมะกอกเป็นประจำนั้น จะมีระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดชนิด LDL ต่ำ ซึ่ง LDL นี้เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง” นายพศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ กล่าวเสริม

4. น้ำมะกอกช่วยลดเบาหวานได้หลายวิธี ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า น้ำมันมะกอกนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนี้ สามารถช่วยลดความเสียหายจากสภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) อันเป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี รวมทั้งอาการที่เกิดขึ้นจากเส้นประสาทชนิดต่างๆ ถูกทำลายโดยโรคเบาหวาน (diabetic neuropathy) ภาวะความเสียหายของประสาทในเรตินา (retinal neuropathy) ภาวะความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ

น้ำมันมะกอกยังสามารถช่วยต้านการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ได้อีกด้วย โดยน้ำมันมะกอกจะช่วยลดการอักเสบและผลข้างเคียงจากการอักเสบในระยะยาวได้ เช่น ในโรคเบาหวาน และสภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเบาหวาน

ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง รับประทานอาหารสำเร็จรูป และพฤติกรรมเนืองนิ่ง ไม่ค่อยเคลื่อนไหว นำมาซึ่ง “โรคติดต่อไม่เรื้อรัง” มากมายเบาๆ อาจจะเป็นแค่ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย หรือออฟฟิศซินโดรม แต่ถ้าเป็นมากกว่านี้!!! ทั้ง มะเร็ง หัวใจ เบาหวา ไตวายเรื้อรัง อัมพาต อัมพฤกษ์

คงไม่มีใครอยากจะให้ตัวเองเดินมาถึงจุดนี้แน่ๆ และสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม “ทำร้าย” ตัวเอง และเสริมสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ ที่ “รัก” ตัวเองเข้าไป ในกิจกรรม “เคล็ดลับ…สร้างสุขภาพดีด้วยการปรับวิถีชีวิต” จัดโดยโรงพยาบาลพญาไท 2 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการการเปลี่ยนวิถีชีวิตสร้างสุขภาพที่ดี ว่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง หมายถึง การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การทำงาน การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการพักผ่อนนอนหลับ จากแบบเดิมๆ ที่ไม่ค่อยมีการขยับเขื้นเคลื่อนไหว รับประทานอาหารแบบเอาเร็วและเอาง่ายเข้าว่า ทำงานหนัก ทำงานมาก พักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดสูง ไม่ใส่ใจสุขภาพ ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ ที่ประกอบด้วยการออกกาลังกายจริงจังสม่ำเสมอ มีโภชนาการที่ถูกต้อง พักผ่อนอย่างเพียงพอ และมีการจัดการความเครียดอย่างเป็นระบบ ในลักษณะของการดูแลสุขภาพตนเองอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

“วิธีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมีทั้งหมด 4 ประเด็น คือ 1.รับประทานอาหารที่มีผักผลไม้ 2.ออกกำลังกาย 3.จัดการความเครียด 4.เข้ากลุ่มเพื่อน ทั้งสี่อย่างนี้เป็นแก่นกลางในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง”

สำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่จะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถทำได้ง่ายๆ เริ่มจาก การปรุงอาหารแบบแคลอรี่ต่ำ อาจใช้การทอดด้วยลมร้อน (Air-Fryer) สำหรับผู้ที่ยังติดอาหารทอด เมนูอาหารไทยที่ปรุงขึ้นมาด้วยการผัด สามารถใช้น้ำแทนน้ำมัน เน้นการใช้ผัก ธัญพืชทั้งเมล็ด และถั่วต่างๆ เช่น ข้าวผัดผักกับถั่ว ผัดผักรวมมิตร ผัดกระเพรา เป็นต้น

นอกจากนี้ สามาถ “อบถั่ว” และ “นัท” ไว้เป็นอาหารว่างได้ด้วย รวมทั้ง ดื่มน้ำปั่นไม่ทิ้งกาก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์ ที่ได้จากการปั่นผักผลไม้ด้วยเครื่องปั่นความเร็วสูงโดยไม่ทิ้งกาก ซึ่งส่วนที่มีคุณค่าที่สุดของผลไม้คือเมล็ดและผิวเปลือก ในการปั่นจึงควรปั่นทั้งเมล็ด เช่น องุ่น และไม่ต้องปอกเปลือก เช่น แอปเปิล และดื่มควรมีครบทุกรสชาติ ทั้ง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ฝาด และ ขม

“องค์การอนามัยโลก ออกคำแนะนำให้คนทั่วโลกว่า ไส้กรอก เบคอน แฮม เป็นสารก่อมะเร็งระดับ 1 เอ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับบุหรี่ และอีกฉบับหนึ่งพูดถึงเนื้อแดงที่เลี้ยงลูกด้วยนม คือ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2เอ คือ ต่ำกว่าบุหรี่หน่อย ซึ่งถ้าใครยังกินเนื้อแดงอยู่ก็น่าจะลดการรับประทานไส้กรอก เบคอน แฮม ลดการรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว แล้วหันมารับประทานไก่ ปลา นมไข่ อาหารทะเล”

นพ.สันต์ แนะอีกว่า จากคำแนะนำจากรัฐบาลสหรัฐ ที่ทุก 5 ปีจะแนะนำประชาชนว่า อะไรควรกินอะไรไม่ควรกินบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อปี 2016 ได้แนะนำอาหารที่ควนกิน คือ 1.พืชผักผลไม้ กินยิ่งมากยิ่งดี 2.ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เรียกง่ายๆ ว่า ธัญพืชขัดสีทำให้ป่วย แต่ไม่ขัดสีทำให้หายป่วย 3.ถั่วทุกชนิด เป็นอาหารที่ดี จากงานวิจัยอายุเกิน 100 ทั่วโลก พบว่า อาหารที่กินเหมือนกันคือถั่ว ที่มีทุกอย่างที่ร่างกายต้องการ 4.นัท คือ ผลเปลือกแข็งต่างๆ เช่น ถั่วลิสง แมคคาเดเมีย มะม่วงหินมพานต์ พิตาซิโอ เป็นอาหารที่ดี 4.อาหารทะเล ปู ปลา กุ้ง หอย ใครที่ชอบกินเนื้อหาหลบจากเนื้อแดงมากินอาหารทะเลแทน “กลุ่มนี้เป็นของที่ควรจะกิน” นพ.สันต์ย้ำ

สำหรับของที่กินได้แต่อย่ากินมาก นพ.สันต์ ระบุว่า 1.นมไร้ไขมัน กินได้แต่อย่ามาก เพราะไขมันจากสัตว์ไม่ได้ 2.กาแฟ เกิน 5 แก้วขึ้นไปถือว่ามาก 3.แอลกอฮอล์ ไม่เกิน 2 ดริ๊ง/วัน

ส่วนกลุ่มที่ไม่ควรกิน นพ.สันต์ บอกว่า 1.ไส้กรอก เบคอน แฮม เพราะเป็นของที่ไม่มีอะไรดี มีแต่ก่อโรคอย่างเดียว 2.เนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เนื้อหมู เนื้อวัว 3.น้ำตาล 4.น้ำมัน 5.ธัญพืชขัดสี 6.เกลือ

“ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะขาดความเค็ม เพราะในธรรมชาติมีเกลือ และเกลือเป็นต้นเหตุความดันเลือดสูง ข้อมูลทางการแพทย์ที่มี สิ่งเดียวที่ใช้หมายหัวคนไข้ถึงอนาคตว่าจะป่วยหรือเสียชีวิตเร็ว คือ ความดันเลือด ใครความดันเลือดสูง ทำนายได้เลยว่า อนาคตไม่ดี เป็นตัวชี้วัดทางสุขภาพที่แม่นยำที่สุดในทางการแพทย์ ดังนั้น เราต้องสนใจว่า ความดันเลือดของเราเป็นยังไง”

และ 7.ไขมันทรานซ์ “ไขมันทรานซ์ คือ น้ำมันถั่วเหลืองที่ใส่ไนโตรเจนให้เป็นผง และมาทำอาหาร เช่น เค้ก คุ้กกี้ ขนมอบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในทางโภชนาการ เป็นไขมันก่อโรคหลอดเลือดที่ชัดเจนมาก สิ่งที่เลวร้ายที่ต้องเอาออกไปจากชีวิตก่อนคือไขมันทรานซ์”

ส่วนการออกกำลังกาย นพ.สันต์ แนะนำให้ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือ การเล่นกล้าม คือ การออกกำลังกายที่มุ่งเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆ ของร่างกาย

“การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องง่าย แนะนำให้ค่อยๆ ขยับมาจากดำเป็นขาว ปรับเมนูเปลี่ยนจากกินเนื้อแดง มากินปลา แล้วปรับมาเป็นกินเจเขี่ยๆ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ส่วนขนมก็เปลี่ยนจากเค้ก คุ้กกี้ ขนม มาเป็นถั่วอบ ผลไม้ จนมีหนึ่งมื้อ ควรจะเป็นมื้อเย็นที่ทานแต่ผักผลไม้ เพราะมื้อเย็นเป็นมื้อที่เบาๆ ได้ สิ่งเหล่านี้หากทำไปก็จะนำมาซึ่งการมีสุขภาพที่ดี” นพ.สันต์กล่าว

วันที่ 7 เมษายน 2560 นายชิตชนก สมประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 8 นครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์ปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคอง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ว่า ปริมาณน้ำใช้การในเขื่อนลำตะคองเหลืออยู่ที่ 62 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 20% ของความจุเขื่อน ซึ่งเหลือน้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยในปี 2559 ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำใช้การอยู่ที่ 68 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 23%

สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคองขณะนี้เหลือใช้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ไม่มีน้ำให้ใช้ในภาคเกษตรกรรม ดังนั้น ทุกคนจึงควรใช้น้ำอย่างประหยัด โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ประชาชนควรใช้น้ำเท่าที่จำเป็น เช่น ควรใช้การรดน้ำดำหัวแทนการเล่นสาดน้ำกัน หรือการใช้รถกระบะบรรทุกถังน้ำสาดน้ำใส่กันเพราะเป็นการสิ้นเปลืองน้ำ โดยประชาชนทุกคนควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเล่นน้ำ เป็นการรดน้ำดำหัวกันตามแบบประเพณีไทย ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดน้ำและทำให้บริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

วันที่ 7 เมษายน 2560 นายวิทยา ขุนสัน หัวหน้าหน่วยอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดกระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดตรัง ภูเก็ต วางซั้ง เชือก และท่อซีเมนต์ ท่อคอนกรีต เป็นแนวปะการังเป็นที่อาศัยของปลาที่บริเวณอ่าวเขาทอง ตำบลเขาทอง อำเภอเมืองกระบี่ และบริเวณอ่าวแหลมสัก ตำบลแหลมสัก อำเภออ่าวลึก รวมจำนวน 20 ชุด ใช้ท่อคอนกรีตจำนวน 272 ท่อ เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

โดยที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รื้อถอน ทำลายเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมายประเภทโป๊ะน้ำตื้นที่บริเวณดังกล่าวกว่า 100 ปาก เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าเครื่องดังกล่าวเป็นการทำลายสัตว์น้ำวัยเจริญพันธุ์ที่เข้ามาวางไข่แนวชายฝั่ง ป่าชายเลน ร้อยละ 92 ทำให้สัตว์ลดปริมาณลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปลาทู ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ

นายวิทยาเปิดเผยว่า ได้เตรียมดำเนินการวางซั้ง เชือก สร้างบ้านปลา ในพื้นที่ อ.เกาะลันตา 20 ชุด บ้านเกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง 20 ชุด บ้านท่าเลน อ.เมืองกระบี่ จำนวน 10 ชุด ซึ่งเป็นการกระจายพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ยั่งยืนของทะเลกระบี่ โดยจะได้ดำเนินการในเร็วๆ นี้

วันที่ 6 เมษายน 2560 ที่ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว (เขื่อนลำปาว) นายฤาชัย จำปานิล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว เป็นประธานประชุมผู้เลี้ยงสัตว์น้ำในเขื่อนลำปาว เพื่อชี้แจงการประกาศปิดน้ำฤดูแล้งประจำปี 2560 โดยมีนายอำพล จินดาวงศ์ ประมง จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์น้ำ ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามและผู้เลี้ยงปลากระชัง ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายฤาชัย กล่าวว่า เขื่อนลำปาวมีความจุอ่าง 1,980 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำประมาณ 614.40 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 31.03 % ขณะที่ห้วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วมีปริมาณ 444.35 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 22.44 % อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำของโครงการฯ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ใช้น้ำ ทั้งในกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ ที่กุ้งก้ามกราม และปลากระชัง รวมทั้งการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้ง โดยเขื่อนลำปาวมีพื้นที่บริการในเขตชลประทานทั้งหมด 306,963 ไร่ ข้าว 263,378 ไร่ บ่อกุ้ง 2,922 ไร่ บ่อปลา 1,577 ไร่ พืชผัก 1,096 ไร่ และที่เหลือเป็นพื้นที่การเกษตรอื่น ๆ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ได้กำหนดปิดน้ำในฤดูแล้งตามปฏิทินปฏิบัติ ประมาณ 90 วัน ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 30 กรกฎาคม 2560 เพื่อทำการซ่อมบำรุงคูคลองที่ชำรุด และรักษาระบบนิเวศ ขอให้เกษตรกรผู้ใช้น้ำ ใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่าและแบ่งปัน เพื่อให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอและทั่วถึง

ด้านนายอำพล กล่าวว่า ในฤดูแล้งโดยเฉพาะช่วงโครงการบำรุงและรักษาเขื่อนลำปาวปิดการส่งน้ำ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อบ่อกุ้งก้ามกรามและกระชังเลี้ยงปลา เพื่อลดความสูญเสียได้กำชับให้เกษตรกรจัดหาแหล่งน้ำสำรอง ลดพื้นที่และลดจำนวนในการเลี้ยงลง ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดและป้องกันการเกิดน้ำเสีย ที่จะเป็นสาเหตุให้เกิดการน็อคตายได้

“สำหรับเกษตรกรที่ใช้เครื่องตีน้ำในบ่อเพื่อสร้างออกซิเจนให้กุ้งนั้น ระดับบ่อควรมีความลึกประมาณ 1.5 – 2.0 เมตร หากความลึกบ่อไม่ได้ขนาด เมื่อเปิดเครื่องตีน้ำจะทำให้เกิดตะกอนหรือสารแขวนลอย ที่อาจเป็นอันตรายและเป็นสาเหตุให้กุ้งน็อคได้ เพื่อความปลอดภัย เกษตรกรควรเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ ด้วยการขุดบ่อให้มีความลึก และสำรองน้ำไว้ใช้ ก็จะสามารถพ้นผ่านวิกฤตแล้งไปได้อย่างปลอดภัย” นายอำพล กล่าว

ทั้งนี้ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม กระจายในพื้นที่ ต.บัวบาน ต.เขาพระนอน ต.นาเชือก อ.ยางตลาด ประมาณ 1,000 ราย เลี้ยงปลากระชังเหนือเขื่อนลำปาว ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ประมาณ 600 ราย ในฤดูแล้งของทุกปีประสบปัญหาอากาศวิปริต เกิดการน็อคตาย ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก มูลค่าไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการเลี้ยงที่ต้นทุนสูง ทั้งค่าพันธุ์ลูกกุ้ง ลูกปลา และอาหาร จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือด้วย เพื่อเกษตรกรจะได้มีอาชีพที่ยั่งยืน เพราะเกษตรกรเลิกกิจการไปมาก เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน

เกิดเป็นประเด็นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งจากความคึกคะนอง tumf.net และความไม่รู้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเที่ยวบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แล้วมีอันต้องเจอกับ บรรดา “ขาใหญ่” หรือช้างป่า ระหว่างทาง ความอยากรู้ อยากเห็น อยากลองของ และความคึกคะนองของคนบางกลุ่ม ที่อยากเข้าไปใกล้ชิด หรือพยายามมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของสัตว์เหล่านั้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จึงได้แต่งตั้งชุดอารักขาช้างป่าขึ้นมา ทำหน้าที่อารักขาคุ้มครองช้างเขาใหญ่ ที่มักจะเดินออกมาจากป่า เดินเล่น ข้ามถนนไปมาบริเวณทางขึ้นลงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อารักขา คุ้มครองช้าง ในที่นี้หมายรวมไปถึงดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวไม่ให้มีทั้งกิริยา และการกระทำที่ก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่บรรดาช้างป่าที่ออกมาใช้เส้นทางร่วมกับนักท่องเที่ยวในบางช่วงเวลา ระหว่างเดินทางขึ้น-ลง หรือพักแรมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อันหมายถึงอาจจะทำให้ถูกช้างทำร้ายเอาก็ได้

เจ้าหน้าที่ชุดอารักขาช้างป่าเขาใหญ่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษในการทำความรู้จักกับช้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้จักตั้งแต่รูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอ รวมทั้งทำให้ช้างไว้วางใจมากที่สุดด้วย

นายสัตวแพทย์ (นสพ.) ภัทรพล มณีอ่อน หรือหมอล๊อต สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หนึ่งในทีมปฏิบัติการอารักขาช้างเขาใหญ่ บอกว่า ช้างในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ที่อยู่รวมกันเป็นโขลง กับช้างตัวผู้ที่แยกออกมาหากินตัวเดียว ซึ่งประเภทที่หากินตัวเดียวนี้ เป็นภารกิจหนึ่งที่ทีมอารักขาช้างจะต้องทำความรู้จัก จดจำเอกลักษณ์ประจำตัวให้ได้ทุกตัว หรือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เราจึงตั้งชื่อเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ว่าตัวนี้ชื่อนี้ นิสัยเป็นอย่างนี้ เพื่อจะหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการเข้าไปจัดการเมื่อเกิดเหตุใดๆ ขึ้นมา เราไม่ได้ตั้งชื่อเพื่อเรียกให้ช้างรู้จัก หรือให้พวกมันจำชื่อตัวเอง แต่ตั้งชื่อในฐานะบุคคลที่ 3 เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ แบ่งแยกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน” หมอล๊อตบอก

วันนี้ หมอล๊อตจะพาไปทำความรู้จักกับบรรดาช้างพลายขาใหญ่ที่ชอบปรากฏตัวให้นักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ยลโฉมบ่อยๆ

“พี่โยโย่ เป็นพระเอกตัวล่าสุด ที่ปรากฏเป็นข่าวกับรถคัมรี เมื่อเร็วๆ นี้ พี่โยโย่อายุ 30 ปี เดิมนิสัยไม่กลัวอะไรเลย ทั้งรถและคน รวมทั้งช้างตัวอื่นๆ เราตั้งชื่อว่า โรนันดินโย่ เพราะเขาชอบเตะกรวยที่เจ้าหน้าที่เอาไปวางไว้กลางถนน เรียกไปเรียกมา รู้สึกว่ามันเรียกยาก เลยหดลงมาเป็นโยโย่ ประกอบกับเวลาเดินเขาชอบเดินโยกหัวไปมา ชื่อโยโย่ น่าจะเหมาะสมกับเขาที่สุด”

หมอล๊อตบอกว่า ในความเห็นของตนนั้น ถือว่า เวลานี้โยโย่เป็นช้างที่น่าเห็นใจมากที่สุด เพราะอยู่ในภาวะเจ็บทั้งกายและใจ เจ็บกายคือ ไปต่อสู้กับช้างพลายตัวอื่นเพื่อแย่งตัวเมีย ก็โดนงาแทงมาได้รับบาดเจ็บ เพิ่งจะเอาเลือดมาเช็ดกับรถผมยังไม่ได้ล้างออกเลย พลาดท่าอกหักแล้วมาเจ็บตัวอีก เป็นสาเหตุที่ทำให้โยโย่หงุดหงิดง่ายเวลานี้ เจอรถคัมรียั่วอารมณ์ ก็พาลโมโห ต้องไล่ตามคลายเครียด

ขาใหญ่อีกตัวที่เจ้าหน้าที่เขาใหญ่และนักท่องเที่ยวจะเจอบ่อยมากคือ “พี่ด้วน” ลักษณะเด่นของพี่ด้วนก็คือ หางกุดเหมือนหางด้วน เป็นลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมของช้างพลายตัวนี้