นำน้ำยางที่ได้มาคลุกผสมกับเศษถุงมือที่บดแล้วเทใส้แม่พิมพ์

แล้วนำไปอบในตู้อบลมร้อนเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส และเอาชิ้นงานแกะออกจากแม่พิมพ์ ตกแต่งรายละเอียดของแผ่นยางให้สวยงามพร้อมใช้งาน แผ่นยางนวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตนั้นเหมาะแก่กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มผู้สูงอายุ และเหมาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน มักเกิดปัญหาต่อระบบประสาทรับความรู้สึกส่วนปลาย ทำให้บริเวณเท้าชา ไม่มีความรู้สึกถึงแรงกดหรืออาจเสียความรู้สึกไป บางครั้งเมื่อมีแผลที่เท้า ทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด จนทำให้แผลลุกลามได้ การนวดฝ่าเท้าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการเหน็บชาของเท้าได้

แผ่นยางนวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการนวดฝ่าเท้า เพื่อเป็นการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ป้องกันการเกิดอาการชาของเท้าของผู้ป่วยโรค เบาหวานและบุคคลทั่วไปที่ต้องการนวดฝ่าเท้าด้วยตนเอง เพื่อช่วยให้การทำงานของร่างกายทั้งหมดสมดุล อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต คือ ลดภาวะความเครียดและทำให้เกิดความผ่อนคลาย โดยแผ่นยางนวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพจากยางพารามีกระบวนการผลิตไม่ยุ่งยาก ต้นทุนการผลิตค่อยข้างต่ำและสามารถนำน้ำยางพารา

ซึ่งเป็นผลผลิตในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่าได้อีกทางหนึ่ง อาจารย์อนุชิต วิเชียรชม กล่าวว่า ในอนาคตจะมีการผลิตแผ่นยางนวดฝ่าเท้าเพื่อสุขภาพจากยางพาราเพิ่มจำนวนมากขึ้นและมีการพัฒนารูปแบบของแผ่นยางนวดฝ่าเท้าให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นชิ้นงานต้นแบบที่ผลิตขึ้น มีการนำไปใช้งานจริง โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรง ส่วนในอนาคตจะมีการเปิดเพจจำหน่ายผ่าน facebook หรือร้านจำหน่ายอุปกรณ์เพื่อสุขภาพต่อไป ทั้งยังเป็นการนำผลผลิตในท้องถิ่นมาแปรรูป สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในภาคใต้

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์อนุชิต วิเชียรชม อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) ศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ไสใหญ่ โทรศัพท์ (081) 898-0511

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ศาลาอเนกประสงค์ ตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ชาวบ้าน ตำบลบ้านขาว นำโดย นางวไลพร สุจริตธุรการ ตัวแทนชาวบ้าน รวมตัวลงชื่อผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยทับที่ดินของชาวบ้าน เพื่อนำส่งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสงขลาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งแก้ปัญหา

นางวไลพร กล่าวว่า ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมานานกว่า 20 ปี เพราะวิถีชีวิตของเรานั้นอยู่กับธรรมชาติ หาปลา หานกกิน ทำนา แต่เมื่อประกาศเขตห้ามล่าฯ ชาวบ้านถูกห้ามหานก หาปลา ไม่สามารถนำเครื่องจักรมาใช้ในการทำนาประกอบอาชีพได้ เนื่องจากอยู่ในเขตห้ามล่าฯ เจ้าหน้าที่ห้ามเสียงดังเพราะทำให้นกตกใจ ทั้งที่ชาวบ้านอยู่และทำกินมาก่อน นอกจากนั้นไม่สามารถนำเอกสารสิทธิที่ดิน ทั้ง สค.1 หรือ น.ส.3 ไปออกโฉนดที่ดินได้ ทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างถนน สะพาน ขุดลอกคูคลอง สูบน้ำเข้าทำการเกษตร เนื่องจากเขตห้ามฯ ไม่ยินยอมให้ดำเนินการ “เมื่อประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เราก็ต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นกฎหมาย ซึ่งรัฐควรเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นเท่ากับรัฐรังแกประชาชน” นางวไลพร กล่าว

นายสมพงษ์ แก้วจันทร์ กำนันตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด กล่าวว่า ปัญหาเกิดขึ้นมานาน ชาวบ้านพยายามประสานงานติดต่อส่วนราชการเข้ามาช่วยแก้ไข เมื่อหลายปีก่อนมีทหารและฝ่ายปกครองเข้ามารับฟังปัญหา แต่เงียบหายไป สิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือ ขอให้ประกาศเขตห้ามล่าฯ ใหม่ โดยถอยร่นไปอยู่ในจุดที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์จริงๆ อย่าทับที่ของชาวบ้าน เพราะที่ดินถูกประกาศเขตฯ ห้ามล่า ร้อยละ 95 ของตำบลบ้านขาวคิดเป็นเนื้อที่หลายหมื่นไร่

นายถาวร สันหนู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลบ้านขาว กล่าวว่า ที่ดินในพื้นที่หมู่ที่ 6 กว่า 10,000 ไร่ ถูกประกาศเขตห้ามล่าฯ ทับที่ดินชาวบ้านทั้งหมด ชาวบ้านทำอะไรลำบาก ลงทุนไม่ได้ ใช้เอกสารสิทธิกู้ธนาคารไม่ได้ ล่าสุด โครงการก่อสร้างถนนลาดยางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านระยะทาง 3,700 เมตร งบประมาณ 19 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ มีงบประมาณ มีการลงบันทึก เอ็มโอยูแล้ว แต่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยคัดค้านโครงการ ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการได้

นางสาววรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตราด กล่าวว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยว จังหวัดตราด มีความเติบโตเป็นระยะ และมีความแนวโน้มการเติบโตที่ดี คาดว่ามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6 ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวหมู่เกาะต่างๆ และแหล่งท่องเที่ยวบนฝั่ง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวชุมชน รวมทั้งระยะนี้มีการจัดกิจกรรมชมผลไม้ ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มที่ชมด้านเกษตรเพิ่มขึ้น

“ตราดมีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่นักท่องเที่ยวสนใจ มีทั้งบ้านสลักคอก บ้านน้ำเชี่ยว บ้านช้างทูน บ้านท่าระแนะ และบ้านบางพระ ซึ่งชุมชนเหล่านี้มีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับล่างเป็นอย่างดี”

นางวิยะดา ซวง นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จังหวัดตราด คนใหม่ เปิดเผยว่า หลังเข้าดำรงตำแหน่งนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จังหวัดตราด ได้กำหนดแนวทางผลักดันการท่องเที่ยวของ จังหวัดตราดให้เติบโตขึ้น มุ่งไปในเรื่องการท่องเที่ยวด้านต่างๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวชายแดนที่มีการดำเนินการไว้ระดับหนึ่งแล้ว มั่นใจว่าจะเติบโตได้ปีละ 3-5%

“สำหรับการท่องเที่ยวชุมชนที่รัฐบาลสนับสนุน จะเกิดผลดีต่อการกระจายรายได้ให้ชุมชน ซึ่ง อำเภอคลองใหญ่มีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนมากมาย ทั้งชายแดน ชายหาด ศาลเจ้าแม่ทับทิม ศาลท่านก๋ง ล้วนเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยว”

เชียงราย – นายสมชาติ วรรณคำ ประธานกลุ่มสับปะรดภูแล เกษตรแปลงใหญ่ จังหวัดเชียงราย เผยว่า กลุ่มมีสมาชิก 15 ตำบลในเมืองเชียงราย ที่ปลูกกันมากคือ ตำบลบ้านดู่ ตำบลนางแล และ ตำบลท่าสุด มีเนื้อที่กว่า 4,500 ไร่ ปีนี้รับซื้อจากเกษตรกร กิโลกรัมละ 3-4 บาท แล้วนำมาปอกเปลือกและเฉาะโดยว่าจ้างแรงงานกิโลกรัมละ 10 บาท แล้วนำมาบรรจุถุงขาย ตลาดภายในประเทศส่วนใหญ่เป็นท่าอากาศยานต่างๆ ขายกิโลกรัมละ 50-70 บาท

ในส่วนประเทศจีนที่มีผู้ไปประสานติดต่อรับซื้อถึงพื้นที่จะจำหน่ายเป็นกล่อง กล่องละ 300-400 บาท โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะปอกเปลือกและเฉพาะตาให้เรียบร้อยเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด โดยช่วงเก็บเกี่ยวมากเช่นนี้มีผลผลิตหมุนเวียนผ่านกลุ่มวันละประมาณ 1 ตัน ปัจจุบันตลาดถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอไปได้

ปัญหาสำคัญที่พบในรอบปีที่ผ่านมาคือ การนำสับปะรดสายพันธุ์มาปรับให้เหมือนสับปะรดภูแล เช่น พันธุ์ตราดสีทอง ฯลฯ จากภาคตะวันออกมาปะปนในตลาด และกลายเป็นปัญหาอย่างมากเมื่อนำมาปลอมปนกับสับปะรดภูแลเพื่อส่งไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้สับปะรดพันธุ์ดังกล่าวจะออกแบบด้วยการตัดก้านและใบ จากนั้นให้สารเคมีเพื่อให้ออกผลเล็กขนาดเท่ากับสับปะรดพันธุ์ภูแล หากมองจากภายนอกแทบจะแยกแยะสายพันธุ์กันไม่ออก แต่เมื่อปอกเปลือกจะมีแกนและเส้นมาก รวมทั้งให้รสชาติที่ไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งเคยปลอมปนไปในตลาดและบางรายส่งออกไปยังประเทศ ทำให้เกิดการเข้มงวดกันอย่างหนักและเสียชื่อเสียงอย่างมาก

ขณะนี้กลุ่มทุนจีนมีความเข้มงวดเรื่องนี้มาก ถึงขั้นส่งชิปปิ้งไปเลือกดูที่สวน ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภาครัฐคือสำนักงานเกษตรฯ ช่วยตรวจสอบการปลูกของเกษตรกร เพื่อให้รวบรวมสถิติข้อมูลที่ถูกต้อง และตรวจสอบกรณีการนำผลผลิตเข้าไปปลอมปน รวมถึงการพัฒนาผลผลิตสับปะรดภูแลให้มีคุณภาพดีด้วย

ก.เกษตรฯ รับช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งขยายเวลารับซื้อกุ้งต่อไปจนครบหมื่นตันตามเป้า หวังพยุงราคากุ้งขาวในท้องตลาดให้ขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการหารือความก้าวหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง สมาคมแช่เยือกแข็งไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคากุ้งตกต่ำร่วมกัน โดยมีมติเสนอความช่วยเหลือในโครงการประชารัฐรักษาเสถียรภาพราคากุ้งขาวแวนนาไม ปี 2561 ดำเนินการรับซื้อกุ้งขาวแวนนาไมจากเกษตรกรในราคานำตลาดเพื่อพยุงไม่ให้สถานการณ์ราคากุ้งตกต่ำอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมาย จำนวน 10,000 ตัน ระยะเวลา 60 วัน ตั้งแต่ วันที่ 25 พฤษภาคม-23 กรกฎาคม 2561 นั้น ขณะนี้ สถานการณ์ราคากุ้งขยับตัวขึ้นเป็น 120 บาท/กก. (กุ้งขนาด 100 ตัว/กก.) จากเดิมราคา 105-110 บาท/กก.

“สำหรับประเด็นหารือในวันนี้ สมาคมแช่เยือกแข็งไทย ได้เข้าชี้แจงความก้าวหน้าโครงการประชารัฐรักษาเสถียรภาพราคากุ้งฯ ขณะนี้ รับซื้อได้เพียง 195 ตัน จากเป้าหมาย 10,000 ตัน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยเป็นหลัก ซึ่งมีต้นทุนการเลี้ยงสูง และขั้นตอนดำเนินการจับคู่ธุรกิจซับซ้อน จึงทำให้ใช้เวลานานกว่ากระบวนการรับซื้อจะแล้วเสร็จ ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ขอความร่วมมือสมาคมแช่เยือกแข็งไทย ขยายเวลารับซื้อกุ้งให้ครบ 10,000 ตัน ต่อไป ในขณะเดียวกัน สมาพันธ์เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งไทย ยื่นข้อเสนอให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1) ขอให้ช่วยเหลือดอกเบี้ยเงินกู้

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในอัตรา ร้อยละ 3 ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานกระทรวงพาณิชย์ เตรียมเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวันที่ 7 มิถุนายน นี้ 2) ขอให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเป็นอัตราไฟเกษตร เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยได้ประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาแล้ว และ 3) การขอเลี้ยงกุ้งในเขตชายฝั่ง และการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลโดยตรงรับไปพิจารณาต่อไป” นายกฤษฎา กล่าว

(กรุงเทพฯ วันที่ 6 มิ.ย. 61) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับสหภาพผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร ประเทศฝรั่งเศส บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด และ COMEXPOSIUM ร่วมจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2018 งานแสดงสินค้าเพื่ออุตสาหกรรมการเกษตรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด “ศาสตร์พระราชาและนวัตกรรมการเกษตร” โดยมีหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 12 หน่วยงาน พร้อมทั้งบริษัทชั้นนำ ร่วมจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้าและเครื่องจักรทางการเกษตร รวมถึงสัมมนาวิชาการ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยงาน SIMA ASEAN Thailand 2018 จะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 6-8 มิถุนายน 2561 ณ อาคาร 3-4 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

จากข้อมูลตลาดสินค้าเกษตรทั่วโลกในปี พ.ศ. 2560 สรุปผลสำรวจออกมาว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเป็นเขตเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่า 6,419.05 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 54.49 โดยประเทศไทยมีอัตราการเติบโตด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง และยั่งยื่น ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่งาน SIMA PARIS งานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่มีเครือข่ายทางการเกษตรครอบคลุมทวีปยุโรป แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นำเอางาน SIMA มาจัดที่ประเทศไทยในชื่อ SIMA ASEAN Thailand ต่อเนื่องกันถึง 4 ปี

โดยพิธีเปิดงาน SIMA ASEAN Thailand 2018 ทางคณะผู้จัดงานฯ ได้รับเกียรติจาก คุณธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ณ อาคาร 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภูมิใจนำเสนอ ศาสตร์พระราชาและนวัตกรรมการเกษตร ในด้านการบริหารจัดการน้ำและฟาร์ม ซึ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านการเกษตรสามารถมาสัมผัสและทดลองเครื่องจักรกลการเกษตร เทคโนโลยี และเรียนรู้แนวทางการทำการเกษตรอย่างครอบคลุมจากทุกหน่วยงานของกระทรวงฯ เพื่อตอบสนองความต้องการในการดำเนินงานของเกษตรกรอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”

มิสวาเรลลี่ เลสคอต ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ สหภาพผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร แอ็กซิมา เปิดเผยว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ผู้ประกอบการด้านการเกษตรกว่า 200 บริษัทจากหลากหลายประเทศ ให้ความสนใจเข้าร่วมแสดงเครื่องจักร และนวัตกรรมการเกษตร คาดว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 7,000 ราย พร้อมทั้งผู้ซื้อที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชีย ประมาณ 100 ราย รวมถึงเกษตรกร และผู้เชี่ยวชาญจากภาค อุตสาหกรรมกว่า 2,000 ราย

มิสเตอร์ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “งาน SIMA ASEAN” ในปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “ศาสตร์พระราชาและนวัตกรรมการเกษตร” ซึ่งนอกจากการจัดแสดงเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร การการจับคู่เจรจาธุรกิจแล้ว ยังมีการสัมมนาวิชาการในหัวข้อที่น่าสนใจ จากหลากหลายภาคส่วน อาทิ สัมมนาหัวข้อ “ศาสตร์พระราชาและนวัตกรรมการเกษตร” จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, Agtech Avengers จากสมาคมเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร,

แนวทางและเทคโนโลยีใหม่ในการผลิต โดย เวียดนามฟาร์ม และสมาคมวิสาหกิจเกษตรกรรม, กองทัพอากาศกับศาสตร์พระราชา โดย กองทัพอากาศไทย, ท่องเที่ยวชุมชนเทรนใหม่วัยรุ่น โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, อะไรๆ ก็สมาร์ท มาเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์กันเถอะ โดย นิตยสารเคหะเกษตร, การประชุมเพื่อการเกษตร และอาหารยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยสมาคมการตลาดเกษตรและอาหารแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและการผลิตเมล็ดพันธุ์ผัก

โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการ “ศาสตร์พระราชาและนวัตกรรมการเกษตร” ครอบคลุมพื้นที่ 972 ตารางเมตร เพื่อนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยี งานวิจัย ด้านการเกษตร อาทิ โดรน ปัญญาประดิษฐ์ แอพพลิเคชั่น เป็นต้น ปิดท้ายด้วยโซนแสดงสินค้าการเกษตรจากจังหวัดต่างๆ เช่น ข้าว นม ยาง กาแฟ และผลไม้ เพื่อแสดงศักยภาพแห่ง นวัตกรรมไทยในการเพาะปลูกพืชผล

นายภูริพันธ์ บุนนาค ผู้อำนวยการฝ่ายสำนักงานผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวว่า “ทีเส็บเป็นผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้ว การมีส่วนร่วมของทุกท่านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตในอัตรา ร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย บทบาทของทุกท่านมีส่วนช่วยผลักดันนโยบายของทีเส็บที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาคอาเซียน ทางทีเส็บจึงพร้อมที่จะสนับสนุนทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมนี้

และจะพัฒนารูปแบบการสนับสนุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการเติบโตของงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย นอกเหนือจากแคมเปญสนับสนุนผู้จัดงาน แคมเปญสนับสนุนผู้แสดงสินค้า และแคมเปญสนับสนุนผู้เข้าชมงานให้เดินทางมาเจรจาซื้อขายแล้ว ทางทีเส็บยังมีแนวทางสนับสนุนพัฒนาต่อยอดทางธุรกิจให้กับงานที่มีอยู่เดิม และรวมถึงการดึงงานระดับ Country Show ของประเทศนั้นๆ มาจัดแสดงในประเทศไทยอีกด้วย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการจัดงานไมซ์ระดับนานาชาติในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทยในตลาดโลก”

จากข้อเสนอของสภาเกษตรกรแห่งชาติในการให้ภาครัฐนำกัญชามาศึกษาวิจัยเพื่อใช้สารสกัดรักษาโรค หวังลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยและสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจฐานราก โดยให้คัดเกษตรกรที่มีคุณภาพ ปลูกกัญชาในพื้นที่ควบคุม

นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นำกัญชามาใช้ทดลองวิจัยรักษาโรคในคนได้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ ทั้งนี้ การผลักดันปลดล็อคให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรคนับจากวันแรกที่เข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ใช้เวลา 2 เกือบ 3 ปี กว่าเรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณา ครม.ได้ และก็ต้องเชื่อว่าจากนี้ไปอีก 2-3 ปี ชาวบ้านถึง

จะได้อานิสงส์ใช้กัญชารักษาโรคได้ นับเป็นการใช้เวลาเดินทางยาวนานมากน่าเสียดายที่ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องกัญชารักษาโรคหลายประเทศทั่วโลกได้แก้กฎหมายจนสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายมาหลายปีแล้ว และมีเอกสารการวิจัยของสถาบันใหญ่ๆ ทั้งในอเมริกา แคนาดา อิสราเอล วิจัยจนได้รู้ถึงสูตรเคมี สรรพคุณ สารออกฤทธิ์ พร้อมยืนยันได้ว่าสามารถที่จะเยียวยาผู้ป่วยได้ถึง 100 กว่าโรค ก็น่าเสียดายหากประเทศไทยจะเริ่มต้นศึกษา หากนำเอกสารการวิจัยที่มีอยู่ทั้งโลกเพื่อที่จะเอามาดัดแปลงใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องเริ่มต้นวิจัยใหม่จะสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ผ่านมายังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ไทยคนไหนวิจัยจริงจังเลยเพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายมาตลอดหลายสิบปี น่าที่จะเอาความรู้จากทั่วโลกมาเริ่มต้นแล้วต่อยอด เพราะมีหลายผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายแล้วและทั้งหมดจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยหากจะเดินวัดรอยเท้าก็ไม่ทันการณ์ เราควรต้องศึกษาแล้วดัดแปลงเพื่อป้องกันปัญหาจากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีทางออกเพื่อให้ผู้ป่วยได้รักษาและสามารถผลิตยาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ถูกกฎหมายลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาฟ้องร้องทีหลัง

ในขณะที่คณะทำงานของสภาเกษตรกรฯ ได้เดินทางเข้าพบกับตัวแทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อเร็วๆ นี้ ทางรัฐบาลลาวยินดีและอนุญาตให้นำเครื่องสกัดน้ำมันเพื่อเริ่มใช้รักษาผู้ป่วย และจะมีการจัดแปลงปลูกกัญชาเพื่อนำใบ, ยอดมาตากแห้งแล้วสกัดเป็นยา พร้อมยืนยันภายใน 3 เดือน จะแก้กฎหมายให้เสร็จซึ่งรัฐบาลประเทศลาวเริ่มดำเนินการและจะประกาศให้เป็นศูนย์กลางรักษาโรคด้วยกัญชาของเอเชีย นับว่าเขาขยับเร็วและเปิดช่องทางเร็วมาก ในขณะที่ประเทศไทย “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”

อาจต้องอพยพผู้ป่วยและญาติพี่น้องที่ต้องการเยียวยาด้วยสารสกัดจากกัญชาไปรักษาที่เวียงจันทน์ประเทศลาว หากทุกรัฐบาลสนใจภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องกัญชารักษาโรคมาช้านานเข้าไปร่วมคิดเชื่อว่าเป็นทางลัดให้รัฐบาลเดินเร็วได้มากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้รับความสนใจเลย แต่ก็ต้องขอขอบคุณที่ถึงแม้ว่าจะเดินช้าแต่ก็ยังเดิน

“คาดหวังว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะเข้าใจและเร่งรัดให้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นคิดว่าในระยะอันใกล้นี้ถ้าคนไทยกับผู้ป่วยทั้งโลกอพยพไปรักษาอยู่ที่ประเทศลาวเศรษฐกิจที่นั่นก็จะดีมาก ในขณะที่ประเทศไทย ซึ่งมีความรู้เรื่องนี้อยู่เยอะก็จะเสียโอกาสมาก เงินที่คิดว่าจะมาแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรเศรษฐกิจ ฐานรากอย่างพวกเราเคยฝันกันไว้ก็จะถูกปิดกั้นไป” นายประพัฒน์ กล่าวปิดท้าย

กรมปศุสัตว์แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ และคณะทำงานปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสุกรและโคขุน หวังขจัดการลักลอบใช้สารอันตรายให้หมดจากประเทศไทย

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต รักษาการอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์มีนโยบายปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงทั้งระบบ โดยเฉพาะในสุกรและโคขุนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงลดน้อยลงอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากเมื่อปี 2557 พบสารเร่งเนื้อแดงในปัสสาวะสุกร ร้อยละ 3.5 ขณะที่ในปี 2560 ที่ผ่านมา พบร้อยละ 0.7

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เนื้อสัตว์ของไทยปลอดจากสารเร่งเนื้อแดงอย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตและจำหน่ายเนื้อสัตว์ปลอดภัย (Food Safety) สู่ผู้บริโภค กรมปศุสัตว์จึงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีหน้าที่วางแผนและขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน กำหนดรูปแบบการปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ทั้งการลักลอบใช้การนำเข้าเคมีภัณฑ์ การผสมสารดังกล่าวในอาหารสัตว์ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ที่ฟาร์มสุกร และที่ฟาร์มโคขุน ตลอดจนการตรวจสอบที่โรงฆ่าสัตว์ และสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์

“หลังจากนี้การปราบปรามสารเร่งเนื้อแดง จะดำเนินการอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น หากมีการกระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ หรือฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ มีโทษหนักทั้งจำคุก หรือปรับเงินในอัตราสูง หรือทั้งจำทั้งปรับ ขอเตือนผู้ที่ยังทำผิดอยู่ขอให้หยุดการกระทำในทันที” น.สพ. สรวิศ กล่าว

ด้าน นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ กล่าวว่า จากการประชุมวางแผนการดำเนินการของคณะกรรมการฯมีข้อสรุปว่า จากนี้เป็นต้นไปจะเริ่มปฏิบัติการปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงที่โรงฆ่าสัตว์ทั่วประเทศ โดยจะใช้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าและเพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีมติให้ตั้งคณะทำงานปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดง เพื่อวางแผนปราบปราม รับแจ้งเหตุหรือเบาะแส ผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย

ทั้งนี้ หากคณะทำงานฯ เข้าตรวจสอบในโรงฆ่าสัตว์แล้วพบการกระทำความผิด ฝ่าฝืนนำสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างเข้าฆ่า หรือลักลอบนำสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงออกจากโรงฆ่าสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานตรวจโรคสัตว์ จะต้องได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนโรงงานอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ผู้ใดผลิต-นำเข้า-ขาย หรือใช้อาหารสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นวัตถุที่ห้ามใช้ผสมในอาหารสัตว์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามบทลงโทษของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์

สำหรับผู้ที่พบเห็นการกระทำผิดโปรดแจ้งเบาะแสผ่านแอพพลิเคชั่น (Application) “DLD 4.0” ที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ทั้งระบบ iOS ผ่าน App Store และระบบ Android ผ่าน Google play เพื่อให้คณะทำงานสามารถเข้าตรวจสอบการกระทำความผิดและจัดการได้อย่างทันท่วงที

กรมชลประทาน ลดระดับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม เพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ หลังกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศแจ้งเตือนจะมีฝนตกหนักทางตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศแจ้งเตือนร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่พายุโซนร้อน “เอวิเนียร์” ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก นั้น