นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำนาจริง ๆ จัง ๆ ของด้วยการปลูกข้าว

ในพื้นที่มรดกที่รับมาจากคุณยายใน ต.ข้าวงาม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา บนพื้นที่ 100 ไร่ โดยรอบแรกทดลองปลูกข้าวหอมปทุมธานี 30 ไร่ ต่อมาขยายเพิ่มอีก 15 ไร่ รวม 45 ไร่ เคียงคู่กับเถียงนาน้อย (กระท่อม) 1 หลัง

“ต้องบอกว่าไม่ได้ลงมือปลูกข้าวเอง แต่ใช้วิธีขอให้เจ้าหน้าที่หาคนเก่งจริง ๆ มาทำ เราไปตรวจดูแค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น วัตถุประสงค์หลักคือต้องการสร้างเป็นแปลงนาเพื่อการเรียนรู้ ให้เกษตรกรได้เรียนรู้การทำนาที่ถูกต้อง ซึ่งมีการปักป้ายแปลงนาเพื่อการเรียนรู้ไว้ด้วย และให้เจ้าหน้าที่ไปชักชวนเกษตรกรในพื้นที่มารวมกันทำนาแปลงใหญ่ เพราะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นแหล่งข้าว แต่กลับไม่มีแปลงนาใหญ่ ซึ่งเสียดายที่ไม่มีคนสนใจร่วมด้วย”

รมช.ชุติมาเล่าว่า ทำนามาสองปีแล้ว ผลผลิตในปีแรกไม่ได้กำไร เพราะอยู่ในขั้นตอนการทดลอง ใช้ระบบทดลองหยอดด้วยเครื่อง และดำด้วยเครื่อง

หลังจากได้ผลผลิตพอคำนวณต้นทุนแต่ละวิธีดูแล้ว ผลออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 3,800-3,900 บาท แต่ผลผลิต 1 ไร่ได้ไม่ถึงตัน ซึ่งถือว่าไม่คุ้มเพราะคิดบนพื้นฐานของชาวนาที่ต้องเสียค่าเช่าที่นาไร่ละ 1 พันบาทต่อปี ซึ่งชาวนาก็ต้องไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาจ่ายค่าเช่า

ถ้าเริ่มต้นจากการกู้ยืมเงินตั้งแต่แรกก็ต้องกู้ต่อไปเรื่อย ๆ จึงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอด แม้ในปีแรกจะไม่มีกำไร รัฐมนตรีหญิงก็ยังไม่ท้อ ทำการทดลองต่อไป

ในปีที่ 2 ด้วยการนำเทคโนโลยี GPS มาปรับใช้ โดยรอบนี้ทดลองปลูกข้าว “พันธุ์ กข. 43” ซึ่งเป็นข้าวที่มีระดับน้ำตาลต่ำเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งข้าวพันธุ์นี้ต้องดูแลให้ดีเหมือนลูกเลยทีเดียว ถึงจะมีที่ดินในพื้นที่ทำนา

แต่พื้นฐานครอบครัวรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ไม่ได้มาจากอาชีพเกษตรกร โดยพ่อเป็นผู้พิพากษา รมช.ชุติมาเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้าน มีพี่ชาย 2 คน เป็นสูตินรีแพทย์ 1 คน อีกคนทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และน้องชายอีก 2 คน ทำธุรกิจส่วนตัว จึงกลายเป็นหญิงหนึ่งเดียวในบ้าน แบบเดียวกับใน ครม.

“พ่อเป็นนักกฎหมายแต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้ลูกเป็นนักกฎหมายด้วย เพราะไม่งั้นก็คงไม่ตัดหางปล่อยวัดให้ไปอเมริกา (หัวเราะ) เราเห็นพ่อทำงานหนัก เรียนกฎหมายต้องท่องเยอะ ไม่อยากเรียน แต่เห็นคนอื่นทำงานธนาคารแต่งตัวสวย สบายก็เลยไปตรงนั้น (หัวเราะ) ตอนนั้นตั้งใจจะไปเมืองนอกก่อน แต่คณะที่ตั้งใจไปเรียนปิดซะก่อน จึงจับพลัดจับผลูไปเรียนรัฐศาสตร์ ตอนนั้นขอพ่อไปเรียนที่อังกฤษ อยากไปเรียนนอกเพราะว่าเท่ (หัวเราะ) แต่พอติดรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ่อให้เรียนที่ไทยก่อน จึงเลือกเรียนสาขารัฐศาสตร์ เอกการคลัง เพราะสามารถไปต่อคณะเศรษฐศาสตร์ที่อเมริกาได้ไม่ยาก แต่ต้องเรียนเบสิกใหม่ พอเรียนจบก็เถลไถลที่อเมริกาต่อไม่ยอมกลับ และพอกลับมาก็เถลไถลอีกปี” รมช.ชุติมา หัวเราะเมื่อเล่าถึงอดีต

สำหรับเส้นทางราชการที่กระทรวงพาณิชย์ เริ่มต้นจากความตั้งใจแรกที่จะกลับมาสมัครงานธนาคาร แต่คุณอาแนะนำให้มาสอบที่กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เพราะมีงานด้านต่างประเทศ จำได้ว่าตอนสอบ ผู้อำนวยการกอง สมพล เกียรติไพบูลย์ ยิงคำถามสัมภาษณ์ได้ว่า “คุณจะมาทำอะไรให้ผมได้” ซึ่งเธอบอกว่าเป็นคำถามที่แรงมากสำหรับคนอายุ 25 ปี

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 35 ปี ในชีวิตราชการมีจุดเปลี่ยนหลายครั้ง หลายครั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก “ความเบื่อ” รมช.ชุติมาเล่าว่า หลังรับราชการได้สักพักเกิดเบื่อต้องหาเรื่องไปเรียนต่อ ด้วยการสอบชิงทุน ไม่ว่าจะเป็นทุนไปเรียนที่องค์กรกาแฟโลก (International Coffee Organization) เรียนจบกลับมาทำงาน พอเบื่องานก็มีทุน แกตส์ องค์การการค้าโลก (WTO) ให้ไปเรียนอีก 4 เดือน อันที่จริงคืออยากเที่ยวจึงตัดสินใจไป (หัวเราะ)

จากนั้นสำนักงาน WTO ที่เจนีวา กำลังเปิดเจรจา WTO อุรุกวัยราวนด์ต้องการคนเพิ่มจึงอยู่ช่วยราชการต่ออีก 2 ปี รับเบี้ยเลี้ยงเป็นวัน ๆ จากนั้นทำเรื่องเพิ่มคน 1 อัตราจึงได้ขยับเป็นเลขาฯโท และขึ้นเป็นเลขาฯเอกตามลำดับ

“จำได้วันแรกที่ทำงานเป็นวันที่มีหิมะตกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ รถเมล์หยุดเดินรถ แต่เราคิดว่า เป็นข้าราชการต้องไปทำงาน และอยู่ที่นั่น 8 ปี ได้เรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสเพิ่มอีกหนึ่งภาษา พอกลับมาเมืองไทยมารับตำแหน่งผู้อำนวยการ ผู้เชี่ยวชาญ รองอธิบดี อธิบดี (ตามลำดับ) ก่อนจะถูกย้ายเป็นผู้ตรวจราชการ และกลับมาเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์จนเกษียณ”

หากวิเคราะห์มุมมองการใช้ชีวิตของรัฐมนตรีหญิงที่ใช้ชีวิตเรียบ ๆ ไม่ได้วางเป้าหมายอะไรไว้ชัดเจน แต่การก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เธอบอกว่า ชีวิตคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วน 30% แรก คือ ดวง ซึ่งไม่รู้ว่าใครขีดมา อีก 30% คือ ความสามารถ และอีก 30% คือ การเข้ากับมนุษย์คนอื่นได้

“ต้องยอมรับว่า การมาถึงจุดสูงสุด ไม่ได้มาจากการตั้งเป้าว่าต้องเป็นรัฐมนตรี ต้องไปเมืองนอก ไปเจนีวา แต่มันมาของมันเอง เป็นจังหวะทุกครั้ง ชีวิตจะมีจุดเปลี่ยน ชีวิตราชการผ่านทั้งสูงสุดและลงต่ำ แต่ก็ไม่เป็นไร

หลักของเราคือ ทำงานให้ดีที่สุดในสิ่งที่รับมอบมา อย่างที่ปฏิญาณตนว่าจะทำเพื่อส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส คนชอบพูดว่าราชการรายได้น้อย ต้องมีนั่นมีนี่ แต่เราไม่เคยมี ยึดหลัก ‘ความถูกต้อง’ ถ้าสิ่งที่เราเสนอ คนที่สูงกว่าไม่เอาด้วย นั่นคือ มีปัญหาแล้ว ทางออกคือต้องยอมรับ แต่ถ้าเขาให้ทำ

แต่เราทำไม่ได้ ให้คนอื่นมาทำ ดีเสียอีกไม่มีเรื่องฟ้องร้องด้วย และถ้าช่วงนั้นมีการปรับตำแหน่งก็ต้องทำใจยอมรับว่า คุณเป็นคนเลือกชีวิตคุณเอง” ชีวิตข้าราชการที่ต้องเผชิญกับแรงกดดัน ทางการเมือง ทางรอดที่รัฐมนตรีหญิงใช้นำทางคือ ต้องเชื่อในหลักความโปร่งใส ความถูกต้อง ไม่อาฆาตแค้น เว้นแต่จะยึดมั่นในตำแหน่งแบบนี้เรียกว่าไม่มีทางเลือก แต่จริง ๆ แล้ว “ทางเลือกมีเสมอ”

ฉีกการท่องเที่ยวในสไตล์เดิมๆ เติมแต่งชีวิตด้วยความหรูหรา บนเรือสำราญระดับโลก SuperStar Gemini โดยฝรั่งหัวใจไทย “แดเนียล เฟรเซอร์” ขอลองเปลี่ยนแนวจากวิถีชุมชน มาสัมผัสวิถีชีวิตในแบบนักท่องเที่ยวติดหรู พาทัวร์ความอลังการบนเรือสุดแสนสำราญครบวงจร ชมการแสดงมายากลสุดตื่นตาตื่นใจโดย “Ezker Emparanza” ชาวสเปน

เริ่มต้นปีด้วยกับทริปสุดบันเทิง บนเรือสำราญ SuperStar Gemini ในเส้นทาง แหลมฉบัง – น่านน้ำสากล โดยพิธีกร “แดเนียล” พาสัมผัสความพิเศษบนเรือลำนี้ ซึ่งมีระยะเวลาประจำการที่เมืองไทยเพียง 5 เดือนเท่านั้น (ธ.ค. 2560 – เม.ย. 2561) โดยภายในเรือลำนี้มีทั้งหมด 13 ชั้น 756 ห้อง ซึ่งพิธีกร “แดเนียล” เลือกพักห้องแบบ Cabin มีระเบียงต้อนรับวิวทะเลได้ตลอดเวลา จากนั้นไปอิ่มท้องกับอาหารเย็น Oceana BBQ บุฟเฟ่ต์นานาชาติเน้นบรรยากาศ Open Air รับสายลมบนดาดฟ้าเรือ เพิ่มความคึกคักด้วยวงดนตรีสด จากนั้นไปออกกำลังกายสุดบันเทิงกับคลาสสอนเต้นชะชะช่าโดยคุณครูชาวฟิลิปปินส์ พร้อมชมการแสดงมายากลสุดตื่นตาตื่นใจจากนักแสดงชาวสเปน Ezker Emparanza นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ คาสิโน โรงละคร บาร์ ฯ

ท่องเรือสำราญ SuperStar Gemini พร้อมกับนายแดเนียล เฟรเซอร์ ในรายการหลงรักยิ้ม วันอาทิตย์ ที่ 14 มกราคม 2561 เวลา 16.30 น. ทางช่อง 28 (3SD) พร้อมติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่

กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศอากาศหนาวเย็นลงบริเวณประเทศไทยตอนบน และคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2561)” ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 11 มกราคม 2561

1.อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ในวันที่ 11-15 มกราคม 2561 บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นลงโดยทั่วไปกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลงได้ 3-5 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณภูเขาสูงในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะมีอากาศเย็นมากที่สุดในช่วงวันที่ 13-14 มกราคม 2561 อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 16-18 องศาเซลเซียส จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนอย่างต่อเนื่องในระยะนี้

2.ฝนตกหนักบริเวณภาคใต้และคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 11-15 มกราคม 2561

จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่ามากขึ้นในขณะนี้ เป็นต้นทุนหลักที่ทำให้การส่งออกข้าวในปีนี้อาจไม่ดีมากนัก และค่าเงินบาทยังมีความผันผวนและคาดคะเนไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกขาดทุนแม้จะทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่บนแล้วก็ตาม แต่ค่าเงินยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนในการทำประกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และขาดทุน โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะส่งผลต่อราคาข้าวให้แพงขึ้นประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวหอมมะลิราคาจะแพงกว่าคู่แข่งประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

จึงอยากให้ภาครัฐดูแลค่าเงินบาทอย่าให้ผันผวน เพราะการส่งออกสินค้าเกษตรเกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรมและกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งหากไม่สามารถส่งออกได้ก็จะกระทบต่อเกษตรกรและทำให้การบริโภคภายในประเทศมีปัญหาได้ โดยอยากให้ภาครัฐดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ที่ประมาณ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นต้นทุนที่ผู้ส่งออกยังสามารถปรับได้และยังสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกข้าวอื่นๆ ได้

ผักสะเดาอาหารยอดฮิตของชาวชนบท คุณยายบัณฑิต เก็บมาขาย กำละ 10 บาท มีรายได้วันละ 500 บาท

เมื่อย่างเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว หลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ผักสะเดา จะเริ่มใบร่วง โกร๋นหมดทั้งต้น จากนั้นจะเริ่มออกดอกสีขาวเล็กๆ บานสะพรั่ง ทั้งต้น พร้อมผลิใบอ่อน ออกมาแซมดอกสะเดา ชาวชนบท ที่เคยอยู่ในถิ่นท้องทุ่ง จะนึกถึง น้ำปลาหวาน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ชอบเปิบสะเดาน้ำปลาหวาน มักจะเป็นผู้อาวุโสแล้ว หรือเคยอยู่ในชนบทมาก่อน เพราะขึ้นชื่อว่าสะเดา จะมีรสขม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสะเดา สะเดานอกจากจะเป็นใช้ผัก แล้ว ยังเป็นสมุนไพร ไทย มีสรรพคุณทางยา หลายอย่าง เช่น บำรุงเลือด ช่วยให้นอนหลับ ลดความเครียด ลดไข้ สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เป็นต้น

คุณยายบัณฑิต ดีปะวี อยู่บ้านทดน้อย ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เล่าว่า ได้ออกหาเก็บดอกสะเดา ตามทุ่งนา ทั่วไปและตามริมทาง ชาวบ้าน เรียกว่าสะเดาขาว จะมีรสชาติดี ไม่ขมมากนัก โดยออกหา ตั้งแต่เช้า เป็นต้นไปจนถึงเที่ยง เก็บได้ประมาณ 1 กระสอบปุ๋ย มัดเป็นกำ ได้จำนวน 50 กำ นำมาขายที่ตลาดประชารัฐ อำเภอวัฒนานคร จ.สระแก้ว ขายกำละ 10 บาท ขายหมดทุกวัน จะมีรายได้วันละ 500 บาท และจะหาเก็บได้อีกประมาณ 1 เดือน ดอกสะเดาก็จะวาย จากนั้นจะมีแต่ใบ ไม่มีดอก ปีหนึ่งสะเดาจะออกดอกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

อากาศที่หนาวเย็นลงอย่างฉับพลัน ทำให้ฝูงลิงแสม จำนวนกว่า 4 พันตัว ที่อาศัยอยู่ในวนอุทยานดอนเจ้าปู่ อ.พนา จ.อำนาจเจริญ ต้อพากันออกมาตากแดดบรรเทาความหนาวเป็นกลุ่มๆ บางตัวก็จับกลุ่มกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่น

เมื่อวันที่ 12 มกราคม จากที่กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศว่าในช่วงวันที่ 12-13 มกราคม นี้ อากาศจะหนาวเย็นลงอย่ารวดเร็วกับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 6-8 องศาเซลเซียส ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่จังหวัดอำนาจเจริญ ในขณะนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นลงอย่างต่อเนื่องบวกกับมีลมกรรโชกแรง อุณหภูมิเมื่อช่วงเช้าและช่วงกลางคืน อยู่ที่ 10-12 องศาเซลเซียส

โดยจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อประชาชนบางส่วนแล้ว ความหนาวเย็นดังกล่าว ยังทำให้ฝูงลิงแสม จำนวนกว่า 4,000 ตัว ที่อาศัยอยู่บริเวณวนอุทยานดอนเจ้าปู่ อ.พนา จ.อำนาจเจริญ ได้รับผลกระทบจากอากาศที่หนาวเย็นลงอย่างฉับพลันไปด้วย ซึ่งเช้าวันนี้ฝูงลิงดังกล่าวพากันออกมานั่งตากแดด บางตัวอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและนั่งกอดกัน โดยเฉพาะแม่ลิงต้องกอดลูกน้อยนั่งตากแดดให้คลายหนาว ขณะที่ลิงบางกลุ่มต้องอาศัยอยู่ตามโดนต้นไม้ เพื่อหลบลมหนาวแต่ละตัวหลบลมหนาวหนีตายกันจ้าระหวั่น

จากการสอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว บอกกว่า จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงอย่างฉับพลันส่งผลกระทบอย่างมากต่อฝูงลิงแสมที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งมีจำนวนกว่า 4,000 ตัว โดยปกติฝูงลิงพวกนี้จะพากันปีนตามต้นไม้กิ่งไม้ เพื่อหาอาหาร แต่มาวันนี้จะพบเห็นว่าฝูงลิงพวกนี้พากันออกจากป่าที่อาศัย มาสู่ที่โล่งแจ้ง เพื่อตากแดดคลายความหนาวเย็น โดยเฉพาะเมื่อคืนที่ผ่านมาอากาศหนาวเย็นมาก อุณหภูมิต่ำลงเหลือ 10-12องศาเซลเซียส ซึ่งนอกจากกระส่งผลกระทบกับคนแล้ว ก็ยังส่งผลกระทบต่อฝูงลิงดังกล่าวอีกด้วย

กยท. ยืนยัน ไม่มีส่วนตุกติกโควต้าส่งออกน้ำยางข้น วอนทุกฝ่ายอย่าเต้าข่าวมั่ว อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี ย้ำ หากพบหลักฐานการกระทำผิดใดๆให้รีบแจ้งมา กยท. โดยด่วน

นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล poipetsix.co.uk รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยด้านบริหาร เปิดเผยถึง กรณีที่มีกระแสข่าวพาดพิงสร้างความเสื่อมเสียต่อพนักงานของรัฐ เรื่องที่มีผู้บริหาร กยท. นั่งเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทผลิตน้ำยางข้นส่งออกแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา อีกทั้ง ยังมีการจำกัดการส่งออกยาง 3 ประเภท แต่ไม่จำกัดการส่งออกน้ำยางข้นและยางก้อนถ้วย รวมถึงมีการส่งออกน้ำยางข้นใน ปริมาณที่มากผิดปกติ โดยส่งผ่านไปยังประเทศมาเลเซีย และส่งต่อไปยังจีน ทางการยางแห่งประเทศไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

เพราะในฐานะที่ กยท.เป็นสมาชิกของสมาคมที่สำคัญต่างๆ ในวงการยางพาราไทย ทั้งสมาคมยางพาราไทย และสมาคมน้ำยางข้นไทย ซึ่งสถานะของสมาคมไม่ได้แสวงกำไร แต่มุ่งเน้นให้เกิดการร่วมกันและพัฒนาธุรกิจยางพารา ในกรณีของสมาคม น้ำยางข้นไทย ทางสมาคม ได้เชิญให้ผู้แทนจากการยางแห่งประเทศไทยเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาของสมาคม ถือว่าเป็นประโยชน์มาก เนื่องจากทุกครั้งที่ราคาน้ำยางสดจะปรับตัวในทิศทางขาลง กยท.ในฐานะที่ปรึกษาสามารถขอให้สมาคมช่วยซื้อในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งประโยชน์ก็ส่งถึงเกษตรกรโดยตรงเท่านั้น ดังนั้น การกล่าวหาว่ามีพนักงานไปนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทส่งออกน้ำยางข้นใน จ. สงขลา ไม่มีแน่นอน คาดว่าน่าจะเป็นความเข้าใจไปเองและเป็นการให้ร้ายกับ กยท.

นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ประเด็นการควบคุมการปริมาณการส่งออกยางของ 3 ประเทศสมาชิก ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้มีข้อตกลงร่วมกันในที่ประชุมสภาไตรภาคียางพารา (ITRC) ระหว่างรัฐบาล 3 ประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมือมีมติเห็นชอบในการประกาศมาตรการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพารา โดยมีระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่มกราคมจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งได้กำหนดการลดโควตาการส่งออกยางพาราร่วมกัน 3 ประเทศ จำนวน 350,000 ตัน ประกอบด้วยยาง 3 ประเภท ได้แก่ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ยางแท่ง STR20 และยางคอมปาวด์ ส่วนการส่งออกน้ำยางข้นนั้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในประเทศสมาชิกที่มีการส่งออกน้ำยางข้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจำกัดการส่งออก จึงไม่มีการนำน้ำยางข้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจำกัดการส่งออก ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีมติเห็นชอบในเรื่องดังกล่าว

“จากการให้ข่าวที่มีการส่งออกน้ำยางข้นมากกว่าปกตินั้นจึงไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการให้ข้อมูลที่บิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้ง ส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากขอให้ผู้ที่ให้ข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนให้ข้อมูลกับสื่อออกไป กยท. พร้อมรับฟัง และให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่อย่าเต้าข่าวไปเอง เพราะอาจจะสร้างความเสียหายต่อทุกฝ่ายได้ ในส่วนของนาย ทศพล ขวัญรอด หากมีข้อมูลหรือหลักฐานว่าผู้บริหารระดับสูง กยท. คนใด เป็นที่ปรึกษาของบริษัท น้ำยางข้น ใน จ. สงขลา ตามที่กล่าวหา สามารถแจ้งข้อมูลหรือหลักฐานมาทาง กยท. โดยด่วน ”รองผู้ว่าการ กล่าวย้ำ

เกษตรกรอุดรฯ หันมาปลูกมะระจีนแทนมันสำปะหลังรายได้งามเดือนละ4-5 หมื่นบาท

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บริเวณแปลงเกษตรบ้านลาดทอง ต.หนองไฮ อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังทราบว่าเกษตรกรหันมาปลูกมะระจีนเป็นจำนวนมาก แทนการปลูกมันสำปะหลังที่ราคาตกต่ำลงมาก

เมื่อไปถึงพบว่ามีเกษตรกรกำลังห่อลูกมะระจีนด้วยกระดาษ ซึ่งเป็นผลผลิตในช่วง 2 เดือนแรกของการปลูก ในพื้นที่1 ไร่ เพื่อป้องกันแมลงวันทองวางไข่ โดยมีผักอื่น ๆ ปลูกสลับกันตามฤดูกาล ด้วยน้ำธรรมชาติตามลำห้วย หลังจากนี้ก็จะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน นำส่งจำหน่ายตลาดอุดรเมืองทอง ตลาดกลางค้าส่งผักผลไม้รายใหญ่ของจังหวัดอุดรธานี และของภาคอีสานตอนบน นอกจากนี้ พื้นที่ด้านข้างยังเป็นแปลงปลูกมะระจีนของญาติพี่น้อง อีกหลายไร่ เพื่อจำหน่ายให้พ่อค้าคนกลางเช่นกัน