บ้านแม่ลานเหนือ เมืองลอง ต่อยอดจากศูนย์เรียนรู้ สู่แหล่งเกษตร

ท่องเที่ยวเชิงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไวรัสโควิด-19 ในประเทศของเราตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมปีนี้เป็นต้นมา จวบจนถึงปัจจุบันอาจอยู่ยาวอีกเป็นเดือน สถานการณ์เช่นนี้ทางการแนะนำให้กินร้อน มีช้อนกลางของตนเอง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือให้บ่อยๆ พฤติกรรมดังกล่าวอาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งการดำเนินชีวิตเดิมจากอดีตทั้งการกิน อยู่ หลับนอน

ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตพี่น้องคนไทยจำนวนหนึ่งอาจจะต้องว่างงาน กลับภูมิลำเนาบ้านเกิดตั้งต้นชีวิตใหม่ หรือต่อยอดกิจการจากที่พ่อ-แม่สร้างสมไว้ สิ่งสำคัญคือการเริ่มหรือสะสมภูมิคุ้มกันทั้งด้านคลังอาหารและทรัพย์สินเงินทอง เพราะวิถีชีวิตจะไม่เหมือนเดิม แล้วจะทำอะไร? ทำอย่างไร? เศรษฐกิจพอเพียงช่วยท่านได้

ผมแนะนำให้ท่านศึกษาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งและถ่องแท้ เมื่อศึกษาแล้วเกิดความศรัทธาก็คิดออกแบบ วางแผน ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ชีวิตความเป็นอยู่จะมีความมั่นคงยั่งยืนอีกครั้ง

เมื่อเดือนมีนาคม ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวชมงานอยู่งานหนึ่ง เป็นงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (หรือ Field Day) ที่บ้านแม่ลานเหนือ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ งานจัดที่ “ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและเทคโนโลยีการเกษตร” เป็นศูนย์เครือข่ายของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอลอง

ภายในงานมีกิจกรรมให้เรียนรู้ ศึกษาที่หลากหลาย เน้นการแสดงฐานเรียนรู้ด้านการเกษตรและเทคโนโลยี ได้แก่ โรงเรือนอัจฉริยะ (การจัดการปลูกผักและระบบน้ำในโรงเรือน) การเพาะเลี้ยงไส้เดือน (การเลี้ยงไส้เดือน ประโยชน์และการนำไปใช้) การปลูกผักหวานป่า (เทคนิคการปลูกและประโยชน์) การเผาถ่านชีวมวลและการกลั่นน้ำส้มควันไม้ (เทคโนโลยีการเผาถ่าน การกลั่นน้ำส้มควันไม้ และการนำไปใช้) การจัดทำบัญชีฟาร์ม (การวางแผนและกำหนดเป้าหมายการผลิตจากตัวเลขทางบัญชี การคำนวณต้นทุนล่วงหน้า เพื่อการตัดสินใจผลิตหรือไม่ผลิต หรือการปรับเปลี่ยนพืช)

เมื่อเสร็จสิ้นการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี สถานที่แห่งนี้สามารถยกระดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรของเมืองลองได้ครับ ผมได้เดินดูรอบๆ ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ พอประเมินได้ว่าคงจะผ่านการพัฒนาและได้เตรียมการก่อนเป็นศูนย์เรียนรู้มาเป็นเวลานานพอสมควร จึงได้ขอสนทนากับเจ้าของศูนย์เรียนรู้

คุณสุริยา ขันแก้ว ได้เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นศูนย์เรียนรู้ ได้เริ่มต้นมาจากแม่ยายของคุณสุริยา เมื่อก่อนท่านมีอาชีพปลูกผักขายมากว่า 40 ปี และได้ถ่ายทอดความรู้ในด้านการเกษตรให้กับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง จากนั้นในปี พ.ศ. 2557 ทาง กศน.อำเภอลอง จึงได้จัดตั้งให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรธรรมชาติ กศน.อำเภอลอง” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรธรรมชาติ มีคนในหมู่บ้านเข้ามาศึกษาเรียนรู้เป็นจำนวนมาก

จากนั้นในปี พ.ศ. 2558 ทาง กอ.รมน. ร่วมกับ กศน. ได้ยกระดับศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ประจำตำบล โดยใช้ชื่อว่า “ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ประจำตำบลห้วยอ้อ” ทางศูนย์เรียนรู้จึงได้พัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรต่างๆ โดยนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้กับการเกษตรให้มากขึ้น เช่น การทำเครื่องตั้งเวลารดน้ำผักอัตโนมัติ, การเลี้ยงไส้เดือนพันธุ์แอฟริกัน (AF) ซึ่งมีผู้สนใจจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากต่างอำเภอและต่างจังหวัด เข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ในปี พ.ศ. 2561 ทางสำนักงานเกษตรอำเภอลอง ได้เล็งเห็นว่าศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็น ศพก.เครือข่ายได้ จึงได้จัดตั้งให้เป็น ศพก.เครือข่าย “ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและเทคโนโลยีการเกษตร” และสำนักงานเกษตรจังหวัดแพร่ ได้นำโรงเรือนอัจฉริยะมาตั้งให้ ซึ่งเป็นโรงเรือนปลูกผักแบบกางมุ้ง สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และตั้งเวลาแบบอัตโนมัติได้ เช่น ระบบจ่ายน้ำ, ระบบพัดลมระบายอากาศ, ระบบกล้องวงจรปิด, ระบบม่านบังแสง เพื่อให้เกษตรกรได้นำไปเป็นต้นแบบของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการเกษตร

สอบถามต่อไปว่าศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีจุดเด่นอะไรบ้าง หากมีผู้ประสงค์จะขอเข้ามาเยี่ยมชม คุณสุริยา ให้ข้อมูลว่า ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีฐานกิจกรรมและแหล่งข้อมูลที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้มาเยี่ยมชม เมื่อกลับไปแล้วอาจได้คิดตรึกตรอง วางแผนทำเกษตรกรรมตามกำลังความสามารถของท่าน ฐานกิจกรรม ประกอบด้วย

การทำปุ๋ยหมัก และนิทรรศการบอกข้อมูลวัตถุดิบ วิธีการผลิต การนำไปใช้ รวมทั้งปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ตามวัตถุดิบที่นำมาทำปุ๋ยหมัก การเลี้ยงไส้เดือน และนิทรรศการเกี่ยวกับสายพันธุ์ การเลี้ยงการดูแล การขยายพันธุ์ การผลิตมูลไส้เดือนและน้ำหมักมูลไส้เดือน การนำไปใช้ประโยชน์ในแปลงเกษตร

3.โรงเรือนอัจฉริยะ และการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาบริหารจัดการแปลง เช่น การควบคุมระบบจ่ายน้ำ การเปิด-ปิด ม่านบังแสง และพัดลมระบายความร้อนในโรงเรือน โดยสามารถควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือ และตั้งเวลาแบบอัตโนมัติได้

แปลงผักต่างๆ ตามฤดูกาล พร้อมคำแนะนำวิธีการเตรียมดิน การเพาะเมล็ด การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยวผลผลิต การกำจัดแมลงศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี และวิธีการขาย 5.เตาชีวมวล แสดงนิทรรศการ การผลิตถ่านคุณภาพสูง และน้ำส้มควันไม้จากเตาชีวมวล ซึ่งสามารถผลิตน้ำส้มควันไม้ได้ในปริมาณมากกว่าเตาทั่วไป และมีคุณภาพของถ่านสูงกว่าเตาทั่วไป เพราะใช้ระบบน้ำวน และใช้เทอร์โมมิเตอร์ในการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งทาง กอ.รมน. ได้คิดค้นและออกแบบเตาชนิดนี้เพื่อเป็นเครื่องต้นแบบให้ประชาชนได้ศึกษาเรียนรู้ รวมถึงการนำน้ำส้มควันไม้มาใช้ในการเกษตร เช่น การไล่แมลง การปรับปรุงดิน และเร่งการเจริญเติบโตให้กับพืช

6.แปลงปลูกดอกไม้และไม้ประดับ นอกจากจะปลูกเพื่อความสวยงามแล้ว ตามหลักของเกษตรธรรมชาติ ดอกไม้ยังมีคุณสมบัติในการล่อแมลงเพื่อให้แมลงตัวห้ำตัวเบียนเข้ามาอยู่ในแปลงเพื่อกำจัดศัตรูพืชของผักโดยวิธีธรรมชาติ

7.การปลูกผักหวานป่า แสดงนิทรรศการ การปลูกผักหวานป่าโดยใช้วิธีเพาะเมล็ด เริ่มจากการเตรียมเมล็ดผักหวาน การเพาะเมล็ดให้งอก การปลูกแซมกับต้นดอกแค และวิธีการดูแล ซึ่งชาวบ้านให้ความสนใจมาก เพราะตอนนี้ผักหวานในป่าเริ่มหายาก และการปลูกด้วยวิธีนี้ให้ผลดี

8. การกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี เป็นการใช้สมุนไพรที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในชุมชนนำมาหมักทำน้ำยาไล่แมลง หรือใช้สารชีวภัณฑ์ในการกำจัดแมลง เช่น การผลิตเชื้อไตรโคเดอร์มา เชื้อราบิวเวอเรีย

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของศูนย์เรียนรู้แห่งนี้นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็คือ ผู้เรียนสามารถนำความรู้กลับไปใช้ได้ทันทีในพื้นที่ของตนเอง เพราะใช้เงินลงทุนน้อย ใช้พื้นที่น้อย และใช้น้ำน้อย อีกทั้งคุณสุริยา ก็ยังเป็นแบบอย่างของคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมือง แล้วหันกลับมาทำการเกษตร เพราะหลายคนสงสัยว่าถ้าสักวันหนึ่งตนเองต้องตกงานแล้วอยากกลับไปทำการเกษตรจะทำได้หรือไม่ และสามารถดำรงชีวิตได้หรือไม่ ซึ่งที่นี่มีทั้งคำตอบ และกำลังใจให้กับทุกคนที่มาเยือน

การพัฒนาศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ต่อไปในอนาคต

คุณสุริยา บอกถึงแนวคิดในการพัฒนาว่า จะทำให้ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านการเกษตรและด้านหัตถกรรม เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ เกิดแรงบันดาลใจและเกิดความภาคภูมิใจในการเป็นเกษตรกร โดยคุณสุริยา บอกว่า จะพัฒนาด้านต่างๆ ดังนี้

1.นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม สามารถดำรงชีวิตได้จริง จัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาในหลักคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9

2.นำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการเกษตร เพื่อให้การเกษตรเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช้แรงมากเหมือนสมัยก่อน ทั้งผู้หญิงและเด็กก็สามารถทำการเกษตรได้ อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนในการเกษตร

3.ใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเริ่มต้นชีวิตเกษตรกรโดยใช้เงินลงทุนไม่มาก เช่น บริหารจัดการที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการปลูกพืชแบบผสมผสาน และใช้น้ำอย่างประหยัดโดยการใช้ระบบน้ำหยดและการใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน

4.พัฒนาด้านการตลาด นอกจากศูนย์เรียนรู้จะเป็นแหล่งผลิตและศึกษาดูงานแล้ว ยังจะพัฒนาต่อไปให้เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าของคนในชุมชนด้วย โดยการจัดตั้งร้านค้าของวิสาหกิจชุมชน เมื่อมีผู้มาเยี่ยมชมและศึกษาดูงานเพิ่มมากขึ้น ก็จะสามารถจำหน่ายสินค้าในชุมชนให้แก่นักท่องเที่ยวได้เพิ่มมากขึ้นด้วย

5.พัฒนาด้านมาตรฐานของสินค้า ที่ผ่านมาศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ได้รับมาตรฐานเกษตรธรรมชาติ (MOA) และมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) และคาดว่าในอนาคตจะพัฒนาให้ได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic Thailand)

6.พัฒนาจากภายในสู่ภายนอก หมายถึงพัฒนาศูนย์เรียนรู้ให้เข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ และกระจายสู่ชุมชน โดยการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ให้เข้ามาร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุน เช่น สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัด กศน. พช. กอ.รมน. สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ เป็นต้น โดยนำโครงการของหน่วยงานดังกล่าวเข้ามาพัฒนาชุมชน และใช้ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดการเรียนรู้และทำกิจกรรมต่างๆ โดยชักชวนชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม สุดท้ายชุมชนก็จะเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ เป็นแบบอย่างที่ดีให้ชุมชนอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ จากนั้นก็จะขยายผลไปสู่ระดับตำบลและอำเภอ ต่อไป

นอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วยังมีสินค้าจำหน่าย

คุณสุริยา บอกว่า เร็วๆ นี้จะมีการเปิดร้านค้าของวิสาหกิจชุมชน เพื่อจำหน่ายสินค้าด้านการเกษตร และงานฝีมือของคนในชุมชน โดยที่ร้านค้าจะตั้งอยู่บริเวณด้านตรงข้ามของศูนย์เรียนรู้ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านไปมาและผู้ที่มาเที่ยวชมสามารถซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไป อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนด้วย

นอกจากการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้แล้ว ในพื้นที่ใกล้เคียงยังมีแหล่งท่องเที่ยวเครือข่ายให้ท่านได้ไปเที่ยวชม อาทิ สถานีรถไฟบ้านปิน พิพิธภัณฑ์โกมลผ้าโบราณ โฮงซึงหลวง น้ำตกเวียงโกศัย ถ้ำเอราวัณ และยังมีสถานที่ให้พักค้างคืนได้ มีร้านอาหารพื้นเมือง ร้านขนมจีนน้ำย้อยอันเลื่องชื่อ

“ผมต้องขอขอบคุณนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ที่ให้โอกาสผมในการเผยแพร่กิจกรรมของศูนย์เรียนรู้” คุณสุริยา กล่าว ภาคการเกษตรของคุณสุริยา เคยได้รับการเผยแพร่ในนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีจากท่านผู้อ่านหลากหลายกลุ่มในการสอบถามพูดคุย ขอศึกษาเรียนรู้ และได้ต่อยอดมาเป็นศูนย์เรียนรู้สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร

คุณสุริยา บอกว่า ต้องขอขอบคุณนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ที่ช่วยพลิกชีวิตของเขาไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนทำการเกษตรอยู่คนเดียวในสวนหลังบ้านไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก แต่เมื่อได้รับการเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย และได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรตามหน่วยงานต่างๆ ทำให้ได้ทราบความต้องการของผู้ฟัง และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร ทำให้คุณสุริยา นำข้อเสนอแนะและปัญหาต่างๆ มาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นแปลงเกษตรของคุณสุริยา ก็ได้รับการพัฒนาพื้นที่ในด้านต่างๆ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้แห่งหนึ่งของเมืองลอง

ผมจึงนำสาระดีๆ ต่อเนื่องจากเกษตรกรต้นแบบมายังท่านผู้อ่าน แม้สถานการณ์ปัจจุบันท่านได้พักอยู่บ้านหรือที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ หากคิดจะวางแผนทำการเกษตร ท่านโทรศัพท์สนทนากับคุณสุริยา หรือจะเข้าเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ และแปลงเกษตร คุณสุริยา บอกว่า ด้วยความยินดีและพร้อมเสมอ ติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์ (087) 936-4687 หรือติดตามกิจกรรมต่างๆ ของคุณสุริยา ได้ทางเฟซบุ๊ก ชื่อ Suriya khunkaew

เมื่อเข้าสู่หน้าฝนเป็นช่วงที่ทุเรียนหลง-หลิน ลับแล แห่งเมืองอุตรดิตถ์ สุกพร้อมออกสู่ตลาด นับเป็นช่วงเวลาที่รอคอยของเกษตรกรชาวสวนทุเรียนจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดทุเรียน เทศบาลตำบลหัวดง ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล ในฤดูกาลผลผลิตนี้คึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเลือกซื้อทุเรียนเพื่อไปรับประทาน รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้ามาเลือกซื้อทุเรียนเพื่อนำส่งสู่ผู้บริโภคทั่วไทย

ทุเรียน “หลงลับแล” ต้นเดิมปลูกโดย นายลม-นางหลง อุประ ชาวบ้านหัวดง ตำบลแม่พูล ซึ่งได้นำเอาเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์ไปปลูกจนต้นโตติดผลดก ณ บ้านผามูบ ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล ต่อมา ปี 2520 ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม “ทุเรียนที่ปลูกจากเมล็ด” ของจังหวัดอุตรดิตถ์ จากการประกวดของกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร จึงจดทะเบียนรับรองพันธุ์ ในชื่อ “ทุเรียนหลงลับแล” ในปี 2521 โดยลักษณะเด่น ผลกลม ร่องพูไม่ชัดเจน เมล็ดลีบ เนื้อในสีเหลืองจัด รสชาติหอมมัน กลิ่นอ่อน

ทุเรียน “หลินลับแล” ต้นเดิมปลูกโดย นายหลิน บันลาด ชาวบ้านผามูบ ซึ่งนำเอาเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์ไปปลูก ณ บ้านผามูบ ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล ต่อมาออกผล เกิดการกลายพันธุ์ มีรูปทรงแตกต่างจากพันธุ์อื่นๆ อย่างชัดเจน เช่น มีร่องพูชัดเจน คล้ายผลมะเฟือง เนื้อในละเอียดมากและมีสีเหลืองอ่อน รสชาติหอมมัน กลิ่นอ่อน เมล็ดลีบ ปี 2520 เจ้าของได้ส่งพันธุ์นี้ประกวดในครั้งเดียวกับที่ทุเรียนหลงลับแลได้รับรางวัล

แม้ไม่ได้รางวัลในครั้งนั้นก็ตาม หลินลับแลก็ยังได้รับความนิยมไม่น้อยกว่าทุเรียนหลงลับแล และเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ปลูก จึงตั้งชื่อพันธุ์ว่า “ทุเรียนหลินลับแล” และยังมีชื่อเรียกตามพื้นที่ปลูกเดิมอีกชื่อหนึ่งว่า “ผามูบ 1”

สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ ลงพื้นที่เยี่ยมชมตลาดกลางผลไม้ เทศบาลตำบลหัวดง และเยี่ยมชมสวนทุเรียนเกษตรกรในพื้นที่อำเภอลับแล ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปัญหาดังกล่าวทำให้มีผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดน้อยกว่าปีที่ผ่านมา

สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์แนะนำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนป้องกันกำจัดหนอนทุเรียนที่จะมาพร้อมกับฤดูฝน โดย สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดอบรมให้ความรู้การป้องกันกำจัดหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน พร้อมสนับสนุนชุดกับดักแสงไฟแก่เกษตรกร โดยใช้งบประมาณจังหวัดอุตรดิตถ์ และได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ในการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับการใช้กับดักแสงไฟ เพื่อป้องกันและรักษาทุเรียนในพื้นที่อำเภอลับแล มีผลผลิตที่มีคุณภาพออกสู่ท้องตลาด

กับดักแสงไฟ เป็นการดักผีเสื้อกลางคืน ด้วยกลวิธีทางกายภาพ โดยใช้แสงไฟอยู่ในช่วงรังสีเหนือม่วง (Ultra-violet Light) ล่อผีเสื้อกลางคืนให้มาติดในกับดัก เพื่อป้องกันไม่ให้ผีเสื้อไปวางไข่บนผิวเปลือกทุเรียน ลดการระบาด แพร่พันธุ์ของหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ซึ่งผีเสื้อหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนจะวางไข่ 100-200 ฟอง ต่อตัว ในขณะที่ผลอ่อน ตัวหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินเมล็ดภายในผลทุเรียน ถ่ายมูล ทำให้ทุเรียนเปรอะเปื้อนเสียหาย

ส่วนการเลือกทุเรียนหลงลับแลที่มีคุณภาพ สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์แนะนำว่า จะต้องดูจากผลผลิตจะมีสติ๊กเกอร์ บอกแหล่งที่มาของทุเรียน ข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูก มีตราสัญลักษณ์จังหวัดอุตรดิตถ์ หรือโลโก้การันตีคุณภาพมาตรฐานจากหน่วยงานที่ให้การรับรอง นอกจากนั้น การเลือกทุเรียนสุก ต้องสังเกตที่ขั้วจะมีรอยต่อ หรืออาจเรียกว่าปากปลิงจะพองออก และรอยต่อหลุดออกจากกัน จะมีรสชาติดีมาก ซึ่งทุเรียนหลงลับแล เกรด A จะต้องมี 4 พู ขึ้นไป และมีเมล็ดในลีบ

พร้อมกันนี้สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ขอเชิญชวนท่านผู้ที่สนใจ อยากท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวสวนทุเรียนและสวนผลไม้ สไตล์ท่องเที่ยวเกษตรอุตรดิตถ์ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ โทร. (055) 411-769 หรือ โทร. (055) 440-894 และช่องทาง Facebook : ท่องเที่ยวเกษตรอุตรดิตถ์ ทุเรียนป่าละอู หมอนทองจีไอ แหล่งผลิตน้องใหม่ จากห้วยสัตว์ใหญ่ หัวหิน

ทุเรียน ผลไม้เศรษฐกิจลือชื่อของไทย ที่เขายกกันให้เป็นราชาแห่งผลไม้ (King of Fruit) แหล่งปลูกมากก็ฝั่งตะวันออกแถบจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด กับทางภาคใต้บางจังหวัด มักจะพูดติดปากกันว่า “ทุเรียนต้องที่จันทบุรี’ หรือ ‘ทุเรียนจันท์’ ” อันนั้นก็ว่ากันไป

แต่ยุคสมัยใหม่ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปได้ และเร็วกว่าที่เราคาดคิดกัน ความเชื่อและค่านิยมที่แตกต่าง ช่วยสร้างแหล่งผลิตทุเรียนใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งภาคอีสาน ตะวันตก และเหนือตอนล่าง ล่าสุดอีกแห่งที่ปลูกทุเรียนหมอนทองได้คุณภาพดี เป็นที่นิยมชมชอบของลูกค้า ก็ต้องเป็น “ทุเรียนหมอนทองป่าละอู” จากอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ล่าสุด ด้วยรสชาติฟินได้ที่ มีความหวานมัน กลิ่นหอมละมุน เนื้อแห้งละเอียด นุ่มเนียน เมล็ดลีบ เหมาะที่จะซื้อเป็นของฝากได้อย่างมั่นใจ

ฤดูกาลที่จะถึงนี้ ไม่ต้องขึ้นไปถึงป่าละอู แวะไปชิมช้อปกันได้ที่ ร้าน “เจ๊เขียวซีฟู๊ด” หมู่บ้านเขาตะเกียบ อำเภอหัวหิน ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2563 ศกนี้ ทัวร์ป่าละอู ตามดูสวนทุเรียนหมอนทอง

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสกลับไปหัวหินบ้านเกิด เพื่อร่วมกิจกรรมกับญาติพี่น้อง หลังจากนั้นได้ออกทัวร์ไปยังสวนทุเรียนของ “เจ๊เขียวซีฟู๊ด” (พี่ปราณี กล้าขาย พี่สะใภ้) ที่บ้านป่าละอู ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ในเขตโครงการหมู่บ้านสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ ป่าเด็ง-ป่าละอู ที่มีพื้นที่โครงการคร่อม 2 จังหวัด คือ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

บ้านป่าละอูนั้นอยู่ห่างจากตัวอำเภอหัวหินไปทางทิศตะวันตกราว 60 กิโลเมตร พื้นที่ตรงนี้ติดต่อกับเขตแดนประเทศพม่า โดยมีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นเส้นกั้นเขตแดนธรรมชาติ เส้นทางคมนาคมจากตัวเมืองหัวหินไปป่าละอู เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์มาตรฐานสองเลน เดินรถสวนทางกันได้ ถนนกว้างมากพอไม่รู้สึกกังวลเมื่อรถวิ่งสวนทางกัน เป็นถนนสายหลักที่ตัดข้ามภูเขา และเนินเตี้ยๆ สลับกับพื้นที่ราบ มีโค้งคดเคี้ยวให้หวาดเสียวได้บ้างหลายช่วง สองข้างทางระหว่างตัวเมืองหัวหิน-ตำบลหินเหล็กไฟ ไปเชื่อมต่อกับตำบลหนองพลับ พื้นที่เป็นที่ราบกว้างใหญ่ ตลอดช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นไร่สับปะรดปัตตาเวีย สวนมะม่วง และมีหมู่บ้าน/ชุมชน ตลอดสองข้างทาง พอเลยเขตตำบลหนองพลับไปจะต้องขับรถไต่ข้ามช่องเขาสูงชัน เพื่อเข้าเขตตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ พอได้หูอื้อและให้รู้สึกหวาดเสียวกันอีกครั้ง

ข้ามจากช่องเขาเข้าเขตพื้นที่ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ จะผ่านด่านตรวจของตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวรหัวหิน จากจุดเริ่มเข้าพื้นที่ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ตรงนี้ไปถึงบ้านป่าละอู ก็อีกประมาณ 25 กิโลเมตร ช่วงนี้สองข้างทางเป็นป่าต้นไผ่และป่าไม้เบญจพรรณ เส้นทางคดเคี้ยว ขึ้นลงเนินลูกระนาดสูงเตี้ยสลับที่ราบตลอดเส้นทาง บรรยากาศได้ธรรมชาติมาก ซึ่งหากโชคดีก็จะมีเจ้าถิ่น “ช้างป่าละอู” ออกมายืนต้อนรับ เอ้ย! …ออกมาหากินสองข้างทาง หรือไม่ก็อาจพบโขลงใหญ่กำลังพากันข้ามถนนไป สถานการณ์นี้ต้องระมัดระวังกันไว้ด้วย

แต่ทริปนี้ไม่มีช้างป่าออกมาให้เห็น มีแต่ร่องรอยของ “ขี้ช้าง” ทั้งแบบแห้งและแบบเปียกสดใหม่ พอเป็นคำตอบแล้วว่า ช้างป่าละอูยังมีอยู่มากจริง ไม่เหมือนในนิยายเรื่อง “เพชรพระอุมา” ที่มโนไว้ว่า เข้าป่าแล้วเจอช้างฝูงใหญ่ นั่นเขานั่งเทียนเขียนจินตนาการเอา แต่ช้างป่าละอูนะของจริงชัวร์

ป่าละอู เป็นถิ่นที่อยู่ของช้างป่าที่มีประชากรมากพอสมควร มักจะออกมาเดินหากินระหว่างสองข้างทางถนน หรือไม่ก็เดินข้ามไปมาระหว่างป่า 2 ด้าน เพราะเป็นที่อยู่เดิมของเขา แต่พวกเราตะหากที่เข้าไปบุกรุกและรบกวน จากนโยบายของรัฐด้านการพัฒนาและด้านความมั่นคง ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเหมือนกัน

ผ่านด่านตรวจของตำรวจพลร่มฯ ทั้ง 2 จุด ก็ถึงหมู่บ้านป่าเด็ง-ป่าละอู เป็นชุมชนที่อยู่ภายใต้โครงการหมู่บ้านสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ ป่าเด็ง-ป่าละอู ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ ปี 2520

เลยนึกย้อนอดีตไป ช่วงนั้นผู้เขียนได้บรรจุเข้ารับราชการ ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหัวหินพอดี (20 สิงหาคม 2520) แล้วได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปปฏิบัติงานการฝึกอบรมอาชีพการปลูกพืชให้กับเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์ฯ รุ่นแรกๆ เน้นการปลูกข้าวโพด พืชผักสวนครัว แปลงตัวอย่างการปลูกพืชแบบผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม) และการจัดที่อยู่อาศัยบ้านตัวอย่าง ในพื้นที่ 1 ไร่ ซึ่งต้องนอนพักค้างในหมู่บ้านร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เข้าไปทำงานร่วมกัน โดยชุดเจ้าหน้าที่เกษตรของผมจะเข้าไปทำงานเป็นช่วง ช่วงละ 15-20 วัน หมุนเวียนเปลี่ยนชุดกันไป

สภาพของบ้านป่าละอูสมัยนั้นเป็นป่าธรรมชาติมากๆ เว็บบอลออนไลน์ จะเรียกว่า “ป่าดงดิบ” ก็ไม่ผิดอะไร โดยเฉพาะสองข้างถนนช่วงผ่านด่านตำรวจพลร่มฯ เข้าพื้นที่โครงการนั้นมีสภาพเป็นป่าครึ้ม ปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ต้นใหญ่ๆ ที่ขึ้นหนาแน่น สลับกับพวกไม้ป่าเบญจพรรณต้นขนาดหลายคนโอบ สูงชะลูดเสียดท้องฟ้า ดูแล้วสมบูรณ์สวยงามมาก แต่ก็สร้างความรู้สึกตระหนกและหวาดกลัวให้แว้บขึ้นมาได้ ตอนที่เดินทางช่วงนั้น เพราะผมกับเพื่อนเดินทางไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ เกาะพ่วงท้ายกันไป 2 คน โด่เด่ ท่ามกลางป่าดิบ ถนนก็ยังไม่ราบเรียบ เป็นลูกรังอัดบด พอเจอน้ำฝนสภาพก็เละเป็นโคลน สลับหลุมบ่อแบบเตาขนมครก กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางหืดขึ้นคอเหมือนกัน ช้างป่านะยังพอไหวหากไม่ประจันหน้ากันแบบจ๊ะเอ๋ ยังมีไข้มาลาเรีย วายร้ายภัยเงียบที่ต้องระมัดระวังตัวกันแบบสุดๆ ขนาดที่ว่าทุกคืนก่อนเข้านอน ต้องกินยาควินิน 2 เม็ด เพื่อป้องกันเอาไว้

อีกอย่าง ไฟฟ้า ก็มีช่วงหัวค่ำจากเครื่องปั่นไฟฟ้าสนาม เปิด-ปิด ได้ตามเวลา กลางคืนมีแค่ 2-3 ทุ่ม หลังจากนั้นดีที่สุดก็ตะเกียงเจ้าพายุ กับตะเกียงโบราณ จุดใช้กันทุกบ้านและทุกไซต์งาน ที่เล่ามานี้เฉพาะภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานต้นสังกัด คือ สำนักงานเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร

ส่วนอีกภารกิจหนึ่งเป็นการร่วมทีมงานอำเภอเคลื่อนที่ ที่ต้องออกปฏิบัติการแนวจิตวิทยา ประกอบด้วย 4 หน่วยงานหลัก คือ มหาดไทย สาธารณสุข เกษตร และศึกษาธิการ ซึ่งการปฏิบัติงานในพื้นที่ ป่าเด็ง-ป่าละอู ต้องนอนค้างกันในพื้นที่ ตอนนั้นอาศัยนอนกันบนศาลาวัด ความสะดวกสบายก็ตามสภาพ แต่งานเชิงปฏิบัติการจิตวิทยาก็ต้องเดินหน้าต่อไป

อ้อ! …ลืมบอกไปว่า พื้นที่ป่าเด็ง-ป่าละอู ฝ่ายความมั่นคงจัดไว้เป็นเขตพื้นที่สีชมพู-สีแดง เพราะยังมีความขัดแย้งกันทางความคิดด้านการเมือง ระหว่างชนกลุ่มน้อย (กะเหรี่ยง) กับรัฐบาล โดยพื้นที่เขตนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวรหัวหิน ที่ตั้งด่านตรวจ 2 จุด ตรงปากทางเข้าโครงการ และยังมีฐานตำรวจพลร่มอีกหนึ่งแห่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาติดชายแดนไทย-พม่า ทางทิศตะวันตก ซึ่งก็มีเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนหัวหินที่เป็นตำรวจพลร่ม และได้มาประจำที่ฐานฯ แห่งนี้ด้วย ที่เล่ามาถึงตรงนี้เพียงจะบอกแฟนคลับให้รู้ว่า พื้นที่ป่าละอูนั้นเคยมีเหตุการณ์ที่คนไทยด้วยกันต้องสูญเสียชีวิตไปจากแนวคิดต่างทางการเมือง ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายๆ แห่งของประเทศไทย พอหลายๆ ปีไป ก็สงบเงียบได้ในที่สุด