ปลูกพืชสลับกัน ช่วยให้ดินได้พักในช่วงแรกพืชผักที่เลือกปลูก

ทำรายได้เขาจะเน้นเป็นแตงกวาและถั่วฝักยาวเป็นหลัก เพราะราคาและความต้องการของตลาดมีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อสภาพดินได้รับการปรับปรุงแก้ไข การปลูกพืชชนิดอื่นก็ตามมาด้วย เช่น คะน้า กวางตุ้ง และผักสลัดกินใบอีกหลายชนิด นอกจากนี้ ยังมีการปลูกพืชบนโต๊ะปลูก หรือที่เรียกว่าการปลูกพืชบนแคร่ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ทำให้ไม่ต้องก้มเงยลุกนั่งในการเก็บผลผลิตที่อาจทำให้หน้ามืดและเป็นอันตรายได้

การปลูกผักที่มีความหลากหลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างรายได้ที่ดี คุณดีน ให้เหตุผลว่า ผักแต่ละชนิดมีอายุการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นถ้ามีการวางแผนการปลูกที่ดี จะช่วยให้ผลผลิตที่ได้สร้างรายได้ได้ทุกวัน อย่างช่วงแรกที่ปลูกแตงกวากับถั่วฝักยาวค่อนข้างมีอายุเก็บเกี่ยวที่มากกว่า 40 วัน แต่เมื่อมีการวางแผนการปลูกผักใบเข้ามาเสริมด้วย จึงทำให้ผลผลิตไม่หยุดชะงัก

“เมื่อเรามีการจัดการที่ดี เลือกการปลูกพืชแบบมีระบบ เงินที่ได้จากการจำหน่ายจะมีทุกวัน จะช่วยให้เรามีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายได้ ใน 1 ปี พืชผักกินใบสามารถปลูกหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีที่แตกต่างออกไปคือ การปลูกแตงกวาและถั่วฝักยาว จะปลูกปีละประมาณ 3 รอบเท่านั้น เพราะว่าเวลาที่เหลือจะทำการพักแปลงปลูก ด้วยการบำรุงดิน ด้วยการหว่านปอเทือง ก็จะทำให้ดินที่ผ่านการปลูกแตงกวาและถั่วฝักยาวมีความสมบูรณ์กลับมาให้ผลผลิตที่ดีต่อไป”

จากการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ ทำให้สวนพืชผักของเขาลดการใช้ปุ๋ยเคมีไปได้อย่างมาก รวมทั้งการนำสารชีวภัณฑ์เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของโรคและแมลงศัตรูพืชต่างๆ นอกจากจะทำให้ตัวเขาเองปลอดภัยแล้ว ผู้บริโภคเองก็มีความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพราะผลผลิตที่จำหน่ายทั้งหมดภายในสวนเป็นสินค้าอาหารปลอดภัยที่ได้รับมาตรฐานจีเอพี (GAP)

อีกสิ่งที่เป็นเทคนิคการทำเกษตรของเขาคือ ถ้าช่วงไหนรู้สึกว่ามีการปลูกพืชผักและเก็บจำหน่ายมาจนรู้สึกว่าอยากหยุดพัก จะมีการพักปลูกพืชผักใบด้วยการมาปลูกข้าวโพดเข้ามาแทน เพราะช่วงที่รอข้าวโพดออกฝักเขาสามารถมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่นได้ ซึ่งพืชไร่อย่างข้าวโพดไม่ต้องการการดูแลมากเท่ากับพืชผัก ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างรายได้หลากหลายของเกษตรกรท่านนี้

ตลาดรับซื้อต่อเนื่อง จนเกิดการรวมกลุ่ม

การที่ใส่ใจในเรื่องของการตลาดนำการผลิตนี้เอง ทำให้ผลผลิตที่ได้เป็นที่ต้องการของตลาด ไม่ว่าผลผลิตของเขาจะออกมามากเพียงใด พ่อค้าแม่ค้าก็รับซื้อหมดหรือเรียกว่ากำลังผลิตของเขาเองอาจจะไม่พอเสียด้วยซ้ำไป จึงทำให้เกิดการรวมกลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรท่านอื่นๆ ในพื้นที่ จำนวนกว่า 40 ท่าน เพื่อผลิตผักคุณภาพส่งจำหน่ายให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้อย่างต่อเนื่อง

โดยจำหน่ายแตงกวาราคาส่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 15 บาท ถั่วฝักยาวราคาขายส่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ส่วนถ้านำไปขายให้กับลูกค้าทั่วไปในชุมชน ก็จะทำแยกเป็นถุง ถุงละ 10 บาท ส่วนผักกินใบและผักสลัดอื่นๆ ราคาจำหน่ายทั้งส่งและปลีกเริ่มต้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 15-200 บาท

“การปลูกผักของกลุ่มเราในเวลานี้ ต้องบอกเลยว่า ค่อนข้างตอบโจทย์ สามารถสร้างกลุ่มให้มีความเข้มแข็ง และเกษตรกรผู้สูงอายุสามารถมีรายได้จากการทำเกษตรเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้นคนที่สนใจอยากทำเกษตร สิ่งแรกเลยต้องบอกว่าต้องมีใจรัก เพราะฉะนั้นความยั่งยืนที่สำคัญมาก โดยเฉพาะดิน ถ้าดินดีมีความอุดมสมบูรณ์ก็จะช่วยให้ผลผลิตที่ได้สูงและมีกำไรมากขึ้น”

สำหรับท่านใดที่สนใจในเรื่องของการทำเกษตร หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับปรุงบำรุงดิน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณดีน หะยีมะแซ ณ บ้านเลขที่ 47 หมู่ที่ 3 ตำบลบาเจาะ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี หมายเลขโทรศัพท์ 081-959-7797

คุณฐนพล เสนมิม หรือ ครูหน่อง เจ้าของไร่สวนพอเพียง อยู่ที่บ้านหนองแวง ตำบลเขาพระนอน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ใช้เวลาว่างหลังงานประจำ สานต่อพัฒนาสวนพุทรานมสดของที่บ้าน เน้นคุณภาพของผลผลิต และทำหน้าที่หลักในการหาตลาดจนสามารถสร้างรายได้ จากสวนพุทราเพียง 2 ไร่ ได้หลักหลายแสนบาทต่อปี

ครูหน่อง เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำสวนพุทราว่า ตนเองประกอบอาชีพหลักเป็นครูสอนดนตรี แต่พื้นฐานที่บ้านเป็นเกษตรกรทำสวนพุทรามานานกว่า 10 ปีแล้ว ตนเองเพิ่งจะเข้ามาสานต่อได้เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี โดยตอนแรกที่สวนจะปลูกพุทรา 3 รสเป็นหลัก แต่พอมาช่วงหลังเริ่มเกิดปัญหาเรื่องของโรคแมลง การจัดการยาก ราคาต่ำ ที่สวนจึงได้มีการปรับเปลี่ยนมาปลูกสายพันธุ์ใหม่ จากพุทรา 3 รส เป็นพุทรานมสดสายพันธุ์บอมเบย์ ด้วยจุดเด่นของสายพันธุ์นี้คือ ผิวบาง รสชาติหวาน กรอบ ขนาดผลใหญ่ ขายได้ราคาดีตลอด และในแง่ของการปลูกการดูแลนั้น พุทราเป็นผลไม้ที่ปลูกดูแลง่าย ต้นทุนต่ำ เพราะที่สวนปลูกแบบอินทรีย์ ใช้ปุ๋ยคอก และทำฮอร์โมนไว้ใช้เอง เพราะฉะนั้น จะเหลือกำไรต่อปีมากพอสมควร หรือพูดง่ายๆ ว่าเงินที่ได้จากการทำสวนกลายเป็นเงินเก็บก้อนโตเลยก็ว่าได้

ปลูกพุทรานมสด สายพันธุ์บอมเบย์
2 ไร่ ได้จับเงินแสน
เจ้าของบอกว่า ณ ปัจจุบันที่สวนปลูกพุทราบอมเบย์เป็นหลัก สร้างรายได้อยู่จำนวน 2 ไร่ และได้แบ่งพื้นที่อีกบางส่วนไว้ทำแปลงทดลองปลูกสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น พุทราพันธุ์สงวนทอง และพุทราแก้ว ไว้เพื่อศึกษาจุดเด่นจุดด้อย สู่การพัฒนาให้เป็นสายพันธุ์เชิงการค้าต่อไป

การปลูก
พุทรา เป็นผลไม้ที่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ และปลูกได้ตลอดทั้งปี เพราะฉะนั้นขั้นตอนการเตรียมดินปลูกจึงไม่มีอะไรยุ่งยาก ของที่สวนใช้วิธีไถพรวนดินธรรมดา แล้วลงมือขุดหลุมปลูกได้เลย โดยขนาดความกว้างของหลุม ประมาณ 1×1 เมตร ลึก 50 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมปริมาณ 1 กระสอบ จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูก แล้วใช้ฟางคลุมดิน รดน้ำให้ชุ่ม ระยะห่างระหว่างต้นมี 2 ระยะ คือ 5×5, 8×8 เมตร เพื่อให้กิ่งก้านสาขาแตกออกด้านข้างได้อย่างสะดวก กิ่งไม่ทับพันกันมากเกินไป ส่งผลทำให้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้น และช่วยลดขั้นตอนการดูแลได้มากขึ้น

การดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย
ระบบน้ำของที่สวนใช้วิธีวางท่อพีวีซีเป็นท่อหลักแล้วใช้สาย PE เดินตามร่อง แล้วติดตั้งระบบมินิสปริงเกลอร์ เปิดรดน้ำทุกๆ 3 วัน หรือให้ดูสภาพอากาศควบคู่ไปด้วย หากช่วงไหนอากาศร้อนจัดก็ให้ 2-3 วันรดครั้ง แต่ถ้าหากช่วงไหนแดดไม่ค่อยมีก็สามารถเว้นระยะการให้น้ำออกมาเป็น 4 วัน รดครั้งก็ได้ เพราะพุทราเป็นผลไม้ที่ไม่ชอบน้ำแฉะ และถ้าหากให้น้ำมากจนเกินไปจะทำให้ผลของพุทราแตกได้

การให้ปุ๋ย ที่สวนเริ่มปลูกแบบอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นปุ๋ยที่ใส่จะเป็นปุ๋ยคอก และฮอร์โมนที่หมักเองทั้งหมด โดยการใส่ปุ๋ยให้นับช่วงรองก้นหลุมเป็นครั้งที่ 1 หลังจากนั้นจะเริ่มใส่ปุ๋ยอีกครั้ง ในช่วงที่ต้นเริ่มติดดอก (ครั้งที่ 2) และมีการฉีดฮอร์โมนน้ำหมักบำรุงไปด้วย หลังจากเก็บผลผลิตชุด 1 เสร็จใส่ปุ๋ยคอกอีกครั้ง (ครั้งที่ 3) ครั้งสุดท้ายหลังจากผลผลิตหมดตัดต้นก็เริ่มบำรุงต้นใหม่ใส่อีกครั้ง (ครั้งที่ 4) จะวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เฉลี่ยประมาณ 3 เดือนครั้ง หรือหากในกรณีที่ปุ๋ยอินทรีย์ไม่เพียงพอ สามารถใช้ปุ๋ยยูเรียได้ไม่เกินต้นละ 1 กำมือ และหมั่นดูแลกำจัดวัชพืชภายในแปลงให้สะอาดอยู่เสมอ

สูตรฮอร์โมนเร่งการติดดอก
ส่วนผสม

ผลผลิตพุทราที่ร่วงหล่น หรือคัดทิ้ง
ไข่เป็ด 2 แผง
นมเปรี้ยว
หัวเชื้อจุลินทรีย์ EM
น้ำเปล่า หมักในถัง ขนาด 200 ลิตร ใส่น้ำเปล่าในปริมาณ 150 ลิตร จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้เทใส่ลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วปิดฝาถังหมักทิ้งไว้เป็นระยะเวลาอย่างต่ำ 2-3 เดือน สามารถนำมาใช้งานได้

วิธีการใช้ อัตราฮอร์โมน 600 มิลลิลิตร ผสมกับน้ำเปล่า 50 ลิตร นำมาฉีดพ่นได้ทั้งทางใบ ทางดอก เพื่อช่วยกระตุ้นการออกดอก ติดผล กางมุ้งไล่แมลง
สำหรับศัตรูตัวสำคัญของสวนพุทราคือแมลงวันทอง แต่เนื่องด้วยที่สวนตั้งใจทำเกษตรแบบอินทรีย์ ประกอบกับที่คุณแม่แพ้สารเคมี ที่สวนจึงหาทางกำจัดแมลงวันทองด้วยการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้ในการไล่แมลง คือใช้เทคนิคการกางมุ้งให้กับพุทรา ถือเป็นวิธีที่ดีถึงแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องใช้เงินลงทุนที่สูง แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้แล้วนั้นนับว่าคุ้มค่ามากๆ ทั้งปลอดภัยจากสารเคมี ทำแล้วเห็นผลดีกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีแมลงมารบกวน ทำให้ได้ผลผลิตดี ในปีแรกก็คืนทุนได้แล้ว หรือถ้าหากช่วงไหนราคาผลผลิตดีๆ จะได้ทั้งทุน และเห็นผลกำไรในคราวเดียวกัน

ปริมาณผลผลิต พุทราเป็นพืชที่ปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็ว ปลูกปีแรกมีผลผลิตให้เก็บขายแล้ว โดยช่วงการเก็บผลผลิตของที่สวนจะเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กุมภาพันธ์ โดยปริมาณของผลผลิตจะมีให้เก็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุและความแข็งแรงของต้น ลำต้นยิ่งใหญ่ยิ่งแข็งแรง ก็ให้ผลผลิตเยอะ ซึ่งที่ผ่านมาที่สวนจะเก็บผลผลิตได้เฉลี่ย 4 ตัน ต่อไร่ มีตลาดรับซื้อหลักอยู่ที่ขอนแก่น

สร้างผลกำไรงาม สำหรับรายได้ในการขายพุทราต่อปี ประมาณ 300,000 บาท เมื่อหักต้นทุนออกไปแล้วไม่ถึงแสน ที่เหลือคือกำไรทั้งหมด ถือเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนดี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ที่การวางแผนจัดการของทีละสวนด้วย เพราะ 1. ที่สวนมีการจัดการสวนแบบอินทรีย์จึงมีต้นทุนการดูแลต่ำ 2. ราคาของพุทรานมสดค่อนข้างมีราคาดีตลอดทั้งปี ราคาไม่ผันผวนเหมือนผลไม้ชนิดอื่นๆ รวมถึงคุณภาพที่ผลิตออกมาตรงต่อความต้องการของตลาด ก็สามารถขายได้ราคาได้แพงขึ้น

การตลาด แบ่งเป็นลูกค้า 2 กลุ่ม ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าชอบแบบไหน กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มลูกค้าที่นิยมรับประทานพุทราที่มีขนาดผลขนาดใหญ่ และกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มลูกค้าที่ชอบขนาดผลเล็ก โดยที่ขนาดของผลไม่มีผลต่อเรื่องของรสชาติ ไม่ว่าจะผลเล็ก หรือผลใหญ่ รสชาติความหวานยังคงเดิม ส่วนในเรื่องของราคาขายส่งหน้าสวน กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ถ้าอยู่ในช่วงเทศกาลราคาอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 25-30 บาท

โดยที่ผ่านมาราคาเป็นไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง อย่างสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาที่สวนได้รับผลกระทบน้อยมาก ยังสามารถกระจายสินค้าได้ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้สื่อช่องทางออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ คือช่วงโควิดตลาดปิด ออกไปไหนไม่ได้ ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเคยขายส่งตลาดใหญ่อย่างเดียวก็ย้ายมาขายในตลาดออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในตอนนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นทางสวนก็กลับมาขายส่งเหมือนเดิม อาจจะลดปริมาณการขายทางออนไลน์ลง เนื่องจากไม่มีเวลาในการแพ็กของส่งลูกค้า และมองว่าในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า พุทราก็จะเป็นพืชที่น่าจับตา ความต้องการยังมีสูง เนื่องจากที่ผ่านมาที่สวนมีออเดอร์เข้ามาเยอะมาก แต่ไม่สามารถผลิตส่งให้ได้เพราะลูกค้ามีความต้องการในจำนวนมากวันละหลายตัน แต่ที่สวนสามารถผลิตได้มากที่สุดเพียงสัปดาห์ละ 800-900 กิโลกรัมเท่านั้น

ฝากถึงเกษตรกรมือใหม่
“ต้นทุนของแต่ละคนไม่เท่ากัน ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าต้องรอให้มีเงินเยอะก่อนแล้วค่อยลงมือทำ การเกษตรสำหรับผมสามารถทำได้ทุกอาชีพ ทุกชนชั้น มีทุนน้อยก็เริ่มทำจากทุนน้อย ขอแค่มีใจรักเป็นจุดเริ่มต้น แล้วลงมือทำได้เลย และสิ่งที่ตามมาทีหลังคือความงอกเงยในอนาคต แรกๆ อาจยังไม่เห็นผลเท่าไหร่ แต่ว่าอนาคตต่อไปทำเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นอาชีพหลักได้อย่างสบาย” ครูหน่อง กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเทคนิคการปลูกพุทรากางมุ้งเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 088-555-4629 มะเขือเทศ โซลาริโน่ (Solarino) สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ เด่นที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับการกินผลสด ทรงผลยาว สีแดงสวย เนื้อแน่นกรอบ ไม่มีกลิ่นฉุน กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง เหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชสร้างรายได้เสริม ปลูกไม่ต้องเยอะสามารถทำรายได้ต่อสัปดาห์ไม่น้อย

คุณศิริลักษณ์ เอกประทุมชัย หรือ คุณเก็ต เจ้าของฟาร์ม Miss Melon Farm ตั้งอยู่ที่ 14/3 หมู่ที่ 8 ตำบลบึงบา อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี อดีตมนุษย์เงินเดือนอิ่มตัวจากงานประจำ ผันตัวเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนเมล่อน พร้อมกับการต่อยอดสร้างรายได้ นำมะเขือเทศโซลาริโน่ ที่เป็นสายพันธุ์กินผลสดมาปลูกเก็บขายได้เงินค่ากับข้าวสัปดาห์ละ 3,000 บาท

คุณเก็ต เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาเป็นเกษตรกร ตนเองเคยทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศมาก่อน จนถึงจุดอิ่มตัวกับรูปแบบการทำงานประจำ และต้องการอยากที่จะกลับมาดูแลพ่อกับแม่ที่มีอายุมากขึ้น โดยการกลับมาอยู่บ้านในครั้งนี้ไม่เพียงแค่กลับมาดูแลพ่อแม่ แต่เป็นการกลับมาเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยแนวคิดอยากปลูกผักปลอดภัยในโรงเรือน จึงได้เริ่มต้นหาความรู้จากงานสัมมนาอบรมการทำเกษตรบ้าง เรียนรู้จากศูนย์การเรียนรู้เชิงเกษตรบ้าง ทำให้เริ่มมีทั้งความรู้การทำเกษตรมากขึ้น รวมถึงได้รู้จักเพื่อนๆ ที่ทำเกษตรที่หลากหลายจากตรงนี้ และมีความสนใจในด้านการปลูกเมล่อน จึงได้ลงมือทำอย่างจริงจังจนเกิดความชำนาญ นำไปสู่การต่อยอดขยายพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชชนิดอื่นๆ ตามมา

ซึ่งในตอนนั้นมะเขือเทศเป็นพืชชนิดแรกที่นึกถึง เพราะเห็นว่ามะเขือเทศเป็นพืชที่สามารถปลูกในโรงเรือนพร้อมกับการปลูกเมล่อนได้ ไม่ต้องลงทุนใหม่ ทั้งโรงเรือน วัสดุปลูก และการดูแลที่ไม่แตกต่างกัน รวมถึงได้มีการศึกษาการตลาดของมะเขือเทศเพิ่มเติมแล้วว่า ถ้าปลูกแล้วจะไปขายให้ใคร หรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้แล้วว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อมะเขือเทศของเราจะเป็นใคร จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจเลือกปลูกมะเขือเทศมาตั้งแต่ตอนนั้น

ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องเลือกปลูกมะเขือเทศโซลาริโน่ ก็เพราะว่าจุดเด่นของมะเขือเทศสายพันธุ์นี้คือ เป็นมะเขือเทศสายพันธุ์ที่มีเมล็ดน้อย กินง่ายคล้ายกับองุ่นไร้เมล็ด เนื้อกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ไม่ฉุน คนที่รักสุขภาพแต่ไม่ชอบกินมะเขือเทศก็สามารถกินได้ แถมขายได้ราคาดีกิโลกรัมไม่ต่ำกว่า 200-300 บาท

มะเขือเทศโซลาริโน่ ปลูกง่าย ราคาดี
หากถามถึงวิธีการปลูกยากง่ายอย่างไร คุณเก็ต อธิบายให้ฟังว่า หากวัดระดับความยากให้จาก 1-10 การปลูกมะเขือเทศโซลาริโน่ จัดอยู่ในระดับที่ 4 คือมีขั้นตอนการปลูกการดูแลที่ง่ายกว่าการปลูกเมล่อนเยอะ รวมถึงการจัดการโรคแมลงศัตรูพืชที่ง่ายกว่าเมล่อน เพราะเมล่อนจะมีความไวต่อโรค ทั้งเพลี้ยไฟ ไรแดง รากเน่า ซึ่งมะเขือเทศตอนนี้ที่ฟาร์มเจอจะมีแค่หนอน ถ้าเจอสามารถจับทิ้งได้เลย แต่จะต้องมาให้ความพิถีพิถันในการขั้นตอนของการเก็บเกี่ยวที่ยากกว่าการเก็บเมล่อน ตรงที่มะเขือเทศมีผลขนาดเล็กและสุกไม่พร้อมกันทั้งหมดต้องค่อยๆ ทยอยเก็บ แตกต่างจากเมล่อนที่มีผลขนาดใหญ่ ผลผลิตมี 1 ลูกต่อ 1 ต้น เก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งหมด หรือสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเมล่อนเหมาะสำหรับเป็นพืชเงิน เก็บได้เงินเป็นก้อน ส่วนมะเขือเทศเปรียบเสมือนรายได้เสริม ไว้ใช้จ่ายเป็นค่ากับข้าวประจำวันที่ดีไม่น้อย

วิธีการปลูก
หากมีการจัดการดูแลที่ดีสามารถปลูกได้ปีละ 3 ครั้ง แต่ของที่ฟาร์มวางแผนการปลูกเพียงปีละ 2 ครั้ง เป็นการปลูกในโรงเรือนเดียวกับเมล่อน จำนวน 100 กว่าต้น การเตรียมวัสดุในการปลูกก็เหมือนกับการปลูกเมล่อนอีกเช่นกัน คือการใช้วัสดุปลูกแทนดิน เช่น ขุยมะพร้าว แกลบดำ หรือปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ก็ได้ โดยที่ฟาร์มจะเลือกใช้ขุยมะพร้าวหรือแกลบดำ ขึ้นอยู่กับความสะดวกในช่วงนั้น

ถัดมาคือถุงที่ใช้เพาะปลูก จะใช้แบบเดียวกับการปลูกเมล่อนทั่วไป จากนั้นนำวัสดุปลูกที่เตรียมไว้มากรอกใส่ถุงเพาะ โดยจะเน้นเลือกวัสดุปลูกที่ปรับสภาพ pH ได้ดี เพราะเพียงต้องการเพื่อให้รากเกาะติด แล้วให้สารอาหารทางน้ำ คือปุ๋ย AB ดังนั้น จึงไม่ต้องยุ่งยากในเรื่องของการเตรียมดิน

การเพาะเมล็ด ก่อนย้ายลงถาดเพาะจะต้องนำเมล็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปบ่มไว้ในผ้า หรือบ่มในกระดาษทิชชู จนรากงอกได้ความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร จึงค่อยย้ายเมล็ดลงไปเพาะในถาดหลุม

โดยใช้เวลาในการเพาะเมล็ดประมาณ 12-14 วัน หรือให้ดูที่ใบจริงเป็นหลัก เพราะหากเป็นช่วงที่สภาพอากาศเย็นมากๆ การเจริญเติบโตจะช้า การเพาะเมล็ดก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 2-3 วัน เพื่อให้มีใบจริง 2 ใบ ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ จึงค่อยย้ายปลูกลงถุงเพาะ เพื่อให้การเจริญเติบโตของพืชเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ลำต้นแข็งแรง โตเร็ว การดูแลรดน้ำ-ใส่ปุ๋ย จนถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิต
ในวันแรกของการย้ายต้นกล้าลงถุงเพาะจะให้น้ำเปล่าก่อน เพื่อให้พืชได้ปรับตัว แล้วหลังจากนั้นจะเริ่มให้ปุ๋ย AB วันละ 2 รอบ คือช่วงเช้ากับบ่าย ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่จะแตกต่างกันที่ปริมาณน้ำกับปุ๋ยที่ปล่อยลงไป คือเมื่อพืชมีอายุมากขึ้น ปริมาณการให้น้ำและปุ๋ยก็ต้องเพิ่มขึ้นตามความเจริญเติบโต อาจแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือในระยะแรกรดน้ำใส่ปุ๋ยครั้งละ 1 นาที ระยะที่สอง เพิ่มเวลาการรดน้ำใส่ปุ๋ยขึ้นเป็นครั้งละ 2 นาที และในระยะที่สาม พืชเริ่มมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่จะมีความต้องการสารอาหารที่มากหน่อย ก็ให้เพิ่มระยะเวลาในการรดน้ำใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 3 นาที ไม่ควรให้มากไปกว่านี้ รวมถึงการดูปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย เช่น สภาพอากาศ และปริมาณการให้น้ำ เป็นต้น

“คือช่วงไหนที่มีแดดจัดเราสามารถให้น้ำได้ตามปริมาณปกติ แต่ถ้าวันไหนแดดร่มไม่ควรให้น้ำ หรือถ้าปลูกในช่วงปลายฝนต้นหนาว ฝนตกติดต่อกัน 2-3 วัน ถ้าเรายังคงให้ปริมาณน้ำเท่าเดิม จะส่งผลให้มะเขือเทศก้นช้ำ ก้นเน่า วิธีแก้ก็คือการลดปริมาณการให้น้ำลง เพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหายไปมากกว่านี้ และยิ่งถ้ามีการแก้ปัญหาช้าก็จะส่งผลทำให้ข้อถัดๆ ไปก้นช้ำตามไปด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องคอยสังเกตสภาพอากาศอยู่ตลอด ขยันเดินตรวจแปลงทุกวัน ตรงนี้เรียกว่าประสบการณ์จะช่วยสอนเราเอง”

ปริมาณผลผลิต ขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่เพาะปลูก เพราะด้วยความที่เป็นพืชต่างแดน ส่งผลให้การปลูกมะเขือเทศโซลาริโน่ในประเทศไทยจะค่อนข้างอ่อนไหวกับอากาศนิดหน่อย ถ้าหากปลูกหน้าร้อน มะเขือเทศจะไม่ค่อยติดลูก แต่ถ้าปลูกในช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นจะเหมาะมาก มะเขือเทศจะติดลูกง่าย ทำให้ปริมาณของผลผลิตที่ได้จะแตกต่างกัน

“ตอนนี้ที่สวนปลูกมะเขือเทศทั้งหมดประมาณ 100 กว่าต้น เก็บผลผลิตได้อาทิตย์ละประมาณ 10 กิโลกรัม เน้นทำลูกให้ได้ไซซ์กลางๆ ถือเป็นไซซ์กำลังกิน รสชาติเข้มข้นกำลังดี เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าลูกใหญ่ ปลูกครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้นาน 2 เดือน ขายราคากล่องละ 100 บาท บรรจุมะเขือเทศประมาณ 3 ขีด มีการจัดเรียงอย่างสวยงาม น่ากิน สร้างรายได้เสริมไม่น้อย”

แนะนำมือใหม่หัดปลูก ควรหาตลาดรองรับก่อน
“ด้วยราคาของมะเขือเทศสายพันธุ์มีราคาค่อนข้างสูง ก็จะเป็นผลดีกับผู้ที่มีตลาดรองรับแล้ว ลูกค้าสามารถซื้อได้โดยไม่เกี่ยงราคา เพราะของที่ฟาร์มก็มีจุดเริ่มต้นมาจากลูกค้าที่ซื้อเมล่อนเป็นประจำ พอเห็นเราปลูกแล้วเขาก็ทดลองสั่งไปกิน พอกินแล้วถูกปากเขาก็กลับมาเป็นลูกค้าประจำ ถึงได้เริ่มขยายพื้นที่ปลูก จึงอยากแนะนำสำหรับมือใหม่ให้เริ่มทำจากเล็กๆ หรือปลูกเป็นพืชเสริม ให้มีรายได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หากใครที่คิดจะปลูกเป็นอาชีพหลักคงต้องศึกษาด้านการตลาดให้มากๆ รวมถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แน่ชัดก่อนลงทุน” คุณเก็ต กล่าวทิ้งท้าย

ผลไม้ที่ถูกนึกถึงในช่วงฤดูร้อน networkwiththem.org คงหนีไม่พ้น แตงโม ไม่ว่าจะกินสดๆ หรือนำไปปั่น ก็ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น เพราะเเตงโมมีรสชาติที่หวานฉ่ำ ดับความกระหายน้ำ คลายความร้อนได้ดี นอกจากจะช่วยดับร้อนแล้ว หากกินแตงโมในปริมาณที่พอเหมาะ แตงโมยังมีประโยชน์อีกมากมายที่หลายๆ คนอาจยังไม่ทราบ แตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ และแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ป้องกันการสะสมของไขมันในเส้นเลือด มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดความมันบนผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และทำให้เส้นผมแข็งแรง ในแตงโมยังมีกรดอะมิโน ช่วยลดความเสี่ยงในโรคหัวใจ และแตงโมยังมีไลโคปีน ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง

คุณเดชา ศรีจรูญพู่ทอง อายุ 42 ปี อาศัยอยู่ที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี คุณเดชา เติบโตในครอบครัวที่เป็นเกษตรกร ที่นิยมปลูกพืชไร่ อย่างเช่น อ้อย มันสำปะหลัง และแตงโม แต่ครอบครัวของคุณเดชาจะยึดการปลูกแตงโมเป็นหลัก เพราะแตงโมเป็นการปลูกพืชหมุนเวียน ใช้ระยะเวลาในการปลูกเพียง 60 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตเพื่อจำหน่ายได้ การดูแลไม่ยุ่งยาก และราคาดี คุณเดชาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากคุณพ่อตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันนี้ คุณเดชา อยู่ในแวดวงการเกษตรมามากกว่า 20 ปี คุณเดชาได้สานต่ออาชีพเป็นเกษตรกรไร่แตงโมจากคุณพ่อ ด้วยที่คุณเดชามีมุมมองในการทำการตลาดที่หลากหลาย ทำให้เกิดสวนลานบิน ที่มีทั้งแฟนเพจ สวนลานบิน ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมากยิ่งขึ้น และสาขาสวนลานบิน ที่เกิดขึ้นมาก ถือว่าเป็นแตงโมเจ้าใหญ่ที่สุดในอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เลยก็ว่าได้

คุณเดชา กล่าวถึงเหตุที่เลือกปลูกแตงโม เพราะเชื่อมั่นว่าตนเองอยู่ในแวดวงนี้มานานกว่า 20 ปี ทำให้มีความรู้ที่ชัดเจน ทั้งการดูแลและการป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแตงโม คุณเดชา กล่าวว่า สายพันธุ์ของแตงโมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของตลาด อย่างเช่น

ซอนญ่า พลัส มีลักษณะเป็นทรงกลมรี มีจุดเด่นคือ เนื้อจะเป็นสีแดงสด เนื้อเยอะ เมล็ดน้อย รสชาติหวาน เนื้อกรอบ ผิวสวย เปลือกบาง
เมญ่า มีลักษณะเป็นทรงหมอนยาว จุดเด่นคือ เนื้อจะเป็นสีแดงสวย เนื้อละเอียด เนื้อเยอะ รสชาติหวานละมุน ผิวมีสีเขียวเข้ม
ทัมอัพ มีลักษณะผลทรงกลมรี คล้ายแตงโมญี่ปุ่น ผิวมีสีเขียวเข้มเกือบดำ เนื้อแน่นมาก มีความกรอบอร่อย รสชาติหวาน กลิ่นหอม เป็นต้น
ซึ่งทางไร่ของคุณเดชา ก็เลือกปลูกทั้ง 3 สายพันธุ์นี้

คุณเดชา อธิบายถึงขั้นตอนการปลูกพืชไร่อย่างแตงโม โดยเริ่มต้นจากการ กำจัดวัชพืช จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการเตรียมดิน ใส่ปุ๋ยคอกลงในดินก่อนไถดิน แตงโมเป็นพืชที่มีรากที่ลึก ดังนั้น การไถดินจึงควรไถลึก ประมาณ 22-30 เซนติเมตร จากนั้นก็ยกร่องแปลงปลูก ใช้ผ้าพลาสติกคลุมแปลง และวางระบบสายน้ำหยด จากนั้นเปิดน้ำหยดเพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น แล้วจึงจะนำเมล็ดลงหลุมปลูกได้ เมื่อแตงโมมีอายุได้ครบ 60 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ เนื่องจากแตงโมเป็นพืชที่มีอายุสั้น ปลูกง่าย ได้ผลผลิตเร็ว ราคาดี เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทางไร่ของคุณเดชาจะปลูกมันสำปะหลังสลับกับการปลูกแตงโม คุณเดชากล่าวว่า ถ้าหากปลูกแตงโมต่อกัน อาจจะทำให้เกิดโรคพืชในแตงโมได้

ตลาดส่วนใหญ่ของคุณเดชา จะเป็นการเข้ามารับซื้อที่หน้าสวน เนื่องจากเป็นการบอกต่อของลูกค้า ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ที่ต่างก็เข้ามากันไม่ขาดสาย และยังมีตลาดออนไลน์ที่เข้าถึงฐานลูกค้าทั่วประเทศ คุณเดชากล่าวว่า เนื่องจากจุดที่ตั้งของไร่ อยู่ระหว่างศูนย์กลางของการขนส่ง ไม่ว่าจะลูกค้าออนไลน์ หรือลูกค้าที่เข้ามาหน้าสวนก็เดินทางสะดวก และยังได้ราคาดีกว่าการไปซื้อที่ตลาดใหญ่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และจุดเด่นสำคัญอีกอย่างของไร่แตงโมคุณเดชา คือแตงโมทุกสายพันธุ์จะมีลักษณะและจุดเด่นที่ตรงตามสายพันธุ์ ลูกค้าสามารถมั่นใจได้เลยว่า ถ้าซื้อแตงโมจาก สวนลานบิน ไม่มีทางผิดหวังแน่นอน