ปัจจุบัน สามารถดาวน์โหลด Androidและ iOS

และเริ่มใช้งานผ่านระบบด้วยการใช้เลขที่ในทะเบียนเกษตรกร หรือหมายเลขโทรศัพท์ ที่ใช้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ และนำเครื่อง GPS มาใช้จับพิกัด วัดขนาดพื้นที่ และวาดผังแปลงเกษตรกรรมดิจิทัล นอกจากนั้น ยังมี Application FAARMis สำหรับเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลออกให้บริการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรนอกสถานที่โดยสามารถขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรได้ทั้งเกษตรกรรายใหม่ และเกษตรกรรายเดิม

สำหรับ ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ประกอบด้วย ข้อมูล 9 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานครัวเรือน

2.สมาชิกในครัวเรือนและการเป็นสมาชิกองค์กร

3. การถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งที่เป็นของตนเอง ที่ดินเช่า ประเภทเอกสารสิทธิ เลขที่เอกสาร และเนื้อที่ตามเอกสาร

4. การประกอบกิจกรรมการเกษตร (ประเภทกิจกรรมการเกษตร/

วันที่ และเนื้อที่ปลูก /วันที่และเนื้อที่ที่จะเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรและการใช้ประโยชน์จากทะเบียนเกษตรกร ถือเป็นข้อมูลหลักสำหรับการทำงานของกรมฯ ช่วยตอบโจทย์โครงการต่างๆ ได้ ซึ่งปัจจุบันมีการเชื่อมโยงไปสู่ระบบของหน่วยงานอื่น รวมทั้งที่มีหน่วยงานต่างๆ ขอใช้ประโยชน์จากข้อมูลขึ้นทะเบียนเกษตรกร แต่อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการเกษตร จะยึดหลักการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัดต่อไป

การปรับเปลี่ยนจากเคมีมาเป็นอินทรีย์อาจดูเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับเกษตรกรบางราย ความจริงแล้วเกษตรอินทรีย์ถือเป็นวิถีเกษตรกรรมพื้นบ้านดั้งเดิมที่บรรพบุรุษปฏิบัติกันมายาวนาน แต่การถูกปลุกเร้าจากยุคอุตสาหกรรมมีผลทำให้แนวทางการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านต้องเปลี่ยนไป

แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะครอบครัว “แจ่มไทย” ที่ตำบลเก้าเลี้ยว นครสวรรค์ ได้ยึดแนวทางการทำเกษตรอินทรีย์มานานหลายสิบปี แล้วนำมาใช้กับข้าวและพืชไม้ผลหลายชนิด โดยเฉพาะ ฝรั่ง ช่วยทำให้ได้ผลผลิตมีคุณภาพ ผลโตขนาดจัมโบ้ เนื้อฟู หวาน กรอบ เป็นฝรั่งอินทรีย์ที่มีความปลอดภัย เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะกลุ่มดูแลสุขภาพ จนปลูกขายไม่ทันถึงกับต้องสั่งจองล่วงหน้า

เริ่มทำนาข้าวอินทรีย์ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ แต่ราคาน้อย
หันมาปลูกฝรั่งเสริม
คุณพลอย-คุณสมบัติ แจ่มไทย และ น.ส. ปรียาณัชก์ แจ่มไทย หรือ คุณโน้ต ลูกสาว อยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ เป็นครอบครัวที่มีอาชีพปลูกข้าวเช่นเดียวกับชาวบ้านรายอื่น แต่ความไม่พร้อมทางรายได้เพื่อซื้อปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ทำให้ครอบครัวนี้จำต้องผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากปุ๋ยหมัก น้ำหมัก รวมถึงสารชีวภาพจากวัสดุทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพรสำคัญ หรือผัก ผลไม้ ที่ไร้ประโยชน์ไว้ใส่นาข้าว ทำให้ข้าวที่ปลูกมีคุณภาพต้นเขียว กอใหญ่ รวงสมบูรณ์ ได้เมล็ดข้าวยาว เมล็ดเต็ม มีรสอร่อย

ช่วงเวลาหลายปีกับปัญหาราคาข้าว ทำให้ครอบครัวแจ่มไทยต้องหาพืชหลายชนิดมาปลูกเพื่อสร้างรายได้จุนเจือ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เมื่อต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับราคาข้าว กระทั่งตัดสินใจซื้อต้นพันธุ์ฝรั่งมาปลูก พร้อมใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เหลือจากการใส่นาข้าวมาใส่ต้นฝรั่ง ทำให้มีรสชาติอร่อย เนื้อแน่น ฟู

ครอบครัวนี้ เริ่มปลูกฝรั่งในปี 2554 ฝรั่งที่ปลูกเป็นพันธุ์แป้น ในพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เมื่อประสบผลสำเร็จเพราะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จึงเพิ่มพันธุ์อื่นอีกภายหลัง อย่าง พันธุ์กิมจู สาลี่ ไส้แดง และหวานพิรุณ ปลูกบริเวณใกล้พื้นที่ทำนา โดยทดลองปลูกคละพันธุ์ร่วมในสวนเดียวกัน แล้วทดลองนำกิมจูกับแป้นมาผสมกัน จนได้ผลฝรั่งที่มีความต่างทั้งขนาด รสชาติ มีความโดดเด่น จนได้ฝรั่งในลักษณะที่แตกต่างจากพันธุ์เดิม ไม่เหมือนพันธุ์อื่นๆ จึงตั้งชื่อว่า พันธุ์ “แจ่มไทย” ตามนามสกุลของครอบครัว

สารอินทรีย์ที่ใช้ในนาข้าว แบ่งใส่ฝรั่ง
สร้างคุณภาพ ปลอดโรคและศัตรูร้าย
คุณสมบัติ บอกว่า ตลอดชีวิตการทำเกษตรกรรมไม่ได้ใช้สารเคมีเลย ตั้งใจใช้สารอินทรีย์ เนื่องจากต้องการลดต้นทุน ขณะเดียวกันสารชีวภาพที่ผลิตถูกนำมาใช้กับการปลูกข้าวและพืชผัก รวมถึงไม้ผล ซึ่งภายหลังที่ใช้แล้วพบว่าได้ผลดีมาก โดยผลิตน้ำหมักชีวภาพและสมุนไพรไล่แมลง รวมถึงฮอร์โมนจากหอยเชอรี่ ตลอดจนปุ๋ยคอก

การปลูกฝรั่งอินทรีย์ เริ่มจากเตรียมแปลงปลูกต้องขุดหลุมลึก ประมาณ 50 เซนติเมตร ใส่ขี้เป็ดหมักและแกลบ ใส่ลงในหลุมปลูก ประมาณ 2 กิโลกรัม ต่อหลุม ในอัตรา 2:1 ขณะเดียวกันปุ๋ยดังกล่าวใช้ใส่ในนาข้าวด้วย ช่วยให้ข้าวมีคุณภาพ ต้นข้าวเขียว เมล็ดสวย ซึ่งขี้เป็ดที่เหลือก็นำมาใส่ต้นฝรั่งและไม้ชนิดอื่นๆ ทำให้ได้คุณภาพเช่นเดียวกัน

หลังจากนำต้นฝรั่งลงปลูกแล้ว ยังไม่ต้องบำรุงอะไร ให้รดน้ำทุก 7-10 วัน รดให้ชุ่ม น้ำไม่ขัง เพราะเป็นดินทราย ในระหว่างที่ต้นฝรั่งเจริญเติบโตอาจจะพบแมลงศัตรูมารบกวน โดยเฉพาะเพลี้ยแป้ง จึงต้องฉีดพ่นด้วยสารชีวภาพในกลุ่มสมุนไพรผสมกับปุ๋ยน้ำเพื่อฉีดพ่นทรงพุ่มทุกสัปดาห์

ทั้งนี้หากพบว่า มีจำนวนมากเกรงจะรับมือไม่ไหว ก็จะต้องฉีดพ่นให้ถี่ขึ้น หรือถ้าหากยังดื้อยาอีก คงต้องปราบด้วยน้ำขี้เถ้าที่มีคุณสมบัติเป็นด่างมาใช้ฉีดควบคู่ไปด้วย ส่วนแมลงศัตรูที่เจอคือ แมลงวันทอง หาวิธีกำจัดด้วยการล่อให้มาลงในกระป๋อง แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้วิธีนำยากำจัดมาวางไว้ที่พื้นเพื่อให้แมลงมากิน ซึ่งได้ผลดีมาก ช่วยทำให้แมลงลดลงจนแทบไม่เจอ

ห่อแล้วตัดแต่ง ยิ่งตัด ยิ่งดก
เมื่ออายุต้นประมาณ 7-8 เดือน เริ่มมีดอก จะตัดทิ้งก่อน เพราะหากปล่อยไว้เป็นผลอาจทำให้ต้นฝรั่งที่ยังมีขนาดเล็กอยู่ต้องแบกรับน้ำหนัก แล้วทำให้กิ่ง ก้าน ฉีกขาด อีกทั้งยังอาจทำให้ต้นโทรมเร็ว ควรรอให้ต้นมีอายุประมาณ 1 ปี จึงเริ่มเก็บดอก เพราะเป็นช่วงที่ต้นและกิ่ง ก้าน อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งจำนวนที่เหมาะคือ 3-7 ผล แต่หากเจอผลที่สวยสมบูรณ์มาก จะต้องรีบห่อแล้วนำไม้มาค้ำยันไว้

ฝรั่งเริ่มห่อผลเมื่อมีขนาดเท่ามะนาว ใช้กระดาษที่ห่อผลไม้โดยเฉพาะเท่านั้น เพื่อให้ผลมีความสวยและปลอดภัย หลังจากห่อผลแล้วต้องหมั่นรดน้ำทุกสัปดาห์ ไปพร้อมกับการฉีดพ่นยา ใส่สารชีวภาพ ปุ๋ยน้ำหมัก ไม่ควรปล่อยให้ขาดน้ำ ขณะเดียวกันทุกเดือนต้องใส่ปุ๋ยคอกที่หมักไว้ ต้นละ 20 ลิตร ควรใส่ระหว่างรดน้ำเพื่อคลุกเคล้าปุ๋ยคอกไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การให้ปุ๋ยคอกหมักอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ต้นฝรั่งสะสมอาหาร ทำให้เพิ่มคุณภาพ มีความหวาน กรอบ

“ระหว่างห่อต้องตัดแต่งกิ่งใบไปพร้อมกัน แล้วควรทำไปตลอดจนเก็บผลผลิต ทั้งนี้ยิ่งตัดแต่งกิ่งบ่อยเท่าไร จะทำให้ได้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง คือห่อแล้วตัดแต่งหรือเก็บแล้วตัดแต่ง แต่การตัดแต่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์มาก มิใช่จะตัดตามใจ เพราะอาจเกิดผลเสียตามมา”

อีกทั้งต้องสังเกตดูความสมบูรณ์แต่ละผล หากพบผลใดไม่สมบูรณ์ เช่น ผิวไม่สวย เป็นสีแดงเพราะโดนแดดมากจะตัดออก แยกไว้นำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่ง ส่วนเนื้อและเปลือกที่บีบน้ำออกแล้ว นำไปทำปุ๋ยหมักต่อไป ส่วนการเกิดจุดดำบนผิวเปลือก คุณสมบัติ บอกว่า ไม่ใช่เกิดจากปัญหาโรค แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่เป็นไปตามธรรมชาติปกติของการปลูกผลไม้แบบอินทรีย์ แต่ถ้าผิวเกลี้ยงและขาวมากอาจน่ากลัวกว่า

หลังจากห่อแล้ว ประมาณ 60-70 วัน จึงเก็บผลผลิต ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาด คุณสมบัติใช้วิธีจดวันที่ไว้ในถุงห่อ ทำให้มีความแม่นยำ ผลผลิตได้เวลาเก็บที่เหมาะสม มีมาตรฐานเดียวกันทุกผล

กิมจู + แป้น = แจ่มไทย
สวนฝรั่งของครอบครัวแจ่มไทยปลูกไว้ 2 แห่ง แปลงหนึ่งปลูกเฉพาะพันธุ์แป้นอย่างเดียว จำนวน 3 ไร่ ถือเป็นสวนแรกที่สร้างเม็ดเงิน ครั้นเมื่อเห็นว่ามาถูกทาง จึงเพิ่มพื้นที่ปลูกอีกแปลง แต่คราวนี้ต้องการสร้างมูลค่าฝรั่งด้วยการทดลองปลูกแบบพันธุ์ผสม ทั้งแป้น กิมจู และสาลี่ แบบแถวเว้นแถว แล้วผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่างกิมจูกับแป้น จนทำให้ได้ผลฝรั่งลูกผสมที่ตั้งชื่อว่า แจ่มไทย ซึ่งมีผลขนาดใหญ่ มีน้ำหนักเฉลี่ย 1.8 กิโลกรัม ต่อผล แบบจัมโบ้ เนื้อฟูคล้ายแอปเปิ้ล รสหวาน กรอบ แล้วเคยเจอบางผลไม่มีเมล็ด ได้ผลผลิตมาเป็น รุ่นที่ 3 ยังไม่มั่นใจว่าจะได้มาตรฐานเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร แต่พยายามดูแลเรื่องปุ๋ยอย่างเต็มที่ จึงตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเกิดจากการปลูกด้วยปุ๋ยอินทรีย์

คุณโน้ต ลูกสาวเติบโตและคลุกคลีมากับการปลูกพืชแบบอินทรีย์ ถือเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว โดยมีหน้าที่ดูแลทางการตลาดเป็นหลัก ได้เผยถึงขั้นตอนการเก็บผลผลิตและจำหน่ายว่า ฝรั่ง เก็บทุกสัปดาห์ได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อครั้ง ประมาณ 800-1,000 กิโลกรัม ในจำนวนนี้มีผลผลิตที่ไม่สมบูรณ์ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แยกนำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่งขายต่อไป

ฝรั่งสด ขายกิโลกรัมละ 30-50 บาท หากนำไปขายเอง กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่หากนำไปขายที่กรุงเทพฯกำหนดราคากิโลกรัม 40-50 บาท ตลาดในจังหวัดมีออเดอร์เฉลี่ย รายละ 5-10 กิโลกรัม ส่วนกรุงเทพฯ มียอดส่งขายเฉลี่ย 100 กิโลกรัม ต่อเดือน ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ดูแลสุขภาพ ส่วนน้ำฝรั่งบรรจุใส่ขวด ขนาด 250 ซีซี ใช้แบรนด์ว่า “แจ่มไทย” แล้วมีแผนเร็วๆ นี้ จะปลูกฝรั่งไส้แดงเพื่อเน้นแปรรูปเป็นน้ำบรรจุขวดขาย

พร้อมเผยตัวเลขรายได้จากการขายฝรั่งต่อเดือนแบบธรรมดา ประมาณ 30,000 บาท (สามหมื่น) ทั้งนี้เคยขายมีรายได้สูงถึงเดือนละเกือบ 60,000 บาท (หกหมื่น) ในช่วงที่ขายกิโลกรัมละ 20 บาท นานถึง 4 ปี ทำให้มีรายได้ถึงปีละ 600,000 บาท (หกแสน) ปัจจุบัน มีรายได้จากการขายสัปดาห์ละกว่า 10,000 บาท (หนึ่งหมื่น)

“การปลูกฝรั่งอินทรีย์เชิงพาณิชย์ จะต้องตั้งใจทำอย่างจริงจัง ดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตปุ๋ยหมัก น้ำหมัก ตลอดจนสารป้องกันแมลง เพราะต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใส่ต้นฝรั่งตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมถึงยังต้องหมั่นตัดแต่งกิ่ง ใบ และกำจัดวัชพืชต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จึงจะช่วยทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และรวดเร็ว เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงเป้าหมายการทำอินทรีย์จะช่วยทำให้มีความประหยัดได้มาก มีความปลอดภัยต่อสุขภาพคนปลูก สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค” คุณสมบัติ กล่าว

สอบถามรายละเอียดสั่งซื้อฝรั่งอินทรีย์คุณภาพที่รับรองความปลอดภัยจากในสวนได้ที่ โทรศัพท์ 081-280-1278 098-749-3058

ขอบคุณ : สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ ที่อำนวยความสะดวกการทำรายงานครั้งนี้ วันนี้ (28 สิงหาคม 62) จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมคณะนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำพื้นที่ขอนแก่นและอุดรธานี โดยในช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานฝนหลวง ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น หลังจากนั้นเดินทางเยี่ยมโครงการพัฒนาบึงแก่งน้ำต้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริบ้านกุดกว้าง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อรับฟังสรุปแนวทางพัฒนาแก่งน้ำต้อนและพบปะเกษตรกรในพื้นที่

และในช่วงบ่าย เดินทางไปฟังรายงานสรุปการบริหารจัดการน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ ฤดูแล้งปี 2562/63 กรณีน้ำต้นทุนน้อย ก่อนเดินทางไปยังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาห้วยหลวง ต.โคกสะอาด อ.เมือง จ.อุดรธานี และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาห้วยหลวง ต.โคกสะอาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ต่อไป

ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว…ทีมงานศรแดง ได้พาไปดูแปลงปลูกข้าวโพดสวีทไวโอเล็ทของเกษตรกร รวมทั้งพูดคุยกับผู้ซื้อ ทำให้ทราบว่า งานปลูกข้าวโพด ขายผลผลิตได้เร็ว มีรายได้แน่นอน เพราะซื้อในราคาประกัน

วันต่อมา คือ วันที่ 29 มิถุนายน 2562 ณ ศูนย์การเรียนรู้ KC FARM อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีซันสวีท ครั้งที่ 4 และพิธีร่วมลงนาม (MOU) ระหว่าง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพ อันดับ 1 ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ดัง ตราศรแดง และ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ ดร. องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน)

ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นำนวัตกรรมระดับสากลของรถเกี่ยวข้าวโพดสู่เกษตรกรไทย และร่วมผนึกกำลังในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวและพืชผักอื่นๆ สำหรับตลาดแปรรูปพร้อมรับประทานเข้าสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยมี คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ คุณอัมพนธ์ สุริยัง ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) เป็นสักขีพยานการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างทั้ง 2 บริษัท

คุณวิชัย กล่าวว่า “อีสท์ เวสท์ ซีด เรามีวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เข้าใจความต้องการของเกษตรกรว่าต้องการอะไร เราพยายามที่จะหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และนำเสนอเทคโนโลยีเหล่านั้นสู่เกษตรกรไทย โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งนั่นก็นำไปสู่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืนนั่นเอง”

การเซ็น MOU ในครั้งนี้ มี 2 โครงการ สำคัญๆ คือ

โครงการที่ 1 โครงการร่วมมือในการนำนวัตกรรมของรถเกี่ยวข้าวโพดระดับสากลสู่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของไทย ซึ่งเราศึกษาแล้วพบว่า รถเกี่ยวข้าวโพดนี้มีประโยชน์ต่อเกษตรกรในแง่ของการประหยัดต้นทุนในการเก็บเกี่ยวทั้งทางด้านแรงงานและเวลา และที่สำคัญรถรุ่นนี้มีการพัฒนามาเพื่อใช้ในพื้นที่การเพาะปลูกขนาดเล็ก ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเพาะปลูกในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า รถเกี่ยวสามารถลดต้นทุนในด้านแรงงานลงไปอย่างน้อย 50% ของต้นทุนที่ใช้ในปัจจุบัน

โครงการที่ 2 อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เราจับมือ กับ ซันสวีท นำข้าวโพดข้าวเหนียวคุณภาพสูงพร้อมรับประทานสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของไทย อย่างที่ทุกท่านคงทราบกันดีว่า ข้าวโพดพร้อมรับประทานสำเร็จรูปที่เราพบเห็นในตลาดนั้นเป็นข้าวโพดหวาน ไม่พบข้าวโพดข้าวเหนียวเลย ซึ่งทาง อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เราเป็นผู้นำอันดับ 1 ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม

โดยสายพันธุ์ที่เป็น เบอร์ 1 ในตลาดตอนนี้คือ พันธุ์สวีทไวโอเล็ท ของศรแดง ซึ่งในปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์สวีทไวโอเล็ทคิดเป็นจำนวนมากกว่า 150,000 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณฝักสดที่อยู่ในท้องตลาด จำนวน 615,000,000 ฝัก (หกร้อยสิบห้าล้านฝัก) ซึ่งตลาดปลายทางของฝักสดสายพันธุ์นี้ถูกกระจายไปตามตลาดสินค้าเกษตร และตลาดสด จนถึงตลาดนัด แผงต้มข้างทางทั่วประเทศ

แต่ในปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคมักจะเข้าไปจับจ่ายซื้อของในร้านสะดวกซื้อ บวกกับเทรนด์รักสุขภาพมาแรง คนส่วนใหญ่สนใจในเรื่องของสารอาหารที่จะได้รับ ซึ่งสวีทไวโอเล็ทข้าวโพดข้าวเหนียวหวานที่มี 2 สี ในฝักเดียวคือ สีขาวและสีม่วง ด้วยคุณประโยชน์ของข้าวโพดที่เรารู้จักกันอยู่แล้วว่ามีมากมาย บวกกับแอนโทไซยานินที่พบมากในผักสีม่วง ข้าวโพดข้าวเหนียวสวีทไวโอเล็ทจึงน่าจะตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีพืชผักอื่นๆ อีกหลายตัว เช่น ฟักทอง เป็นต้น ที่วางแผนจะนำเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน เราจึงหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูป ซึ่งซันสวีทถือเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้าวโพดและพืชผักแปรรูปพร้อมรับประทานเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

อีกทั้งซันสวีทยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ อีสท์ เวสท์ ซีดฯ จึงผนึกกำลังกับซันสวีทโดยการนำร่อง ข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์สวีทไวโอเล็ทของเราที่มีความโดดเด่นในเรื่องคุณภาพฝัก เมื่อนำไปแปรรูปแล้วพบว่า คุณภาพเหมือนฝักที่พึ่งต้มมาใหม่ รสชาติยังดี หวาน เหนียว นุ่ม เข้าสู่ตลาดข้าวโพดข้าวเหนียวพร้อมรับประทาน สู่ตลาดสะดวกซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นรายแรกในไทย

ดร. องอาจ กิตติคุณชัย
ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
“ปัจจุบัน ข้าวโพดข้าวเหนียวหวานเป็นที่ต้องการด้านอาหารของตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ ซันสวีท จึงเร่งเดินหน้ารุกตลาดข้าวโพดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขาย โดยมี 3 กลยุทธ์หลัก คือ

เพิ่มช่องทางการค้าปลีก เน้นอาหารพร้อมรับประทาน
ขยายไลน์สินค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารแช่แข็ง
สร้างนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ

โดยเพิ่มกำลังผลิตและมุ่งยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า เพื่อความสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและรองรับลูกค้าใหม่ได้อย่างทั่วถึง

เนื่องจากทางบริษัทมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านคุณภาพ การบริโภคเหมาะสำหรับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จึงได้ร่วมมือกับ “อีสท์ เวสท์ ซีดฯ” ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวโพดหวานให้สูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของทั้งสองฝ่าย และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านเมล็ดพันธุ์ต่อไป”

ทำไม ซันสวีท ถึงเลือกพันธุ์ สวีทไวโอเล็ท ของ ศรแดง
เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูปรายแรกในไทย
“เริ่มจากผมไปประเทศเกาหลีมา แล้วพบว่า ตลาดเกาหลีมีความต้องการข้าวโพดข้าวเหนียว 2 สี ทีนี้ผมมาดูสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวในไทย พบว่า พันธุ์สวีทไวโอเล็ทของศรแดงเป็นสายพันธุ์ อันดับ 1 ในตลาดอยู่แล้ว ทางศรแดงทำมานานมาก ผมได้เคยทำการทดลองข้าวโพดข้าวเหนียวหลายๆ สายพันธุ์มาแล้ว พบว่า พันธุ์สวีทไวโอเล็ท เมื่อนำมาแปรรูปแล้วคุณภาพการกินดี เหมือนฝักที่ต้มมาใหม่ๆ

และเนื่องจาก อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เป็นบริษัทเมล็ดพันธุ์ อันดับ 1 ที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการผลิตสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ และเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับสูงแล้ว และผนวกมากับซันสวีทที่มีเทคโนโลยีการแปรรูปที่ทันสมัยอยู่แล้ว จึงมาผสานกันได้ง่ายๆ ผมไม่ต้องใช้เวลา 3-5 ปี มาพัฒนาสายพันธุ์ ผมจึงเลือกสวีทไวเล็ทของศรแดงมาเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูปรายแรกในประเทศไทยครับ” ดร. องอาจ บอก

คุณอิสระ พาเยี่ยมชมซุ้ม พร้อมแนะนำ
ข้าวโพดสายพันธุ์ต่างๆ ภายในซุ้มศรแดง
คุณอิสระ กล่าวว่า “ข้าวโพดพันธุ์สวีทไวโอเล็ท ที่ผมบอกพันธุ์นี้เป็นพันธุ์พระเอก เนื่องจาก ณ วันนี้ รสชาติก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคด้วย 2 เหตุผล ข้อแรก เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ดหวานปนอยู่ 25 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ข้อที่สอง คือมีเมล็ด 2 สี คือสีม่วงและสีขาว ซึ่งสีม่วงเองก็มีประโยชน์ทางด้านแอนโทไซยานินที่เป็นสารที่ต่อต้านพวกสารอนุมูลอิสระ

เหตุที่ว่า ทำไมพันธุ์นี้จึงกลับมาเป็นพระเอก เนื่องจากว่าเมื่อก่อนนี้ พันธุ์นี้ปลูกแล้วก็ขายในตลาดทั่วๆ ไป แต่ทุกวันนี้ยกระดับขึ้นมาเป็นสายพันธุ์ที่ทางซันสวีทเลือกเข้าไปแปรรูปเพื่อจัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อนะครับ เป็นข้าวโพดพร้อมรับประทานครับ พันธุ์นี้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค และที่สำคัญตอบโจทย์กลุ่มเกษตรกร เพราะว่าปลูกไปแล้วเนี่ยเกษตรกรได้ผลผลิตเฉลี่ย 1.8 ถึง 2 ตัน ซึ่งคิดเป็นรายได้ที่หักต้นทุนแล้วเขาก็จะได้อยู่ที่ 5,000 ถึง 6,000 บาท ต่อไร่ ต่อการปลูก 1 รอบ ใช้เวลา 65 วัน ถึง 70 วัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล

โดยทั่วไปเปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์ตราศรแดงจะอยู่มาตรฐานที่ 98 เปอร์เซ็นต์ นะครับ แล้วเราก็เป็นบริษัทเดียวที่มีการเคลือบเมล็ดด้วยสารเคมีที่จะช่วยลดในเรื่องของความเสียหายในระยะของการเพาะปลูก ทำให้ต้นแข็งแรงขึ้น สารที่เคลือบเข้าไปจะทำให้ระบบรากแข็งแรงขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาปลูกช่วงฤดูแล้งระบบรากของเขาก็จะหาน้ำหาอะไรได้มากขึ้น ก็จะทำให้อัตราการรอดของต้นมากขึ้นไปด้วยนะครับ”

คุณอิสระ เผย “จุดเด่นของสวีทไวโอเล็ท หนึ่ง ก็คือ เรื่องของรสชาตินะครับ สอง คือความแปลกใหม่ที่มี 2 สี สามคือเรื่องของผลผลิตที่สูง ที่สำคัญเลยที่ผมอยากจะเน้นย้ำ ข้าวโพดตัวนี้หลังจากที่ปลูกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะอยู่ในท้องตลาดที่เราเรียกกันว่า เชลไลฟ์ 3 วัน โดยที่รสชาติยังเหมือนเดิม ข้าวโพดบางพันธุ์เวลาเก็บเกี่ยวไปแล้วเขาจะเปลื่ยนเป็นแป้งแล้วมันจะแข็ง แต่ตัวนี้เขาคงสภาพ เหนียว นุ่ม หวาน ประมาณสามถึงสี่วัน ทุกวันนี้สายพันธุ์นี้ปลูกได้ทั่วภูมิภาคของประเทศไทย การันตีได้ว่าเป็นที่นิยมของตลาดด้วยยอดขายที่มากกว่า 140 ตัน ต่อปี”

คุณอิสระ กล่าวว่า “นอกจากพันธุ์ข้าวโพดที่เป็นพันธุ์สวีทไวโอเล็ทที่ออกสู่ตลาดแล้ว ก็ยังคงมีพันธุ์ใหม่ๆ ที่ออกสู่ตลาดอีก อันนี้เป็นพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวม่วง เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงล้วนเลย คุณประโยชน์ของเขาเราเน้นเรื่องของคุณค่าทางอาหาร แอนโทไซยานินที่มากกว่าในสวีทไวโอเล็ท เพราะว่าทุกเมล็ดนั้นเป็นสีม่วง