ปีที่ผ่านมาเครือเบทาโกรออกแคมเปญอร่อยใช่สัมผัสไหนก็โดน

โดยมี โป๊ป เป็นพรีเซ็นเตอร์ ชวนทุกคนมาเปิดสัมผัสความอร่อยกับไส้กรอกรมควัน BETAGRO ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง เพราะเราคัดสรรวัตถุดิบ เนื้อหมู เนื้อไก่คุณภาพ มาผลิตเป็นไส้กรอกคุณภาพดีและรสชาติอร่อย กิจกรรมในวันนี้เป็นความตั้งใจของเบทาโกรเพื่อขอบคุณลูกค้าและแฟนคลับโป๊ปที่ให้การสนับสนุนเรามาโดยตลอด ซึ่งเบทาโกรจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพให้ถึงมือผู้บริโภค และสำหรับปีนี้เราจะมีแคมเปญใหม่ร่วมกับโป๊ปอีกแน่นอน ฝากทุกคนติดตามและสนับสนุนกันด้วยนะครับ”

Thaitrade.com โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ Amazon Global Selling (ประเทศไทย) บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และวิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมเปิดตัวโครงการ “Thaitrade.com’s Young e-Entrepreneurs” โดยได้รับเกียรติจากนายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานเปิดงานในวันที่ 25 มกราคม 2562 ณ ห้องออดิทอเรี่ยม อาคาร 11 วิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยรังสิต จังหวัดปทุมธานี

นายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า “โครงการ “Thaitrade.com’s Young e-Entrepreneurs” มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่เป็นสมาชิกผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com ให้สามารถขายสินค้าไปต่างประเทศผ่านเว็บไซต์ ชั้นนำระดับสากลได้ จากเดิมในรูปแบบขายส่ง (B2B) ไปเป็นรูปแบบขายปลีก (B2C) ระหว่างประเทศ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยโครงการนี้ได้รับเกียรติจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งระหว่างประเทศอย่างบริษัท ดีเอชแอลฯ ออนไลน์มาร์เก็ตเพลสระดับโลกของอเมริกาอย่าง Amazon.com และเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังสำคัญของโครงการฯ จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต มาเสริมทัพ กรมมองว่า คนรุ่นใหม่ที่มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการและช่วยลดอุปสรรคในด้านการตลาดอีคอมเมิร์ซได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ ทางกรมได้คัดเลือกผู้ประกอบการไทยที่เป็นสมาชิกเว็บไซต์ Thaitrade.com จำนวน 10 บริษัท จากกลุ่มสินค้าประเภท สินค้าเครื่องนุ่งห่ม สินค้าแม่และเด็ก และอะไหล่รถยนต์ เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมและสามารถเติบโตได้มากในตลาดค้าปลีกต่างประเทศ โดยทางกรม หวังว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการนำร่องที่สามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนในรูปแบบขายปลีกให้กับผู้ประกอบการไทย สามารถสร้างยอดขายได้จริง รวมทั้งเป็นต้นแบบให้กับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการก้าวสู่ตลาดการค้าออนไลน์ ในอนาคตกรมมีความยินดีที่จะร่วมมือกับทุกมหาวิทยาลัย และพร้อมดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นกำลังหลักในการผลักดันธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล” นายวิทยากร กล่าว

นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเข้าร่วมโครงการนี้ว่า “อุปสรรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถไปสู่ตลาดออนไลน์ระหว่างประเทศได้ ก็คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับ International Logistics ซึ่งมีหลายส่วนที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง

ตรงส่วนนี้ทาง DHL Express จะมาเติมเต็มเรื่องความรู้ทั้งด้านต้นทุนการขนส่ง กระบวนการการขนส่งสินค้า กฎระเบียบในแต่ละประเทศที่ต่างกันไป และการใช้ ประโยชน์จากโลจิสติกส์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ซื้อในโลกของอีคอมเมิร์ซ หลายๆ คนจะมองว่าโลจิสติกส์ไม่สำคัญและพยายามจะลดต้นทุนตรงนี้ แต่ถ้าผู้ประกอบการเข้าใจและใช้ประโยชน์จากโลจิกติกส์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาสินค้า การใช้ความรวดเร็วของการขนส่งในการสร้างรีวิวที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ดังนั้นโลจิสติกส์จึงสำคัญกับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในการค้าออนไลน์”

นางสาวจารุสตรี สุขเกษม หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการขายทั่วโลกประเทศไทย Amazon Global Selling (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ทาง Amazon เล็งเห็นศักยภาพของสินค้าไทยว่าเป็นที่ต้องการของตลาดอเมริกา และพร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าสู่ตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเราพบว่าปัจจุบันผู้ประกอบการไทยอาจจะยังขาดความพร้อมในด้านต่างๆ อาทิเช่น

การสร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษเพื่อนำเสนอสินค้าในตลาดต่างประเทศ การปรับรูปแบบการค้าจากการค้าส่งมาเป็นค้าปลีก (B2C) รวมถึงยังขาดประสบการณ์ในการทำการตลาดบนออนไลน์มาร์เก็ตเพลส โครงการนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะได้เด็กรุ่นใหม่เข้ามาช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเข้ากับการขยายธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มของ Amazon ได้เร็วขึ้นและสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งเป็น Global service ของ Amazon ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับธุรกิจได้”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กฤษฎา ศรีแผ้ว คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้สนับสนุนนักศึกษาเข้าร่วมโครงการกล่าวว่า “รู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับเลือก ถือเป็นโครงการที่ดีต่อนักศึกษาที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานจริง สอดคล้องกับทางมหาลัยที่สอนลักษณะเล็กเชอร์ให้น้อยลง แต่เน้นการเรียนรู้ตามกิจกรรม (Activity based learning) มากขึ้น โดยถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้เรียนรู้จากบริษัทชั้นนำอย่าง DHL และ Amazon.com รวมถึงเว็บไซต์ Thaitrade.com ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เราดีใจมากที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ของหน่วยงานราชการ เราคาดหวังว่าเด็กที่มาร่วมโครงการนี้เด็กจะได้อาวุธติดไม้ติดมือไปเพื่อพร้อมที่จะแข่งขันในโลกของไอที ดิจิทัลดิสรัปชั่น”

ผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าร่วมโครงการในครั้งต่อไปหรือต้องการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ Thaitrade.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บไซต์ Thaitrade.com ได้ที่ (02) 507-7825 หรือ Call Center 1169

30 มกราคม 2562 นางอุมาพร สุขม่วง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นประธานในพิธีทำบุญในโอกาสครบรอบ 128 ปี วันคล้ายวันสถาปนากรมวิทยาศาสตร์บริการ ปี 2562 โดยมีผู้บริหาร อดีต ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ เข้าร่วมงานกว่า 150 คน ณ ห้องประชุม วิทยวิถี ชั้น 6 อาคารตั้ว ลพานุกรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ

นางอุมาพร กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นองค์กรหลักในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ มีพันธกิจสำคัญในการนำองค์ความรู้หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพมาใช้ในงาน ตรวจสอบและรับรองสินค้าและบริการตามมาตรฐานสากล ที่จะสนับสนุนให้สินค้าของประเทศมีคุณภาพและความปลอดภัย และที่สำคัญเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐบาล กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้มีการพัฒนางานให้ทันสมัยเพื่อรองรับตามความต้องการ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมด้านอาหาร ยางพารา กระดาษ วัสดุก่อสร้าง และที่เกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ รวมทั้งยังมีการพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้ได้มาตรฐาน

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์บริการยังได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ลงไปถึงเศรษฐกิจฐานราก โดยดำเนินงานภายใต้โครงการ Big Rock ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เป็นการนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงช่วยชุมชม เป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ OTOP ให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น มุ่งเน้นในพื้นที่ 10 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน ชัยนาท นครพนม กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ ปัตตานี และ นราธิวาส ซึ่งผลการดำเนินงานเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของ 10 จังหวัด เป้าหมายยกระดับขึ้นมาเกิน 30% ในการจำหน่ายสินค้าคุณภาพของชุมชน

จังหวัดยะลาเร่งเปิดโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรครบวงจรอำเภอบันนังสตา เพื่อเพิ่มมูลค่าทุเรียนคุณภาพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในฤดูกาลเก็บเกี่ยวนี้

นายพิชิต พนังคสิริ ปลัดอำเภอบันนังสตา กล่าวว่า จากนโยบายจังหวัดยะลา ในการส่งเสริมให้เป็น ทุเรียนซิตี้ จังหวัดยะลาได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด จัดตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรครบวงจร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้กับเกษตรกร โดยโรงงานแปรรูปฯ ประกอบด้วย ห้องแกะทุเรียน ห้องแช่แข็ง และตู้ freeze dry เพื่อส่งสินค้าไปจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

ด้าน นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวว่า ได้เสนอจังหวัดยะลาพิจารณาการใช้โรงงานแปรรูปฯ เป็นสถานที่แกะและแช่แข็งทุเรียนตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ตามศาสตร์พระราชา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (โครงการทุเรียนคุณภาพ) เพื่อเพิ่มมูลค่าทุเรียนอีกทางหนึ่ง คาดการณ์ปริมาณทุเรียนที่จะแกะ แช่แข็งประมาณ 900 ตัน จากพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป

ขณะที่โครงการทุเรียนคุณภาพ ได้ส่งอาสาฯ ไปฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ตามศาสตร์พระราชา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (โครงการทุเรียนคุณภาพ) ณ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรพอเพียง ตำบลวังหว้า อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่การดูแลถึงการเก็บเกี่ยวจำนวน 95 คน ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงพฤษภาคม 2562 ซึ่งปัจจุบันกำลังอบรมเป็นครั้งที่ 3 แก่อาสารุ่นที่ 1 เรื่องการให้น้ำ การแต่งผล การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ

ยุคนี้ คนไทยใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นเพราะสินค้าครองชีพมีราคาแพงแทบทุกอย่าง ทำให้นึกถึงคำพูดของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งวงการเกษตรกรรมสมัยใหม่ ที่ว่า “เงินทองของมายา ข้าวปลาสิของจริง” ถือเป็น อมตะวจี ที่เข้ากับทุกยุคทุกสมัยจริงๆ

สำหรับใครที่ยังไม่มีอาชีพที่มั่นคงเลี้ยงครอบครัว อยากแนะนำให้ลองมาปลูกไผ่ สร้างรายได้กันดีกว่า ไผ่มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ไผ่ตงลืมแล้ง ไผ่หม่าจู ไผ่ซางหม่น ไผ่ไจแอนท์ ไผ่ปักกิ่ง ไผ่ตงหม้อ ไผ่หก ไผ่ข้าวหลาม ไผ่บงหวาน ไผ่ดำ ฯลฯ ไผ่ตงลืมแล้ง เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุด เพราะมีจุดเด่นสำคัญคือ ให้หน่อดก และออกหน่อนอกฤดูได้ดีกว่าพันธุ์อื่นๆ

ไผ่ตงลืมแล้ง มีจุดเด่นเรื่องหน่อโต คุณภาพดีและให้ผลดกกว่าไผ่พันธุ์อื่นๆ หลายเท่าตัว หากปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม มีการบริหารจัดการที่ดี จะให้ผลผลิตสูง 30-50 กิโลกรัม/กอ/ปี นอกจากนี้ ไผ่ตงลืมแล้งยังมีคุณสมบัติเด่นสำคัญ คือทนทานต่อปัญหาน้ำท่วมได้ดีมากและสามารถนำไปแปรรูปอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งต้ม แกง ซุป หมก ผัด ต้มกระดูกหมู รวมทั้งแปรรูปเป็นหน่อไม้ดอง แต่ละปีหน่อไม้ดองมีมูลค่าทางการตลาดสูงมากทีเดียว

ตลาดต้องการ หน่อไม้นอกฤดูจำนวนมาก เกษตรกรสามารถขายสินค้าได้ในราคาสูง ไม่ต่ำกว่า 40-80 บาท/กิโลกรัม แต่การผลิตหน่อไม้นอกฤดูยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานมีความต้องการสูงสุด รองลงมาคือ ภาคเหนือ

เทคนิคการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง
ไผ่ตงลืมแล้ง เป็นไผ่ที่ต้องการความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง จึงจะให้ผลผลิตที่ดี ควรปลูกในดินร่วนปนเหนียว ดินร่วน ดินเหนียว ส่วนดินที่เป็นกรด เป็นทรายมากๆ สำหรับสภาพดินลูกรังจะไม่แนะนำให้เกษตรกรปลูก

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องปลูกในพื้นที่ ดินทราย หรือดินลูกรัง ควรหาดินมาถมให้มีหน้าดินหนาประมาณ 30-50 เซนติเมตร อีกวิธีหนึ่งที่แนะนำ คือก่อนปลูกควรขุดหลุม กว้าง-ยาว 1 เมตร ลึก 0.5 เมตร นำหน้าดิน ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อินทรียวัตถุเติมลงไปให้เต็มแล้วค่อยปลูก วิธีนี้ก็จะให้ผลผลิตได้ดีเช่นกัน หากปลูกในพื้นที่ลุ่มใกล้แหล่งน้ำ ดินจะเก็บความชื้นได้ดี จะให้ผลผลิตนอกฤดูได้ดีกว่าแหล่งปลูกในพื้นที่ดอน

เนื่องจากเกษตรกรนิยมปลูก ไผ่ตงลืมแล้ง เพราะต้องการหน่อเป็นหลัก จึงสามารถปลูกไผ่ตงได้ในอัตราระยะประชิด โดยปลูกในระยะห่าง 2×3 เมตร เฉลี่ย 1 ไร่ ปลูกได้จำนวน 265 กอ ต้นไผ่สามารถออกหน่อได้ดีและเร็ว เกษตรกรควรปลูกไว้ลำแม่แค่ 1-2 ลำ เท่านั้น การปลูกไผ่ตงลืมแล้งในระยะถี่ ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ประหยัดเวลาและพื้นที่ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดูแล

แปลงปลูกไผ่สามารถให้น้ำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความพร้อมและสภาพพื้นที่เป็นหลัก ทั้งนี้ การให้น้ำระบบสปริงเกลอร์เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะน้ำที่ผ่านจากหัวสปริงเกลอร์จะผ่านอากาศ (ไนโตรเจน, ออกซิเจน) ก่อนที่จะตกสู่พื้นดิน ทำให้น้ำมีความเย็น อากาศมีความชื้นสูง ช่วยให้หน่อไม้เติบโตเร็ว แต่การให้น้ำวิธีนี้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงอยู่บ้าง

ส่วนเทคนิคการให้น้ำแบบสูบลาดตามร่อง ควรปรับให้มีความลาดเอียงเล็กน้อย และควรมีการกรีดยกร่องก่อนปลูก แล้วปลูกลงในร่องวิธีนี้จะช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ส่วนการใช้น้ำแบบสายยางรดเหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกขนาดเล็กและเกษตรกรที่มีเวลาในการดูแลสวน

การจัดการปุ๋ยและแต่งกอ
หากปลูกไผ่ในสภาพดินที่ดี แค่ให้ปุ๋ยคอกเพียง 2-3 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว ไม่แนะให้ใช้ปุ๋ยเคมี เพราะจะทำให้ดินเสื่อมสภาพเร็วและสิ้นเปลืองต้นทุน เมื่อปลูกไผ่ครั้งแรก ควรให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก จำนวน 2 กิโลกรัม/กอ อีก 4 เดือน ให้ใส่เพิ่มเป็น 4 กิโลกรัม/กอ หากใครเลี้ยงหมู ไก่ วัว ฯลฯ สามารถนำมูลสัตว์มาใช้เป็นปุ๋ยคอก ก็ช่วยประหยัดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง เกษตรกรควรหาปุ๋ยน้ำขี้หมู มาใช้ในสวนไผ่ เพราะต้นไผ่จะสามารถเติบโตได้ดีและมีผลผลิตมาก

หากเป็นไปได้ แนะนำให้เกษตรกรปลูกไผ่ก่อนเดือนมิถุนายน เพราะต้นไผ่จะมีอายุมากพอที่จะทำหน่อนอกฤดูได้ในปีถัดไป การไว้ลำแม่เพื่อจะทำหน่อนอกฤดูควรไว้หน่อช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เพราะเป็นระยะเหมาะสมที่สุด ลำต้นแม่ จะไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป

หลังจากนั้น ให้ตัดแต่งกิ่งภายในเดือนพฤศจิกายน โดยเลือกลำแม่ไว้เพียงกอละ 1-2 ลำ เท่านั้น ลำที่มีระยะเหมาะสมคือ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำโต 1.5-2 นิ้ว จะดีที่สุด ถ้ามีหน่อหลุดออกมาหลังจากนี้ให้คอยตัดออกทั้งหมด อย่าไว้ลำอีกเด็ดขาด

ต้นเดือนมกราคม ควรให้ปุ๋ยและคุมฟางที่โคนกอ และเริ่มให้น้ำประมาณปลายเดือนมกราคม ช่วงแรกควรให้น้ำบ่อยและให้ดินเปียกโชก พออากาศเริ่มอุ่นไผ่จะเริ่มแทงหน่อ ควรให้น้ำน้อยลง เริ่มเก็บหน่อช่วงเดือนกุมภาพันธุ์-พฤษภาคม (นอกฤดู) หลังจากตัดหน่อไปได้สัก 2-3 หน่อ/กอ ควรใส่ปุ๋ยคอกอีกรอบ

การเก็บเกี่ยวผลผลิต
ไผ่ 1 กอ จะให้ผลผลิตเฉลี่ย 6-10 กิโลกรัม ต่อหนึ่งนอกฤดูกาล ราคาที่ขายได้ 40-70 บาท/กิโลกรัม หรือประมาณ 250 บาท/กอ ทำให้มีรายได้ไร่ละ 50,000 บาทขึ้นไป หากต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น ควรปลูกพืชผักริมสวนอื่นๆ เสริมรายได้ เช่น ชะอม ใบย่านาง ใบแมงลัก เห็ด มะละกอ เพราะพืชผักพื้นบ้านเหล่านี้ ถือเป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารที่แปรรูปจากหน่อไม้ สินค้าทุกชนิดขายดี เป็นที่ต้องการของตลาด

โดยทั่วไป พื้นที่ปลูกไผ่ 4 ไร่ 1,000 กอ จะเก็บหน่อไม้ได้ประมาณวันละ 40-50 กิโลกรัม จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 40-60 บาท ทำให้มีรายได้วันละ 1,600-2,500 บาท ถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้งาม… จนน่าอิจฉาทีเดียว

ฮือฮา ทุเรียน “เจ-ควีน” พันธุ์ใหม่แดนอิเหนา ลูกละกว่า 3 หมื่น รสชาติหวานมันเหมือนเนยถั่ว
ฮือฮา ทุเรียน “เจ-ควีน” – วันที่ 30 ม.ค. เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ และ การ์เดียน รายงานกระแสฮือฮาทุเรียน “เจ-ควีน” ใน อินโดนีเซีย ซึ่งมีราคาสูงถึง 14 ล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย หรือกว่า 31,200 บาท กับคำเชิญชวนว่ามีรสชาติหวาน มัน และอร่อยเหมือนกับ เนยถั่ว

ทุเรียน เจ-ควีน ซึ่งวางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของศูนย์การค้าพลาซ่าเอเชียในเมืองตาสิกมาลายา จังหวัดชวาตะวันตก และสามารถขายได้แล้วถึง 2 ลูก เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นพันธุ์ทุเรียนซึ่งนายอากา วัย 32 ปี กล่าวว่า เป็นผู้คิดค้นขึ้นจากการผสมระหว่างสุดยอดทุเรียนระดับพรีเมี่ยม 2 พันธุ์ ของอินโดนีเซีย นอกจากรสชาติจะเหมือนเนยถั่วแล้ว ทุเรียน เจ-ควีน ยังมีผลกลมต่างจากทุเรียนทั่วไปซึ่งเป็นทรงกลมรี

“ความต้องการของผมคือ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวสวนชาวไร่ด้วยการพัฒนาทุเรียนที่เหนือชั้น ผมมีสวนทุเรียนหลายแห่งทั่วเกาะชวา ทั้งในเมืองเคนดัล เปอกาโลงัน บันหยูมาส ปันกันดารัน กุนังตันจุง และตาสิกมาลายา โดยทุเรียน เจ-ควีน ถือเป็นทุเรียนหายาก เพราะจะออกผลทุกๆ 3 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บรรดาชาวสาวนท้องถิ่นบนเกาะชวาต่างระบุว่าไม่เคยได้ยินชื่อทุเรียน เจ-ควีน และว่าบนเกาะชวามีปลูกแค่ทุเรียน กัมโบการ์โน และทุเรียน หมอนทอง ขณะที่ชาวเน็ตแห่แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง บางคนตั้งข้อสงสัยว่า มีทุเรียนพันธุ์นี้จริงๆ ใช่ไหม ผู้ใช้อินสตาแกรมคนหนึ่งโพสต์ว่า เจ-ควีน เป็นผลผลิตทุเรียนของอินโดนีเซีย ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เพราะเคยชนะการประกวดทุเรียนที่เกาะปีนังมาแล้ว

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ภายใต้การทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำผลผลิตล้นตลาด ประกอบกับปัจจุบันปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ จึงได้เสนอให้เกษตรกรลดรอบการปลูกข้าว โดยจัดทำโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาขึ้น ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร

นอกจากจะเป็นการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศแล้ว เกษตรกรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนที่น้อย และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวมาเป็นการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

กรมส่งเสริมการเกษตร สนองนโยบายรัฐบาล ดำเนินโครงการฯ ตามกระบวนการตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ทั้งกรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานภาคเอกชน ร่วมสำรวจพื้นที่ วิเคราะห์ ตรวจสอบ คัดเลือก รับสมัครเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ พร้อมถ่ายทอดความรู้ ทั้ง การแนะนำพันธุ์ปลูกให้เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ การหว่านไถ การบำรุงดูแลต้นพันธุ์ ตั้งแต่เริ่มการเพาะปลูก ไปจนถึงวิธีการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการปลูกที่ทันสมัย

ในวันที่ 15 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเกษตรได้ปิดระบบรับสมัครเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการสานพลังประชารัฐสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาแล้ว มีเกษตรกรแจ้งความประสงค์และสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 95,592 ราย พื้นที่ 805,903 ไร่ และจังหวัดหนองคายเป็น 1 ใน 37 จังหวัดของพื้นที่เป้าหมาย มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการฯ 1,014 ราย จำนวน 6,618.50 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2562)

นายทรงศักดิ์ ศรีสร้างคอง เกษตรกรบ้านคำตายูง ตำบลเซิม อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย หนึ่งในเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เปิดเผยว่า อาชีพหลักของตนคือการทำนา โดยทำนาปีในช่วงฤดูฝน และเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัวเนื้อ เป็ด ไก่ เป็นต้น ที่ผ่านมามีรายได้จากการขายข้าวไม่แน่นอน ปีใดหากฝนขาดช่วงก็จะขาดทุน บางปีได้ผลผลิตข้าวดีและมาก แต่ราคาตกต่ำก็ขาดทุนเช่นกัน มาปีนี้หลังจากที่ทางรัฐบาลได้ประกาศโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ก็สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้พื้นที่ทั้ง 18 ไร่ที่มีอยู่ ปลูกแบบเต็มพื้นที่ โดยใช้น้ำจากฝายและลำห้วยธรรมชาติ นอกจากนี้ในแปลงนายังมีการขุดบ่อน้ำ จำนวน 2 บ่อ ซึ่งทำให้เพียงพอสำหรับใช้ในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย จึงไม่มีปัญหาในเรื่องน้ำ

ขณะนี้ข้าวโพดที่ปลูกมีอายุ 20 วันแล้ว สูงประมาณ 40 เซนติเมตร ซึ่งได้รับคำแนะนำการเพาะปลูกอย่างถูกวิธีจากเกษตรตำบลเข้ามาให้ความรู้ คำแนะนำวิธีการปลูก การดูแล อยู่เป็นระยะๆ จึงค่อนข้างมั่นใจว่า ผลผลิตที่ได้ออกมาจะมีคุณภาพโดยพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้ง 18 ไร่ คาดว่าประมาณปลายเดือนเมษายน 2562 ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ น่าจะได้ผลผลิตไร่ละประมาณ 1 ตัน

หากได้ราคาดังที่รัฐบาลประกาศ ก็น่าจะมีรายได้ที่หักค่าลงทุนแล้วร่วมแสนบาท ซึ่งก็ดีกว่าการทิ้งนาให้ว่างเปล่าไม่ได้ทำอะไร แถมต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด และเมล็ดข้าวโพดส่วนหนึ่งที่ไม่มีคุณภาพสามารถนำมาเป็นอาหารให้วัวที่เลี้ยงกินได้ เป็นการลดต้นทุนสำหรับการเลี้ยงวัวได้อีกทางหนึ่งด้วย

“ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้วจะนำไปขายที่จุดรับซื้อที่อยู่ใกล้บ้าน ตามที่ทางกระทรวงเกษตรฯ กำหนดขึ้นเพื่อให้เกษตรกรในอำเภอโพนพิสัยและพื้นที่ใกล้เคียงสามารถนำผลผลิตข้าวโพดไปขายได้สะดวก ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่าโครงการฯ นี้จะสามารถไปได้ดี และเกษตรกรจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน ยอมรับว่านโยบายของรัฐในโครงการนี้มาถูกทางแล้วในการใช้ตลาดนำการผลิต ทำให้เกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากอย่างเห็นได้ชัดเจน” นายทรงศักดิ์ ศรีสร้างคอง กล่าว

นับได้ว่าการดำเนินงานตามนโยบายของภาครัฐ ดังเช่นโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้นั้น ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีในการสนับสนุนให้เกษตรกรไทยเกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หันมาปลูกพืชอื่นทดแทนนอกจากการทำนา ทั้งลดปริมาณการใช้น้ำในฤดูแล้ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพคุ้มทุน และเพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพจากราคาข้าว รวมทั้งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชอื่นตามความต้องการของตลาดได้