ผลการตรวจของปี 2560 นี้ นอกจากจะทำให้เราตระหนักถึงปัญหา

วิกฤตยาฆ่าหญ้าที่มักใช้กันในบ้านเราจนเป็นปกติธรรมดาแล้ว ยังทำให้เราตื่นจากมายาคติเรื่อง “ผักพื้นบ้าน” ที่มักเชื่อว่าปลอดภัยกว่าผักตลาดด้วย

กรณีนี้เข้าใจได้ไม่ยาก คือ เมื่อผู้บริโภคต้องการผักพื้นบ้านมากขึ้น ก็ย่อมมีการปลูกเป็นแปลงขนาดใหญ่ มีการโหมใช้ปุ๋ยเคมีและสารฉีดพ่นเช่นเดียวกับผักตลาดอื่นๆ ด้วย

มายาคติที่หลอกหลอนผู้บริโภคชาวไทยอีกประการหนึ่งก็คือ มักเชื่อกันว่า ผักที่ขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้านั้นสะอาดและปลอดภัยกว่าผักตลาดสด ซึ่งการวิเคราะห์ตัวอย่างผักจากแหล่งต่างๆ ของปีนี้แล้ว พบว่าไม่เป็นความจริง

ข้อมูลอันน่าวิตกกังวลเหล่านี้ นำมาซึ่งอะไรหลายๆ อย่าง ดังที่ คุณปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่าย Thai – PAN บอกว่า หากมองในแง่ดี พบว่าพฤติกรรมการแอบอ้างใช้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ลดลงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งอาจอนุมานว่า มาจากผลการตรวจและรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลด้านลบเรื่องนี้ในปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการกวดขันจับกุมมากขึ้นจากทางหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกรมวิชาการเกษตร

ขั้นตอนต่อไปก็คือ ข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เช่น สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ, กรมวิชาการเกษตร, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ร่วมดำเนินการต่อไป ทั้งการรณรงค์ และฟ้องร้องตามกระบวนการทางกฎหมาย

เนื่องจากยังพบว่ามีตัวอย่างผักที่ตรวจพบสารเคมีที่ถูกแบน – ไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น เมทามิโดฟอส อีพีเอ็น คาร์โบฟูราน และเมโทมิล ซึ่งจะต้องสืบค้นต้นตอที่มากันต่อไป ว่าเล็ดรอดมาทางไหน

เหล่านี้ คือมหันตภัยที่ผู้บริโภคชาวไทยจำต้องตระหนักรู้ และเตรียมพร้อมจะเผชิญหน้าอย่างมีสติตามสมควรนะครับ

ส่วนจะมีสติอย่างไร แบบไหน คงต้องขอคุยในคราวต่อไปล่ะครับ นายไวกูณฑ์ ทองอร่าม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของ UI Green Metric World University Ranking 2017 จัดทำโดย University of Indonesia ปรากฏว่า มรภ.รำไพพรรณี จันทบุรี เป็นสถาบันการศึกษาสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดของโลก เป็นอันดับที่ 1 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และอันดับที่ 122 ของโลก จากมหาวิทยาลัยทั่วโลกจำนวน 619 แห่ง ได้คะแนนรวม 5,472 คะแนน โดยใช้เกณฑ์การประเมินทั้ง 6 ด้านคือ 1. การวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ได้ 911 คะแนน 2. การจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ 1,165 คะแนน 3.การจัดการของเสีย ได้ 1,203 คะแนน 4.การจัดการน้ำ ได้ 526 คะแนน 5.การสัญจร ได้ 913 คะแนน และ 6. การศึกษา ได้ 754 คะแนน

อธิการบดีรำไพพรรณี กล่าวว่า มรภ.รำไพพรรณีมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นมหาวิทยาลัยที่น่าเรียนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับชุมชน การที่มหาวิทยาลัยได้รับรางวัลมหาวิทยาลัยสีเขียว ปี 2017 ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของการรณรงค์ ให้บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม

ด้านนายวยากร อุดมโภชน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมรภ.รำไพพรรณี กล่าวว่า โครงการ Green University ที่มรภ.รำไพพรรณีดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนั้น ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมุ่งเน้นในการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ด้านพลังงาน ด้านขยะ ด้านน้ำ ด้านการจัดการขนส่งมวลชน ด้านการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และมหาวิทยาลัยฯ ยังได้มุ่งเน้นพัฒนาในเรื่องของจิตสำนึกที่สำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยด้วย

สำหรับมหาวิทยาลัยสีเขียวของไทยที่ได้ติดอันดับ 1-5 มีดังนี้ อันดับ 1 ของไทย อับดับ 86 ของโลก ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับ 2 ของไทย อับดับ 90 ของโลก ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับ 3 ของไทย อับดับ 96 ของโลก ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อันดับ 4 ของไทย อับดับ 122 ของโลก ได้แก่ มรภ.รำไพพรรณี และ อันดับ 5 ของไทย อับดับ 143 ของโลก ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร

สตอเบอรี่ที่โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า เบอร์ 80 เริ่มออกผลให้นักท่องเที่ยวได้ชิมกันแล้ว คาดว่ากลางเดือนมกราคม จะออกผลเต็มที่ ราคากิโลกรัมละ 300 บาทเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ต่างเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวและเลือกชม และซื้อสตอเบอรี่ พันธุ์พระราชทาน 80 ที่โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลกกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา

นายศุภกุล จันทร์ลา หัวหน้าโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก กล่าวว่า หลังจากทางโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า ได้นำสตอเบอรี่ เบอร์ 80 มาทดลองปลูกตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 3 ไร่ ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมีผลิตขนาดผลใหญ่ และมีรสชาติ ที่หวาน กรอบ ที่สำคัญสตอเบอรี่ปลูกไว้ปลอดสารพิษ ไม่มีการฉีดสารเคมีแต่อย่างใด และในปีนี้ สตอเบอรี่ได้ปลูกไว้ เริ่มออกผลเป็นลูกสตอเบอร์รีที่ผลใหญ่น่ารับประทานแล้ว คาดว่าในช่วงปลายเดือนมกราคม นี้จะออกผลได้อย่างเต็ม 100%

โดยปีนี้ราคาของสตอเบอรี่ พันธุ์พระราชทาน 80 จะมีจำหน่ายอยู่ที่ราคา ก.ก.ละ 300 บาท ซึ่งหากผู้ใดสนใจต้องเลือกซื้อสตอเบอรี่ โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า อุทยานภูหินร่องกล้า ก็สามารถไปเลือกซื้อในช่วงปลายเดือนมกราคม เป็นต้นไป

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ก็สามารถไปสัมผัสกับบรรยากาศที่หนาวเย็นบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และชมดอกกระดาษที่เบ่งบานเต็มที่อีกด้วย บริเวณจุดชมวิวผาบอกรัก ผาพบรัก ผารักยืนยง ภายในโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า

นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.ส. คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561 ได้แก่ข้าวเปลือกเจ้า 5% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.52-4.87% อยู่ที่ราคา 8,440-8,719 บาท/ตันข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.30-3.85% อยู่ที่ราคา 12,470-12,658 บาท/ตัน และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.20-4.32% อยู่ที่ราคา 9,515-9,810 บาท/ตัน เนื่องจากยังมีความต้องการของตลาดต่างประเทศและมาตรการโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2560/61 ที่ช่วยชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดและมาตรการภาครัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลาดข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวเพื่อช่วยสนับสนุนราคาให้สูงขึ้น

ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.10-0.30% อยู่ที่ราคา 6.79-6.93 บาท/ก.ก. เนื่องจากเข้าสู่การปลูกข้าวโพดช่วงฤดูแล้ง (เริ่มปลูกเดือนธ.ค.) ประกอบกับมาตรการดำเนินการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของภาครัฐที่ได้เริ่มขยายผลจาก จ.เพชรบูรณ์ไปในจังหวัดอื่นที่มีการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งจะช่วยยกระดับราคารับซื้อให้เพิ่มขึ้น

ยางพาราคาดว่าสถานการณ์ราคายางพาราแผ่นดิบจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.00-6.30% อยู่ที่ราคา 42.32-44.54 บาท/ก.ก. เนื่องจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศของผู้ประกอบการและหน่วยงานของรัฐเพิ่มขึ้นรวมทั้งมาตรการรักษาความสมดุลระหว่างปริมาณและความต้องการใช้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในราคายางพารา

มันสำปะหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.20-4.97% อยู่ที่ราคา 1.85-1.90 บาท/ก.ก. เนื่องจากปริมาณมันสำปะหลังที่ออกสู่ตลาดยังน้อยกว่าความต้องการประกอบกับมาตรการนำเข้ามันสำปะหลังจากต่างประเทศของภาครัฐที่เข้มงวดโดยเพิ่มขั้นตอนแสดงหนังสือรับรองสุขอนามัยพืชหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดพืชและหนังสือรับรองมาตรฐานสินค้ารวมทั้งต้องมีการนำเข้าโดยผ่านด่านตรวจโดยเฉพาะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2561 จะทำให้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากต่างประเทศเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดไทยยากขึ้น

ปาล์มน้ำมันคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.57-21.42% อยู่ที่ราคา 2.90-3.40 บาท/ก.ก. เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณที่ลดลงประกอบกับภาครัฐเร่งดำเนินการระบายปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบให้กลับสู่ระดับปกติจะส่งผลให้แนวโน้มราคาปาล์มน้ำมันมีทิศทางดีขึ้น
สุกรคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.09-5.50% อยู่ที่ราคา 52.30-54.05 บาท/ก.ก. เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทำให้แนวโน้มความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นประกอบกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาราคา

สุกรตกต่ำในระยะสั้นโดยให้มีการชำแหละจำหน่ายให้มากขึ้นจากเดิมในหลายจังหวัดมีเพียง จ.ราชบุรี และ จ.ลำพูนเท่านั้น รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคสุกรให้กระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในช่วงเทศกาลให้เพิ่มมากขึ้นกุ้งขาวแวนนาไมคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.25-2.91% อยู่ที่ราคา 188.00 -193.00 บาท/ก.ก. เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจึงส่งผลให้ราคากุ้งขาวแวนนาไมปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงคือน้ำตาลทรายดิบซึ่งคาดว่าราคาเฉลี่ยน้ำตาลทรายดิบนิวยอร์กในตลาดโลกจะลดลงจากเดือนก่อน 0.50-2.00% อยู่ที่ราคา 13.39-13.59 เซนต์/ปอนด์ (9.67-9.81 บาท/ก.ก.) เนื่องจากแรงขายของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกำไรจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะผลผลิตน้ำตาลโลกส่วนเกินในปีการผลิต 2561/62 ประกอบกับราคาน้ำตาลถูกกดดันจากค่าเงินเรียลของบราซิลที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ผลิตทยอยขายน้ำตาลออกมากขึ้นส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้นและราคาจะลดลง

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนธันวาคม 2560 เท่ากับ 101.37 ลดลง 0.08% เมื่อเทียบเดือนพฤศจิกายน 2560 และสูงขึ้น 0.78% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ทั้งปี 2560 สูงขึ้น 0.66% ซึ่งเป็นการสูงขึ้นในรอบ 2 ปี จากปี 2558 ที่เงินเฟ้อลดลง 0.90% อย่างไรก็ตามยังเป็นไปตามกรอบที่ สนค.คาดการณ์ไว้ทั้งปี 0.4-1.0%

ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่กลุ่มอาหารสด ลดลง 0.91% ซึ่งมีผลตามอัตราเงินเฟ้อทั้งปี ทั้งนี้ เงินเฟ้อทั้งปีสูงขึ้นแต่รับว่าสูงไม่มาก แม้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้นแต่ก็ระวังการซื้อสินค้ามาก และกรอบเงินเฟ้อทั้งปีหากเทียบกับต่างประเทศก็ยังใกล้เคียงไม่สูงเกินไป เช่น สิงคโปร์
สำหรับอัตราเงินเฟ้อเทียบเดือนที่ลดลง 0.08% เนื่องจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลง 0.23% ตามการลดลงของหมวดผักสดและผลไม้ เช่น ผักสด ส่วนผลไม้ลดลง 1.33% รวมไปถึงการลดลงของไก่สด เนื้อสุกร ไข่ไก่ และข้าวสาร ขณะที่สินค้าที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ น้ำหวาน น้ำผลไม้ ชาและกาแฟสำเร็จรูป จากการปรับภาษีของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ส่วนหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.01% จากหมวดสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด ค่าของใช้ส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ และก๊าซหุงต้มที่ปรับลดลงตามตลาดโลก รวมทั้งเสื้อผ้าบุรุษ สตรี ขณะที่สินค้าที่ปรับสูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง

สำหรับการสำรวจราคาสินค้าที่ใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อทั้งหมด 422 รายการ พบว่า มีสินค้าที่ปรับสูงขึ้น ราคาเพิ่มขึ้น 114 รายการ เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนมหวาน ปลานิล ปลาทู กุ้งขาว กาแฟ กาแฟผงสำเร็จรูป ค่าเช่าบ้าน น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าทัศนาจรต่างประเทศ เบียร์ ราคาสินค้าที่ปรับลดลง 118 รายการ เช่น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว น้ำมันพืช ไข่ไก่ เนื้อสุกร ไก่สด ผักสด ผลไม้สด น้ำพริกแกง ซีอิ๊ว ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ขณะที่ราคาสินค้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง 190 รายการ

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า การคาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ทั้งปี 2561 อยู่ที่ 0.6-1.6% ซึ่งอยู่ภายใต้สมมติฐานการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปี 2561 อยู่ที่ 3.5-4% ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเงินเฟ้อทั้งปีไม่เกินกรอบที่คาดการณ์ไว้และน่าจะไม่เกิน 1% โดยปัจจัยที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุน คือเรื่องของบัตรสวัสดิการ การดูแลสินค้าเกษตร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

เมื่อวันที่ 3 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดทำการเวลา 08.00 น. บรรยากาศที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองชัยนาท เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเดินทางมาใช้บริการอย่างไม่ขาดระยะ เนื่องจากใช้เงินในการท่องเที่ยวและฉลองเทศกาลปีใหม่จนร่อยหรอ จึงต้องหาเงินสดมาหมุนเพิ่มสภาพคล่องในครัวเรือน โดยทรัพย์สินที่นำมาจำนำส่วนใหญ่เป็นทองรูปพรรณ ที่ในวันนี้ทางสถานธนานุบาลรับจำนำในราคาที่เพิ่มขึ้นจากเดิมบาทละ 15,500 บาทเป็น 15,800 บาท

ในวันนี้เป็นวันแรกที่ใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่ ตามนโยบายช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาล คือเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท จะคิดอัตราดอกเบี้ย 0.50 บาทต่อเดือน เงินต้นเกินกว่า 5,001-30,000 บาท จะคิดอัตราดอกเบี้ย 1 บาทต่อเดือน และเงินต้น 30,001 บาทขึ้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาทต่อเดือน

นางนันทิยา พงษ์ทอง ผจก.สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองชัยนาท เปิดเผยว่า ในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ที่คาดว่าประชาชนจะมีความต้องการเงินสดไปใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทางสถานธนานุบาลจึงมีแผนเตรียมเงินสดสำรองไว้ให้บริการด้วยวงเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่จะนำทรัพย์สินมาจำนำในระยะนี้

เพื่อเป็นการผลักดันการส่งเสริมด้านการป้องกันภัยพิบัติไปสู่สถานศึกษาต่าง ๆ โดยให้ จ.เชียงราย เป็นจังหวัดนำร่องในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ยิ่งเฉพาะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม พายุ ไฟป่า

องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล จึงร่วมมือกับ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และคณะทำงานการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย จัดงาน “เชียงราย เมืองต้นแบบการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติอย่างยั่งยืน” ขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับภัยพิบัติและการป้องกันแก้ไขเมื่อเกิดเหตุ โดยเยาวชน เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย และหน่วยงานต่าง ๆ

“ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประธานเปิดงานเชียงราย เมืองต้นแบบการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ในวันนี้เน้นที่ปัจจัยสำคัญคือแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมาโดยเฉพาะในพื้นที่ อ.แม่สรวยและ อ.แม่ลาว ซึ่งจากแผนที่ภัยพิบัติมีการเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดในประเทศ

“กิจกรรมครั้งนี้ทางองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เห็นถึงความสำคัญ และเข้ามาดำเนินงานกับโรงเรียนต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเกิดเหตุภัยพิบัติทั้งแผ่นดินไหวและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งทำให้เด็กที่มาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้รับรู้ถึงวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติ จนสามารถนำไปบอกต่อให้กับญาติ พี่น้อง เพื่อน เพื่อให้มีความรู้ในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

“ยุภาพร บุญติด” ผู้อำนวยการโครงการองค์การแพลน abrahamstent.org อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า จนถึงปัจจุบันทางองค์การแพลนฯได้ทำงานกับ 48 โรงเรียน และศูนย์การเรียนรู้ 7 แห่ง เพื่อให้เด็กและเยาวชนในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง มีสิทธิได้รับการศึกษาที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ และเข้าถึงสิทธิดังกล่าว โดยที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงชุมชนให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

“องค์การแพลนฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต และพรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น ดำเนินโครงการโรงเรียนปลอดภัยใน 25 โรงเรียน และ 1 ศูนย์การเรียนรู้ ใน 4 จังหวัดคือ เชียงราย ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และพังงา เพื่อเป็นต้นแบบของโรงเรียนปลอดภัย โดยทางองค์การจัดทำเป็นคู่มือในการนำไปปรับใช้กับโรงเรียนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีการผลักดันในระดับนโยบายให้โมเดลโรงเรียนปลอดภัยได้รับการบรรจุอยู่ในแผนของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เป็นแผนปฏิบัติการของโรงเรียนต่อไป”

“กัลยาณี วัชโรบล” รองประธานฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และสื่อสารองค์กร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติเป็นส่วนสำคัญที่ทางบริษัทให้ความสำคัญ และให้การสนับสนุนผ่านความร่วมมือกับทางองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนลมาโดยตลอด โดยในครั้งนี้มีการเตรียมถุงยังชีพมาแจกจ่ายให้กับนักเรียนจำนวน 500 ถุง ซึ่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับเด็ก และครอบครัวเอาตัวรอด และยังชีพได้เพียงพอสำหรับ 3 วันในกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น

“โครงการนี้ไม่ได้จัดทำเพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากภัยพิบัติ แต่เน้นการให้ความรู้กับเด็กเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับภัยพิบัติ ซึ่งเป็นความรู้ที่ยั่งยืน และเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จะส่งมอบความรู้ หรือสอนให้กับทางผู้ปกครอง หรือพี่น้อง ให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ด้วย”

“มนตรี นวลจีน” ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสันกลาง (ราษฎร์พัฒนา) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนไม่มีความรู้ ไม่มีการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติ และไม่มีแผนรองรับเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติแต่อย่างใด ต้องขอบคุณองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เข้ามาให้ความรู้และฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างเช่นแผ่นดินไหว ให้กับครูและนักเรียน

“ปัจจุบันเรามีการซ้อมอพยพหนีภัยกันทุกภาคการศึกษา และนักเรียนก็ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องต่าง ๆ อย่างเช่น ในถุงยังชีพต้องเตรียมอะไรบ้าง วิธีการผูกเชือกเป็นเงื่อนแบบต่าง ๆ วิธีการอพยพออกจากตึกสูง วิธีการปฐมพยาบาล การปั๊มหัวใจ และอื่น ๆ”

ถึงตรงนี้ “ยุภาพร” กล่าวอีกว่า การจัดงานครั้งนี้ยังมีการนำถุงยังชีพมอบแก่ตัวแทนโรงเรียน 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านสันกลาง (ราษฎร์พัฒนา) และโรงเรียนโป่งแพร่วิทยา เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ

“นอกจากนี้ที่โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา ต.โป่งแพร่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว นักเรียนได้ช่วยกันจัดตั้งศูนย์รับมือภัยพิบัติขึ้นมา โดยมีการจัดแสดงเครื่องมือและสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้กับเพื่อนนักเรียนและครอบครัวให้ทราบถึงวิธีการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ดินถล่ม หรือน้ำท่วม”

นับเป็นการส่งเสริมด้านการป้องกันภัยพิบัติไปสู่สถานศึกษาต่าง ๆ และพัฒนา จ.เชียงรายให้เป็นจังหวัดนำร่องในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติอย่างยั่งยืน เปิดศักราชใหม่ ด้วยบทบาทใหม่ของฝรั่งหัวใจไทย “แดเนียล เฟรเซอร์” หันมาสวมมาด “เพื่อนพระเอก” ขึ้นเวทีการแสดงลิเกป่าครั้งแรกในชีวิต กับทริปข้ามปีอย่าง “สามเกาะสี่ถ้ำ” จ. ตรัง ซึ่งเดินทางมาถึงถ้ำสุดท้ายคือ ถ้ำเขาช้างหาย สัมผัสวัฒนธรรม ประเพณี และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ พร้อมตื่นตากับศิลปะแห่งเศษไม้ที่วังเทพทาโร ในรายการหลงรักยิ้ม

เรียกได้ว่าเป็นการแสดงครั้งแรกของฝรั่งยิ้มกว้าง “แดเนียล” ที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพื้นบ้านอย่าง ลิเกป่า กับบทบาทเพื่อนพระเอก โดยแดเนียลจะต้องคอยตามง้อนางเอกให้เดินทางกลับไปยังเมืองของพระเอก ซึ่งการแสดงลิเกป่านั้นมีให้เห็นแค่ในแถบภาคใต้ของไทยเท่านั้น จากนั้นไปชมความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่ ถ้ำเขาช้างหาย ซึ่งด้านในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย ที่มีลักษณะต่างๆ กันไป แต่ดูคล้ายช้าง เช่น ตัวช้าง ลูกช้างเรียงตัวกัน รอยเท้าช้าง เป็นต้น จากนั้นไปชมศิลปะจากเศษรากไม้ ที่วังเทพทาโร สถานที่รวบรวมรากไม้กว่า 25 ไร่ พบอาจารย์จรูญ ผู้สร้างสรรค์นำไม้เทพทาโรมาสร้างเป็นมังกร 89 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่น และรูปร่างที่แตกต่างกันอีกด้วย