ผลไม้ทำเงิน ปลูก 300 ต้น มีรายได้ 300,000 บาท ต่อปี

“น้อยหน่า” ของดีเมืองปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นับได้ว่าเป็นแหล่งปลูกน้อยหน่ามากที่สุด และคุณภาพดีที่สุดของประเทศ ด้วยพื้นดินที่เหมาะแก่การปลูก ทำให้รสชาติ น้ำหนัก ดีกว่านำไปปลูกที่อื่น น้อยหน่าจึงกลายเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของอำเภอปากช่อง และถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจประจำจังหวัดมานานถึงทุกวันนี้

ด้วยข้อได้เปรียบของพื้นที่ ทำให้มีคู่แข่งน้อย ราคาไม่ตก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมเกษตรกรที่ปากช่องส่วนใหญ่ถึงปลูกน้อยหน่าเป็นอาชีพหลักเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด

คุณจอม วิสุทธะนะ (ลุงจอม) อยู่บ้านเลขที่ 58/1 หมู่ที่ 4 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นับได้ว่าลุงจอมเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกน้อยหน่าของตำบลกลางดงอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาชีพเดิมของลุงจอมคือ การเลี้ยงโคนม เลี้ยงมานานกว่า 10 ปี แต่ต้องหยุดเลี้ยง เพราะขณะที่ลุงจอมกำลังรีดนมวัว อาการเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดกำเริบ ลูกหลานต้องหามส่งโรงพยาบาล

อาชีพเลี้ยงโคนมถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดี แต่ต้องมีเวลาอยู่ทั้ง 365 วัน ทั้งเช้าและเย็น จึงเป็นงานที่หนักและด้วยโรคประจำตัวที่เป็นไม่อำนวย ลุงจอมจึงหยุดเลี้ยงและขายวัวทิ้ง หันมาปลูกหน่อยหน่าเพชรปากช่องแทน

สำหรับการเริ่มปลูกน้อยหน่าของลุงจอมไม่มีอะไรยาก ลุงจอม บอกว่าอยู่กลางดงมานานหลายสิบปี พื้นที่นี้ส่วนใหญ่ก็ปลูกน้อยหน่า ดังนั้น ก็ไม่ยากที่จะหาความรู้และลุงพอมีประสบการณ์การปลูกน้อยหน่าอยู่บ้าง

น้อยหน่าเพชรปากช่อง ถือเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ดีรองลงมาจากการเลี้ยงวัวนม ลุงจอมหันมาปลูกน้อยหน่าเป็นเวลา 4 ปี ใช้ต้นตอน้อยหน่าพันธุ์พื้นเมืองแล้วเสียบกิ่งด้วยพันธุ์เพชรปากช่อง โดยจ้างคนงานเสียบกิ่ง กิ่งละ 2 บาท เมื่อต้นติด ขั้นต่อไปคือการเตรียมดิน ขุดหลุมปลูก

เมื่อ 4 ปีที่แล้วกิ่งพันธุ์จำหน่าย ราคาต้นละ 30 บาท แต่ปัจจุบันลุงจอมทำขาย เหลือต้นละ 25 บาท ปลูกน้อยหน่า 300 ต้น ดูแลไม่ยาก สร้างรายได้ดี

น้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง เป็นลูกผสมระหว่าง “ลูกผสมของเชริมัวย่า (cherimoya) กับน้อยหน่าหนังครั่ง” เป็นแม่

ผสมกับพ่อ “น้อยหน่าหนังเขียว” ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์โดยสถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมาได้มีการกระจายพันธุ์สู่เกษตรกร จนมีการปลูกอย่างแพร่หลายถึงปัจจุบันนี้

ลักษณะเด่น ผลใหญ่ เนื้อมาก เมล็ดน้อย ให้ผลผลิตเร็ว

รสชาติ หวานอร่อย เนื้อเหนียว

ข้อดี ไม่จำเป็นต้องเก็บผลผลิตทุก 3-4 วัน เหมือนน้อยหน่าพันธุ์ทั่วไป สามารถยืดเวลาการเก็บได้นาน 7-10 วัน ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน เหมาะกับการปลูกเชิงธุรกิจ ราคาปีต่อปีดีกว่าน้อยหน่าพันธุ์อื่น

วิธีการปลูกให้ได้ผลดี

คำแรกที่ถามลุงจอมว่า น้อยหน่าปลูกยากไหม ลุงจอม บอกว่า “ไม่ยาก ทำเกษตรง่ายจะตาย ลุงทำคนเดียวด้วย รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ตัดหญ้าก็ไม่ใช่งานยาก และไม่จำเป็นจะต้องทำให้เสร็จในวันเดียว ถ้าฝนตกเราก็สบาย”

เมื่อได้ฟัง ผู้เขียนถึงกับอึ้งในคำตอบ เพราะมีน้อยคนนักที่จะบอกว่า การทำเกษตรเป็นเรื่องง่าย แต่เชื่อลุงก็ได้ ลองฟังลุงจอมอธิบาย วิธีของลุงอาจจะง่ายจริงๆ อย่างที่ลุงจอมว่า

ลุงจอม บอกว่า ปลูกน้อยหน่าปลูกง่าย โตเร็ว ลุงปลูก 2 ปี ก็ได้ผลผลิต เก็บขายแล้ว อย่างปีนี้ผลผลิตดกเก็บขายไปสองครั้ง สร้างรายได้ไปสองแสนแล้ว เหลือรอเก็บรอบสุดท้าย รวมๆ รายได้ปีนี้คาดว่าจะได้สักสามแสนกว่าบาท

การเตรียมดิน ไถดินตากไว้ 7 วัน เว้นระยะห่างระหว่างต้นระหว่างแถว 4×4 เมตร 1 ไร่ ปลูกได้ 100 ต้น ขุดหลุมลึกแค่พอกลบต้นได้ หากขุดลึกไปจะแฉะน้ำ ต้นจะไม่โต

รองก้นหลุมด้วยขี้วัว หลุมละ 1 กำมือ ช่วยสร้างจุลินทรีย์ในดิน

พื้นที่ ที่เหมาะสมในการปลูก ต้องเป็นที่ดอน ระบายน้ำได้ดี ดินจะเป็นดินดำหรือดินแดงก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าให้น้ำขัง ที่ปากช่องถือเป็นพื้นที่เหมาะสมที่สุด ที่อื่นปลูกได้แต่รสชาติจะสู้ที่ปากช่องไม่ได้ เพราะว่าน้อยหน่าต้นตระกูลก็อยู่ที่กลางดง ปากช่อง

ระบบน้ำ ที่สวนลุงจอมไม่มีระบบน้ำสปริงเกลอร์ ลุงจอมใช้สายยางฉีดรดเองทุกต้น โดยการต่อท่อน้ำเข้าสวนเป็นท่อหลักแล้วใช้สายยางต่อฉีดรดตามแต่ละต้น โดยวางระบบท่อให้รัดกุม ให้สามารถรดน้ำได้ทั่วถึงทุกต้น

3 วัน รด 1 ครั้ง ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องรด

ปุ๋ย 1 ปี ลุงจอมใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ใส่ปุ๋ย สูตรเสมอ 15-15-15 ต้นละ 1 ช้อน ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ย สูตร 16-16-16 ช่วงตอนแตกยอด ครั้งที่ 3 ใส่ตอนผลน้อยหน่าขนาดเท่ากำปั้นมือ สูตร 13-13-21

ระยะเวลาในการห่อ

เริ่มห่อผลเมื่อผลขนาดใหญ่เท่าผลส้ม ถุงที่ใช้ห่อเป็นถุงใยสังเคราะห์ โปร่งแสง เพื่อลดปัญหาเเมลงเจาะผลไม้ ตัวถุงต้องระบายอากาศและน้ำได้ดี และสามารถมองเห็นผลไม้ผ่านถุงห่อได้ เมื่อถึงเวลาเก็บผลผลิต สีของผลไม้สม่ำเสมอ สีสวย ไม่มีหนอน สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกหลายครั้ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต

มีบ้าง ส่วนใหญ่เป็นแมลงวันเจาะผลไม้ เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว แต่ระบาดไม่มากยังรับมือได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะใบน้อยหน่ามีกลิ่นเฉพาะตัวที่ทำให้แมลงไม่ค่อยเข้าใกล้ สังเกตง่ายๆ ว่า ขนาด แพะ วัว ยังไม่กินใบน้อยหน่าเลย แต่ถ้ามีจะป้องกันด้วยการพ่นสารเคมี 7-8 ครั้ง พ่นช่วงติดผลลูกเล็กๆ หลังจากห่อผลก็หยุดใช้สารเคมีแล้ว

ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต

น้อยหน่า เป็นพืชที่ออกผลได้ตลอดทั้งปี อยู่ที่การตัดแต่งกิ่งว่าอยากให้ผลผลิตออกช่วงไหน ที่สวนลุงจอมปีหนึ่งจะเก็บผลผลิตทั้งหมด 3 ครั้ง เก็บครั้งที่ 1 เดือนพฤษภาคม ครั้งที่ 2 เดือนสิงหาคม ครั้งที่ 3 เดือนพฤศจิกายน ปลูกน้อยหน่าเพชรปากช่อง มา 4 ปี ราคาไม่ตก ตลาดไปได้ดี

ลุงจอม เล่าว่า ตั้งแต่ลุงเริ่มปลูกน้อยหน่าเพชรปากช่องมา 4 ปี ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ราคาค่อนข้างคงที่ทุกปี และผลผลิตก็ไม่ค่อยล้นตลาด หรือถ้าราคาตกก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งไม่นาน

อย่างที่สวนลุงจอมตั้งแต่เริ่มปลูกได้ผลผลิต ก็มีพ่อค้ามารับซื้อถึงสวน ถึงเวลาเขาก็เอาเข่งมาไว้ให้เราคัดน้อยหน่าใส่ตะกร้าแล้วเขาก็มารับไปที่ล้งส่งขายให้พ่อค้าแม่ค้าทั่วประเทศ

ราคาขายน้อยหน่าแต่ละปี ส่วนใหญ่ราคาจะค่อนข้างคงที่ ราคาขึ้นอยู่ที่ขนาดของผล มี 5 ขนาด คือ ใหญ่ กลาง เล็ก ก้อย จิ๋ว ช่วงเดือนพฤษภาคม ผลใหญ่ ล้งรับซื้อ กิโลกรัมละ 70 บาท ผลกลาง 60 บาท และลดหลั่นลงมาไซซ์ละ 10 บาท

แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนสิงหาคม ไซซ์ใหญ่ราคาอาจจะตกลงมากว่าครั้งแรกคือ ผลใหญ่เหลือกิโลกรัมละ 50 บาท กลาง 40 บาท และลดหลั่นลงมาไซซ์ละ 10 บาท ช่วงราคาสูงจะเป็นช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตออกใหม่ๆ

ผลผลิตที่สวนลุงจอมจัดว่าดก ส่วนขนาดผลแล้วแต่ปี ถ้าปีที่แล้วได้ลูกไซซ์ใหญ่เยอะ เพราะผลผลิตออกเหมาะสม แต่ปีนี้ส่วนใหญ่จะได้ผลผลิตขนาดกลางและเล็ก เพราะผลผลิตดกเต็มต้น ปลูกน้อยหน่า 300 ต้น เป็นอาชีพหลักเลี้ยงครอบครัวได้

น้อยหน่า ผลไม้ปลูกง่าย โตเร็ว สร้างรายได้ดี ลุงจอมปลูกเพียง 300 ต้น แต่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ส่งลูกเรียนจบปริญญาได้หลายคนเลยทีเดียว ด้วยเงินลงทุนที่น้อย ลุงจอมบอกว่ามีรายรับจากการทำสวนน้อยหน่าเพชรปากช่องปีละ 300,000 บาท มีรายจ่ายเพียง 50,000 บาท ต่อปี คือค่าถุงห่อ ค่าน้ำ ค่าปุ๋ย ค่าแรงมีเฉพาะช่วงห่อผล และช่วงเก็บ นอกจากนั้นลุงจอมทำคนเดียว แต่ลุงจอมบอกว่าถึงแม้น้อยหน่าจะสร้างรายได้ดีก็จริง แต่ลุงจอมก็ทำอาชีพเสริมด้วยคือ การตอนกิ่ง ชำกิ่งทับทิม กิ่งน้อยหน่า และไม้ผลชนิดอื่นขายด้วย ถือเป็นการสร้างรายได้อีกทาง

ฝากสำหรับเกษตรกรมือใหม่

“ฝากสำหรับเกษตรกรมือใหม่ ท่านที่อยากทดลองปลูกน้อยหน่าสร้างรายได้ อันดับแรกคือ ต้องคำนึงถึงพื้นที่ก่อนว่าพื้นที่เหมาะสมไหม ดินเป็นอย่างไร ไม่ใช่เห็นคนอื่นปลูกแล้วมีรายได้ดีก็จะปลูกตาม ผลไม้แต่ละอย่างก็จะมีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่แตกต่างกัน ก่อนอื่นแนะนำให้ท่านศึกษาพื้นที่ที่จะทำการเกษตรก่อนว่าเหมาะกับอะไร พื้นที่อาศัยเหมาะกับการปลูกพืชชนิดไหน แบบนั้นจะประสบผลสำเร็จมากกว่า อย่างตัวผมเองที่ว่าปลูกน้อยหน่าดีเพราะได้เปรียบเรื่องพื้นที่ และมีตลาดรองรับ คนรุ่นใหม่ลองคิดดูนะ” ลุงจอม กล่าว

สำหรับท่านที่สนใจอยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม หรือสนใจกิ่งพันธุ์น้อยหน่าเพชรปากช่อง สามารถติดต่อพี่แขก ลูกสาวลุงจอมได้ เพราะลุงจอมไม่ใช้โทรศัพท์ ผู้ใหญ่ปรีชา นาคพรม อยู่หมู่ที่ 5 ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นเกษตรกรตัวอย่างอีกท่านหนึ่ง สมควรกล่าวถึง ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางขึ้นไปที่ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หลายครั้ง เพื่อไปเยี่ยมเยือนเกษตรกรชาวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย พบว่า พื้นที่เกษตรละแวกนี้ภาษาราชการเขียนเอาไว้ว่า “เกษตรบนพื้นที่สูง” ถ้าคนพื้นล่างโดยทั่วไปได้ยินอาจจะคิดว่าเป็นชาวเขา หรือชนเผ่าทั้งหลาย แบบภาคเหนือตอนบน พวกชนเผ่าทั้งหลายชอบอยู่บนภูเขา คนทั่วไปเรียกกันว่า คนบนดอย

แต่เกษตรกรที่ตำบลกกสะทอน ส่วนใหญ่ไม่ใช่ชนเผ่า หรือชาวเขา แต่เป็นประชาชนที่อพยพจากพื้นราบขึ้นไปอยู่ เป็นผู้คนจากจังหวัดพิษณุโลกบ้าง กำแพงเพชรบ้าง เพราะที่ดินทำกินแถวพื้นล่างมีราคาแพงขึ้นทุกวัน สมัยแต่ก่อนที่ดินละแวกใกล้เคียง เช่น อำเภอนครไทย อำเภอชาติตระการ ราคาไม่แพงนัก แต่ก็มีนายทุนเข้ามาจับจองซื้อขายกันมากมายจนปัจจุบันคนจนขายที่กินกันหมดแล้ว ตกอยู่ในมือกลุ่มนายทุน ข้าราชการที่มีเงินหนากว่าชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ โดยทั่วไปที่ดินอำเภอชาติตระการ สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน ซื้อขายกันไร่ละ 1,000-2,000 บาท เท่านั้น ปัจจุบันราคาหลักแสนเข้าไปแล้ว

ครอบครัวของ ผู้ใหญ่ปรีชา นาคพรม แต่เดิมก็เป็นคนจังหวัดพิษณุโลก พ่อแม่ได้มาจับจองที่ดินบนดอย คือ ตำบลกกสะทอน ในปัจจุบัน สมัยก่อนนั้นไม่ได้ซื้อขายกัน แต่เข้ามาจับจองเอาได้เลย แรกเริ่มก็อาจจะมาทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวกัน แต่ต่อมาในปัจจุบันทางราชการเข้มงวด ไม่ให้บุกรุกป่าอีกต่อไป ใครมีที่ดินเท่าไรก็ทำแค่นั้น เพราะป่าเขตนี้คือ ป่าสงวนแห่งชาติ ราชการไม่ออกเอกสารใดๆ ให้ ให้ทำการเกษตรเท่านั้น เพราะชาวบ้านมาจับจองอยู่กันนานแล้วจะไล่ออกจากพื้นที่ก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องอนุโลมให้อยู่ทำกินกันต่อไป ดังนั้น ชาวบ้านละแวกนี้จึงมีสิทธิทำเท่าที่ตนเองมีอยู่ เช่น ครอบครัวละ 5 ไร่ 10 ไร่ แต่ไม่เกิน 20 ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกพืชล้มลุก เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และผักเมืองหนาว เช่น เสาวรส หม่อน ผักกาดขาวปลี กะหล่ำ กาแฟบ้าง

ส่วนของผู้ใหญ่ปรีชา แกปลูกยางพาราเอาไว้แปลงละ 10 ไร่ 2 แปลง ปาล์ม 2 แปลง เป็นพืชยืนต้น ส่วนพืชล้มลุกก็มีมันสำปะหลังบ้าง ไร่ของผู้ใหญ่ปรีชาจึงมีทั้งพืชยืนต้นและพืชล้มลุกสลับกัน เพื่อให้มีรายได้หมุนเวียน พืชยืนต้น คือยางพารา ก่อนที่จะได้ผลผลิตจากยาง ผู้ใหญ่ปรีชาก็จะปลูกพืชระยะสั้นต่างๆ เช่น เสาวรส สมุนไพรหลายชนิด เพื่อให้มีรายได้เป็นรายวัน รายเดือน รายสัปดาห์ ก่อนจะมีรายได้จากยางพาราต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปี ผู้ใหญ่ปรีชาจะปลูกมันสำปะหลังและข้าวโพด และพืชผักเมืองหนาวระยะสั้นไปก่อน พร้อมทั้งออกรถไถแทรกเตอร์ราคาหลายแสนบาทเพื่อรับจ้างทั่วไป พอมีรายได้ประจำวัน เพื่อใช้จ่ายในครอบครัวส่งลูกเรียนจนจบปริญญาไปสองคนแล้ว

กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชผักสมุนไพรที่ชาวบ้านชงดื่มเพื่อเป็นยา จะมีแม่ค้าจากข้างล่างมาสั่งให้เกษตรกรปลูก จะให้ราคากิโลกรัมละ 20 บาท (สด) ถ้าแห้ง จะให้ 40 บาท กระเจี๊ยบ 2 กิโลกรัม ตากแห้ง จะเหลือ 1 กิโลกรัม คือน้ำหนักจะหายไปครึ่งหนึ่ง พื้นที่ 1 ไร่ เก็บสดจะได้ประมาณ 700-800 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 20 บาท ก็จะได้ประมาณหมื่นกว่าบาท เท่ากับ 16,000 บาท หักต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าไถ ค่าปุ๋ย ออกไปก็จะเหลือ 12,000 บาท ต่อไร่ ปลูก 3 ไร่ ก็ได้สามหมื่นกว่าบาท โดยไม่จ้างแรงงาน ถ้าหากมีแรงงานเกิดขึ้น เจ้าของจะเหลืออยู่ครึ่งเดียว ถ้าหากแม่ค้ามากดราคาอีก ก็จะเหลือลดน้อยลงมา ดังนั้น ผู้ใหญ่ปรีชาจะทำแต่ในครอบครัว คือช่วยกัน สามี ภรรยา (และลูก ในวันหยุดเรียน)

“ไม่ทำพืชระยะสั้นไม่ได้หรอก เราต้องมีกินมีใช้ประจำวัน” ผู้ใหญ่ปรีชา บอกกับผู้เขียน ผู้ใหญ่ปรีชา บอกว่า ที่ดินที่ทำกินกันอยู่ในเขตตำบลกกสะทอนนี้แทบจะไม่มีโฉนด ส่วนใหญ่เป็นเขตของ ส.ป.ก. 4-01 และที่ดินของกรมป่าไม้

ที่ดินของกรมป่าไม้ ชาวบ้านต้องเสียภาษี ที่เรียกว่า ภ.บ.ท.5 ภาษีบำรุงท้องที่ สำหรับที่ดินของกรมป่าไม้นี้ ถ้าหากเกษตรกรไปแปรรูปเป็นอย่างอื่น เช่น เอาไปให้คนมีเงินมาทำรีสอร์ตจะมีความผิดทันที ทางราชการต้องการให้เกษตรกรมีที่ดินทำกิน หรือเพื่อให้ทำการเกษตรเท่านั้น

ที่ดิน 3 ไร่ ของผู้ใหญ่ปรีชา ปลูกกระเจี๊ยบแดง ก็จะมีรายได้ 10,000-20,000 บาท กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชล้มลุกระยะสั้น จะทำมากไม่ได้ เพราะถ้าทำไปแล้วไม่มีผู้รับซื้อก็จะลำบาก กลุ่มเกษตรกรจะทำเฉพาะเมื่อมีคนมาสั่งให้ทำเท่านั้น ดังนั้น เกษตรกรบนพื้นที่สูงที่ตำบลกกสะทอน จะปลูกพืชผักตามออเดอร์เท่านั้น ไม่มีการปลูกแล้วเอาไปขายเอง เพราะระยะทางจากพื้นที่สูงไปหาตลาดไกลพอสมควร

กระเจี๊ยบแดง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1.2-2 เมตร กิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหยักเว้า 3 หยัก ขอบใบเรียบ ดอกมีสีชมพู ตรงกลางจะมีสีเข้มกว่าส่วนนอกของกลีบ เมื่อกลีบดอกร่วงโรย กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงจะเจริญขึ้น มีสีม่วงแดงเข้ม มีรสเปรี้ยว กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชที่ปลูกเลี้ยงง่าย ชอบอากาศร้อน หรือค่อนข้างร้อน ทนต่อความแห้งแล้ง และไม่ชอบน้ำขัง กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง เมื่อนำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ มีสรรพคุณป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือด

การขยายพันธุ์ และการปลูกกระเจี๊ยบแดง… ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด พันธุ์พื้นเมืองจะมีกลีบขนาดเล็ก ไม่หนา แต่มีสารสำคัญสูง เลือกพื้นที่แจ้ง มีแสงแดดจัดเต็มวัน ไม่มีน้ำขัง ขึ้นได้ในดินทุกชนิด กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชไวแสง จะออกดอกเมื่อวันสั้น จึงควรปลูกในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งจะออกดอกเมื่ออายุประมาณ 120 วัน นำเมล็ดไปแช่น้ำ คัดเมล็ดลอยทิ้ง เก็บไว้เฉพาะเมล็ดจม นำขึ้นผึ่งลมจนแห้ง แล้วนำไปปลูก

วิธีการปลูก…ใช้วิธีหยอดเมล็ด หยอดหลุมละประมาณ 2-3 เมล็ด ระยะปลูกระหว่างต้น 1 เมตร ระหว่างแถว 1 เมตร แล้วกลบดินเล็กน้อย เมื่ออายุได้ 3-4 สัปดาห์ เป็นต้นอ่อน ถอนให้เหลือหลุมละ 1 ต้น การปลูกในภาชนะควรเตรียมดินร่วนซุย หยอดลงในภาชนะปลูก แล้วกลบดินเล็กน้อยตั้งไว้ในที่มีแสงแดดทั้งวัน

การดูแลรักษากระเจี๊ยบแดง …ระยะอายุ 30-60 วัน หลังเมล็ดงอก ควรให้น้ำสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจะทนต่อความแห้งแล้งได้ดี การใส่ปุ๋ย …ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ ช่วงที่เริ่มเจริญเติบโต อายุ 10-15 วัน และอายุ 40-50 วัน ไม่ควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากเกินไป กำจัดวัชพืชรอบๆ โคนต้นอย่างสม่ำเสมอ

การเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบแดง …เก็บเกี่ยวประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม วิธีการเก็บเกี่ยว เก็บส่วนดอกกระเจี๊ยบแดงเฉพาะดอกที่แก่ ใช้กรรไกร หรือมีดตัดใส่ในภาชนะที่สะอาด และมีวัสดุรอง แยกกลีบเลี้ยงและกลีบดอกออกจากเมล็ด นำไปตากแดดจนแห้งสนิท เลือกต้นกระเจี๊ยบแดงที่มีดอกโต เนื้อหนา สีแดงเข้ม เก็บเมล็ดแก่ไว้ทำพันธุ์

การใช้ประโยชน์ในครัวเรือน สโบเบ็ตคาสิโน กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงสด นำมาต้มกับน้ำและน้ำตาล ใช้ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือด นำกลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงตากแห้ง บดเป็นผง นำมาชงในน้ำเดือดครั้งละ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยขับปัสสาวะ ใบของกระเจี๊ยบแดง ใช้แกงส้ม มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ท่านที่เดินทางผ่านเส้นทางอำเภอภูกามยาว ไปออกแถวตำบลห้วยลาน อำเภอดอกคำใต้ จะเห็นร้านขายผลผลิตทางการเกษตรอยู่หน้าสวนแห่งหนึ่ง มีขายหลายอย่างแต่จะสะดุดตามากๆ กับมะม่วงสีม่วงเข้มๆ ขนาดลูกโต สอบถามคนขายแล้วบอกว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ยู่เหวิน หรือแดงจักรพรรดิ

มะม่วงพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวัน เช่นเดียวกับมะม่วงอ้ายเหวิน เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์จินหวงกับเออร์วิน ถูกนำเข้ามาขยายพันธุ์ปลูกในประเทศไทยนานกว่า 4-5 ปีแล้ว มีข้อเด่นคือ ผลใหญ่ รสชาติขณะดิบหรือห่ามมันกรอบหวาน ไม่มีเปรี้ยวปน ผลสุกหวานหอมไม่มีเสี้ยนและไม่เละ เคี้ยวหนึบอร่อยมาก ที่สำคัญสีของผล “มะม่วงยู่เหวิน” หรือแดงจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นผลดิบหรือสุกจะเป็นสีม่วงเข้มสวยงามมาก และจะติดผลดกทำให้เวลาติดผลทั้งต้นดูแปลกตายิ่ง

มะม่วงยู่เหวินหรือแดงจักรพรรดิ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-20 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบจะดูคล้ายใบของมะม่วงพันธุ์เขียวใหญ่ สีเขียวสด ใบดกให้ร่มเงาดีมาก
ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน หรือสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” เป็นรูปกลมรีคล้ายผลของมะม่วงอ้ายเหวิน หรือผลของมะม่วงจีนหวง ผลมีขนาดใหญ่ โตเต็มที่มีนํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง 1-1.5 กิโลกรัม ตอผล
ผลดิบสีม่วง มีนวลทั่วทั้งผล ผลห่ามมีรสชาติหวานมันกรอบอร่อยมาก ผลสุกเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำ เนื้อผลเป็นสีเหลืองเข้ม รสหวานหอม ไม่มีเสี้ยน และไม่เละตามที่กล่าวข้างต้น เคี้ยวหนึบสุดยอดจริงๆ รสชาติใกล้เคียงกับมะม่วงนํ้าดอกไม้มัน เมล็ดลีบ ให้เนื้อเยอะ ติดผลปีละครั้ง แต่จะให้ผลดกทั้งต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและทาบกิ่ง

ส่วนใครที่ต้องการกิ่งพันธุ์ สามารถติดต่อที่สวนได้ เพราะมีการทาบกิ่งออกจำหน่ายด้วย การปลูก “มะม่วงยู่เหวิน” หรือ “แดงจักรพรรดิ” เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย เติบโตได้ในดินทั่วไป ไม่ชอบนํ้าท่วมขัง หลังปลูกช่วงแรกรดนํ้าพอชุ่มทั้งเช้าและเย็น บำรุงปุ๋ยคอก หรือขี้วัวขี้ควายแห้ง กลบฝังดิบรอบโคนต้นเดือนละครั้ง ระยะปลูก 3-4 ปี จะเริ่มติดผลชุดแรก หลังเก็บผลผลิตต้องตัดแต่งกิ่งพร้อมใส่ปุ๋ยบำรุงต้นสูตร 15-15-15 เดือนละครั้งทันที จะมีผลดกทุกปี