ฝนถล่มทั่วไทยถึง 13 พ.ค. นี้! ภาคกลาง-ภาคใต้โดนมากสุด

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมง ข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีฝนฟ้าคะนองมากกว่าบริเวณอื่นๆ สำหรับในช่วง วันที่ 9-13 พฤษภาคม 2561 ประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนฟ้าคะนองมากกว่าบริเวณอื่นๆ สำหรับในช่วง วันที่ 9-13 พฤษภาคม 2561 บริเวณความกดอากาศสูงจะปกคลุมทะเลจีนใต้ และลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ เวลา 06.00 น. ของวันนี้ ถึงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 10 พ.ค.นี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และนครปฐม อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจการทำบั้งไฟเพื่อขอฝนและจุดบูชาพญาแถนในงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร ที่จะจัดในวันที่ 9-13 พ.ค.นี้ โดยได้เดินทางไปยังค่ายบั้งไฟเจนจิรา ตั้งอยู่ที่กลางทุ่งนาหมู่บ้านขุมเงิน ต.ขุมเงิน อ.เมืองยโสธร ซึ่งมี นายพิมาย โชคชนะ อายุ 52 ปี เป็นหัวหน้าค่ายบั้งไฟ เมื่อไปถึงพบทีมงานค่ายบั้งไฟกำลังลงมือกันอยากขะมักเขม้นเร่งมือทำบั้งไฟแสนเพื่อส่งให้ลูกค้าที่สั่งจองไว้จำนวนหลายบั้ง

นายพิมาย กล่าวว่า ตนทำบั้งไฟมากว่า 30 ปี โดยได้รับถ่ายทอดการทำบั้งไฟมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งเดิมจากที่ใช้ไม้ไผ่ทำบั้งไฟต่อมาใช้ท่อเหล็กจนปัจจุบันพัฒนามาเป็นบั้งไฟที่ทำจากท่อพีวีซี มีน้ำหนักเบาและหาได้ง่าย ซึ่งความแตกต่างของการทำบั้งไฟจากอดีตจนถึงปัจจุบันคือเวลา เนื่องจากแต่ก่อนไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยต้องใช้แรงงานคนทุกขั้นตอน โดยบั้งไฟแสน 1 บั้ง ใช้เวลาทำเกือบ 1 เดือน แต่ปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีหลายอย่างมาช่วยในการทำบั้งไฟ เช่น การนำเครื่องอัดไฮโดรลิคมาใช้อัดบั้งไฟ ทำให้สามารถใช้เวลา 1 วัน ในผลิตบั้งไฟแสนได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพเสริมหลักหมดฤดูการทำนา เนื่องจากรายได้จากการทำบั้งไฟแสนตกบั้งละ 10,000-15,000 บาท แล้วแต่จะตกลงว่าจ้าง

นายพิมาย กล่าวต่อว่า บั้งไฟมีโครงสร้างหลักๆ คือเลาบั้งไฟและหางบั้งไฟ โดยเลาบั้งไฟนั้นใช้สำหรับบรรจุดินปืน และหางบั้งไฟนั้นทำหน้าที่บังคับทิศทางการขึ้นของบั้งไฟ ส่วนการทำบั้งไฟตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการหาไม้เสียวมาเผาเป็นถ่าน แล้วนำถ่านมาบดให้ละเอียด จากนั้นนำดิวประสิวที่บดแล้วมาผสมคลุกเคล้ากับผงถ่านในอัตราที่แต่ละค่ายจะกำหนด จากนั้นนำดินปืนไปทดสอบโดยการจุดไฟเพื่อดูความแรงและการประทุของดินปืน ต่อมานำดินปืนบั้งไฟที่ได้มาบรรจุใส่ถุง ถุงละ 1 กิโลกรัม จากนั้นนำดินปืนถุงละ 1 กิโลกรัม

มาเทใส่ในท่อพีวีซีแล้วใช้เครื่องอัดไฮโดรลิค กดดินปืนให้แน่นทำแบบนี้ไปจนกว่าจะเต็มท่อพีวีซี ต่อมานำบั้งไฟมาเจาะรูตรงกลางเพื่อทำเป็นที่จุดฉนวน จากนั้นเตรียมไม้ไผ่ที่จะใช้ทำหางบั้งไฟ แล้วใช้ไฟเผาเพื่อดัดไม้ให้ตรงตามที่ต้องการ พร้อมนำไปมัดติดไว้กับไม้ดามเลาแล้วมาผูกยึดกับตัวบั้งไฟให้แน่นก็เป็นการเสร็จขั้นตอนทำบั้งไฟ ส่วนความแตกต่างของขนาดบั้งไฟจะแบ่งออกได้คือ บั้งไฟหมื่น ใช้ท่อพีวีซี ขนาด 3 นิ้ว ยาว 1.8 เมตร น้ำหนัก 22 กิโลกรัม บั้งไฟแสน ใช้ท่อพีวีซี ขนาด 5-6 นิ้ว ยาว 3 เมตร น้ำหนัก 120 กิโลกรัม และบั้งไฟล้าน ใช้ท่อพีวีซี ขนาด 8 นิ้ว ยาว 4.5 เมตร น้ำหนัก 200 กิโลกรัม

“ถ้าผมยังมีชีวิตผมก็จะทำบั้งไฟไปเรื่อยๆ เพราะมันคือจิตวิญญาณที่อยู่ในสายเลือดผม และเป็นความสุขความภูมิใจที่ได้เป็นช่างทำบั้งไฟเพื่อสืบสานฮีตคองของคนอีสานและผมพร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาทำบั้งไฟให้ลูกหลานสืบทอดต่อไป”นายช่างทำบั้งไฟ กล่าว

กรณีเกษตรกรผู้ปลูกมันเทศญี่ปุ่นเข้าเรียกร้องให้ บริษัท พี.พี.เท็นกรุ๊ป จำกัด อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ชี้แจงและจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรหลังทำสัญญาเพาะปลูก และซื้อขายยอดพันธุ์เพื่อส่งขายคืนให้กับทางบริษัทฯ แต่ไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด โดยบริษัทฯ อ้างว่า “จะรับซื้อผลผลิตทุกยอดถึงที่และจ่ายเงินสด” ทำให้มีเกษตรกรได้รับความเสียหายกว่า 200 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านบาท โดยเป็นเกษตรกรในพื้นที่ 12 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดนครราชสีมา, พิษณุโลก, ชัยภูมิ, ลพบุรี, ขอนแก่น, สระแก้ว, นครสวรรค์, สุพรรณบุรี,เพชรบูรณ์, ปราจีนบุรี, พิจิตร และร้อยเอ็ด ต่อมา วันที่ 4 เมษายน ได้ร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ให้ช่วยเหลือ และวันที่ 5 เมษายน บริษัท พี.พี.เท็นกรุ๊ป จำกัด ได้ชี้แจงและนำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังเก็บยอดมันเทศญี่ปุ่นที่รับซื้อมาจากเกษตรกรในเครือข่าย พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่ได้คิดทำธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่ ทุกอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนแก่เกษตรกรบางราย เนื่องจากผลผลิตที่ได้จากเกษตรกรไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้

ล่าสุด วันที่ 9 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมสุรนารี ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้นำผู้เสียหายเพิ่มเติมจากกรณีนี้กว่า 60 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เสียหายจากพื้นที่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ อ.ครบุรี อ.บัวลาย อ.ชุมพวง อ.พิมาย อ.ปักธงชัย อ.โนนสูง เข้าร้องเรียนแก่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้า เนื่องจากขณะนี้ยังมียอดผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี นางสาวปัณฑารีย์ โชรัมย์ ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับเรื่องร้องทุกข์และให้คำปรึกษา พร้อมช่วยในการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปักธงชัย เพื่อให้รับเรื่องร้องเรียน

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย กล่าวว่าเรื่องของการปลูกมันญี่ปุ่นในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาได้รับการร้องเรียนเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นกระบวนการหลอกลวงโดยรับซื้อต้นกล้าจากชาวบ้าน แล้วให้ชาวบ้านนำต้นกล้าไปขายต่อให้กับชาวบ้านกลุ่มอื่นๆ ใช้วิธีการให้ชาวบ้านแต่ละคนเป็นตัวแทน หาสมาชิกและให้ผลตอบแทน ซึ่งตัวแทนบางคนอาจถูกอุปโลกน์ขึ้นมา ได้ผลตอบแทนเป็นรถที่ทางบริษัทฯ ดาวน์ให้ แต่ต้องชวนคนมาตามที่กำหนด บางคนเป็นตัวแทนชุมชน เป็นผู้ใหญ่บ้าน อาจจะมีลูกข่ายอยู่แล้ว

สุดท้ายถูกหลอกทั้งหมด จึงทำให้ผู้เสียหายเดินทางมาร้องเรียนที่จังหวัดนครราชสีมา เพราะบริษัทฯ อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นของประชาชน โดยผู้ว่าฯ มีอำนาจตาม มาตรา 7 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนสามารถที่จะเรียกบริษัทดังกล่าว หรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาชี้แจง ตรวจสอบการจ่ายภาษี ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย ซึ่งผู้ว่าฯ มอบหมายให้ศูนย์ดำรงธรรมรับเรื่องร้องเรียนกับผู้เสียหาย และทาง สภ.ปักธงชัย ก็ได้รับเรื่องไว้แล้ว เพื่อให้มีการสอบปากคำผู้เสียหายให้แล้วเสร็จอย่างเร็วที่สุด

เข้าสู่ช่วงก่อนฤดูฝนแบบนี้ คอผลไม้ต่างตั้งหน้าตั้งตารอฤดูกาลของราชาผลไม้ อย่าง “ทุเรียน” งานนี้ใครกลัวก็กลัวจริงจัง แต่ใครชอบบอกเลยเห็นเป็นต้องกรี๊ดดดดด ทั้งกลิ่นหอมเนื้อแน่นรสชาติหวานมัน ใครจะอดใจไหว วันนี้แอดฯ เลย ถือโอกาสพาทุกท่านมาสวรรค์ของคอรักทุเรียนโดยเฉพาะ กับ สวนละอองฟ้า สวนทุเรียนที่ฟินได้มากกว่าทุเรียน

ด้วยสวนขนาดกว่า 30 ไร่ ที่นอกจากเต็มไปด้วยพันธุ์ทุเรียนกว่า 50 ชนิดแล้ว ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติและระบบนิเวศที่ดี โดย คุณชาตรี โสวรรณตระกูล เป็นผู้ดูแลและเพาะพันธุ์ทุเรียนผลงามจนขึ้นชื่อบอกต่อกันปากต่อปาก ซึ่งความเป็นมาของทุเรียนที่นี่แต่ละสายพันธุ๋ ก็มาจากการลงแรงและความคิดสร้างสรรค์รวมถึงธรรมชาติสรรค์สร้างให้เองด้วย

นอกจากทุเรียนหมอนทอง พันธุ์อันเลื่องชื่อแห่งความอร่อยของที่นี่แล้ว ที่นี่ยังมีทุเรียนสายพันธุ์ชนิดอื่นๆ ให้ได้ลิ้มลอง รสชาติเด็ดไม่แพ้กัน ทั้งทุเรียนนมสด หากได้กินสดๆ หล่นจากต้นใหม่ๆ เนื้อเละข้น กลิ่นหอมคล้ายนมสดๆ จะอวลอยู่ในลิ้นในคอ อร่อยหอมมันเป็นอย่างมาก

และพันธุ์นี้ที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือ ทุเรียนพันธุ์ละอองฟ้า อันเป็นทุเรียนที่ยืนยันความสำเร็จของการปลูกด้วยเมล็ดข้ามสายพันธุ์ได้จริง อย่างพันธุ์หมอนทอง และ พันธุ์ก้านยาว จึงมีความแต่กต่าง โดดเด่น ไม่เหมือนสายพันธุ์อื่นๆ และด้วยความหอมอร่อยอย่างเข้ากันระหว่างหมอนทอง และก้านยาว ทำให้ทุเรียนละอองฟ้าเป็นจุดเด่นของไร่นี้ และเป็นสิ่งยืนยันความสำเร็จของคุณชาตรีผู้เพาะพันธุ์นั่นเอง

ทางคุณชาตรีเองก็กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นชาวสวนที่เก่งหรือพิเศษมาจากไหน ตนแค่คอยสังเกตการณ์ และปลูกไปตามธรรมชาติ และธรรมชาตินี่แหละที่มักมีความมหัศจรรย์ ช่วยทำให้ผลไม้ของที่นี่ สด หวาน มัน ตามที่คนชิมเขาบอกๆ กันมา

เร็วๆ นี้ เตรียมพบกับงานเกษตรมหัศจรรย์2561 : เกษตรสร้างสุข ยุคดิจิตอล ที่ได้รวบรวมที่สุดของ “ราชาผลไม้” อย่าง “ทุเรียน” มาจากทั่วทุกภาคในเมืองไทย ให้ได้ชมกันกว่า 100 สายพันธุ์ อาทิเช่น #มูซังคิง, #ก้านยาวปราจีนบุรี, #เม็ดในยายปราง, #หลินหลงลับแล, #ห้าลูกไม่ถึงผัว, #จระเข้สุโขทัย เป็นต้น ในงานเกษตรครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี เกษตรมหัศจรรย์ 2561 : เกษตรสร้างสุข ยุคดิจิตอล วันที่ 24-27 พ.ค. 2561 ณ สกายฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว #เกษตรมหัศจรรย์2561 #เกษตรสร้างสุขยุคดิจิตอล #SmartFarmer

วันที่ 9 พฤษภาคม บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดงานพิธีไหว้หัวหมูเสริมสิริมงคลผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด โดยมี นายจรัสชัย โชคเรืองสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธาน และมี นายชูศักดิ์ รัตนวนิชย์โรจน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การต้อนรับ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา มาร่วมพิธีกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ ในพิธีได้มีการนำหัวหมู จำนวน 402 หัว มาวางในถาดเรียงไว้หน้าปรำพิธี และได้มีการเชิญซินแสประกอบพิธีไหว้เทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามประเพณีของจีน รวมทั้งมีการเชิดสิงโต เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะมีการชำแหละหัวหมู แจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาร่วมพิธีอย่างทั่วถึง

นายชูศักดิ์ รัตนวนิชย์โรจน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การจัดพิธีไหว้หัวหมูเสริมสิริมงคลในครั้งนี้ ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ได้จัดขึ้นพร้อมกัน 6 จุด 6 ภาค ประกอบไปด้วย 1.จังหวัดลำพูน จำนวน 499 หัว, 2.จังหวัดชลบุรี จำนวน 1,198 หัว, 3.จังหวัดราชบุรี จำนวน 1,189 หัว, 4.จังหวัดสงขลา จำนวน 559 หัว, 5.จังหวัดสระบุรี จำนวน 400 หัว และ 6.จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 402 หัว รวมหัวหมูทั้งหมด จำนวน 4,247 หัว โดยครั้งนี้เป็นการไหว้หัวหมูมากที่สุด ทำลายสถิติโลก

ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลเห็นภาพใหญ่ของการเลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักและห่วงโซ่การเกษตรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโตสูง นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงพลังคัดค้านการกดดันจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้ไทยรับสินค้าเนื้อหมูจากเกษตรกรของสหรัฐอเมริกา เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรของสหรัฐอเมริกาเอง ทั้งที่ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตเนื้อสุกรป้อนสู่ตลาดผู้บริโภคได้กว่า 40,000 ตัน ต่อวัน ซึ่งเกินกว่าความต้องการของตลาดอยู่แล้ว ดังนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรของไทยจึงต้องออกมาแสดงพลังเพื่อให้รัฐบาลไทยปกป้องผู้เลี้ยงสุกรไทย เพื่อไม่ให้เนื้อหมูราคาตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทยในอนาคต

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 พ.ค. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ตม.จว.จันทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ตม.จว.จันทบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อส.จว.จันทบุรี จัดหางานจังหวัด เจ้าหน้าที่ศูนย์ไร้ที่พึ่งและคนยากไร้จังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจันทบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เข้าสุ่มตรวจสอบแรงงานต่างด้าวภายในสถานประกอบการรับซื้อผลไม้เพื่อการส่งออก ต.แสลง อ.เมือง จว.จันทบุรี เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดแรงงานต่างด้าว ตรวจสอบเอกสารข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นไปตามเงื่อนไข ตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง หรือไม่

จากการตรวจสอบแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชากว่า 30 ราย และแรงงานคนไทยกว่า 10 ราย ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เรื่องการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่กำลังดำเนินการพิสูจน์สัญชาติยังไม่แล้วเสร็จให้ขยายระยะเวลาดำเนินการออกไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ตามนโยบายด้านความมั่นคง

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและคนต่างด้าวผิดกฎหมาย ทั้งนี้ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย ผบก.ตม.3 ได้สั่งกำชับให้ ตม.จว.จันทบุรี กวดขันและตรวจสอบบุคคลต่างด้าวในพื้นที่

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อว่า เพื่อป้องปรามการกระทำผิด อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี ได้เน้นย้ำนโยบายในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ กวาดล้างคนต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เพื่อการดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขของคนในชุมชน ต่อไป

สหพันธ์การขนส่งทางบกลงมติให้รถบรรทุกขนส่งสินค้า ทั่วประเทศ 4 แสนคัน ขึ้นค่าขนส่ง 5% เริ่มแล้วตั้งแต่ 1 พ.ค. อ้างน้ำมันดีเซลขึ้น ปรับค่าแรงขั้นต่ำ จราจรติดขัดท่าเรือคลองเตย แหลมฉบัง ลาดกระบัง หวั่นกระทบราคาสินค้าแน่

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มีมติให้สมาชิกซึ่งเป็นผู้ประกอบการ รถบรรทุกราว 5-6 หมื่นราย ซึ่งมีรถบรรทุกให้บริการขนส่ง รวม 4 แสนคัน ปรับขึ้นค่าขนส่งสินค้าทุกประเภททั่วประเทศ ในอัตราไม่เกิน 5% จากอัตราค่าขนส่งเดิม

เนื่องจากผู้ประกอบการขนส่งมีภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นคือ 1. ราคาน้ำมันดีเซลต้นทุนขนส่งสำคัญ มีการปรับราคาเพิ่ม ส่งผลให้ฐานของต้นทุนค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 3 บาท คือปรับจากลิตรละ 25 บาท เป็นลิตรละ 28 บาท 2. ค่าแรงงานภาคขนส่งเพิ่มขึ้น ค่าแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 330 บาท 3. ภาระต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น จากปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนักภายในท่าเรือกรุงเทพฯ (ท่าเรือคลองเตย) ท่าเรือแหลมฉบัง และสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ทำให้ต้องจอดรอนานกว่า 6-10 ชั่วโมง/เที่ยว ทำรอบขนส่งได้เพียง 1 เที่ยว/วันเท่านั้น รวมทั้งบริเวณชายแดนด่านอรัญประเทศ ด่านสะเดา และด่านแม่สอด ปัจจุบันก็เริ่มเกิดปัญหาการจราจรติดขัดเช่นกัน

“ขณะนี้ผู้ประกอบการรถบรรทุกทั่วประเทศ 4 แสนคัน ได้ปรับขึ้นค่าขนส่งแล้ว 5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งการปรับค่าขนส่งครั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถปรับขึ้นได้ตามภาระต้นทุนที่แท้จริง โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม เพราะการประกอบการขนส่งรถบรรทุกเป็นลักษณะของการขอใบอนุญาตประกอบการหรือไลเซนส์ ไม่ใช่การขอรับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคม จึงไม่ได้อยู่ในข่ายต้องขออนุมัติในการจะปรับเปลี่ยนอัตราค่าโดยสาร”
นายทองอยู่ กล่าวยอมรับว่า การปรับขึ้นค่าขนส่งครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับเพิ่มขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมีภาระต้นทุนในการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้น จากการขึ้น ค่า ขนส่ง ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับราคาค่าขนส่ง เพราะไม่มีการปรับราคามา 2-3 ปี และไม่สามารถแบกภาระต้นทุนต่อไปได้แล้ว