พัฒนาการของผลเงาะตั้งแต่ดอกบาน ติดผล จนเก็บผลได้ ใช้เวลา

ช่วงระยะเวลา 3 เดือน ของการพัฒนาผล การดูแล นอกจากเรื่องน้ำแล้ว ก็จะให้ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 ครึ่งเดือนต่อครั้ง และสุดท้ายเป็นปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 ผสมปุ๋ยยูเรีย เพื่อให้เงาะมีผลใหญ่

“โดยทั่วไป ปุ๋ยสูตร 8-24-24 จะใส่กันช่วงก่อนออกดอก แต่ผมปรับมาใช้ช่วงนี้ เพราะใส่ไปแล้วเห็นว่าเงาะให้ผลที่ใหญ่มาก” ส่วนฮอร์โมนทุกชนิดไม่ได้ใช้เลยแม้แต่น้อย

ทำเงาะช่อสั้นมากกว่าเงาะช่อยาว

คุณบรรจง กล่าวว่า ตนเองมีความตั้งใจที่จะทำเงาะช่อสั้นมากกว่าเงาะช่อยาว พยายามทำให้ดอกเงาะมีความสมบูรณ์ มีดอกใหญ่ ขาวใสเปล่งปลั่ง จะติดผลดี ผลสมบูรณ์ ผลใหญ่ เงาะช่อสั้นแต่ก็ไม่สั้นจนเกินไป ซึ่งแม้จะได้จำนวนผลต่อช่อน้อยกว่าเงาะช่อยาว แต่เงาะช่อสั้นติดผลเร็ว ติดผลง่าย ต้องการให้ติดผลที่โคนช่อดอกมากกว่าปลายช่อดอก ถ้าติดผลแล้ว ฟันธงว่าติดแน่นอน ก็รอดูการพัฒนาของผลจะเร็วมาก แม้ผลเงาะที่มีอายุ เดือนที่ 1, 2 จะมีร่วงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะแต่ละช่อติดผลเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดแล้ว ต้องการให้เงาะติดผลเพียงช่อละ 7-8 ผล ก็เพียงพอแล้ว

“ผมใช้การบริหารจัดการน้ำเป็นหลักครับ แต่ต้องขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ ธรรมชาติของเงาะ ประสบการณ์ของเกษตรกรแต่ละคนนะครับ ว่าตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งเงาะ จนเงาะแตกใบอ่อน 2-3 ชุดใบ ช่วงเงาะออกดอก ติดผล พัฒนาการของผล จนถึงเก็บผล การให้น้ำเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ว่าจะให้น้ำแต่ละช่วงกี่มากน้อย ให้น้ำกันเป็นนาทีหรือชั่วโมงเลยทีเดียว ตามที่ต้นเงาะจำเป็นต้องนำน้ำไปใช้ ในการบำรุงต้น ใบ ดอก ต้องคอยสังเกตอาการการตอบสนองของต้นเงาะด้วย แต่บางปีก็มีตัวแปรในเรื่องของลมฟ้าอากาศ เพราะพื้นที่แห่งนี้ผลิตเงาะได้ยากกว่าแถบตะวันออก สภาพอากาศร้อนและแล้งที่ยาวนานกว่า”

อย่างที่ คุณบรรจง กล่าวครับ เท่าที่สนทนากัน บ่งบอกถึงว่า เกษตรกรอย่างคุณบรรจงได้มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างดีมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ วางท่อใต้ดิน มีหัวสปริงเกลอร์เป็นจุดๆ อย่างเป็นระเบียบงามตา แผนผังของแปลงปลูกดูสะอาด แม้แต่การปลูกต้นเงาะตัวผู้สลับกับต้นเงาะสมบูรณ์เพศก็เป็นสัดส่วน อัตรา 1:10

เก็บผลเงาะ ต้องดูตลาดควบคู่กันไป

ผลเงาะที่สุกพร้อมเก็บได้ คุณบรรจง กล่าวว่า จากประสบการณ์จะใช้การสังเกตสีของผลและสีของขนเงาะ ผิวเปลือกเงาะจะออกสีแดงๆ ขณะที่โคนขนเงาะสีแดง ปลายขนสีเขียว จะได้เนื้อที่กรอบอร่อย หรือเรียกว่าเงาะ 3 สี เงาะที่นี่ผลกลม ผลคล้ายๆ กับเงาะนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี

จะเก็บเงาะช่วงเวลาใด ดูตลาดเงาะว่าจังหวัดใดจะมีเงาะออกมาสู่ตลาด จะติดตามตลาดจันทบุรีเป็นหลัก จะไม่ให้ผลผลิตออกพร้อมกับเงาะจันท์ ทุกๆ ปี ก็จะเก็บผลหลังจากเงาะจันท์หมดแล้วเป็นเวลาครึ่งเดือน จะทำให้ขายเงาะได้ราคาที่ดีขึ้น

คุณบรรจง กล่าวอีกว่า อย่างที่บอกตอนต้นว่า ปีนี้ทำเงาะยาก เพราะทุกปีเงาะติดผลดกมาตลอด ปีก่อนๆ เก็บผลได้ถึง 60 ตัน มาตลอด ได้ราคาดี อย่างน้อยก็เงินล้าน แต่ปีนี้คาดว่าผลผลิตเงาะจะลดลงมาก แต่ราคาปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน ซึ่งราคาอยู่ที่ 25-30 บาท ต่อกิโลกรัม ผลผลิตที่นี่เก็บขายในท้องถิ่น และจะมีผู้ซื้อจากภายนอก เช่น จังหวัดพิษณุโลก แพร่ ติดต่อซื้อตั้งแต่ต้นฤดู ตนเองมีหน้าที่หาคนมาเก็บบรรจุลงลัง ผู้ซื้อจะมาชั่ง แล้วบรรทุกออกไปเอง

“การผลิตเงาะมีขั้นตอนย่อยๆ มากกว่าไม้ผลชนิดอื่น ที่นี่ ตลาดต้องการเงาะที่ลอนผลแล้วมากกว่าเงาะที่จัดเป็นช่อๆ จึงต้องใช้เวลาในการจัดการ”

ต้นทุนการผลิตเงาะ รายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย
ทดแทนความเหนื่อยยาก

คุณบรรจง บอกว่า สวนเงาะของตนใช้เงินลงทุนสูงมาก ค่าใช้จ่ายหมดไปกับค่าปุ๋ยเคมีเสียเป็นส่วนใหญ่ ค่าแรงงานทั้งการจ้างและค่าแรงตนเอง ค่าบริหารจัดการน้ำ และค่าไฟฟ้า ค่าสารชีวภัณฑ์และสารเคมีเท่าที่จำเป็น รวมๆ กันแล้วหลายแสนบาท แต่เมื่อคำนวณรายได้ หักค่าใช้จ่าย ก็ยังพอมีเหลือ ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรง

“ผมต้องเดินดูภายในสวนเกือบทุกวัน คอยสังเกตพัฒนาการของเงาะตั้งแต่ปลายยอด ช่วงเริ่มผลิดอกเป็นกระเปาะไข่ปลาให้เห็น จนพัฒนาเป็นดอก ดอกบาน ติดผล จนเก็บผล ต้องใช้ความเพียร ความอดทนครับ แม้จะเหนื่อย เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แต่ก็ต้องทำครับ เพราะผมมีอาชีพเป็นเกษตรกร” คุณบรรจง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

อ่านแล้วคงนึกภาพออกนะครับว่า ขั้นตอนการผลิตเงาะแต่ละฤดูกาลของเกษตรกรรายนี้ หรือรายอื่นๆ ต้องใช้ความขยัน อดทน ใช้สติปัญญาในการวางแผนการผลิตเพื่อให้ได้เงาะที่ดี ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในหนึ่งฤดูกาลที่ผลิตเงาะ ไม่ง่ายนะครับ ถ้าพวกเราผู้บริโภคต้องซื้อผลิตผลทางการเกษตร ถ้าไม่ต้องไปต่อรองราคาก็จะเกิดประโยชน์กับเกษตรกรผู้ผลิตเป็นอย่างมากนะครับ

สนใจแวะชม ชิม ช็อปเงาะ ที่สวนของ คุณบรรจง สำราญรื่น บ้านปากจอก เดินทางไปไม่ยากครับ จากอำเภอเด่นชัยจะไปจังหวัดลำปาง ขับรถข้ามสะพานแม่น้ำยม เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตร คุณบรรจง ยินดีต้อนรับ

มะม่วงลูกพลับทอง ชื่อฟังเป็นชื่อไทย ซึ่งก็น่าจะเป็นมะม่วงของไทย แต่มะม่วงลูกพลับทองไม่ใช่มะม่วงดั้งเดิมหรือมะม่วงโบราณ หรือเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่ของไทย มะม่วงลูกพลับทองเป็นมะม่วงสายพันธุ์ใหม่อีกสายพันธุ์หนึ่งของไต้หวันที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย

ปัจจุบัน มีมะม่วงจากไต้หวันอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 20 สายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมักเป็นสายพันธุ์ที่มีผลผิวสวยงามสะดุดตา (สีแดง) ผลมีขนาดใหญ่ และมีรสชาติดี แต่บางสายพันธุ์กลับไม่ได้รับความนิยม เพราะมีคุณสมบัติไม่ดีพอ ไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด เช่น ผิวสีไม่สวย รสชาติไม่ดี มีเสี้ยนมาก เปลือกบาง ผลมีขนาดเล็ก มีกลิ่นขี้ไต้ เก็บไม่ได้นาน เน่าเสียง่าย และไม่เหมาะที่จะปลูกเพื่อการค้า เป็นต้น

ดังนั้น สายพันธุ์เหล่านี้จึงไม่ค่อยมีการทำกิ่งออกมาจำหน่าย แต่สำหรับมะม่วงลูกพลับทองแม้ว่าขาดคุณสมบัติที่ดีของมะม่วงไปบางอย่าง แต่ก็มีคุณสมบัติอีกอย่างที่โดดเด่นคือ มีรูปทรงผลที่แตกต่างจากผลมะม่วงอื่นๆ จึงเป็นการขายความแปลกใหม่ให้กับผู้ชอบสะสมพันธุ์มะม่วงและนักสะสมพรรณไม้แปลกใหม่เสียมากกว่าที่จะหวังผลกับการปลูกเพื่อการค้า

ชื่อของมะม่วงลูกพลับทองนั้น ที่ต้องตั้งชื่อเป็นภาษาไทยก็เพื่อให้ง่ายต่อการเรียก โดยยังคงความหมายเดิมไว้ไม่ได้ผิดไปจากชื่อเดิม มะม่วงลูกพลับทอง (Gold persimmon mango) แปลตรงมาจาก คำว่า “หวางจินซื่อจื่อ” (黃金柿子芒果 Huángjīnshìzi) ซึ่งออกเสียงเรียกยาก บางคนจึงอ่านเป็น “หวงจินซื่อจื่อ” คำว่า หวาง หมายถึง สีเหลือง ชื่อ “หวางจินซื่อจื่อ” ถ้าคงความหมายเดิมให้เต็ม น่าจะเป็น “มะม่วงลูกพลับสีเหลืองทอง” หรือ “มะม่วงลูกพลับสีเหลืองดั่งทอง” ทำนองนั้น

ถ้าให้คนไทยตั้งชื่อก็จะเปรียบมะม่วงนี้เหมือนกับลูกจันทน์ อาจตั้งชื่อเป็น มะม่วงลูกจันทน์ ก็ได้ แต่ที่ไต้หวันไม่มีลูกจันทน์ให้เปรียบเทียบ ที่นั่นมีแต่ลูกพลับ ลูกท้อ จึงตั้งชื่อให้สอดคล้องรูปพรรณสัณฐานของมัน เหมือนกับลูกพลับมากกว่าเป็น มะม่วงลูกพลับทอง

ส่วน คำว่า “ซื่อจื่อ” หมายถึง ลูกพลับ คนไทยชอบเรียกให้ง่ายปาก เมื่อเรียกสั้นๆ อาจจะเป็น “มะม่วงลูกพลับ” เหมือนกับ “มะม่วงมะพร้าว” มีชื่อเต็มของมันว่า “มะม่วงมะพร้าวปากีสถาน” (Pakistan coconut mango) คนเรียกกันแต่ “มะม่วงมะพร้าว” จนเป็นที่เข้าใจกัน เพราะมีผลใหญ่ป้อมยาว ขนาดเท่าๆ กับมะพร้าวน้ำหอม รับประทานดิบเนื้อกรอบ รสชาติมันหวาน มะม่วงมะพร้าวกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของชาวสวนมะม่วงบางกลุ่ม เนื่องจากมีผลใหญ่ รสชาติดี

มะม่วงลูกพลับทอง มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ของไต้หวันนี้ ไม่ทราบแหล่งที่มาของสายพันธุ์ว่าได้มีการพัฒนาหรือการปรับปรุงพันธุ์มาจากมะม่วงพันธุ์ใดบ้าง หรือเป็นพันธุ์มะม่วงที่นำเข้ามาจากประเทศอื่น แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ เหมือนกับผลไม้บางชนิด มะม่วงลูกพลับทองนี้ชาวไต้หวันนิยมซื้อผลไปเป็นของฝากหรือใช้รับรองแขกที่มาเยือนที่บ้าน หรือแนะนำให้เพื่อนรู้จักในทางอินเตอร์เน็ต

ผลของมะม่วงลูกพลับทอง มันไม่ได้แบนเป็นจานแบนๆ เหมือนลูกพลับ ดังกับชื่อ มะม่วงลูกพลับทอง จัดเป็นมะม่วงที่มีผลขนาดเล็ก ผลป้อมกลม ที่ส่วนหัวใหญ่ ส่วนก้นปลายงอนเล็กน้อย ส่วนปลายสุดไม่แหลม มีผลขนาดพอเหมาะกับการรับประทานคนเดียวได้หมดผล ดูเผินๆ มีส่วนคล้ายกับมะม่วงแอปเปิ้ลหรือมะม่วงอาร์ทูอีทูหรือมะม่วงตลับนาค จะต่างกันที่ขนาด เพราะขนาดของมะม่วงลูกพลับทองเล็กกว่ามะม่วงดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีมะม่วงผลป้อมกลมในลักษณะเดียวกันมีอีกหลายพันธุ์ เช่น มะม่วงแอปเปิ้ลของอินโดนีเซีย (Apel mangga) ผลป้อมกลมแต่ใหญ่กว่า หรือ มะม่วงไข่ของเขมร (ซวายปวงเมือน) ที่มีผลเล็กกลมป้อมเนื้อเหลืองและรสชาติมัน มะม่วงส่วนใหญ่มีทรงผลส่วนมาก หรือมีรูปทรงผลแบนยาวหรือผลป้อม

ผลของมะม่วงลูกพลับทองเมื่อมองจากด้านบนลงมาผลป้อมค่อนข้างกลม เมื่อมองด้านข้างทั่วไปผลป้อมค่อนข้างกลมคล้ายลูกท้อและลูกเซียนท้อมากกว่าจะเหมือนลูกพลับหรือลูกจันทน์ ลำต้นมะม่วงลูกพลับทอง มีลำต้นตรง ทรงพุ่มต้นค่อนข้างโปร่ง กิ่งก้านแตกแผ่ไม่ทอดเลื้อย เปลือกลำต้นตอนอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเทา กิ่งก้านยอดที่ยังอ่อนอยู่เป็นสีชมพูเรื่อๆ เมื่อโน้มงอกิ่ง กิ่งไม่เปราะหักง่าย กิ่งที่ไม่แก่สามารถดัดงอโค้งได้มาก

ใบมะม่วงลูกพลับทองเป็นใบเดี่ยวเรียงตัวสลับกัน ที่บริเวณปลายกิ่งมักจะมีใบเกิดถี่ โดยทั่วไปใบมีขนาดเล็ก ใบเล็ก ไม่มีหูใบ ใบอ่อนมีสีม่วงอ่อนๆ อมชมพู เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ใบเรียวยาวผิวใบเป็นมัน ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่นบ้าง ใบห่อขึ้นเล็กน้อย เมื่อแก่ใบจะห่อมากขึ้นและระหว่างเส้นใบย่อยเป็นร่องใบลึก เส้นกลางใบเด่นชัดและมีเส้นใบย่อยไม่เกิน 30 คู่ ใบเล็กจะมีจำนวนเส้นใบน้อยกว่า 10 คู่ ขึ้นไป ใบอยู่ที่ด้านบนและส่วนยอดจะมีขนาดเล็กกว่ามาก ใบยาวเฉลี่ย 16 เซนติเมตร กว้าง 3 เซนติเมตร ส่วนใบที่เจริญสมบูรณ์ดีอยู่ด้านล่างมักมีขนาดใหญ่กว่า แต่ปรากฏเป็นส่วนน้อย โดยมีความยาวประมาณ 24-26 เซนติเมตร และกว้าง 5-6 เซนติเมตร เมื่อขยี้ใบแก่จะไม่มีกลิ่นเปรี้ยว ส่วนใบอ่อนขยี้แล้วมีกลิ่นหอมคล้ายมะม่วงมัน ใบมะม่วงลูกพลับทองจึงมีส่วนคล้ายกับใบมะม่วงตลับนาค

ดอกและช่อดอก ออกดอกที่ปลายกิ่งหรือตาตามกิ่งช่อ แต่ละช่อจะมีดอกจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาว ก้านช่อดอกมีสีแดง ก้านดอกสั้นมาก ดอกมีกลิ่นหอม ขั้วผลที่ช่อสั้น ติดผลดกมาก ช่อหนึ่งติดเป็นพวงหลายผล เมื่อยังผลเล็กก็เริ่มปรากฏเป็นผลกลม

ผลมะม่วงลูกพลับทอง ผลมีผิวเรียบ น้ำหนักของผล 400-500 กรัม ความยาวของผล ประมาณ 9 เซนติเมตร (วัดตามแนวดิ่ง) ความกว้างประมาณ 8-9 เซนติเมตร (วัดตามแนวราบ) ที่ส่วนหัว (มองจากด้านบนลงมาผลค่อนข้างเป็นวงรี) วัดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 8 เซนติเมตร ผลที่ยังไม่แก่หรือผลดิบ ก้านช่อดอกเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนๆ ยางจากขั้วผลไม่มีกลิ่นเปรี้ยว ผลดิบมีรสเปรี้ยวแต่ก็เปรี้ยวไม่มากติดรสมันบ้างเล็กน้อย เนื้อแน่นกรอบ

ผลจะแก่ภายใน 5-6 เดือน หลังจากดอกบานหรือประมาณต้นเดือนมิถุนายนผลจะแก่เต็มที่ เมื่อผลสุกมีผิวผลสีเหลืองเหมือนกับขมิ้นหรือไพล ผลมีผิวสีสวยงามยิ่งประกอบกับผลมีขนาดเล็ก เมื่อวางในอุ้งมือมองดูงดงามน่ารัก การใช้ถุงห่อมีผลต่อสีผิว ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ใช้ถุงห่อผิวผลจะมีสีเขียว เมื่อแก่จึงปรากฏสีเหลืองที่แก้มและส่วนหัว เมื่อบ่มสุกมีสีเหลืองไม่เข้มมาก แต่เมื่อใช้ถุงคาร์บอนห่อจะให้ผิวสีเหลืองอร่าม ใช้เวลาบ่มสุก 4-5 วัน บ่มธรรมชาติห่อด้วยกระดาษ บ่มสุกแล้วมีสีเหลืองทองสวยงามอร่ามตาไม่ค่อยเห็นจุดดำเล็กๆ หรือต่อมน้ำมัน (oil gland) เด่นชัด หากใช้ถุงขาวห่อจะให้ผิวสีเขียวเข้ม ตอนแก่แก้มและหัวมีสีเหลืองเรื่อๆ บ่มสุกแล้วมีสีเหลืองอมเขียว สีผิวไม่เสมอกันทั่วทั้งผล เห็นจุดดำเล็กๆ หรือต่อมน้ำมันกระจายเห็นชัดโดยเฉพาะด้านที่โดนแดดส่อง

หลังจากปล่อยให้สุกต่ออีกหลายวันไว้ในตู้เย็น 1 สัปดาห์ เมื่อนำออกมาสีผิวจะเหลืองเข้มยิ่งขึ้นหรือมีสีเหลืองส้มสวยงามมาก คล้ายกับผิวเหลืองของมะพูดสุก โดยผลไม่เกิดแผลเน่าเป็นจุดดำของโรคแอนแทรคโนส ต้านทานต่อโรคแอนแทรคโนส ดังนั้น ความสวยงามของผิวผลขึ้นอยู่กับชนิดของถุงที่ใช้ห่อด้วย

ผลมีผิวบาง เนื้อสีเหลืองเข้มจัด หรือเหลืองขมิ้นสีเนื้อจะเหลืองเข้มกว่าสีผิว กลิ่นหอมพอประมาณ มีกลิ่นหอมคล้ายมะม่วงไทยที่มีรสหวานหรือมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำหวานอ้อย แต่ทางไต้หวันบอกว่ามันมีกลิ่นคล้ายกับกลิ่นของลำไยหรือน้ำผึ้งจากดอกลำไย ซึ่งไม่ติดกลิ่นขี้ไต้เหมือนกับมะม่วงไต้หวันบางสายพันธุ์ เนื้อละเอียดเนียนฉ่ำน้ำ บีบอาจจะเละได้ง่าย มีเสี้ยนบ้างเล็กน้อย รสชาติอร่อย จัดเป็นมะม่วงที่มีความหวานมากพันธุ์หนึ่ง วัดระดับความหวานได้ระหว่าง 18-20 องศาบริกซ์ (น้ำมะม่วง ทิ้งไว้ข้ามคืน วัดได้ 20 องศาบริกซ์)

เมล็ดเล็กแบนป้อมโค้งไปตามรูปทรงของผลเล็กน้อย เปลือกชั้นนอกหุ้มเมล็ดแข็งค่อนข้างหนา เปลือกเมล็ดชั้นในเป็นเยื่อหุ้มเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม น้ำหนักของเมล็ดระหว่าง 20-30 กรัม

ในการโฆษณาขายระบุว่า เป็นมะม่วงที่มีความต้านทานโรคสูง อัตราการเจริญเติบโตดี ลำต้นเจริญเติบโตเร็วและลำต้นจะแข็งแรงขึ้นตามอายุ

การมองเห็นมะม่วงเป็นผลแบนเหมือนลูกพลับหรือแบนแบบลูกจันทน์ หรือแบนเป็นมะเขือจาน ดังภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์ของไต้หวันนั้น จะเป็นมะม่วงที่มีผลค่อนข้างแบน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมกล้อง ถ้าถ่ายภาพจากด้านบนลงมา จะมองเห็นมะม่วงมีผลแบนจริง เมื่อถ่ายด้านข้างจะไม่แบนเป็นแบบนั้น ดังนั้น ภาพที่ปรากฏทางเว็บไซต์จึงเป็นเทคนิคในการถ่ายภาพ เพื่อใช้ในการโฆษณาที่หวังผลทางการค้า

แต่ภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฎอยู่นี้เป็นมะม่วงลูกพลับทองที่ให้ผลแล้วในประเทศไทย จึงถ่ายภาพได้หลายมุม บางมุมจึงมองเห็นเป็นผลแบนจริง เมื่อถ่ายด้านข้างก็ไม่ได้แบนมาก แต่มะม่วงลูกพลับทองก็เป็นมะม่วงที่ผลและสีแปลกแตกต่างจากมะม่วงที่มีผลกลมป้อมทั่วไป

อนึ่ง ต้องสร้างความเข้าใจกับผู้อ่านหรือชาวสวนมะม่วงเสียก่อนว่า การตั้งชื่อ มะม่วงลูกพลับทอง ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นมะม่วงที่มีผลแบนเหมือนลูกพลับ แต่ตั้งชื่อแปลตามความหมายเดิม สรุปก็คือ ทั้งรูปทรงของผลและรสชาติไม่สร้างความผิดหวังอย่างแน่นอน อีกไม่นานคงมีกิ่งพันธุ์ออกมาจำหน่าย ราคาน่าจะแพงอยู่เพราะเป็นของใหม่ มะม่วงลูกพลับทอง จะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับชาวสวนมะม่วงได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคเป็นผู้กำหนด

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสำหรับการประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม มีการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ จะอย่างไรก็ตาม การเกษตรของเรามักเผชิญปัญหาภาวะฝนแล้ง และน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ จึงเกิดปัญหาตามมาหลายประการ ผมอยากทราบว่า รัฐบาลไทยมีแนวทางจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ในมุมมองของคุณหมอเกษตร มองอย่างไรและจะหาทางออกให้กับภาคการเกษตรของเราอย่างไร ขอข้อเสนอแนะด้วยครับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวผมเอง และผู้อ่านอีกจำนวนมาก ผมจึงถือโอกาสขอบคุณคุณหมอเกษตรมาเป็นการล่วงหน้า แล้วผมจะติดตามอ่านคอลัมน์หมอเกษตรต่อไปครับ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
สุรเดช แสงสุขอุดม
นครสวรรค์ เรื่องเกี่ยวกับสภาวะทางภูมิอากาศ ผมขอนำข้อมูลจากผลงานวิจัยของ ดร. สมพร อิศรานุรักษ์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพแวดล้อมพืช กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานว่า ประเทศไทยในทุกๆ รอบ 10 ปี จะเกิดสภาวะแห้งแล้ง 4 ปี แล้งรุนแรง 2 ปี แล้งไม่รุนแรง 2 ปี น้ำท่วม 3 ปี และฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลเป็นปกติเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยใช้จำนวนลมพายุดีเปรสชั่นเป็นตัวชี้วัด ดังนี้

ปีใดที่พายุดีเปรสชั่นพัดเข้ามาในประเทศไทย 3 ลูก ฝนฟ้าจะเป็นปกติ หากน้อยกว่า 3 ลูก เกิดภาวะแห้งแล้ง แต่หากมากกว่า 3 ลูก จะเกิดภาวะน้ำท่วม ยิ่งพัดเข้ามาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ความรุนแรงจากน้ำท่วมย่อมเกิดขึ้นทันที ตัวอย่างเมื่อปี พ.ศ. 2554 พายุดีเปรสชั่นพัดเข้ามามากถึง 5 ลูก ความเสียหายเกิดขึ้นย่อมเป็นที่ประจักษ์ ปัญหาน้ำท่วมรุนแรงที่สุดเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2485 จนทำให้ข้าวในที่ลุ่มภาคกลางสูญพันธุ์ไปแล้วก็มี หากนับเป็นวงจรก็จะอยู่ในรอบ 69 ปีพอดี ปัจจุบันนี้อาจมีการเบี่ยงเบนไปบ้าง เนื่องจากภาวะโลกร้อน แต่ธรรมชาติก็ยังคงดำรง ตราบใดที่น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกที่กว้างใหญ่ไพศาลที่เป็นแหล่งกักเก็บและปลดปล่อยพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอไม่เสื่อมคลาย

กลับมามองภาคการผลิตการเกษตรของไทยเราบ้าง การบริหารจัดการน้ำของประเทศ ต้องกลับมาทบทวนกันครั้งยิ่งใหญ่ โดยนำข้อมูลที่มีอยู่มากมาย (Big Data) มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาระดมสมองร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างใหญ่ อย่างนี้ไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอน

มองประเด็นปัญหาในภาพรวมให้ชัดเจน แล้วจัดลำดับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับสาขาอาชีพทางการเกษตร เพื่อหาวิธีการแก้ไข ผมขออนุญาตนำข้อมูลระดับครัวเรือนมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้

ข้าว มีพื้นที่เพาะปลูก 60.9 ล้านไร่ เกษตรกรที่ประกอบอาชีพทำนา จำนวน 3.7 ล้านครัวเรือน ได้ผลผลิตข้าวเปลือกนาปี 27 ล้านตัน ใช้บริโภคภายในประเทศ 11.50 ล้านตันข้าวสาร และส่งออก 9.8 ล้านตันข้าวสาร (ข้อมูล ปี 2560, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ภาวะฝนแล้ง อาชีพการทำนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ในทางกายภาพและชีวภาพ ข้าว เป็นพืชที่ใช้น้ำเปลืองที่สุด แต่ตัวข้าวเองบริโภคน้ำจำนวนไม่มาก ที่สิ้นเปลืองมากคือ ใช้ในการรักษาอุณหภูมิในแปลงนา และที่สำคัญช่วยควบคุมปัญหาวัชพืช

ข้าวโพด พื้นที่เพาะปลูก 7.1 ล้านไร่ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 4.4 แสนครัวเรือน ผลผลิตรวม 4.6 ล้านตัน

มันสำปะหลัง พื้นที่เพาะปลูก 8.5 ล้านไร่ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 5.5 แสนครัวเรือน ผลผลิตรวม 32 ล้านตัน

อ้อย พื้นที่เพาะปลูก 9.5 ล้านไร่ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 3.3 แสนครัวเรือน ผลิตผลรวม 11 ล้านตัน

ยาง พื้นที่เปิดกรีด 18.8 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 4.4 ล้านตัน เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 1.4 ล้านครัวเรือน ปริมาณการส่งออกเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ปาล์มน้ำมัน พื้นที่ให้ผลผลิต 4.2 ล้านไร่ ต้องนำเข้า 1.8 แสนตัน

มะพร้าว พื้นที่เก็บเกี่ยวได้ 1.1 ล้านไร่ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 2.6 แสนครัวเรือน

ลำไย พื้นที่เก็บผลผลิตได้ 1.0 ล้านไร่ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 2.3 แสนครัวเรือน

มะม่วง เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 2.1 ล้านครัวเรือน ผลผลิตรวม 3.1 ล้านตัน ส่งออก 7.1 หมื่นตัน และ กล้วยไม้ เกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 2.2 หมื่นครัวเรือน ผลผลิตรวม 5.0 หมื่นตัน ส่งออก 2.7 พันล้านบาท เป็นตัวอย่าง

ดังนั้น รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัคร UFABET ต้องนำตัวเลขข้างต้นมาวิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาที่เกิดจากภาวะภัยแล้ง แล้วหาแนวทางและวิธีการชดเชยให้กับเกษตรกรผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างถูกต้อง และโปร่งใส อย่าให้เกิดเช่นเดียวกับในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ ต้องมีการอบรมวิธีการฟื้นฟูเกษตรกรผู้เสียหายอย่างเหมาะสมกับเกษตรกรในแต่ละสาขา ทั้งข้าว พืชไร่ พืชสวน ไม้ดอกไม้ประดับ การประมง และปศุสัตว์ หากร่วมมือกันทุกองค์กรอย่างจริงจังและจริงใจ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากภาวะภัยแล้งจะทุเลาเบาบางลง รัฐบาลได้เครดิตไปเต็มๆ

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักและคิดถึงทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างหนอกับภาวะการครองชีพ และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าและเรื่อยมาถึงช่วงนี้ ไม่กี่วันที่ผ่านมา เรากำลังท้อใจกับพี่น้องชาวนาและเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง นาข้าวยืนตายอย่างไม่มีทางช่วยเหลือ หรือแหล่งน้ำประปาที่แห้งกรัง จนภาครัฐต้องระดมสรรพกำลังมาช่วยดังข่าวที่นำเสนอกันมา ข่าวที่น่าวิตกที่สุดก็คือปริมาณน้ำที่เหลือในเขื่อนไม่ถึง 10% เป็นส่วนมาก ผ่านมาไม่กี่วัน ข่าวพายุโพดุลแวะเวียนเข้ามาเติมน้ำให้จนเกินปริมาณความต้องการ ทำเอาพื้นที่ภาคอีสานและทางภาคเหนือกลายเป็นผืนน้ำเกือบทั้งหมด

ยังไม่จบสิ้น ข่าวพายุเหล่งเหลงก็ขย่มหัวใจกันอีกครั้ง ก่อนที่ท่านอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาจะมาให้ข่าวว่าไม่เข้าไทยหรอก แต่ที่จะเข้าก็คือพายุโซนร้อนคาจิกิ ฟังคราแรกก็ดีใจกัน แต่พอฟังจนจบก็ใจห่อเหี่ยวไปเยอะ นาข้าวที่ก่อนนั้นยืนต้นตายเพราะแล้งก็ถูกน้ำหลากท่วมจมมิดมองไม่เห็นผืนดิน เมื่อยังจะมีน้ำมาอีกระลอกก็คงท่วมจมมิดไม่เห็นกระทั่งความหวังในผลผลิตจากผืนนา ทำนายกันได้ว่าฤดูกาลเก็บเกี่ยวปลายปีนี้ ราคาข้าวคงดีดตัวขึ้นไม่น้อยแน่นอน แต่ในความโชคร้ายก็มีข่าวดีมาเยือน นั่นคือทุกเขื่อนมีน้ำเติมเข้ามามากพอที่จะนำมาใช้งานได้ในภาคเกษตรอย่างสบาย ก็เพียงหวังว่าพี่น้องเกษตรกรจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้นะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวครับ