พี่ด้วนจะชอบไปปรากฏตัวอยู่หน้าร้านอาหารวนาลีภายในที่ทำการ

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มากที่สุด พี่ด้วนจะเดินหากินเป็นวงรอบ รอบๆ ที่ทำการอุทยานฯ แต่ไม่เป็นที่น่ากังวลใจอะไร เพราะเขาเป็นช้างที่สุภาพจะไม่ทำร้ายใคร ใครที่มาเที่ยวเขาใหญ่ ถ้าพบพี่ด้วนเดินอยู่แถวนี้ ไม่ต้องกลัวอะไร เพียงให้ความร่วมมือทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เท่านั้น เราตั้งข้อสังเกตกันว่าลูกช้างหลายตัวที่อยู่ในโขลงเวลานี้ มีหางกุดเหมือนพี่ด้วน คาดกันว่าลูกช้างเหล่านั้นเป็นผลงานของพี่ด้วนทั้งหมด

นสพ.ภัทรพล บอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทุกคนจะใช้คำสุภาพเวลาเรียกช้างที่นี่ ไม่ใช้คำเกรี้ยวกราด หรือเรียกด้วยเสียงโทนสูง เพราะเสียงสูงจะยิ่งทำให้ช้างตกใจ ส่วนการเรียกโดยมีคำนำหน้าว่าพี่นั้น ถือเป็นการให้เกียรติ เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่คู่บ้านคู่เมือง

“เวลาเราเรียกชื่อ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาชื่อนี้ แต่จากโทนเสียง หรือกิริยาที่เจ้าหน้าที่แสดงด้วย เขาจะรู้ว่าเราไม่ต้องการเข้าไปทำร้าย ยกเว้นว่าเขากำลังตกใจ” นอกจากพี่โยโย่ กับ พี่ด้วนแล้ว ช้างพลายขาใหญ่ที่หมอล๊อตบอกว่าเป็น “ออลสตาร์” นั้น ยังมีอีกหลายตัว

“พี่งาทอง” ช้างตัวใหญ่ งาสีเหลืองอ่อนๆ คล้ายๆ สีทอง นิสัยสุภาพ ใจดี ไม่กลัวรถ เวลาไปหาดินโป่งกิน ปกติช้างเด็กๆ ที่ยังไม่มีงา หรือมีงาเล็กๆ จะแทงดินโป่งกินไม่ค่อยได้ พี่งาทองก็มักจะไปช่วยช้างเด็กๆ ขุดดินโป่งเสมอ ทั้งๆ ที่เวลาปกตินั้น พี่งาทองจะไม่เข้าไปยุ่งกับช้างในโขลงเลย

“พี่งาทองเล็ก” ขี้เล่น ชอบไล่รถ

“พี่งาเบี่ยงเล็ก” กับ “พี่งาเบี่ยงใหญ่” เรียบร้อยทั้งคู่ ชอบออกมาตอนกลางวัน เราสงสัยว่าเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า เพราะเขาค่อนข้างสนิทกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ชอบหยอกล้อกัน บางทีก็เอางางัดกันข้างทาง เหมือนโชว์การต่อสู้ แต่ไม่จริงจัง แค่หยอกๆ กันแล้วผละไป “พี่งาอ้วนเล็ก” ขี้อาย กลัวรถ

“พี่ผาตะแบกน้อย” เป็นช้างวัยรุ่น ไม่กลัวรถ ชอบออกมาอยู่กลางถนนตอนกลางวันฯลฯหมอล๊อต กล่าวทิ้งท้ายว่า ความจริงแล้วทุกพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้น เดิมทีคือบ้านของช้าง พวกพี่เหล่านี้จึงสามารถเดินไปได้ทุกหนทุกแห่งที่เขาอยากไป แต่พวกเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้เช่นเดียวกันว่า ที่ไหนควรไปบ้าง แต่ถนนเส้นทางขึ้น-ลงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้นอยู่ติดกับป่าจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเจอพวกเขาออกมายืนเล่น เดินเล่นกันเป็นประจำ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเข้าไปในสถานที่ของพวกเขา ผู้ไปเยือนต้องให้ความเคารพ ให้ความเกรงใจ

อย่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่เจ้าของบ้าน วันที่ 6 เมษายน 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย ได้มีการเพิ่มมาตรการเข้มในการดูแลป้องกันลดอุบัติเหตุทางถนน รวมถึง การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ เช่นเดียวกันกับหมวดทางหลวงนาแก สังกัดแขวงทางหลวงนครพนม ได้เพิ่มมาตรการเข้มในการดูแลป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญ

ทางหลวงหมายเลข 212 จากนครพนม เชื่อมไปยัง อ.ธาตุพนม และ จ. มุกดาหาร ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญ เนื่องจากเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไปยังวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีประชาชน นักท่องเที่ยวเดินทางไปทำบุญนมัสการองค์พระธาตุพนม จำนวนมาก รวมถึง เส้นทางหลวงหมายเลข 223 ที่เชื่อมมาจาก จ.สกลนคร กับ อ.นาแก ไปยัง จ.มุกดาหาร ซึ่งยังมีจุดเสี่ยงอันตรายคือ เส้นทางหลวง 223 ระหว่าง อ.นาแก เชื่อมมายัง ต.บ้านต้อง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เพราะเป็นเส้นทาง 2 ช่องทางการจราจรและมีการจราจรคับคั่ง รวมถึงเส้นทาง 212 ระหว่างบ้านต้อง มุ่งหน้าไปยัง ต.คำป่าหลาย จ.มุกดาหาร ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขยายช่องทางการจราจร เป็นระยะทางประมาณ 23 กิโลเมตร ถือเป็นจุดเสี่ยงอันตรายที่ประชาชน ผู้ใช้รถจะต้องระมัดระวัง ควรงดใช้ความเร็ว และขับขี่ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

โดยนายสุรศักดิ์ แพงวงษ์ หัวหน้าหมวดทางหลวงนาแก แขวงทางหลวงนครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แขวงทางหลวง ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมเพิ่มมาตรการเข้มในการดูแลป้องกันอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเส้นทางหลักที่เชื่อมไปยังวัดพระธาตุพนม ประกอบด้วย เส้นทางหมายเลข 212 นครพนม-มุกดาหาร รวมถึง หมายเลข 223 สกลนคร-ธาตุพนม ถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญที่มีประชาชนเดินทางสัญจรคับคั่ง ยิ่งในช่วงสงกรานต์ แต่มีปัญหาเรื่องช่องทางจราจรแคบ แค่สองช่องจราจร บางจุดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงได้มีการตรวจสอบติดตั้งป้ายเตือน และสัญญาณจราจร ป้องกันอุบัติเหตุ พร้อมแจ้งจุดเสี่ยงไปยังประชาชนผู้ใช้รถ ให้ระมัดระวัง งดใช้ความเร็ว ปฏิบัติตามกฎจราจรเคร่งครัด และขับรถด้วยความระมัดระวัง นอกจากนี้ยังได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริการประชาชน และชุดเคลื่อนที่เร็วดูแลตลอด 24 ชั่วโมง หากต้องการรับความช่วยเหลือ หรือแจ้งปัญหาถนนป้ายจราจร ชำรุด หรือปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับเส้นทางการจราจร ได้ที่หมายเลขสายด่วนกรมทางหลวง 1586

คำตอบนำมาจากบทความ “สังข์ ของขวัญมงคล จากท้องทะเล” ในน.ส.พ. มติชน ฉบับ 17 มิถุนายน 2557 ซึ่งสรุปความมาจากหนังสือ ชื่อ “สังข์ ธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์” โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ และ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ว่า คนไทยคุ้นเคยกับหอยสังข์ผ่านพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ที่รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียมาแต่โบราณ จนพิธีกรรมและความเชื่อแบบพราหมณ์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคนไทย และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับพิธีมงคลคือสังข์

สังข์ คือหอยทะเลกาบเดียว ใช้ประกอบพิธีมงคล โดยสังข์พิธีจะเรียกลักษณนามว่า “ขอน” ไม่ใช่ “ตัว” เหมือนหอยทั่วไป ผิวชั้นนอกสุดเป็นเปลือกหนาสีน้ำตาล คือ ไคติน จะหลุดออกเมื่อหอยตายไปสักระยะหนึ่ง เมื่อลอกเปลือกชั้นนอกออกจะพบเปลือกแข็งลักษณะเรียบมันมีสีสันต่างกันไป เช่น ขาว เทา ชมพู ส้ม หอยสังข์แต่ละชนิดมีชื่อเรียกตามถิ่นที่พบเจอตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก โดยจะพบในเขตร้อน ได้แก่ สังข์อินเดีย สังข์ศรีลังกา สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน สังข์ยักษ์แอฟริกา สังข์บราซิล สังข์แคริบเบียน

สำหรับสังข์ที่นิยมใช้ในพิธีมงคล คือสังข์อินเดีย ส่วนสังข์ที่พบในไทย คือ สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน ในน่านน้ำไทยฝั่งอันดามัน ถือเป็นหอยหายากราคาแพง หลังภัยพิบัติสึนามิปี 2547 ไม่พบสังข์ชนิดนี้ในทะเลอันดามันอีกเลย

การใช้ประโยชน์จากสังข์มีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในลักษณะเครื่องใช้ ทั้งเครื่องประดับ ภาชนะ และแตรสัญญาณ ส่วนการใช้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกบันทึกเมื่อมีศาสนาพราหมณ์ ในประเทศอินเดีย ตำนานเล่าถึงพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ กับคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ที่รวบรวมบทสวด ความรู้และความเชื่อ

เรื่องเล่าว่า ยักษ์ชื่อสังข์อสูร ไปพบพระพรหมบรรทมแล้วเห็นพระเวทไหลออกมาจากพระโอษฐ์ จึงขโมยพระเวทมา พระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นจึงตามไปทวงพระเวทคืน แต่ยักษ์กลับกลืนพระเวทลงท้องแล้วหนีลงมหาสมุทร พระนารายณ์ก็แปลงกายเป็นปลา เมื่อเจอสังข์อสูรจึงใช้พระหัตถ์ล้วงพระเวทในท้องจนเนื้อที่ปากของยักษ์เป็นรอยนิ้วพระนารายณ์ เมื่อได้พระเวทคืนพระนารายณ์สาปให้สังข์อสูรอยู่ในมหาสมุทรตลอดไป และสั่งให้มีสังข์เข้าร่วมพิธีมงคล เมื่อมนุษย์จะทำการมงคลจึงจับสังข์มาร่วมพิธี

ตามเรื่องเล่าที่ถือว่าสังข์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะสังข์เคยเป็นที่อยู่ของคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ที่ได้รับการบูชาสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ ส่วนอีกหนึ่งเกร็ดจากเรื่องเล่า คือร่องรอยจากพระหัตถ์พระนารายณ์ที่ทิ้งไว้ที่ปากสังข์อสูร เมื่อนำหอยสังข์อินเดียมาพิจารณาจะเห็นร่องเป็นสันที่ปากสังข์ ส่วนนี้เองที่เรียกว่ารอยนิ้วพระนารายณ์
จากคติความเชื่อทำให้สังข์ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะใช้เพื่อความเป็นมงคล สังข์ที่นิยมนำมาใช้ประกอบพิธีมากที่สุด คือ สังข์อินเดีย เนื่องจากมีลักษณะถูกต้องตามหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ นอกจากนี้ในอดีตสังคมอินเดียยังแบ่งสีของสังข์ตามวรรณะเพื่อเป็นเครื่องใช้ประจำตัว สีขาวสำหรับพราหมณ์, สีแดง น้ำตาล ชมพู สำหรับกษัตริย์, สีเหลือง สำหรับไวศยะหรือพ่อค้า และสีเทา ดำ สำหรับศูทร ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน

สำหรับการใช้งาน มีทั้งใช้รดน้ำและใช้เป่า สังข์รดน้ำใช้ตามความเชื่อจากกำเนิดสังข์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อน้ำใดผ่านสังข์จึงถือเป็นมงคลด้วย ส่วนสังข์เป่าเป็นวิธีการใช้งานตั้งแต่โบราณกาล โดยการตัดปลายด้านจุกแหลมให้เป็นรู แล้วเป่าเกิดเสียงก้องกังวาน ใช้ทั้งเป็นเครื่องดนตรีและการส่งสัญญาณ ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ถือเป็นเสียงมงคล ด้วยเสียงที่ดังคล้ายเสียง “โอม” ซึ่งเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสียงที่สร้างบรรยากาศอันเป็นมงคลในงานพิธี

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สังข์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเวียนซ้ายหรือเวียนขวา ซึ่งแท้จริงสังข์ที่มีลักษณะหายากนี้เรียกได้หลายชื่อ ทั้งมหาสังข์ สังข์ทักษิณาวัตร สังข์ทักขิณาวรรต คือสังข์อินเดียที่เวียนขวา (เวียนซ้าย เรียกอุตราวรรต) เวลาดูให้หันด้านที่เป็นจุกม้วนวนเข้าหาตัว หากปากสังข์เปิดทางขวา นั่นคือสังข์เวียนขวา วิธีการดูอย่างนี้ตรงกันข้ามกับการดูสังข์ทางชีววิทยา ตามหลักชีววิทยา มหาสังข์เวียนขวาจะเรียกว่าสังข์เวียนซ้าย เพราะใช้วิธีการดูด้านตรงข้ามกัน โดยทั่วไปหอยทะเลจะมีเปลือกหมุนเวียนซ้าย กรณีสังข์เวียนขวาจึงเกิดจากการผ่าเหล่า หาได้ยากชนิดที่ว่าเป็นหนึ่งในล้าน

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างดนตรี และการเปลี่ยนแปลงของรสชาติอาหาร โดยแบ่งผู้ร่วมวิจัย 180 คนออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งระหว่างรับประทานอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน และเผ็ดร้อน

กลุ่มแรกได้รับมอบหมายให้ฟังเพลงหลากหลาย กลุ่มที่สองฟังเสียงไวต์นอยซ์ หรือเสียงที่ออกมาอย่างสม่ำเสมออยู่ในช่วงความถี่ปกติระหว่าง 20 เฮิรตซ์ถึง 20 กิโลเฮิรตซ์ อาทิ เสียงน้ำไหล และกลุ่มสุดท้ายทานเมนูเด็ดเฉยๆ โดยไม่ต้องฟังเพลงหรือดนตรีใดๆ
จากนั้นให้ผู้ร่วมวิจัยตอบแบบสอบถามถึงความรู้สึกและรสชาติที่ได้รับขณะฟังเสียงต่างๆ ปรากฏว่า กลุ่มที่ฟังเพลงส่วนใหญ่ระบุว่าอาหารมีความเผ็ดร้อนขึ้นเมื่อฟังดนตรีที่มีจังหวะหนักๆ เรียกเป็นปรากฏการณ์ “โซนิก ซีโซนิง” โดยเพลงที่มีผลช่วย ให้รสชาติจัดจ้านขึ้น เป็นเพลงท้องถิ่นของอินเดียที่มีเสียงกลอง เสียง ซีตาร์ เครื่องสายชนิดหนึ่งของอินเดีย และเสียงร้องโทนสูง

นอกจากนี้เพลงอื่นๆ ที่มีผลกระตุ้นความเผ็ดได้ดี ยังมีเพลงพ็อพดนตรีมันๆ อย่างเพลงของสไปซ์เกิร์ล และเพลงร็อกเน้นๆ แบบ “เรด ฮ็อต ชิลลี่ เปปเปอร์” ด้วย กรมการค้าต่างประเทศเผย ฟิลิปปินส์มีแผนนำเข้าข้าวปีนี้เพิ่มขึ้น 1-1.3 ล้านตัน เพื่อความมั่นคงทางอาหาร และจะเน้นการนำเข้าข้าวคุณภาพมากขึ้น ระบุเป็นโอกาสดีต่อการส่งออกข้าวไทย

นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมฯ ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เพื่อหารือกับองค์การอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์ (National Food Authority: NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่นำเข้าข้าว และผู้นำเข้าข้าวภาคเอกชน ซึ่งผลจากการหารือกับประธาน NFA ทราบว่า ในปีนี้ NFA มีแผนจะนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 4.5 แสนตัน ในปี 2559 เป็น 1-1.3 ล้านตัน ในปี 2560 เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

“ในช่วงที่ผ่านๆ มา NFA เปิดประมูลนำเข้าข้าวเป็นชนิดข้าวขาว 25% แต่ในปีนี้ จะพิจารณาเปิดประมูลเพื่อนำเข้าข้าวคุณภาพดีขึ้น เช่น ข้าวขาว 5%, 10% และ 15% ในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งการที่ NFA นำเข้าข้าวคุณภาพดีเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวของไทยทั้งในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) หรือเอกชนต่อเอกชน เพราะจะทำให้มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับผลผลิตข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ และเป็นสัญญาณเชิงบวกกระตุ้นราคาข้าวไทยทั้งระบบและส่งผลถึงราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจะได้รับด้วย”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทาง NFA กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดประมูลนำเข้าข้าว เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่ข้าวฤดูใหม่ของฟิลิปปินส์กำลังออกสู่ตลาด

นายกีรติกล่าวว่า ในการเดินทางเยือนฟิลิปปินส์ครั้งนี้ กรมฯ ได้นำผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยหารือกับผู้นำเข้าข้าวภาคเอกชนของฟิลิปปินส์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเจรจาธุรกิจการค้า แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าการค้าข้าวระหว่างกัน รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์มาตรฐานข้าวไทยฉบับใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์แจ้งว่าข้าวไทยได้รับการยอมรับในตลาดฟิลิปปินส์และต้องการนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 เป็นต้นไป ฟิลิปปินส์จะยกเลิกมาตรการจำกัดปริมาณการนำเข้าข้าว (โควตา) ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกข้าวไทยที่จะสามารถส่งออกข้าวไปฟิลิปปินส์ได้มากขึ้น หากข้าวไทยสามารถแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่งได้

นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เสนอแนะให้ผู้นำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์จัดตั้งสมาคมเพื่อจะเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือในการจัดทำแผนตลาดร่วมกันกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในฟิลิปปินส์ต่อไปด้วย

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยเฉลี่ยปีละ 4 แสนตัน โดยในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2560 ไทยส่งออกข้าวไปฟิลิปปินส์ปริมาณ 1.93 แสนตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 89.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีปริมาณ 1.02 แสนตัน

วันที่ 8 เมษายน นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ได้มีนโยบายให้อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีห้องน้ำ- สุขาที่สะอาด ถูกสุขอนามัย เพื่อให้นักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในอุทยานฯ จะได้ใช้สุขาที่สะอาด ปลอดภัย สุขใจ และห่างไกลโรค นั้น สำนักอุทยานแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ เร่งปรับปรุงห้องน้ำ – สุขาให้สะอาดได้มาตรฐาน HAS (Health, Accessibility, Safety) คือ สะอาด เพียงพอและปลอดภัย เพื่อสุขอนามัยของนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติได้ใช้บริการห้องน้ำ ห้องส้วม อย่างมีความสุข พร้อมต้อนรับวันปีใหม่ไทยในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง

“ตอนนี้ได้ออกคำสั่งไปแล้วให้ทุกอุทยานฯทั่วประเทศเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลห้องน้ำ และห้องส้วมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบริการนักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติ โดยได้สั่งซื้อเครื่องฉีดน้ำแบบฉีดล้างรถยนต์ มาใช้สำหรับ 1 ห้องน้ำ และมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแลห้องน้ำโดยเฉพาะ ที่ละ 1 คน ทำความสะอาดทุกๆครึ่งชั่วโมง และให้แต่ละแห่งจัดสวนหย่อม หน้าห้องน้ำห้องส้วมให้ดูสวยงาม สะอาดตา มีกลิ่นหอม” นายทรงธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า เวลานี้ ห้องส้วมในเขตอุทยานแห่งชาติ เปลี่ยนจากส้วมแบบนั่งยอง เป็นส้วมแบบชักโครก หมดแล้วหรือยัง ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวว่า จัดเอาไว้ให้เลือก 2 แบบ แล้วแต่ว่าใครสะดวกที่จะใช้แบบไหน รวมทั้งให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ด้วย เช่น อุทยานทางทะเลบางแห่งมีน้ำใช้อย่างจำกัด ก็ยังเป็นรูปแบบการตักน้ำราดอยู่ หรืออุทยานที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมเข้าไปเที่ยวจำนวนมาก ก็จะมีห้องส้วมแบบนั่งยองมากกว่า ส้วมแบบชักโครก แต่โดยรวมแล้ว คือ จะมีให้เลือกทั้ง 2 แบบ และทุกแบบ ต้องเน้นความสะอาด และสวยงามเป็นหลัก ห้องส้วมถือเป็นบริการขั้นพื้นฐานภายในอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศที่กรมอุทยานจะทำให้ดีที่สุด เป็นบริการที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 8 เมษายน 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า penny-stock-social.com ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลาง สำหรับภาคใต้มีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ฝั่งตะวันตกได้เคลื่อนลงทะเลอันดามันแล้ว ประกอบกับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ อากาศร้อนในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 22-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-40 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจสอบร้านค้าสินค้าเกษตร อาทิ ผัก ประมง และปศุสัตว์ ณ ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน ว่า ตามนโยบายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร สู่ความยั่งยืน ซึ่งได้เน้นย้ำให้ความสำคัญในการตรวจสอบความปลอดภัยสินค้าเกษตรอย่างเข้มข้น และเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมวิชาการเกษตรได้ปฏิบัติงานตรวจสอบสินค้าเกษตรในตลาดสดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-7 เมษายน ด้วยการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง และสินค้าเกษตรด้านพืชให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรฯกำหนด ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง

“ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯได้มีการสุ่มตรวจตลาดสดทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดใน กทม. ซึ่งได้ตรวจตลาดยิ่งเจริญเป็นแห่งที่ 8 ในภาพรวมการตรวจร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ผ่านเกณฑ์และมีสุขอนามัยที่ดี ซึ่งปัจจุบันร้านค้าในตลาดสดได้ร่วมกันสร้างมาตรฐานการจัดจำหน่ายภายใต้โครงการปศุสัตว์ OK และหันมาใช้ตู้แช่เย็นเพื่อจัดเก็บผลิตภัณฑ์ก่อนจำหน่ายที่ช่วยคงคุณภาพสินค้าก่อนส่งถึงมือผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ส่วนการจำหน่ายสินค้าเกษตรอื่นๆ ก็เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งนี้ ได้ขอให้ผู้ประกอบการคงคุณภาพมาตรฐานเพื่อผู้บริโภคตลอดไป และหลังจากนี้ทุกกรมจะบูรณาการร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯยังต้องสุ่มตรวจความปลอดภัยของสินค้าในตลาดสดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดขายส่ง เช่น ตลาดไท และตลาดสี่มุมเมือง โดยจะมีการตรวจสอบย้อนกลับถึงฟาร์มแหล่งผลิตด้วย อีกทั้งต้องสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้ผลิตให้เห็นความสำคัญของการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในการบริโภคสินค้าเกษตรไทย” นายธีรภัทรกล่าว