พื้นที่เหลือจากลงปลูกเงาะและฝรั่งอีกไม่มาก เมื่อเห็นต้นไม้

เจริญเติบโตและงอกงามดี จึงตัดสินใจซื้อไม้ผลชนิดอื่น เช่น ลองกอง ทุเรียน มาลงปลูกเพิ่ม แม้ยังไม่ได้ผลผลิต แต่การเจริญเติบโตของกิ่งพันธุ์ที่ลงไว้งอกงามดี นอกเหนือจากไม้ผลที่กล่าวมาแล้ว พื้นที่อีกนิดหน่อย คุณวิทยาไม่ต้องการให้สูญเปล่า จึงนำมะเขือหลากหลายชนิดมาปลูก โดยเน้นไปที่มะเขือพื้นบ้าน ซึ่งหาซื้อได้ยากไปลงปลูกไว้ เมล็ดพันธุ์ คุณวิทยาบอกว่า ไม่ซื้อ เก็บและเพาะเมล็ดเอง เพราะพืชพื้นบ้านเหล่านี้เจริญเติบโตและมีความเหมาะสมกับสภาพอากาศบ้านเราอยู่แล้ว การเพาะเมล็ดเองก็ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน

ปัญหาของพื้นที่ตำบลบ้านโคก อำเภอสุวรรณคูหา ส่วนใหญ่คือ ความแห้งแล้ง น้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร และดินไม่ดี พืชส่วนใหญ่จึงเป็นพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย

คุณชัยรัตน์ ยอดทัพ เกษตรอำเภอสุวรรณคูหา อธิบายว่า แม้พื้นที่อำเภอสุวรรณคูหาส่วนใหญ่จะห่างไกลแหล่งน้ำทำการเกษตรและดินไม่สมบูรณ์ แต่พื้นที่ 6 ไร่ ของคุณวิทยา ตั้งอยู่ในพื้นที่ลึก แต่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ถึง 2 แหล่ง และน้ำไม่เคยแห้ง แม้จะอยู่ในฤดูแล้ง แต่หลายคนมองว่าข้อเสียของพื้นที่นี้คือ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วม ปลูกพืชอาจไม่ได้ผล แท้ที่จริงแล้วฤดูน้ำหลากที่ว่า จะพัดพาเอาตะกอนและแร่ธาตุที่ดีมาทับถมที่พื้นที่แห่งนี้ ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และน้ำหลากที่ท่วมระยะหนึ่งไม่ได้นานจนทำให้พืชเกิดปัญหา อีกทั้งอยู่ไม่ห่างจากแหล่งน้ำถึง 2 แหล่ง จึงทำให้ไม่ขาดแคลนน้ำเหมือนพื้นที่อื่น

เมื่อถามคุณวิทยาว่า ทราบหรือไม่ว่า เพราะเหตุใดพื้นที่แห่งนี้จึงปลูกพืชอุดมสมบูรณ์ดี คุณวิทยา บอกว่า ไม่ทราบว่ามีแร่ธาตุมาทับถมตามน้ำที่หลากมาในฤดูน้ำหลาก แต่พื้นที่ด้านท้ายของไร่ ประมาณ 2 งาน เห็นว่า ดินดีกว่าบริเวณอื่น จึงสังเกตรอบข้าง พบว่า มีต้นยางนาอยู่ 2 ต้น ใบยางนาร่วงปกคลุมดินบริเวณดังกล่าว ทับถม เมื่อขุดดินที่ใบยางนาทับถม ก็พบว่า ดินมีความอุดมสมบูรณ์มาก จึงคิดว่าเป็นเพราะใบยางนาที่ช่วยสร้างแร่ธาตุในดินให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และพืชที่นำไปปลูกบริเวณนั้น เช่น มะเขือพื้นบ้านหลายชนิด เจริญงอกงามและให้ผลผลิตดีมาก

ส่วนการดูแลไม้ผลในแปลง 6 ไร่ ที่ลงปลูกไว้ คุณวิทยา อธิบาย ดังนี้ การให้น้ำ เพราะต้นไม้โตจนเริ่มให้ผลผลิตแล้ว จึงสูบน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงขึ้นไปให้ท่วมพื้นที่ เช่นเดียวกับการทำนา ความสูงของน้ำระดับหัวเข่า จากนั้นหยุดสูบ

ปุ๋ยเคมี ยอมรับว่ามีบ้าง บางช่วงใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ประมาณ 5-6 ถุง ต่อปี ปุ๋ยขี้ไก่ กระสอบละ 25 บาท ต้นทุนเฉพาะปุ๋ยขี้ไก่ ประมาณ 10,000 บาท ต่อปี

ทั้งปุ๋ยขี้ไก่และปุ๋ยเคมี หากเป็นฤดูแล้งให้หว่านเมื่อสูบน้ำเข้าสวน หากเป็นฤดูฝน ให้หว่านเมื่อฝนตก รวมต้นทุนค่าปุ๋ย ค่าน้ำ (น้ำมันใช้สำหรับสูบน้ำ) รวมค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนต่อปี ไม่เกิน 15,000 บาท

การตัดแต่งกิ่ง ก็ทำเมื่อมีเวลาว่าง แต่ไม่ปล่อยให้ต้นโทรม และไม่ได้ทำทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตเหมือนรายอื่น คุณวิทยา ให้เหตุผลว่า ไม่ได้ตั้งใจไม่ดูแลต้นไม้ แต่เพราะต้องใช้เวลาไปกับการห่อ การเก็บผลผลิต และการนำไปขาย แต่จะตัดแต่งกิ่งไปพร้อมๆ กับการเก็บในแต่ละครั้ง เท่าที่ทำไหว

ปัญหาโรคและแมลง เจอบ้าง ทำให้ต้องใช้สารเคมีช่วย คุณวิทยา เล่าว่า ปัญหาโรคและแมลงพบไม่บ่อย แต่เมื่อพบก็จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงบ้าง ซึ่งน้อยมาก เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอยู่แล้ว

ฝรั่งกิมจู จำเป็นต้องห่อผล เริ่มห่อผลเมื่อฝรั่งติดผลขนาดเท่าลูกมะนาว จากนั้นนับไปอีกประมาณ 45 วัน ในฤดูฝนเก็บผลผลิตได้ หรือนับไปอีก 60 วัน ในฤดูร้อน จึงเก็บผลผลิต แต่สำหรับคุณวิทยาเธอใช้ความชำนาญจากการเทียบน้ำหนักผลกับมือ

ในแต่ละวันคุณวิทยาจะใช้เวลาตอนเช้าไปกับการเก็บผลฝรั่ง เงาะ และมะเขือพื้นบ้าน เมื่อเก็บและเตรียมเรียบร้อย จะใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับห่อผลและดูแลความเรียบร้อยในสวน จากนั้นจึงไปตลาด

ตลาดนัด เปิดทุกวัน ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ คุณวิทยา จึงนำผลไม้และมะเขือพื้นบ้านออกไปขายเอง ทั้งขายส่งและขายปลีก กรณีขายส่งจะนำไปส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดนัดด้วยตนเอง และการขายปลีกจะขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด เช่น ฝรั่ง กิโลกรัมละ 35 บาท คุณวิทยาขายเพียง กิโลกรัมละ 25 บาท เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ผลผลิตไม่เหลือทิ้งกลับบ้านก็ถือว่าโชคดีแล้ว

คุณวิทยา เป็นทั้งคนปลูก คนดูแล คนเก็บ และคนขาย เธอนำผลผลิตที่ได้จากสวนไปจำหน่ายยังตลาดนัดทุกวัน ทำให้มีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน ส่วนเงาะและฝรั่ง มีช่วงเวลาให้ผลผลิต ก็ถือเป็นรายได้รายเดือน ส่วนอ้อยและข้าวโพด ซึ่งคุณวิทยาไม่ทิ้งการทำไร่นั้น ก็ถือเป็นรายได้รายปี

หากคิดต้นทุนของการปลูกพืช 6 ไร่ อยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ต่อปี แต่รายได้มีมาก 300,000-400,000 บาท ต่อปี ไม่นับรวมไร่อ้อยและไร่ข้าวโพด ที่ทำเงินประมาณปีละกว่า 200,000 บาท ทำให้มีรายได้เพิ่มจุนเจือครอบครัวและมีเงินเก็บเหลือมากพอ

คุณวิทยา เป็นเกษตรกรหญิงใจดี พร้อมแบ่งปันความรู้เท่าที่ประสบการณ์การปลูกพืชแบบผสมผสาน บนพื้นที่ 6 ไร่ ให้กับทุกคน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณวิทยา โพธิลำเนา ตำบลบ้านโคก อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โทรศัพท์ 093-453-7211

ร.ต.ต. อำนวย หงษ์ทอง หรือที่รู้จักกันในนาม “ดาบนวย” เจ้าของ “สวนนพรัตน์” จังหวัดนครนายก ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า การติดหลอดไฟ LED ขนาด 40 วัตต์ (W) เปิดให้แสงสว่างตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึงเช้า กิ่งที่ถูกแสงไฟถูกกระตุ้นให้เร่งออกช่อดอกเร็วกว่าปกติ (ฤดูฝน) ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ต้นมะปรางจะมีช่อดอกประมาณช่วงฤดูหนาวเท่านั้น

ต่อมา สมาคมชาวสวนมะปรางจังหวัดนครนายกจึงแนะนำให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกใช้หลอดไฟติดตรงต้นมะปรางเพื่อให้ออกลูกดก เกษตรกรหลายรายทดลองนำไปใช้ก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน เพราะต้นมะปรางและมะยงชิดออกช่อติดดีมาก ติดเกือบจะทุกกิ่ง สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรทั่วประเทศที่ปลูกมะปราง มะยงชิด แห่ติดแสงไฟกันอย่างแพร่หลาย

คุณทองหล่อ แดงอร่าม โทร. 087-042-5041 ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 6 ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ในอดีตผู้ใหญ่ทองหล่อ ทำนาเป็นพืชเชิงเดี่ยว มีรายได้เพียงปีละครั้ง ต่อมาประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำใช้ในภาคเกษตร จึงหันปรับเข้าสู่เกษตรทฤษฎีใหม่ มีสระน้ำประจำไร่นา พร้อมทำเกษตรแบบพอเพียง ปลูกพืชผสมผสาน เช่น ทำสวนมะยงชิด ปลูกผักกูด เงาะ กระท้อน เลี้ยงปลา ฯลฯ ทำให้มีรายได้หมุนเวียนตลอดทั้งปี ปัจจุบัน สวนแห่งนี้มีรายได้หลักจากมะยงชิดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) และประสบความสำเร็จในการปลูกดูแลผลผลิตให้ได้มาตรฐานและได้ผลผลิตเกรดพรีเมี่ยม ได้ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ต่อต้น

เมื่อสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวมะยงชิด ในช่วงปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม ผู้ใหญ่ทองหล่อจะตัดแต่งกิ่งให้โปร่งบางก่อน เน้นตัดกิ่งกลางออก ทำให้กิ่งขยายออกด้านข้าง วิธีนี้ช่วยควบคุมความสูงของลำต้น ทำให้ต้นมะยงชิด อายุ 20 ปี มีลำต้นไม่สูงมาก เพียงแค่ 5-6 เมตร ทำให้ง่ายต่อการดูแลจัดการ เมื่อถึงระยะเวลาฉีดพ่นยาและการเก็บเกี่ยวผลผลิต

สวนแห่งนี้ จะเริ่มทำดอก หลังหมดช่วงฤดูฝน ประมาณปลายเดือนตุลาคม โดยใช้วิธีติดหลอดไฟแอลอีดี (LED) บนต้นมะยงชิด ตั้งแต่เวลา 18.00-06.00 น. ของทุกวัน เป็นระยะเวลานาน 15-20 วัน ที่นี่เลือกใช้หลอดไฟ LED ขนาด 5W ซึ่งให้แสงสว่างเทียบกับหลอดไส้ทั่วไป ประมาณ 40W หลอดไฟ LED ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่มีข้อดีคือ ช่วยประหยัดพลังงาน เพราะให้แสงสว่างมาก แต่ใช้ไฟฟ้าน้อยลงกว่าหลอดไส้ทั่วไป 80-90% แถมอายุการใช้งานยังยาวนานกว่าอีกด้วย ผู้ใหญ่ทองหล่อจะติดหลอดไฟ LED บนต้นมะยงชิดมากหรือน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับขนาดทรงพุ่ม หากมีขนาดทรงพุ่มใหญ่ ก็ติดต้นละ 3-4 หลอด

ติดแสงไฟโทนส้ม ให้ผลผลิตดีสุด “วิธีติดแสงไฟในสวนมะยงชิดได้ผลที่ดี แต่ต้องเลือกให้ถูกและใช้ให้เป็น ตอนแรก ผมไปเลือกซื้อหลอดไฟ เจ้าของร้านก็แนะนำให้เลือกซื้อหลอดไฟหลากสีสัน เมื่อนำไปใช้งาน คนผ่านไปมา นึกว่าที่นี่กำลังเปิดร้านอาหาร หรือกำลังมีงานวัด นอกจากนี้ ยังพบว่าต้นมะยงชิดที่ติดแสงไฟต่างสีสัน ก็ให้ผลผลิตที่แตกต่างกันด้วย” ผู้ใหญ่ทองหล่อ กล่าว

หลังจากทดลองติดแสงไฟบนต้นมะยงชิดหลากสีสัน เช่น สีแดง สีส้ม สีม่วง สีขาว ฯลฯ มาได้ต่อเนื่อง จนเข้าสู่ปีที่ 3 ผู้ใหญ่ทองหล่อ ค้นพบว่า หลอดไฟ Warm White ที่ให้แสงในโทนส้ม ช่วยให้ต้นมะยงชิดได้ผลผลิตดีที่สุด ส่วนต้นมะยงชิดที่ติดหลอดไฟสีแดง บางทีก็ไม่ติดผลเลยก็มี ส่วนหลอดไฟสี cool white (แสงสีฟ้าขาว) ทำให้ต้นมะยงชิดติดผล แต่ปริมาณผลผลิตไม่สูงเท่ากับโทนแสงสีส้ม

ทำปุ๋ยหมักชีวภาพใช้เอง “ปุ๋ยหมักชีวภาพ” เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ผู้ใหญ่ทองหล่อนำมาใช้บำรุงต้นมะยงชิดให้เติบโตสมบูรณ์ ที่นี่ถือเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ มีธนาคารปุ๋ย การทำปุ๋ยหมักใช้ สาร พด. เป็นตัวช่วยบำรุงพืชแล้ว ยังมีสารป้องกันแมลงศัตรูพืชที่ผลิตจากสารเร่ง พด.7 เป็นปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้จากการย่อยสลายพืชสมุนไพร ใช้ในการป้องกันศัตรูพืช และบำบัดน้ำไม่ให้เน่าเสีย โดยผู้ใหญ่ให้ปุ๋ยหมักชีวภาพเหล่านี้โดยเปิดให้ผ่านระบบสปริงเกลอร์ควบคู่กับการให้น้ำในสวนไปพร้อมๆ กัน ประมาณ 10-15 นาที ทุกๆ 2-3 วัน

สินค้ามะยงชิดนครนายก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI มีลักษณะเด่น คือ ผลใหญ่ รูปไข่ มีสีเหลืองส้ม เนื้อแน่น กรอบ มีกลิ่นหอม เมล็ดลีบสีน้ำตาลอ่อน รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีค่าความหวาน 18-22 องศาบิกซ์ ส่วนมะปรางหวานนครนายก มีลักษณะผลใหญ่ยาวรี ปลายเรียวแหลม สีเหลืองทอง เปลือกบาง มีกลิ่นหอม รสชาติหวาน กรอบ ค่าความหวานอยู่ในช่วง 16 ถึง 19 องศาบริกซ์ สินค้าทั้ง 2 ประเภท ปลูกในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนครนายก อำเภอบ้านนา อำเภอปากพลี และอำเภอองครักษ์

คุณปิยภัทร เจียรนัย หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ และ คุณถาวร ชูพูล หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก ได้เล่าให้ฟังว่า จังหวัดนครนายกได้พัฒนาการผลิตพืชอัตลักษณ์ของจังหวัดนครนายก ภายใต้ชื่อ “มะยงชิดโมเดล” โดยเผยแพร่ความรู้แก่เกษตรกรในด้านต่างๆ เช่น การเตรียมความพร้อมแปลงใหญ่มะยงชิด การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เครือข่าย การจัดทำแปลงเรียนรู้การผลิตมะยงชิดคุณภาพ ขึ้นทะเบียนอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) แก่เกษตรกรเจ้าของสวนมะยงชิด พร้อมผลักดันให้สวนมะยงชิดที่มีศักยภาพ เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรและดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมและซื้อสินค้าถึงในสวน ช่วยขยายโอกาสในการทำตลาดให้กับสินค้า GI และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของเกษตรกรจังหวัดนครนายก

นอกจากนี้ ชมรมชาวสวนมะปรางจังหวัดนครนายก ร่วมกับจังหวัดนครนายก โดยสำนักงานเกษตรจังหวัด จัดง“งาน “มะยงชิด มะปรางหวาน ของดีนครนายก” ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งผลิตมะยงชิด มะปรางหวานคุณภาพ รสชาติอร่อย ให้เป็นที่รู้จัก รวมทั้งสนับสนุนให้กลุ่มชมรมมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการตลาดเพื่อสร้างอาชีพและรายได้สู่ท้องถิ่น ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ทั้งการประกวดมะยงชิด มะปรางหวาน มะปรางยักษ์ กิ่งพันธุ์คุณภาพ การประกวดธิดามะปรางหวาน เลือกซื้อมะยงชิด มะปรางหวาน และกิ่งพันธุ์คุณภาพจากชาวสวนโดยตรง เลือกซื้อของดีสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ จังหวัดนครนายก เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นงานที่พลาดไม่ได้อีกงาน มาวันเดียวเที่ยวได้ครบรสจริงๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก โทร. 037-311-289

“กระท่อม” เป็นพืชเศรษฐกิจที่มากคุณประโยชน์ เป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก ช่วงปลายปี 2564 มติชน ร่วมกับ กระทรวงยุติธรรม ได้จัดงานเสวนาเชิงวิชาการ “อนาคตกระท่อมสู่พืชเศรษฐกิจ” ปรากฏว่ามีผู้คนให้ความสนใจร่วมฟังเสวนาภายในงานและผ่านสื่อออนไลน์กันเยอะมาก

กระแสความต้องการพืชกระท่อมมาแรง ทำให้หลายคนสนใจปลูกเป็นพืชสมุนไพรประจำบ้านและปลูกเชิงการค้า แต่ไม่รู้จะหาแหล่งผลิตต้นกล้าคุณภาพดีจากแหล่งไหน ขอแนะนำให้รู้จักกับ คุณดวงพร พรมอ่อน เจ้าของกิจการ “บ้านสวนเก็บตะวันพันธุ์ไม้” และ “กระท่อมนางฟ้า” ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดกระท่อม ต้นกล้ากระท่อมก้านเเดง ชุมพร คุณภาพดี ส่งขายทั่วประเทศไทย รวมทั้งส่งออกต่างประเทศ ตรงกับความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจของบ้านสวนเก็บตะวันพันธุ์ไม้ ที่ต้องการเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนพืชกระท่อมสายพันธุ์ไทยสู่ตลาดโลก

บ้านสวนเก็บตะวัน เนื้อที่กว่า 100 ไร่ ตั้งอยู่ในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่สะสมและรวบรวมพันธุ์ไม้หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งไม้ป่ายืนต้น ไม้ผล ไม้ดอก ไผ่ และอื่นๆ ปลูกแบบผสมผสาน โดยเน้นความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ปลูกด้วยหัวใจรักการปลูกต้นไม้ และรักที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้นานาชนิด นอกจากนี้ ยังมีห้องแล็บขยายพันธุ์ไม้และเป็นสำนักงานขายอยู่ในพื้นที่คลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

บ้านสวนเก็บตะวัน มีแนวคิดที่จะแบ่งปัน แลกเปลี่ยนพันธุ์ไม้ เพื่อส่งเสริมการปลูกต้นไม้สำหรับคนทั่วไป และเป็นแหล่งกิ่งพันธุ์สำหรับเกษตรกร โดยเริ่มจากการแบ่งขายพันธุ์ไม้ คือ กิ่งพันธุ์มะนาว เลม่อน และไผ่ เป็นกิ่งพันธุ์ที่ได้จากการปักชำออกขายในราคาถูก เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เพื่อนเกษตรกร

และล่าสุด บ้านสวนเก็บตะวันได้นำเสนอต้นกล้ากระท่อมก้านแดง เป็นพืชทางเลือกอีกชนิดให้กับพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสทางการตลาดและคุณประโยชน์มากมายของพืชกระท่อม ที่นำมาใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านมานานหลายร้อยปีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวงการแพทย์แผนปัจจุบันใช้พืชกระท่อมสำหรับบำบัดอาการโรคซึมเศร้า บำบัดยาเสพติด บำรุงร่างกาย เป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลกในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ชา อาหารเสริม และอื่นๆ อีกมากมาย

คุณดวงพรทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนและใช้เวลาว่างช่วยครอบครัวปลูกขยายพันธุ์ไม้ออกขายในชื่อ “บ้านสวนเก็บตะวันพันธุ์ไม้” ผ่านสื่อออนไลน์มาได้หลายปีแล้ว คุณดวงพรติดตามกระแสข่าวพบว่า รัฐบาลกำลังปลดล็อกพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติดให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ก็เกิดความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารพร้อมศึกษาข้อมูลรายละเอียดสายพันธุ์พืชกระท่อม การปลูก ดูแล รวมทั้งการแปรรูปในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา

เมื่อศึกษาข้อมูลจนมั่นใจ จึงเริ่มต้นเพาะขยายต้นกล้ากระท่อมออกจำหน่ายในปีนี้ ผ่านสื่อเฟซบุ๊กในชื่อ “กระท่อมนางฟ้า” ปรากฏว่า ทุกวันนี้ คุณดวงพรมีรายได้จากการผลิตต้นกล้ากระท่อมมากถึง 6 หลักต่อเดือน ทำรายได้แซงหน้าอาชีพหลักไปแล้ว เนื่องจากผลิตกระท่อมก้านเเดง ชุมพร คุณภาพดี ในราคายุติธรรม ทำให้สินค้าเป็นที่นิยมของเกษตรกรและร้านค้าจำหน่ายพันธุ์ไม้ทั่วประเทศที่สนใจสั่งซื้อสินค้าจากคุณดวงพร เพื่อนำไปขายทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

เทคนิค เพาะขยายพันธุ์

การผลิตต้นกล้ากระท่อมจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับการเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ และเทคนิคการเพาะขยายพันธุ์ที่ถูกต้อง เหมาะสม คุณดวงพรจำหน่ายชุดเพาะเมล็ดพันธุ์กระท่อมด้วยพีทมอสส์พร้อมอุปกรณ์ให้แก่ผู้สนใจ ประกอบด้วย วัสดุปลูกพีทมอสส์เกรดพรีเมี่ยมจากเยอรมนีผสมน้ำยาเร่งราก B1+ยากันรา 1 เซ็ต มี 2 กล่อง พีทมอสส์ 2 ถุง

คุณดวงพรได้แนะนำวิธีเพาะเมล็ดพันธุ์กระท่อมเเบบง่ายๆ ด้วยพีทมอสส์ ซึ่งมีขั้นตอนการเพาะไม่ยาก เริ่มจากเปิดกล่อง นำถุงพีทมอสส์และซองเมล็ดพันธุ์ออกจากกล่อง ตัดถุงพีทมอสส์เทลงในกล่อง เกลี่ยเบาๆ ให้เรียบเสมอกันดี กดเบาๆ เปิดซองเมล็ดพันธุ์กระท่อมเทลงฝ่ามือ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เล็กและเบา ควรเทเหนือกล่องเพาะเพื่อป้องกันกรณีเมล็ดพันธุ์หก ปลิวกระจาย

หยิบเมล็ดพันธุ์โรยให้ทั่วพื้นที่ปลูกในกล่องอย่างสม่ำเสมอ สเปรย์น้ำเบาๆ ให้ชุ่ม และทั่วพื้นที่ปลูก แต่ไม่แฉะจนน้ำนอง ปิดฝานำไปพักไว้ในที่อากาศถ่ายเทและมีแสงสว่าง แต่ไม่โดนแดด (ปิดฝาไว้ตลอดเป็นเวลา 2 สัปดาห์) ภายใน 7 วัน เมล็ดจะงอกเป็นต้นอ่อนสวยงาม

เมื่อต้นอ่อนอายุได้ 2 สัปดาห์ เปิดฝาออก นำไปตั้งไว้ในที่แสงแดดรำไร และหมั่นสเปรย์ละอองน้ำเช้า-เย็น (ระวังมด หอยทาก แมลงกินใบ) เมื่อต้นอ่อนอายุได้ 4 สัปดาห์ ย้ายลงปลูกในถาดหลุมหรือถุงดำ หลุม/ถุงละ 1 ต้น ตั้งไว้ในที่แสงแดดรำไรเช่นเดิม เมื่อต้นอ่อนอายุได้ 2 เดือน สามารถย้ายปลูกลงดินได้เลย

คุณดวงพร บอกว่า กระท่อมก้านเเดง GClub ชุมพรเป็นสินค้าขายดี เป็นที่นิยมในท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากปลูกดูแลง่าย ที่สำคัญมีสารสำคัญทางยาสูง จึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ผ่านมา คุณดวงพรแบ่งปันเมล็ดกระท่อมสายพันธุ์ไทย คัดพิเศษ ไม่มีเปลือกเเละกะลา ให้กับผู้สนใจ จำนวน 5 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. ก้านเเดง ชุมพร 2. เเมงดาก้านเเดง ปทุมธานี 3. เเตงกวา ปทุมธานี 4. เหรียญทอง นครศรีธรรมราช 5. หางกั้งก้านเขียว สุราษฎร์ธานี โดย 1 ชุด มีเมล็ดมากกว่า 500 เมล็ด อัตราการงอกสูง

นอกจากนี้ ยังจำหน่ายต้นกล้ากระท่อมก้านเเดง ชุมพร ความสูง 1 เซนติเมตร ออกใบคู่ที่ 2 เเล้ว สามารถเเยกปลูกได้เลย โดยสินค้า 1 กล่องมีต้นกล้าจำนวน 500-800 ต้น มารับเองหน้าสวน ขายในราคากล่องละ 850 บาท หากจัดส่งถึงหน้าบ้านขายกล่องละ 1,000 บาท

“ทางร้านมีบริการสินค้าจัดส่งต้นกล้ากระท่อมก้านเเดง ชุมพร เก็บเงินปลายทางไม่บวกเพิ่ม สามารถจัดส่งได้ทั่วไทย จัดส่งทุกสัปดาห์ ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี จัดส่งรวดเร็วทันใจไม่ต้องรอนาน ท่านใดที่กำลังมองหาต้นกล้ากระท่อมสายพันธุ์ก้านเเดง หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ

คุณสมนึก ฉิมปลอด บ้านเลขที่ 58 หมู่ที่ 6 ตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เกษตรกรผู้ปลูกพริกไทย เล่าว่า พริกไทยที่ปลูกอยู่ในปัจจุบัน เป็นพืชที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ที่บริเวณเทือกเขาบรรทัด เกษตรกรเมื่อเข้าป่าไปหาของป่าพบเจอเข้า ได้นำมาปลูกในพื้นที่ของตนและขยายพันธุ์แพร่หลายมากขึ้น และปลูกในลักษณะสวนหลังบ้านมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน

ต่อมามีความสนใจการปลูกพริกไทยเพื่อเป็นอาชีพมากขึ้นจึงเริ่มมีการขยายพันธุ์และปลูกกันทั่วไปในอำเภอนาโยง โดยตนเองได้ปลูกพริกไทยซึ่งมีเนื้อที่ปลูกประมาณ 1 ไร่ โดยปลูกทั้งแบบสวนเดี่ยวและแซมในสวนยาง

การปลูกพริกไทยค้าง เกษตรกรปลูกให้ต้นพริกไทยเลื้อยขึ้นไปบนเสาปูน หรือไม้แก่น หรือต้นยอ ซึ่งผลผลิตจะออก 1 ครั้ง ต่อปี ในช่วงฤดูแล้ง
การปลูกพริกไทยพุ่ม เกษตรกรคัดเลือกกิ่งแขนงมาขยายพันธุ์ มักใช้วิธีเสียบยอดโดยใช้ต้นตอเป็นต้นโคโลบีนั่ม แล้วนำไปปลูกลงดิน หรือปลูกในภาชนะ เช่น ตะกร้า วิธีนี้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนค่าค้างพริกลงไปได้ สามารถปลูกแซมในสวนอื่นๆ เช่น สวนยางพารา หรือสวนไม้ผลต่างๆ ได้ และการปลูกพริกไทยพุ่มจะได้รับผลผลิตต่อเนื่องตลอดปี
คุณสมนึก เล่าว่า การปลูกพริกไทยพุ่มแซมยางพารา มีข้อดีหลายประการ ดังนี้