มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และโครงการธรรมชาติปลอดภัย

ชวนตามหาสุดยอดภาพถ่าย “MEMORY IN MAEJAM” มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และโครงการธรรมชาติปลอดภัย โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด ขอเชิญชวนส่งภาพเข้าประกวดในโครงการประกวดภาพถ่าย “Memory In Maejam” เพื่อส่งเสริมการ ท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 197,000 บาท

ส่งได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งขยายเวลาให้อีก 1 เดือนเต็มๆ ใครไปแม่แจ่มอย่าลืมถ่ายภาพแล้วส่งประกวดกันน้าจ้า สามารถส่งภาพถ่ายเข้าประกวดผ่านไทม์ไลน์ Facebook Page : ธรรมชาติปลอดภัย

พายุมังคุด / เมื่อวันที่ 18 ก.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 20 กันยายน 2561

อนึ่ง พายุดีเปรสชัน “มังคุด” (MANGKHUT) บริเวณประเทศจีนตอนใต้ มีศูนย์กลางอยู่บริเวณเมืองคุนหมิง ประเทศจีน คาดว่าจะอ่อนกำลังลง หย่อมความกดอากาศต่ำ บริเวณมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ในวันนี้ (18 ก.ย. 61) ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปเมืองหนานหนิง และ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง ในขณะที่ พายุ “มังคุด” ปกคลุมบริเวณประเทศจีนตอนใต้ ใกล้ทางตอนบนของเวียดนาม ทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ เวลา 06.00 น. ของวันนี้ ถึงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 19 ก.ย. นี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ และยโสธร อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ และลพบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

แผ่นมาสก์ไบโอเซลลูโลสจากน้ำมะพร้าว เป็นผลงานวิจัยของ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร

รศ.ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์ หนึ่งในคณะผู้วิจัย บอกว่า แผ่นมาสก์ไบโอเซลลูโลสจากน้ำมะพร้าว เป็นการวิจัยและพัฒนาน้ำมะพร้าวแก่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตร ที่ได้จากกระบวนการผลิตกะทิและไม่ได้รับความนิยมในการนำไปบริโภค

“ประโยชน์หลักๆ ของน้ำมะพร้าวแก่ที่เห็นชัดตอนนี้คือ การนำไปทำวุ้นมะพร้าว ของกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ซึ่งจะทำออกมาจำหน่ายกันในราคาเพียง กิโลกรัมละ 4 บาท เท่านั้น”

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ปริมาณน้ำมะพร้าวแก่นั้นมีอยู่มาก และยังอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทิ้งลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดวิจัยการนำของเหลือทิ้งดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ และประสบความสำเร็จจนได้แผ่นมาสก์ไบโอเซลลูโลส ที่มีราคาต่อหน่วยนับ 1 ชิ้น ตั้งแต่หลักสิบ ไปจนถึงหลักร้อยบาท และหากมีการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยผ่านผู้ผลิตเครื่องสำอางชั้นนำของโลก ราคาในท้องตลาดจะเพิ่มไปเป็นหลักพันบาททีเดียว

ผลงานการวิจัยชิ้นนี้ จึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างน่าสนใจอีกด้วย

แต่ที่น่าสนใจอีกประการคือ ความสามารถในการผลิตมาสก์ไบโอเซลลูโลสจากน้ำมะพร้าว ในโลกนี้มีเพียง 2 ประเทศ ที่ทำได้ คือ ไทย กับเวียดนาม เท่านั้น

รศ.ดร. พรอนงค์ บอกว่า กรรมวิธีการในการผลิตแผ่นมาสก์ดังกล่าว จะนำน้ำมะพร้าวแก่มาเพาะเลี้ยงด้วยจุลินทรีย์จนได้วุ้นออกมา โดยอยู่ภายใต้กรรมวิธีการผลิตที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ จึงทำให้แผ่นมาสก์ที่แตกต่างจากแผ่นมาสก์ผ้าหรือกระดาษที่มีจำหน่ายกันโดยทั่วไป

“สิ่งที่แตกต่างคือ เส้นใยมีความละเอียดและบางเบามาก ทำให้แผ่นมาสก์มีความคงตัวสูงเมื่อเวลาติดลงบนผิวหนังจะเรียบเนียนเสมือนเป็นผิวหนังชั้นที่ 2 จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสารต่างๆ ที่มีอยูในน้ำมะพร้าว ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น และในการผลิตแผ่นมาสก์ที่เราคิดค้นขึ้นนั้น ยังได้มีการเพิ่มสารบำรุงผิว ได้แก่ โอกรตีนกาวไหม ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิวหนัง” รศ.ดร. พรอนงค์ กล่าว

คุณประโยชน์สำคัญของแผ่นมาสก์ไบโอเซลลูโลส คือการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้แสงเลเซอร์ในการเสริมความงาม

“คุณสมบัติสำคัญของแผ่นมาสก์นาโนไบโอเซลลูโลสที่มีสารป้องกันการเกิดสีผิวเข้มผิดปกติผสมโปรตีนกาวไหมสามารถลดการเกิดความผิดปกติของผิวหลังการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ และยังช่วยบำรุงผิวที่ลึกล้ำ โดยไม่ก่อให้เกิดความระคายเครืองแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์”

รศ.ดร. พรอนงค์ บอกว่า ในปัจจุบันกระแสการดูแลความงามและความใส่ใจดูแลผิวพรรณมีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าให้อ่อนวัยกว่าเดิม การทำให้ผิวขาว ใบหน้าอ่อนใสเหมือนผิวเด็ก ส่งผลให้มีการนำเครื่องเลเซอร์มาใช้งานในการดูแลรักษาผิวพรรณ

วัตถุประสงค์หลักในการใช้แสงเลเซอร์ดูแลผิวพรรณนั้น คือเพื่อปรับสภาพผิวหนังให้เนียนเรียบ โดยทำให้รูขุมขนเล็กลง ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ลบรอยเส้นเลือดฝอยและทำลายเส้นขน

แต่ผลที่ออกมานั้นใช่ว่า จะมีแต่ความงามเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบในผู้เข้ารับการรักษาด้วยแสงเลเซอร์เกือบทุกรายคือ อาการปวดแสบปวดร้อน การเกิดผื่นแดง และการเกิดภาวะสีผิวเข้มผิดปกติ Hyper Pigmentation

การเกิดภาวะสีผิวเข้มผิดปกติ นับเป็นผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่รุนแรง ซึ่งบางครั้งอาจกลับมาเป็นซ้ำหรือรุนแรงกว่าเดิม ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยแสงเซอร์นี้ ส่วนใหญ่จะพบได้มากในผู้เข้ารับการรักษาที่มีสีผิวคล้ำ โดยเฉพาะชาวเอเชีย ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีในการแก้ปัญหาเรื่องของการเกิดภาวะสีผิวเข้มผิดปกติหลังกการรักษาด้วยแสงเซอร์ที่ชัดเจน

“ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดและความร้อน ภายหลังการรักษาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ร่วมกับการใช้ยาที่มีสารสเตียรอยด์เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว ซึ่งยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจในผู้รักษาบางรายอาจเกิดอาการแพ้สารสเตียร์ร่วมได้อีกด้วย” รศ.ดร. พรอนงค์ กล่าว

รศ.ดร. พรอนงค์ กล่าวอีกว่า คุณสมบัติของแผ่นมาสก์นาโนไบโอเซลลูโลส มาสก์ไบโอเซลลูโลสจากน้ำมะพร้าว จะช่วยป้องกันการเกิดผิวสีเข้มผิดปกติหลังการรักษาผิวหน้าด้วยแสงเลเซอร์ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมทั้งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง

นี่จึงเป็นอีกความน่าภาคภูมิใจของการคิดค้นวิจัยที่มาจากนักวิจัยของไทย และได้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก “บ้านปลักคล้า” คลองหอยโข่ง เป็นพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของจังหวัดสงขลา คำว่า “ปลักคล้า” มีที่มาจากต้นคล้า ที่มีจำนวนมากตามสายคลองรอบวัด บ้านปลักคล้า เป็นที่ราบ อยู่ใกล้เทือกเขาวังชิง น้ำที่ไหลผ่านได้พัดพาแร่ธาตุสมบูรณ์มาสะสมอยู่ผืนดินแห่งนี้ ทำให้ข้าวพันธุ์พื้นบ้านที่ปลูกในท้องถิ่นแห่งนี้ เช่น ข้าวไทร ข้าวนางหงส์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นข้าวพันธุ์ดีที่มีรสชาติอร่อยและให้ผลผลิตที่ดีมาตั้งแต่สมัยอดีต เช่นเดียวกับปลาช่อนที่เลี้ยงในชุมชนแห่งนี้ ก็มีรสชาติอร่อยเป็นที่สุด

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอคลองหอยโข่ง (กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง) จังหวัดสงขลา ภายใต้การนำของ คุณจตุรภัทร เวชสิทธิ์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง มุ่งจัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมให้นักศึกษาและผู้รับบริการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดอบรมความรู้เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งในห้องเรียน และพาไปดูงานศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงภายในจังหวัดสงขลา และพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง

คุณกุ๊ก หรือ คุณสมัคร สุวรรณสาม เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (สมาร์ทฟาร์มเมอร์) ที่เข้าร่วมอบรมความรู้กับ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง และเขาได้นำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้พัฒนาที่ดินทำกินของตัวเองจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นเกษตรกรต้นแบบที่ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง ใช้เป็นวิทยากรเผยแพร่องค์ความรู้เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับนักศึกษา กศน. และผู้สนใจอาชีพการทำเกษตร

“ทุกวันนี้ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง ใช้สวนปลักคล้า ของคุณกุ๊ก เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการทำไร่นาสวนผสม ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ คุณกุ๊กแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่าและได้ประโยชน์สูงสุด โดยจัดสรรที่ดินสำหรับปลูกบ้านพักอาศัย มีคอกเลี้ยงสัตว์ มีสระกักเก็บน้ำและใช้เลี้ยงปลา ปลูกข้าว ทำสวนแบบผสมผสาน ปลูกมะนาว และไม้ผลนานาชนิด เช่น ขนุน กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง มะม่วง มะพร้าว ฯลฯ มีผลผลิตออกขายสร้างรายได้ตลอดทั้งปี” ผอ.กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง กล่าว

คุณกุ๊ก หรือ คุณสมัคร สุวรรณสาม เรียนจบสาขาช่างยนต์ ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนกว่าสิบปี ต่อมาพ่อแม่มีอายุมากขึ้น ทำงานดูแลสวนไร่นาไม่ไหว คุณกุ๊กจึงตัดสินใจลาออกและกลับบ้านมาช่วยพ่อดูแลกิจการสวนยางพาราและไร่นา ซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัว

เนื่องจากเขาเป็นเกษตรกรมือใหม่ จึงตั้งใจศึกษาหาความรู้เรื่องการทำเกษตรจากหน่วยงานในท้องถิ่น คุณกุ๊กตัดสินใจสมัครเข้าศึกษาหาความรู้และดูงานเรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่กับ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง อย่างสม่ำเสมอ นำความรู้เรื่องหลักเกษตรทฤษฎีใหม่และเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัยที่เรียนรู้ระหว่างไปดูงาน เข้ามาประยุกต์ใช้ในที่ดินทำกินเนื้อที่ 3 ไร่ ของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “สวนปลักคล้า”

คุณกุ๊ก บอกว่า เดิมทีที่ดินแห่งนี้เป็นที่นาปลูกข้าวมาก่อน เป็นพื้นที่ลุ่ม เสี่ยงกับการถูกน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน จึงต้องปรับสภาพที่ดินใหม่ ยกร่องน้ำ ปรับที่ดินให้สูงขึ้น ให้เหมาะสมสำหรับปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นนานาชนิด รายได้หลักของสวนแห่งนี้มาจากการขายผลและขายกิ่งพันธุ์มะนาวทูลเกล้า มะนาวไร้เมล็ด ดกพิเศษ แป้นพิจิตร ในราคา 50-100 บาท ขึ้นกับขนาดของกิ่งพันธุ์ รายได้รองลงมาคือมาจากการขายน้ำผึ้งโพรง และการเลี้ยงหมูหลุม ซึ่งได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือ มีรายได้จากการขายหมูหลุมและได้ขี้หมูสำหรับเป็นปุ๋ยคอกบำรุงต้นไม้ในสวน

“ปีก่อน มะนาวนอกฤดูขายได้ราคาดี ขายได้กิโลกรัมละ 100 กว่าบาท แต่ปีนี้ ราคามะนาวปรับตัวลดลงขายได้กิโลกรัมละ 50-60 บาท ก็มีรายได้พออยู่ได้ แต่สวนของผมเน้นดูแลสวนมะนาวให้มีผลผลิตตลอด โดยใช้เทคนิคการควบคุมน้ำให้ต้นมะนาวอดน้ำ ก่อนให้น้ำและปุ๋ยบำรุงทางใบผ่านระบบสปริงเกลอร์ กระตุ้นให้ต้นมะนาวผลิดอกออกผลในช่วงระยะเวลาที่ต้องการ ทำให้มีผลมะนาวส่งขายร้านส้มตำและร้านอาหารในหมู่บ้านได้ตลอดทั้งปี” คุณกุ๊ก กล่าว

ทุกวันนี้ คุณกุ๊กเลี้ยงผึ้งโพรง จำนวน 15 ลัง ภายในสวนแห่งนี้ การเลี้ยงผึ้งโพรงนับเป็นอาชีพที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมีเทคนิคการเลี้ยงดูแลไม่ยาก ลงทุนน้อย แค่ใช้ลังไม้เล็กๆ ให้ผึ้งใช้ทำรัง ดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาด ก็จะได้ผลตอบแทนที่ได้คุ้มกับการลงทุน

คุณกุ๊ก บอกว่า เขาไม่ได้ลงทุนหาพันธุ์ผึ้งมาเลี้ยง แต่ใช้วิธีทำลังไม้มาวางล่อผึ้งในสวน เขานำขี้ผึ้งมาป้ายที่ฝาลัง เพื่อส่งกลิ่นดึงดูดให้ผึ้งโพรงบินมาอาศัยในลังดังกล่าว นอกจากนี้ ยังใช้เทคนิคการพ่นรังให้หอม ทำให้ผึ้งโพรงตามธรรมชาติบินเข้ามาทำรังในบริเวณที่จัดไว้ เนื่องจากสวนแห่งนี้ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำมาหากินและอยู่อาศัยของผึ้งโพรง เพราะดูแลสวนแบบเกษตรอินทรีย์ ไร้สารพิษ แถมมีพันธุ์ไม้นานาชนิด ไม้ดอก ไม้ยืนต้น และผลไม้ที่ผลิดอกออกผลทั้งปี จึงดึงดูดให้ผึ้งโพรงมาอยู่อาศัยทำรังในสวนแห่งนี้อย่างสม่ำเสมอ

คุณกุ๊กเก็บน้ำผึ้งโพรงออกจำหน่ายได้ 2 รุ่น ต่อปี คือ ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน และช่วงสิงหาคม – กันยายน โดยจำหน่ายน้ำผึ้งโพรง (700 ซีซี) ในราคา ขวดละ 500 บาท สร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งโดยทั่วโปมีราคาซื้อ-ขายน้ำผึ้งโพรงอยู่ที่ขวดละ 700-800 บาท

ผู้ผลิตน้ำผึ้งบางรายผลิตน้ำผึ้งจากดอกไม้ชนิดเดียวในสวน แต่น้ำผึ้งโพรงของคุณกุ๊กปลูกพันธุ์ไม้หลากหลาย 7 ชนิด ขึ้นไป เช่น มะพร้าว มะนาว เงาะ ขนุน หว้า ฯลฯ ซึ่งผึ้งจะรวบรวมละอองเกสรดอกไม้หลากหลายชนิดไว้ในรัง กลายเป็นน้ำผึ้งแสนอร่อย ซึ่งเป็นอาหารดีที่ส่งตรงจากธรรมชาติ เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่ล้วนแล้วมีดีต่อสุขภาพส่งต่อถึงผู้บริโภค

ปัจจุบัน คุณกุ๊กได้นำน้ำผึ้งโพรงและสินค้าเกษตรนานาชนิดจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ และการนำสินค้าไปวางขายในตลาดสินค้าสีเขียวและงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่หน่วยงานภาครัฐจัดขึ้น ทำให้เขามีฐานลูกค้าจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ

เนื่องจากสวนของคุณกุ๊กจำหน่ายน้ำผึ้งโพรงได้ ถือเป็นเครื่องหมายการันตีได้อย่างหนึ่งว่า สวนแห่งนี้ทำเกษตรอินทรีย์แบบปลอดสารพิษ ดีต่อสภาพสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เพราะพื้นที่เลี้ยงผึ้งโพรงได้นั้นต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดสารเคมีประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง รวมไปถึงการเผาขยะ เนื่องจากผึ้งรับความรู้สึกไวต่อสิ่งแวดล้อมมาก ทำให้คุณกุ๊กสามารถจำหน่ายสินค้าพืชผักผลไม้อินทรีย์ได้ในราคาดี และเป็นที่เชื่อถือของผู้บริโภคในวงกว้าง

แบ่งปันความรู้สู่ชุมชน

“ผมประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพการทำเกษตรได้ในทุกวันนี้ ต้องยกความดีให้กับ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง ที่พาผมไปเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผมสามารถเก็บเกี่ยวความรู้นำมาประกอบอาชีพและสร้างรายได้สำหรับเลี้ยงดูแลครอบครัวได้อย่างยั่งยืน” คุณกุ๊ก กล่าว

คุณจตุรภัทร เวชสิทธิ์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง กล่าวเสริมว่า คุณกุ๊กได้องค์ความรู้เรื่องการเลี้ยงผึ้งโพรงมาใช้ประกอบอาชีพได้ทุกวันนี้เพราะ กศน.อำเภอคลองหอยโข่ง ได้นำคุณกุ๊ก นักศึกษา กศน. และผู้สนใจไปเยี่ยมกิจการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งโพรงและชันโรงปันแต จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นเจ้าของภูมิปัญญาเรื่องการเลี้ยงผึ้งโพรงไทยแบบนวัตกรรม ส่งผลให้ได้น้ำผึ้งคุณภาพสูงมากกว่าแบบเดิม ถึง 3 เท่า และสามารถจำหน่ายน้ำผึ้งได้ในราคาสูงขึ้นด้วย

โดยธรรมชาติแล้วการเลี้ยงผึ้งโพรง เกษตรกรจะมีต้นทุนการผลิตต่ำ เพราะผึ้งโพรงไทยมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่ต้องซื้อและหา แค่ลงทุนเรื่องอุปกรณ์การเลี้ยง และคอนผึ้งที่พัฒนาเพื่อใช้เลี้ยงผึ้งโพรงโดยเฉพาะ ช่วยให้เกษตรกรเก็บน้ำผึ้งได้ง่ายและได้น้ำผึ้งที่สะอาด โดยไม่สูญเสียประชากรผึ้งและลูกอ่อนผึ้ง ทั้งยังสามารถเก็บน้ำผึ้งได้ทันทีไม่ต้องสร้างรังใหม่ การเลี้ยงผึ้งโพรง เกษตรกรสามารถเก็บน้ำผึ้งออกขายได้ตลอด เรียกว่า ลงทุนแค่ครั้งเดียวก็มีรายได้ก้อนโต คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

คุณกุ๊ก นับเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ไฟแรง และเป็นสมาชิกกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ของจังหวัดสงขลา เขาร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ทำงานร่วมกับปศุสัตว์อำเภอคลองหอยโข่ง และโครงการชลประทานสงขลา จัดอบรมความรู้เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ หมู่ที่ 2, 4, 8 ตำบลคลองหอยโข่ง, ตำบลโคกม่วง, ตำบลทุ่งลาน อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา โดยแนะนำองค์ความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่และการเริ่มต้นการผลิตตามแผนการผลิตให้เหมาะสมศักยภาพของเกษตรกร ในรูปแบบ 3 ประสาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระดับพื้นที่

ฉลองครบรอบ 40 ปี ของการดำเนินกิจการเครื่องจักรกลการเกษตรในประเทศไทย บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ตอกย้ำบทบาทผู้นำนวัตกรรมเกษตรเพื่ออนาคต ผ่านการจัดงาน KUBOTA Showcase 2018 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Power of Agri-Innovation” หรือ “พลังแห่งนวัตกรรมเกษตร” ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

งาน KUBOTA Showcase 2018 ครั้งที่ 1 ถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 กันยายนนี้ ณ อิมแพคเมืองทองธานี ฮอลล์ 5 ภายในงานได้จัดแสดงนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรแม่นยำอย่างครบวงจร ทั้งพืชข้าวและพืชไร่ ที่ล้ำสมัยจากคูโบต้าประเทศญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์เกษตรยุค 4.0 ให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชมงาน

นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้จัดงาน “KUBOTA Showcase 2018” ขึ้น เพื่อจัดแสดงนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรแม่นยำอย่างครบวงจร ทั้งพืชข้าวและพืชไร่ นำเสนอการใช้งานเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชในแต่ละชนิด และเป็นการรวบรวมเทคโนโลยีนวัตกรรมการทำเกษตรแม่นยำที่ล้ำสมัยจากคูโบต้าประเทศญี่ปุ่นมาโชว์ในงาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

งาน KUBOTA Showcase 2018 ได้แบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 2 โซนหลัก ประกอบด้วย โซนนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและการจัดการเกษตรกรรมอัจฉริยะ จากคูโบต้า ประเทศญี่ปุ่น (Agri Machinery Innovation and KUBOTA Smart Agri System หรือ KSAS) พบกับการใช้ Big DATA เพื่อการทำเกษตรแม่นยำสูง ครั้งแรกในประเทศไทย การจัดการเกษตรกรรมด้วยฐานข้อมูล เพื่อสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ และลดต้นทุนความสูญเปล่าในด้านต่างๆ
โซนเกษตรครบวงจร ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และผัก รวมทั้งแนวคิดการทำเกษตรรายได้สูง (KUBOTA (Agri) Solutions and Max Revenue Farming Concept) เน้นจัดแสดงสินค้าที่มีจุดเด่นในการช่วยเกษตรกรในเรื่องของการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและรายได้

นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัยจากคูโบต้า ประเทศญี่ปุ่น มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อาทิ แทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถดำนา ที่ติดตั้งระบบ KSAS เครื่องปลูกผักกึ่งอัตโนมัติแบบนั่งขับ เครื่องสีข้าวหยอดเหรียญสำหรับพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น (สีข้าวกล้องเป็นข้าวขาว) ชุดผ่อนแรงสำหรับยกของ และโดรนระบบไฮบริด เพื่อการเกษตร เป็นต้น